21 พฤศจิกายน 2552 18:32 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.รุ่งสายสุรีย์แสง
น้ำค้างแรงก็แห้งหาย
หลานจับจูงมือยาย
แล้วจึงบึ่งลงบึงบัว
ห้อยเข่งกระเตงหลัง
คอยระแวดระวังหัว
น้ำชื้นจนชื่นตัว
แค่ครึ่งแข้งก็จมโคลน
บัวอูมและตูมเต่ง
บ้างบานเบ่งจนเปล่งโปน
ขาวชูชมพูโพลน
และเชิดก้านเต็มลานน้ำ
มือเหี่ยวยายเกี่ยวก้าน
ใช้มีดกว้านเกรงก้านช้ำ
หนูน้อยก็คอยนำ
มาวางเคียงในเข่งน้อย
เมียงมองแล้วร้องร่ำ
ยายตอบคำหนูถามหน่อย
บัวหลวงดั่งดวงพลอย
ใช้ไหว้พระเพราะอะไร
คุณยายจึงคายหมาก
หลานคนยาก..จะบอกให้
เมื่อก่อนแต่อ่อนวัย
พ่อยายเล่าในคราวนึง
หลังพระตรัสรู้
ณ เช้าตรู่ในวันหนึ่ง
พอพระพิศบัวจึง-
แจ่มแจ้งในนิสัยคน
พุทธศาสนา
มีหลายคราและหลายหน
ปรากฎบัวอุบล
มีส่วนข้องจึงสำคัญ
โกสุมปทุมมา
จึงมีค่าแต่ครานั้น
มงคลอุบลพรรณ
เหมาะไหว้พระเพราะฉะนี้
๒.ดูบัวให้เนิ่นนานเถิดหลานเอ๋ย
จะเริ่มเผย ร่วงผล็อย หรือค่อยคลี่
ทุกดอกล้วนเกิดมาใต้วารี
ใต้ราคีโคลนตมและจมเลน
แต่ไร้รอยราคินมลทินเถื่อน
รอยแปดเปื้อนใดใดก็ไม่เห็น
กลับเผยดอกเพรียวพราวดุจคราวเพ็ญ
สงบเย็นไร้คลีธุลีปน
บริสุทธิ์ดุจพระพุทธเจ้า
ล้านร้อนเร่าราคีไม่มีผล
แม้เกิดแต่มนุษย์ปุถุชน
กลับหลุดพ้นคราบมัวดั่งบัวบาน
เข่งใบน้อยบัดนี้เต็มบัวเต่ง
หลานกระเตงยายเดินถึงเนินบ้าน
จับจีบบัวบรรจงวางลงพาน
ทั้งยายหลานก้มกายถวายบัว
๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
15 พฤศจิกายน 2552 15:03 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
เคียวไหนใครกำใครดำข้าว
ใครก้าวใครเกี่ยวใครเคียวบิ่น
กี่เรียวกี่รวงกี่ร่วงดิน
ข้ายินข้ารู้ข้าดูดาย
ดินนาหน้าแล้งก็แห้งร้าว
ดินนาหน้าหนาวก็ร้าวหลาย
หน้าฝนฟ้าผ่าอีกาตาย
ผ่าควายตาค้างตอนกลางคืน
เป็นหุ่นไล่กาชราภาพ
เคยปราบไล่นกตระหนกตื่น
หมู่นี้เหมือนนกจะพกปืน
กล้าขืนกล้าผกเจ้านกรู้
ระริกจิกตีแล้วขี้รด
โอสถหรือยาจะทาถู
แต่ร่องรอยหลั่งที่พรั่งพรู
จากรูทวารสถานเดียว
หุ่นฟางปางตายเริ่มรายหล่น
ลมฝนพัดบินลงดินเหนียว
ไส้เดือนเคยกินแต่ดินเพียว
เลื้อยเลี้ยวมายุ่ยจนซุยดิน
เสื้อกางเกงข้าก็มากรอบ
ปีกงอบงุ้มหายก็หลายชิ้น
คราใหญ่ไล่กาไม่กล้าบิน
พังภินท์กากลับมาจับจอง
แกนไผ่กร่อนผุทะลุยอด
มดมอดกัดปรุทะลุปล้อง
เชือกกล้วยเกลียวใหญ่จากใบตอง
หล่นกองปล่อยฟางให้วางวาย
เย็นย่ำค่ำคืนข้ายืนนิ่ง
เย็นยิ่งลมเยือนคืนเดือนหงาย
เหน็บหนาวน้ำค้างระคางกาย
ผ่อนคลายลำเค็ญแห่งข้านัก
กาเอ๋ยกาดำฟังคำข้า
หากไม่มีกากินกล้าฝัก
คงไม่มีข้าให้กาทัก
ก็จักสิ้นไร้หุ่นไล่กา
คนแค้นเคืองกานั้นข้ารู้
เขาสู้มัดฟางมาสร้างข้า
แล้วทอดทิ้งร้างไว้กลางนา
กลางฟ้าวิเวกกับเมฆเทา
มองฟ้าตาเปียกคนเรียกบ้า
มองฟ้าตาเปียกข้าเรียกเหงา
สัมพันธภาพระหว่างเรา
แยกเจ้าแยกข้าชั่วฟ้าดิน
จากแล้งจวบลุ่มจนชุ่มเนื้อ
สาปเสื้อตัวนี้ยังมีกลิ่น
ลมไล้ใบกล้วยจนรวยริน
โบกบินเถิดนกวิหคน้อย
สู่แสงสุรีย์ดวงสีชาด
หากพลาดหล่นสรวงจนร่วงผล็อย
สู่รังแสนรักที่จักคอย
หิ่งห้อยจักวาวดั่งดาวเดือน
มาจิกเกาะเย้ยเหมือนเคยเยาะ
ก็เพราะข้าเห็นเจ้าเป็นเพื่อน
ก่อนเศษเส้นฟางจะลางเลือน
ปลิวเกลื่อนกระจายกลางสายลม
๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
8 พฤศจิกายน 2552 16:22 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
รถชะลอล้อหมุนเป็นฝุ่นฝอย
ขึ้นลงดอยกันดารมานานนัก
สายโซ่คล้องของผู้แรกรู้จัก
ค่อยทอถักทักทายจรดปลายคัน
กลายเป็น พี่ น้อง ป้า น้า สหาย
เริงระบายอักษร กาพย์ กลอน ฉันท์
แม้มิได้พบพักตร์แต่รักกัน
จนผูกพัน ..พลัดพรากและจากลา
บางถนนหม่นคล้ำมิตรกำสรด
จำจากรถร่อนเร่อย่างเหว่ว้า
มีทั้งผู้ไปลับและกลับมา
ฤๅเสาะหาเสรีกวีวรรณ
สหายเก่าไปพักสำนักไหน
สหายใหม่เสริมทัพมาขับฝัน
หากร้อยกรองลำนำคือน้ำมัน
จะช่วยกันขับเคลื่อนนะเพื่อนเกลอ
ผู้โดยสารต้นหนและคนขับ
รอต้อนรับทุกผู้อยู่เสมอ
มีที่ว่างกลางลำเท่าอำเภอ
พร้อมให้เธอร่ายรำคำกวี
หากวันหนึ่งถึงเพื่อนจะเลือนหาย
มิได้หมายขาดกันแต่วันนี้
วัฏจักรเวลาและวารี
เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้านั้นเข้าใจ
๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒