14 สิงหาคม 2550 21:31 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
พะงันงามคลื่นดังทุกฝั่งอ่าว
ค่ำคืนดาวสาดส่องทั่วท้องฟ้า
ยอดมะพร้าวกราวไหวลมไกวพา
ทาบเงาทายอดยังบังแสงดาว
รู้บ้างไหมไกลบ้านมานานนัก
ไม่รู้สักกี่ฝนจะพ้นหนาว
วันที่ยังรุ่งเรืองร้อยเรื่องราว
มาบอกกล่าวเล่าให้เธอได้ฟัง
ว่าเม็ดเหงื่อที่ไหลนองใบหน้า
ความเหนื่อยล้าไม่ทำให้ถอยหลัง
ตราบที่แรงยังดีมีกำลัง
เพื่อความหวังฝั่งโน้นโพ้นทะเล
ทวนถ้อยคำเพื่อบอกแก่ดอกไม้
อย่าร้องไห้แม้ว่าจะว้าเหว่
คนไกลบ้านบนฝั่งมองตังเก
ทุกโพล้เพล้ยิ่งเหงาเข้าหัวใจ
30 กรกฎาคม 2550 01:14 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.แล้วผูกเปลเชือกป่านกับคานขื่อ
ด้วยสองมือสองไม้อันผ่ายผอม
มือที่ปัดริ้นไต่แหละไรตอม
ซักผ้าอ้อมมือเซียวมือเดียวกัน
นอนเถิดหนาอย่าซนนะคนเก่ง
แม่จะขับเพลงร้องเพื่อเรียกขวัญ
รอลูกตื่นก่อนฟ้าจะสายัณห์
นมจากถันยังรอให้ลูกกิน
๒.โอละเห่..สกุณาแห่งป่าเปลี่ยว
เจ้าบินเที่ยวชมโลกแหละโตรกหิน
ตะวันสีเลือดนกจวนตกดิน
นกขมิ้นพเนจรแต่อ่อนวัย
ในพฤกษ์ผืนคืนนี้มิมีขอน
นกขมิ้นเหลืองอ่อนจะนอนไหน
หรือจะหลบแรงลมใต้ร่มไทร
อำพรางใจเปล่าเปลี่ยวใต้เคียวเดือน
๓.ยามราตรียินหริ่งสิยิ่งเหงา
พรุ่งนี้เช้าคงไปอย่างไร้เพื่อน
แต่คืนนี้ดวงตาอันล้าเลือน
กระตุกเตือน..พักก่อนผู้อ่อนแรง
พอดึกดื่นดวงดาวบนหาวโพ้น
ถูกเมฆโทนเทาทับจนอับแสง
แหละลมฝนพายุฤดูแล้ง
พัดกิ่งแห้งหักยับลงกับตา
๔.พลัน!..อสุนีบาตก็ฟาดเปรี้ยง
โลกมิได้ยินเสียงไร้เดียงสา
จวบฝนสร่าง..ตะวันรุ่งทิวา
อนิจจานกขมิ้น..เจ้าสิ้นใจ..
๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
22 กรกฎาคม 2550 12:44 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.เพลงกระพรวนจากคอของโคเฒ่า
เกวียนเล่มเก่าล้อกงยังคงหมุน
ชายชราบนเกวียนเปิดประทุน
สูบยาฉุนอ่อนอ่อนอย่างผ่อนคลาย
ล้อเกวียนหมุนอ้อเอียดละเลียดช้า
เคยแล่นฝ่าหลุมขวากมาหลากหลาย
แลผิวน้ำแผ่พริ้วเป็นริ้วพราย
เพียงต้องสายลมเช้าอันเบาบาง
เกวียนโยกเยก..เนื้อเอ็นเต้นระริก
โยกกระติกน้ำแข็งจนแกว่งคว้าง
ละลายน้ำตาลสดจนรสจาง
บรรทุกฟางเหลืองแก่จนแปล้เกวียน
๒.พลันรถยนต์คันใหญ่ก็ไล่หลัง
บีบแตรดังตบมือกระหือเหี้ยน
อย่าชักช้าเป็นเต่าซิเฒ่าเพี้ยน
โลกมันเปลี่ยนเร็วไปหรือไงลุง..!
แล้วเหยียบคันเร่งแซงสุดแรงเท้า
ทิ้งเขม่าฝุ่นมืดเป็นหมอกฟุ้ง
ตาเฒ่าปัดมือไกวดังไล่ยุง
เกรงฝุ่นคลุ้งเขม่าจะเข้าตา
ผ่านเรื่องราวใหญ่น้อยเป็นร้อยเรื่อง
ฟางสีเหลืองยังนิ่งอหิงสา
เพราะมิเคยวิตกเสียงนกกา
การพูดจาต่อคำไม่จำเป็น
๓.สองข้างทางบ้างพร่องเป็นร่องลึก
แกรู้สึกด้วยใจมิใช่เห็น
เพราะรู้ทุกรอยขวากอันยากเย็น
จึงรั้งเส้นสนตะพายหลบได้พ้น
และแล้วภาพแปลกตาก็ปรากฏ
ภาพของรถพลัดลงหล่มถนน
แหละหนุ่มนั่นดูคล้ายละอายตน
นั่งคอยคนช่วยเหลืออยู่ริมทาง
๔.แกร้องยอยอยอ!..จนโคหยุด
ว่า..ดินทรุดบางที่ก็มีบ้าง
ดินแถวนี้มันอ่อนไปค่อนบาง
เดี๋ยวส่งฟางเสร็จฉันจะช่วยดึง
จะรออยู่ก็ได้หรือไปด้วย
เลยดงกล้วยโน่นไปก็ใกล้ถึง
เพราะน้ำเสียงจริงใจไม่บึ้งตึง
หนุ่มนั้นจึงกล้าขึ้นไปนั่งเคียง
๕.ลุงไม่ขุ่นเคืองหรือกับคำเยาะ ?
แกหัวเราะคำโตมิโต้เถียง
โลกของลุงรู้รอรู้พอเพียง
อยู่กับเสียงนกน้อยเป็นร้อยพัน
โลกเธอคงคร่ำเคร่งและเร่งรีบ
อาจถูกบีบจนแกว่งจากแข่งขัน
จนลืมรสสัมผัสแสงตะวัน
และลืมความอัศจรรย์ของใบไม้
เธออาจฝันสวยงามในยามหลับ
เหมือนเหมือนกับผู้คนที่จนไร้
เหมือนคนที่เธอทะยานขับผ่านไป
เพียงทางใครเดินทางย่อมต่างกัน
ถ้าเธอดูรอยร่องทั้งสองฟาก
ใช่เกิดจากล้อเพลาเธอเท่านั้น
มีรอยล้อดาษดื่นเป็นหมื่นพัน
และรอยเท้านักฝันหลายพันรอย
พวกเขาเคยเดินผ่านมานานนัก
หลายคนแพ้กับดักก็จักผล็อย
หลายคนทนแรงดึงก็ถึงดอย
เธอหมายสอยสิ่งใดก็ใจเธอ
๖.กระติกน้ำที่ถือในมือเฒ่า
ที่หนุ่มเย้าหยอกคำว่าป้ำเป๋อ
น้ำแข็งคงสลายดั่งใจเกลอ
ที่พล่อยเผลอสบประมาทปรามาสไว้
ชายหนุ่มรับมาชิมได้ลิ้มหวาน
รสน้ำตาลยังเหลือแม้เจือใส
หนุ่มผู้หลงในโลกศิวิไลซ์
จึงรู้ใจตนเยาว์กว่าเขานัก
แล้วทอดตามองดอยในแดดเช้า
บอกโพ้นเขาว่าลูกยังขลุกขลัก
แต่การได้หยุดจ้ำฟังคำทัก
กลับได้พักพินิจจริตตน
๗.เธอคงหมายมุ่งสู่ยังภูใหญ่
มีดอกไม้แปลกตากว่าป่าฝน
ทั้งหลากหลายพันธุ์นกและวกวน
มีหลายคนตะลอนมานอนค้าง
เป็นจุดหมายที่ผมได้วางแผน
ให้รางวัลตอบแทนตัวเองบ้าง
คนเราต่างกันที่วิถีทาง
จึงเสาะหาบางอย่างที่ต่างกัน
๘.ชายชรายิ้มละไมสูบใบจาก
มองรอยลากล้อเกวียนอันเปลี่ยนผัน
บางรอยหายโดยไร้รูปพรรณ
ซึ่งรอยนั้นมิใช่จะไม่มี
สองมือเขาเข้มคล้ำและดำด้าน
ทำแต่งานจนหมองผมสองสี
มีความสุขอย่างพ่อผู้พอดี
เป็นช่วงที่วิเศษเสมอมา
เธอวางแผนไปสู่สุดภูเขา
หรือตั้งเป้าไปสูงจนสุดฟ้า
เป็นเป้าหมายที่ไม่ธรรมดา
เป็นคุณค่ากำนัลให้วันวัย
ต่อให้เธอตั้งเป้าสูงเท่าฟ้า
จะต่างคนธรรมดาก็หาไม่
เพราะเป้าหมายของเธอหรือใครใคร
คือ..ความสุข...ใช่ไหมถามใจดู
๙.ชายหนุ่มนิ่งครู่หนึ่งแล้วจึงรับ
น้อมคำนับขอบคุณคนรุ่นปู่
สายลมพัดใบพร้าวมากราวกรู
ต้อนรับผู้มาเยือนจากแดนไกล
เพลงกระพรวนแผ่วพรายจากชายทุ่ง
ดังกริ๊งกรุ๊งตามโคที่เคลื่อนไหว
ถ้าใครผ่านทางแยกคงแปลกใจ
เพราะดอกไม้ต่างสีได้คลี่บาน
๒๑ กันยายน ๒๕๕๕
16 กรกฎาคม 2550 21:32 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
แม่หมดแรงเป็นลมล้มถลา
ถาด ตะกร้า คานไม้กระจายเกลื่อน
พยายามลืมตาอย่างพร่าเลือน
ขนมเปื้อนฝุ่นปนวุ้นหล่นดิน
ทุนสุดท้ายสลายไปพร้อมใจแม่
คงเหลือแค่ชีวีกับหนี้สิน
น้ำตาเอ่อเผลอไปจึงไหลริน
ข้าวจะกินพรุ่งนี้ไม่มีพอ
นั่งคิดถึงลูกสาวคราวเหนื่อยอ่อน
เคยกอดนอนปลอบใจตอนไร้พ่อ
ช่วยงานแม่ทุกทีไม่รีรอ
ไม่เคยท้อขายของกันสองคน
วันที่ลูกหนีไปกับชายหนุ่ม
แม่ตาชุ่มร้องไห้เหมือนสายฝน
ขอให้ลูกมีสุขอย่าทุกข์จน
แม่จะทนได้แค่ไหนยังไม่รู้
12 กรกฎาคม 2550 07:40 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
ฝนตั้งเค้าครึ้มวันเข้าพรรษา
น้ำเนืองนองในนาในหน้าฝน
ทางเดินข้างคันคูร้างผู้คน
ยางยืนต้นท้าลมระดมซัด
ลูกยางเคว้งคว้างควงร่วงละลิ่ว
ปลิดปลายปลิวปูพรมเพราะลมจัด
พอตกต้องละอองฉ่ำเมื่อน้ำพัด
จะแย้มยอดยืนหยัดเป็นต้นยาง
พลันฝนพรูพร่างผ่านใบมะพร้าว
ก่อนกรูกราวสาดซ่าในนากว้าง
พรรณพืชมืดมัวมิดทุกทิศทาง
คล้ายรอคอยแสงสว่างเพียงอย่างเดียว
จนแสงส่องฝนซาจากนาข้าว
ฝอยฝนขาวฝากฝนโคนข้าวเขียว
พราวสะพรั่งระลอกลมล้อรวงเรียว
คอยคันเคียวเกี่ยวก่อนจะรอนโรย