21 มกราคม 2554 22:11 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.เลือดเลพ่อยังเข้มและเต็มสูบ
ควันจากธูปลอยคว้างแล้วจางหาย
คล้องผ้าแพรปิดทองเปลวประกาย
พ่อถวายบูชาแม่ย่านาง
เรือตังเกสีเทาเก่ากระเทาะ
คราบเพรียงเกาะจากหัวไปจรดหาง
เมื่อนาวาถึงบทปลดระวาง
การเดินทางฤๅหยุดสิ้นสุดลง
เคยท่องเลทารุณแต่รุ่นปู่
จอดฤดูวางไข่กับไต้ก๋ง
เลือดชาวเลเค็มคาวทั้งด้าวดง
ชาวประมงทุกผู้ย่อมรู้ดี
ฟังสิฟังทะเลซิเห่หวน
เพลงเรืออวนดังคลอดั่งซอสี
เสียงคำรามเครื่องยนต์คือดนตรี
คือวิถีชาวเรือเช่นเมื่อวาน
พ่อซ่อมเรือคร่ำคร่ากว่าอายุ
ต้องปะผุยกตั้งบนนั่งร้าน
เปลี่ยนเครื่องยนต์ สายไฟ ไม้กระดาน
เปลี่ยนสายพาน ใบพัด กำจัดเพรียง
แล้วเสริมน็อตใส่เพื่อว่าเรือวิ่ง
แหวนสปริงใส่เผื่อว่าเรือเหวี่ยง
เหล็กตัวไอใส่เผื่อว่าเรือเอียง
ลดความเสี่ยงเรือปู่ทุกลู่ทาง....
๒.ควันยาเส้นลอยเลื่อนดูเคลื่อนไหว
พ่อสูบยามวนใหญ่นั่งไขว้ห้าง
มองชีพเรือคืนกลับจากอับปาง
แม่ย่านางยามนี้คงดีใจ
จากท่ามกลางความคิดที่ขัดแย้ง
จะดื้อแพ่งซ่อมหรือจะซื้อใหม่
ด้วยเรือปู่เก่ากร่อนจนเกินไป
หาอะไหล่ก็ยากจะยืดเยื้อ
พ่อไม่เคยตอบคำแต่ค่ำหนึ่ง
พ่อพูดถึงเรื่องราวของดาวเหนือ
ดาวที่ปู่ให้ดูถ้าเดินเรือ
หรือหากเมื่อหลงทิศหรือผิดทาง
ดาวที่ทวดสอนปู่ให้ดูทิศ
จนชีวิตเข้มแข็งแกร่งกระด้าง
จนแม่นรู้สิ่งสรรพราวจับวาง
นำทุกอย่างที่เห็นมาเป็นครู
ปู่เขียนปูมเรือเหล็กไว้หลายเล่ม
ข้นและเข้มอบอุ่นบุ๋นและบู๊
แม้ไต้ฝุ่นถล่มจมฤดู
ฉีกเรือปู่เป็นซากเป็นเศษไม้
แทนการเลิกอำลาโยนผ้าหมอบ
ปู่ประกอบเรือกล้าขึ้นมาใหม่
เรือลำนี้เคยตายเคยหายใจ
จึงยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าคำว่าเรือ
เป็นตำนาน เป็นศักดิ์ศรี เป็นชีวิต
ปู่ลิขิตทั้งหมดจากหยดเหงื่อ
สอนพ่อแต่คลานคืบให้สืบเชื้อ
ทุกเลือดเนื้อขัดเกลาจากเฒ่าเล.
๓.ข้าพเจ้าลืมตาสะดุ้งตื่น
เรือถูกคลื่นโครมซัดจนปัดเป๋
แต่นาวาฝ่าคลื่นเป็นพื้นเพ
หัวยังเหสู่อ่าวท่ามดาวโจร
ตามหาเรือหลังซ่อมที่สูญหาย
ขโมยขายต่อไปจนไกลโพ้น
ไฟความแค้นปะทุจนคุโชน
เป็นเพลิงโพลนพร้อมเผาให้เพลาแค้น
เสียแรงแจ้งทางการไม่ขานรับ
จึงถูกพับเรื่องไว้ใส่ไม้แขวน
สบสายตาก็รู้ว่าดูแคลน
ต้องวางแผนตามเรือด้วยตัวเรา
พ่อรักเรือลำนี้เท่าชีวิต
ได้แง่คิดจากปู่เท่าภูเขา
ตราบยาเส้นยังมีควันสีเทา
ปู่จะเฝ้าคอยมองเราสองคน
โน่นเสียงเรือเสียงเครื่องไฟเหลืองเรื่อ
คงจากเรือของปู่ที่ถูกปล้น
ข้าพเจ้าคุ้นคุ้นเสียงเครื่องยนต์
ปืนทุกคนกระชับเตรียมสับไก
พ่อยิงขู่คำรามขึ้นสามนัด
เราเป็นโจรสลัดแล้วใช่ไหม
ตอบคำข้าเถิดดาวจากอ่าวไทย
หรือจะให้ถามฟ้าอันดามัน.
๔.เรายึดเรือคืนได้โดยไร้เหงื่อ
แต่ลูกเรือเขาเปลี้ยและเสียขวัญ
ทั้งต่างด้าวชาวไทยไม่ต่างกัน
เขาไม่ทันรู้เห็นความเป็นมา
มีคนโดดน้ำหนีที่ด้านหลัง
เขาคงหวังไปตายเอาดาบหน้า
ในความมืดคืนนั้นไร้จันทรา
ส่องไฟหาอย่างไรก็ไม่พบ
เขายังอยู่หรือตายหรือว่ายน้ำ
หรือจมดำดิ่งเร้นไม่เห็นศพ
คงเห็นเราเป็นสลัดที่บัดซบ
จึงเสี่ยงจบชีวิต..อนิจจา
พ่อส่งคนทุกคนขึ้นบนฝั่ง
คืนความหวังลูกเรือผู้โรยล้า
คืนทุกบาทที่ได้จากขายปลา
พ่อบอกว่าปล่อยเขาอย่าเอาความ..
๕.พ่อคีบมวนบุหรี่เคาะขี้เถ้า
ผูกเรือเก่าลำโตเอาโซ่ล่าม
โซ่ครูดพื้นครืนคล้ายคลื่นคำราม
กับคำถามอีกคำที่สำคัญ
ถ้าเมื่อคืนไม่ง่ายเหมือนใจคิด
ถ้าเขาแลกชีวิตและคิดสั้น
ถ้าเราเลือกตาต่อตาฟันต่อฟัน
ย่อมถลันสู่ขั้วอันชั่วร้าย
ที่อาจไม่มีวันได้หันกลับ
อาจถูกจับลงโทษตามกฏหมาย
อาจถูกยิงตกน้ำสู่ความตาย
จมลงสายน้ำชืดอันมืดมิด
พ่อฟังคำข้าพเจ้าผู้เยาว์กว่า
ทอดดวงตาสีถ่านดำสนิท
สองดวงตาอบอุ่นดูครุ่นคิด
มองอาทิตย์ลับทุ่นทะเลลง
แล้วว่า..การรู้คิดวินิจฉัย
ปู่เคยใช้สิ่งนี้เพื่อชี้บ่ง
ถึงความเป็นผู้นำเพื่อกำธง
เพื่อพร้อมเป็นไต้ก๋งคนต่อไป
ต้องพิสูจน์หัวใจกับไหวพริบ
ยิ่งคมกริบยิ่งนิ่งย่อมยิ่งใหญ่
จะเผชิญวิกฤตชนิดใด
ตัดสินใจฉับพลันได้ทันที
เมื่อเจ้าใหญ่เยี่ยงปู่จะรู้ว่า
เจตนาใช่หักกับศักดิ์ศรี
หากเจ้าเจตนาจะปราณี
ย่อมจะมีทางออกมาบอกทาง..
๖.ลมทะเลจากอ่าวกลิ่นคาวหมึก
ยังหอมลึกราวเปื้อนทั้งเรือนร่าง
อยู่ในคาวเลือดคล้ายไม่เคยจาง
เป็นตรายางประทับนานนับปี
พ่อเด็ดเดี่ยวเชี่ยวกรากมาจากไหน
ใครสอนให้ฉกรรจ์จนวันนี้
พ่อไม่ตอบแต่ตามองราตรี
มองไปที่เรือปู่ในอู่เรือ.
๙ มกราคม ๒๕๕๔
21 มกราคม 2554 22:08 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.ท้องทะเลในคืนที่คลื่นร้าง
ดูเวิ้งว้างไร้กรอบและขอบฟ้า
ผู้เหน็ดเหนื่อยมาจากอวนลากปลา
นั่งสูบยาผ่อนคลายอยู่ท้ายเรือ
เขามองดาวระยิบระยับโลก
อยากจะโบกบินหนีเหมือนผีเสื้อ
อยากจะหอบความฝันอันสั่นเครือ
ไปเติมเชื้อความหวังที่ฝั่งฟ้า
กระพือข้ามเกาะแก่งด้วยแรงปีก
บินไปอีก..ไปอีก หากปีกกล้า
หากความสุขมอดดับจะกลับมา
ปรารถนาจากหนึ่งผู้ดึงอวน
เพราะดวงตากล้าคม..นั้นล่มล้า
เพราะฝันจ้าดุจจันทร์..นั้นปั่นป่วน
เพราะความฝันกว่าครึ่งถูกตรึงตรวน
อีกครึ่งส่วนตกแตกแต่แรกบาน
เมื่อถูกโลกขยี้ป่นด้วยส้นเท้า
แต่พระเจ้า..พระองค์ไม่สงสาร
ที่มีเลือดมีเนื้อเพราะเหงื่องาน
เพื่อไขลานวงล้อผู้รอคอย
๒.เปรี้ยง! เสียงปืนคำรามขึ้นสามนัด
เรือสลัดจอดจ่อถึงคอหอย
กลางอ่าวไทยไกลโพ้นดาวโจรลอย
กระสุนถ่อยเปล่งเปลวประกายไฟ
สติเขายังอยู่คว้าชูชีพ
สองตีนถีบสู่คลื่นกระเพื่อมไหว
หวังว่าเพื่อนคงรอดและปลอดภัย
ขออย่าให้เขารอดอยู่รายเดียว
๓.ลมบกลมทะเลยังเพพัด
เลสงัดก็อาจจะกราดเกรี้ยว
บางวันคลื่นครืนเกร็งเขม็งเกลียว
และเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างก็บางวัน
ฟังสิเลฮัมเพลงเป็นเพลิงเผา
สลับเสียงพระเจ้าที่เย้าหยัน
หรือทรงปรารถนาวิสามัญ
ผู้ที่หันหลังให้ไม่ขอพร
หลังคนแกร่งจึงไหม้จากไฟแดด
พระเจ้าแผดเสียงใส่เป็นไฟร้อน
เผาให้เลือดในอกตกตะกอน
เพื่อวิงวอนฟากฟ้าให้ปราณี
๔.ช่างนานนับหลับอยู่คาชูชีพ
แต่ละงีบตาโหยก็โรยหรี่
กี่วันแล้วที่เห็นรุ่งสุรีย์
กี่ราตรีที่เห็นแต่เพ็ญดาว
จะคลี่ปีกบินหนีหรือผีเสื้อ
จะบินเพื่อไปสู่ฤดูหนาว
ดูดอกไม้ดื่นดอยเป็นพลอยพราว
ดูเกล็ดขาวน้ำค้างบนบางใบ
แต่ปีกล้าแรงคลื่นนั้นชื้นช้ำ
จะลอยลำชีวิตไปทิศไหน
นั่น..หมู่บ้านชาวประมงกับธงไทย
เสียงหัวใจเต้นดังจะพังครืน
ไปเถิดหากที่หมายคือชายฝั่ง
หากกำลังไม่แพ้กระแสคลื่น
หากเห็นฝั่งหมู่บ้านแต่วานซืน
แรงจะฝืนเข้าฝั่งคงยังพอ
เพราะบัดนี้แดดจ้าเหมือนฟ้าดับ
แรงขยับกล้ามเนื้อไม่เหลือหลอ
พระเจ้าได้โอกาสก็ปาดคอ
เอาเถิดหนอกระหน่ำให้หนำใจ
แต่ฝากบอกที่บ้านให้ท่านรู้
ว่าลูกผู้โง่เขลาไม่เอาไหน
เขาพลัดหลงระหว่างเดินทางไกล
และยังไปไม่ถึงแม้ครึ่งทาง
ฟ้าดูเหงาดาวดับเดือนอับฟ้า
ภาวนาให้มีแสงสว่าง
ผีเสื้อหล่นลมฉีกสองปีกบาง
จมไม่ห่างชุมชนที่คนชุม
.
๔.หนังสือพิมพ์ครึ่งปกขายอกขาว
ดาราสาวตาคมและนมตุ้ม
ข่าวที่คนไม่อ่านอยู่ด้านมุม
เช่นชายหนุ่มนิรนามจมน้ำตาย
๒๑ มกราคม ๒๕๕๔
17 กันยายน 2553 22:13 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
ดวงตะวันกำลังจะตกดิน
คนต่างถิ่นแบกเป้ดูแปลกหน้า
หมุนข้อมือมองเข็มนาฬิกา
ตึกระฟ้าตะวันตกกระจกวาว
จตุรัสค่ำคล้ำดูดำขลับ
สีตัดกับสีขนพิราบขาว
ที่กระพือปีกกางขึ้นบางคราว
ก็ดูราวปีกบางของนางฟ้า
ถั่วในมืออิดโรยเขาโปรยหว่าน
ลงบนลานกระเบื้องที่เบื้องหน้า
นกพิราบหิวโซก็โผมา
ร่อนถลาระริกเข้าจิกกิน
วณิพกบรรเลงบทเพลงเหงา
เรื่องชายเฒ่าจรจัดผู้พลัดถิ่น
ในเมืองที่ตะวันไม่ตกดิน
ด้วยเพลงพิณแปลบปร่าและปวดร้าว
ว่าเธอยังอยู่ในมโนภาพ
หากพิราบเหินไปสุดปลายหาว
บอกเธอผู้อยู่สรวง ณ ดวงดาว
ฉันคอยข่าวของเธอเสมอมา
เขาฟังเพลงวณิพกผู้อกไห้
เราหาได้ผิดแผกแค่แปลกหน้า
เกิดต่างกันต่างที่ต่างเวลา
แต่ชะตาบางครั้งก็คล้ายกัน
เธอคงคอยข้ายังอีกฝั่งฟ้า
ยิ่งข่มตายิ่งหลับยิ่งกลับฝัน
เห็นภาพเธอทรุดร่างลงกลางควัน
ถูกลงทัณฑ์จากปลายกระบอกปืน
เธอรับเคราะห์แทนคนที่เธอรัก
บนซากปรักโสมมและขมขื่น
ข้าสาบานกับพระเจ้าจะเอาคืน
จะเลือกยืนหยัดอย่างอหังการ์
แต่งเพลงเพื่อข้าเถิดสหายเฒ่า
บอกคนเขาให้ทราบเรื่องหยาบช้า
เงินก้อนนี้ข้าได้จากขายยา
สำหรับค่าจ้างท่านสร้างงานเพลง
เขาหยิบวัตถุปลาบดำวาบวับ
ตาจ้องจับนาฬิกาตาเขม็ง
ตึกระฟ้าด้านหลังดูวังเวง
เหลือรถเก๋งพ่อเลี้ยงอยู่เพียงคัน
วณิพกบรรเลงบทเพลงใหม่
ซ่อนความนัยเปรียบเปรยแหละเย้ยหยัน
มีความสุขความเศร้าคละเคล้ากัน
และบีบคั้นอารมณ์จากคมพิณ
พิณเร่งรัวกรีดเสียงขึ้นสูงสุด
ร่างบุรุษตระหง่านบนลานหิน
เมื่อเป้าหมายมาที่รถสีนิล
เสียงเคบินมัจจุราชก็สาดดัง
พิณชะลอเสียงรัวชั่วขณะ
เปลี่ยนจังหวะเนิบช้าเป็นบ้าคลั่ง
บอดี้การ์ดกราดปืนเป็นหมื่นปัง
ผู้สมหวังที่สุดก็ทรุดครืน
พร้อมสิ้นเสียงบรรเลงบทเพลงบาป
นกพิราบขยับขึ้นนับหมื่น
ในท่ามกลางควันกรุ่นกระสุนปืน
ในค่ำคืนที่ตะวันไม่ตกดิน
๑๗ กันยายน ๒๕๕๓
9 กันยายน 2553 20:20 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.มากับรถขนแกลบที่แหนบผุ
เดาอายุอย่างน้อยก็ร้อยกว่า
ก็ขับบ้างเข็นบ้างระหว่างมา
แต่บนบ่าบรรทุกความสุขใจ
เป็นความสุขที่เหมือนจะเลือนหล่น
นานเสียจนไม่รู้ว่าอยู่ไหน
อาจสูญลับกับฝันในวันวัย
หรือมอดไหม้ได้กลิ่นจนชินชา.......
๒.รถหวานเย็นคันน้อยค่อยค่อยจอด
ข้าวทอดยอดรับตะวันกลางพรรษา
ผู้จากบ้านนานนับเพิ่งกลับมา
กลิ่นดอกหญ้ารกรื้นช่างชื่นใจ
กระเป๋าผ้าผูกสายสะพายหลัง
แบกความหวังสีทองเต็มสองไหล่
มีเสื้อผ้า ตราบาปและคราบไคล
ที่เผาไหม้ไม่หมดให้จดจำ
เพิ่งรู้ว่าพื้นดินมีกลิ่นหอม
และโอบอ้อมรอคอยผู้ต้อยต่ำ
มีต้นกล้าความรักให้ปักดำ
มีขนำพังพับให้นับดาว
ได้กราบเท้าพ่อแม่บนแคร่เถียง
เห็นตะเกียงดวงน้อยมีรอยร้าว
เห็นความตื้นตันคลอสองตาพราว
แทนคำกล่าวทั้งหมดที่แม่มี
ถ้าแม่ไม่สอนไว้ในวันนั้น
คงกัดฟันไม่ถึงในวันนี้
น้องคงไม่ได้ต่อถึง ป.ตรี
คงจะปล่อยแต่ละปีให้ผ่านไป
พ่อดูผอมหน้าเสี้ยมผิวเกรียมกร้าน
คงกรำงานเข้มคล้ำเพราะกำไถ
รอยสักยันต์ในวันฉกรรจ์วัย
ยังเคลื่อนไหวโลดเต้นบนเอ็นเนื้อ....
๓.แดดผีตากผ้าอ้อมเข้าย้อมโลก
ต้นอโศกต้องแดดสีแสดเรื่อ
น้ำในคลองสีทรายน่าพายเรือ
ปลาฮุบเหยื่อไหวไหวอยู่ในน้ำ
จนแดดลำสุดท้ายจากปลายฟ้า
สกุณาคืนคบเมื่อพลบค่ำ
แม่หุงข้าวแกงส้มกับต้มยำ
ลูกยังจำทุกหยดของรสแกง
คืนนี้ดาวกะพริบฟ้าลิบโล่ง
จันทร์รูปโค้งเคียวเล่าก็เว้าแหว่ง
รูหลังคาสังกะสีสนิมแดง
เห็นดาวแสงระยับอยู่นับล้าน....
๔.รุ่งฟ้าใสไก่ขันตะวันเหลือง
กองกระเบื้องหลังคาอยู่หน้าบ้าน
ร่วมลงแขกน้ำใจพอไหว้วาน
ที่มิพานพบได้จากในเมือง
จนเหงื่อเหม็นกลิ่นเปรี้ยวหน้าเหนียวหนับ
ตะวันลับหลังคามุงกระเบื้อง
มีความสุขในวันที่ฟันเฟือง
หมุนต่อเนื่องเต็มข้อได้ต่อไป
เห็นพ่อแม่ยิ้มได้คงคลายทุกข์
ลูกกลับสุขกว่าท่านกว่าวันไหน
แต่ไม่เคยเผยออกไปบอกใคร
แค่เก็บไว้เวลาล้ากำลัง....
๕.บนขนำค่ำนี้ไม่มีเมฆ
ใครหนอเสกแสงงาม..ดาวความหวัง
จนดาวอื่นทั้งหมดถูกบดบัง
ด้วยแสงปลั่งกว่าจันทร์รูปคันเคียว
อีกไม่ช้าฟ้าค่ำจะย่ำรุ่ง
จะกลับกรุงเผชิญโชคบนโลกเบี้ยว
ชีวิตบนเส้นด้ายสุดดายเดียว
มีความเหงาเปล่าเปลี่ยวคอยเหนี่ยวไก
จะฝันถึงความรักบนตักแม่
เมื่อท้อแท้ได้กลับมาหลับไหล
ตักนุ่มนุ่มแม่กอดลูกปลอดภัย
มือที่ไล้ลูบผมช่างร่มเย็น...........
๙ กันยายน ๒๕๕๓
28 สิงหาคม 2553 22:22 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.ม้าไม้นั้นยายนั่ง
แกเอนหลังอ่านหนังสือ
นางฟ้าผู้ตาปรือ
มาแอบนั่งฟังเรื่องราว
ยายจึงปิดปกหน้า
เหลือบสายตามองหลานสาว
สาวน้อยชื่อ พลอยดาว
มาหนุนตักเพราะรักยาย
ขอฟังนิทานกล่อม
นางผมหอม, จอมวายร้าย
อื่นอื่นอีกมากมาย
ที่ยายเล่าก่อนเข้านอน
ตักยายนิ่มกว่านุ่น
และอบอุ่นกว่าหนุนหมอน
ปวดหัวและตัวร้อน
ยายจะพัดขจัดภัย
ยายคอยลูบปอยผม
ที่พริ้วลมดุจพรมไหม
ตาพริ้มยิ้มละไม
ตั้งสติฟังนิทาน
๒.เริ่มเรื่อง ณ เมือง หนึ่ง
ที่สวยซึ้งและไพศาล
แม่มดผู้สามานย์
ได้แอบเฝ้ารักเจ้าชาย
เจ้าชายสุริยัน
มาถึงวันได้หมั้นหมาย
เจ้าหญิงดาราราย
ผู้เลอโฉมดั่งโคมจันทร์
งานเลี้ยงกลางเมืองหลวง
อาทิตย์ดวงดังดับขันธ์
เมฆบังดวงตะวัน
นางแม่มดปรากฏกาย
คำรามด้วยความแค้น
สาปคนแสนให้สูญหาย
เหลือนางกับเจ้าชาย
และสุดาผู้ลาวัลย์
๓.แม่มดสบถถ้อย
เจ้าหญิงน้อยเนื้อสมัน
เจ้าชายสุริยัน
เป็นของข้าดาราราย
สิ้นเสียงจึงสาปซ้ำ
เป็นมนต์ดำเข้าทำร้าย
เจ้าหญิงกอดเจ้าชาย
อิงอกอ้อมตายพร้อมกัน
นางร้ายก็กรีดร้อง
น่าขนพองสยองขวัญ
เห็นชัดอัศจรรย์
คำสาปซ้ำไร้น้ำยา
๔.แรงรักอันศักดิ์สิทธิ์
แรงกว่าอิทธิฤทธิ์กล้า
แม่มดก็โกรธา
หน้าแดงเลือดอย่างเดือดดาล
เจ้าชายสุริยัน
ด้วยเชิงชั้นชาติทหาร
จะพ่ายหรือวายปราณ
จะป้องนุชจนสุดใจ
มารเอ่ยอย่างเย้ยหยัน
จะรักกันถึงวันไหน
เอาซิ..พิสูจน์ไป
ชั่วกัปกัลป์นิรันดร์กาล
โอม..ผีและปีศาจ
ขออำนาจพญามาร
ฤทธาแห่งซาตาน
ประสิทธิ์ผลเสกมนตรา
เจ้าชายจงกลายร่าง
เป็นแสงสางสุริยา
เจ้าหญิงผู้โสภา
เป็นหญ้าน้อยผู้ด้อยแรง
รอคอยดวงตะวัน
อย่างโศกศัลย์มาปันแสง
น้ำตาราคาแพง
เป็นน้ำค้างอยู่กลางไพร
หากหญ้ายังกล้าแกร่ง
ที่แห้งแล้ง ณ แหล่งไหน
เหน็บหนาวยังพราวใบ
ถ้าอุทัยยังทาบทอ
ข้าจะศิโรราบ
ถอนคำสาปทุกทุกข้อ
ถ้าเจ้านั้นเฉากอ
จะเป็นหญ้าชั่วฟ้าดิน
เจ้าจะรู้ใจเจ้า
หนักแน่นเท่าภูเขาหิน
หรือสูงกว่ากาบิน
หรือรวยรินแค่กลิ่นจาง
๕.เริ่มจากทะเลทราย
หลังฝนพรายลงพรูพร่าง
ต้นหญ้าผู้บอบบาง
ก็เผยร่างขึ้นกลางทราย
ฝนแล้งหญ้าแห้งผาก
ถ้าฝนหลากหญ้าขยาย
จะตื่นจากความตาย
รับตะวันนิรันดร
แม่มดใช่หมดท่า
จึงกล่าวว่า.. จงช้าก่อน
รอดตายจากทรายร้อน
ใช่หมายข้าจะปราณี
เสกทรายให้หายแล้ง
ยุคน้ำแข็งเข้าแทนที่
ทั่วพื้นปฐพี
จึงเย็นเยือกถึงเปลือกฟ้า
อุณหภูมิที่ผิวเนิน
ติดลบเกินศูนย์องศา
แสนสัตว์สูญชีวา
แม้หญ้ายอดก็วอดวาย
๖.กระทั่งสุรีย์ส่อง
สาดแสงทองทอประกาย
ตื่นเถิดดาราราย
อย่ายอมแพ้แก่นางมาร
เสียงสั่งนั้นดั่งปร่า
เธอเหนื่อยล้าจากพร่าผลาญ
ขอหลับชั่วกัปกาล
ใต้แผ่นพื้นน้ำแข็งพราว
สุสานธารน้ำแข็ง
ลมพัดแรงและเหน็บหนาว
ฤดูกาลนานยาว
ไร้ดวงแดดเดือนตะวัน
สิ้นพายุน้ำแข็ง
ก็เริ่มแสงแห่งคิมหันต์
หญ้าหยัดขึ้นกัดฟัน
โผล่ยอดยืนจากพื้นเย็น
๗. มารร้ายไม่คลายแค้น
พ่ายกับแผนช่างแสนเข็ญ
หลอมโลกละลายเป็น
ทะเลวนอันเวิ้งว้าง
หญ้าล่มลงจมเร้น
มองไม่เห็นแสงสว่าง
มืดดับเหมือนอับปาง
ผู้หลงทางคงวางวาย
คลื่นเคลื่อนสะเทือนลั่น
น่าอกสั่นน่าขวัญหาย
แต่หญ้าดาราราย
กลับรอดตายเพราะกลายพันธุ์
อยู่แหล่งพอแสงสาด
ธรรมชาติจึงคัดสรร
เห็นเดือนดวงตะวัน
ท่ามกลางป่าปลาการ์ตูน
๘.นางร้ายร่ายคำสาป
ให้เลราพณาสูร
โผล่หินแผ่นดินพูน
แลเศษซากปะการัง
พอพ้นจากมนต์มืด
ก็พราวพืชน้ำจืดขัง
หญ้าจมในตมปรัง
ชูต้นพริ้วพ้นผิวน้ำ
นางร้ายยังไม่ท้อ
เห็นต้นฝ่อหญ้ากอช้ำ
ใบบางกระด่างดำ
เพราะกรำกร้านมานานปี
ด้วยเดชแห่งเวทย์มนต์
บันดาลดลด้วยฤทธี
คืนพื้นปฐพี
เฉกเช่นตอนแต่ก่อนมา
แดดเช้าจึงเข้าห่ม
ระลอกลมระงมหญ้า
แม่มดเสกศิลา
เป็นแผ่นกว้างทับกลางดิน
หญ้าเขียวขจีแสน
ถูกทับแบนด้วยแผ่นหิน
ชีพม้วยระรวยริน
แล้วลุกลามสู่ความตาย
ไม่สิ้นข้อพิสูจน์
แม่มดพูดครั้งสุดท้าย
จะรับความอับอาย
ถ้าพ่ายพลั้งอีกครั้งเดียว
ไม่เชื่อว่าเวลา
จะอัปราแก่หญ้าเขียว
รักมั่นดังขันเกลียว
ยังหันเหเพราะเวลา
๙.ร้อยปีก็ผ่านพ้น
มีไม้ต้นขึ้นเต็มป่า
หินทับพสุธา
ยังทับหญ้าอยู่อย่างนั้น
ใจร้างของนางมาร
คิดว่ากาลที่ผ่านผัน
ขยี้ชีพชีวัน
ดับชีวาดาราราย
จึงจับศิลาง้าง
ตะแคงข้างแล้ววางหงาย
ดินราบระนาบทราย
ก็ปรากฏแก่สายตา
หญ้าย่อมถูกย่อยยุ่ย
เป็นเศษปุ๋ยแก่พฤกษา
มารร้ายค่อยคลายล้า
แล้วเพ้อพร่ำว่ากำชัย
๑๐.ดินปิดเมื่อถูกเปิด
ย่อมกำเนิดชีวิตใหม่
สัมผัสแสงอุทัย
กับความชื้นในพื้นดิน
ยอดหญ้าศิลาทับ
ก็คืนกลับจากดับดิ้น
เนื่องแน่นแสนชีวิน
แย้มยอดเขียวกันเกรียวกราว
กำชัยไฉนชวด
ยิ่งเจ็บปวดยิ่งรวดร้าว
ล้างผลาญมานานยาว
สุดท้ายข้าก็ปราชัย
นางนึกถึงพฤกษา
ที่ใบหนาและต้นใหญ่
โคนร่มและรำไร
ไร้ยอดหญ้าแม้หย่อมเดียว
หญ้าต้นไม่ต้องแสง
จึงเหลืองแล้งและแห้งเหี่ยว
ซบกายลงทรายเซียว
แค่ม่อยหลับใช่ดับลง
ถ้าโค่นต้นไม้ใหญ่
หญ้าย่อมได้อานิสงส์
แสงทอดไปทั่วพง
เรียกหญ้าตื่นเป็นหมื่นตอ
๑๑.การแพ้ทำแม่มด
เศร้าสลดรันทดท้อ
อวิชาอันบ้าบอ
เป็นกรรมกั้นกำบังตา
หล่นร่วงลงห้วงทุกข์
แต่ผู้สุขคือต้นหญ้า
พ้นทุกข์เวทนา
เพราะถือกฎความอดทน
ยิ่งแค้นยิ่งแสนบาป
ถอนคำสาปในบัดดล
ฝันร้ายได้คลายมนต์
สองกษัตริย์อุบัติกาย
ขอโทษองค์ราชันย์
ขอรับทัณฑ์ในวันพ่าย
เจ้าหญิงและเจ้าชาย
ต่างยกโทษไม่โกรธเคือง
๑๒.สาวน้อยหรือพลอยดาว
ฟังเรื่องราวจนจบเรื่อง
ทั้งสองคงครองเมือง
อยู่ร่วมกันนิรันดร
พลอยดาวกล่าวตอนท้าย
ว่าจบคล้ายเรื่องก่อนก่อน
ตาหน่วงเพราะง่วงนอน
แล้วผล็อยหลับไปนับดาว
ยายจูบลูบผมหลาน
หลับนานนานนะหลานสาว
ใช่เรื่องทุกเรื่องราว
ฉากสุดท้ายจะคล้ายกัน
๑๓.เมืองเกิดโรคระบาด
โรคประหลาดน่าหวาดหวั่น
ชาวแคว้นนับแสนพัน
ถูกไข้เข่นตายเป็นเบือ
เจ้าหญิงและเจ้าชาย
ก็ล้มตายลงไม่เหลือ
ฝากลูกคือเลือดเนื้อ
กับมารแก่ผู้กลับใจ
หนูน้อยนั้นน่ารัก
น่าฟูมฟักเอาใจใส่
ตาเศร้าและเยาว์วัย
ชื่อหนูน้อยคือ..พลอยดาว..
๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๓