1 มีนาคม 2553 09:17 น.

อีกฝน

ฤทธิ์ ศรีดวง

๑.ตกมาเถิดฟ้าฝนวันหม่นมืด
ดูซิพืชใหญ่น้อยละห้อยหา
รอเพียงพระพิรุณกรุณา
หลั่งน้ำตาแวววับ ป ร ะ ดั บ  ด  า  ว..
........................................................


๒.และแล้วฝนแรกก็ลงเม็ด
ไก่เป็ดวิ่งเกรียวกันเจี๊ยวจ๊าว
กระรอกเจ๊าะแจ๊ะจะแทะจาว
เจาะพร้าวเป็นโพรงจนโตงเตง

เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโพล่งจากโพรงผุ
พายุกราดเกล็ดแต่เม็ดเป้ง
หลังคาสังกะสีก็คีย์เพลง
เปาะแปะโป๋งเป๋งกันเครงครื้น

ลมพัดเพิงพังหลังคาพับ
เผลอหลับผึ่งพุงสะดุ้งตื่น
อึ่งอ่างครางคำอย่างกล้ำกลืน
ขมขื่นคล้ายอย่างเสียงครางควาย

เป็นคืนเป็นค่ำแห่งน้ำฝน
น้ำล้นราวดั่งจะพังฝาย
กัดเซาะซัดฝั่งพังทลาย
ขุ่นคล้ายโคลนขังลูกรังคล้ำ

จนซาเม็ดหมาดฝนขาดเม็ด
แซ่เสียงอึงเอ็ดนกเป็ดน้ำ
ว่ายโผโผล่มุดแล้วผุดดำ
น่าจับไปทำเป็ดน้ำแดง

ย่อมบอกเวลาว่าฟ้ารุ่ง
เรียวรุ้งรอฉายประกายแสง
ดินชื้นชื่นผักและฟักแฟง
เรียกแรงพรรณพืชผู้มืดมน

ขอบฝั่งขังฝนสีข้นคลั่ก
ดอกรักสีม่วงสิร่วงหล่น
ใบไม้ใบน้อยที่ลอยวน
อับจนทางไปหรือไรกัน

สุรีย์ดวงเก่ากับเช้าใหม่
นาฬิกาไพรคือไก่ขัน
ยินดีต้อนรับดวงตะวัน
สู่ขวัญอกพ่อผู้พอเพียง

โน่นครัวบ้านนั้นขึ้นควันขาว
โขกพริกหุงข้าวกับสับเขียง
หอมกลิ่นพะแนงกับแกงเลียง
กลางแสงตะเกียงน้ำมันก๊าด..
.............................................


๓.ลำคลองคุ้งขุ่นโคลนแสงโชนฉาย
เสียงพระพายเรือบดบิณฑบาต
ทุกจ้ำจ้วงหลวงตาเจ้าอาวาส
ตามรอยศาสดาภิกขาจาร

ข้าวสุกใส่ในขันกลิ่นควันกรุ่น
แกงเลียงอุ่น..ฝอยทองคือของหวาน
เรือเทียบท่าตายายถวายทาน
บนสะพานไม้เก่าเช่นเช้านั้น

แมลงปอวางไข่ ใบไผ่ร่วง
ต้นมะม่วง ลมลูบก็วูบหวั่น
เสียงระหัดกังวานเมื่อวานวัน
ก็เงียบงันเสียงรัวลงชั่วคราว

กระยางย่ำกอจากจ่อปากจิ้ม
ก๊วนปลากริมหนีกรูเข้ารูพร้าว
ที่กระรอกเจาะกลวงจนร่วงกราว
เรือหางยาวแล่นลั่นสนั่นบาง

หอมมะลิดอกรักที่ถักร้อย
มาลัยน้อยวางเหนือหัวเรือหาง
เขาแล่นแรงแข่งกัน..พอควันจาง
แม่ย่านางกุมอก..เธอตกใจ!

ต้นมะพร้าวที่ปลูกจากลูกพร้าว
ยอดทางยาวอีกครึ่งก็ถึงไหล่
หลังฟ้ารั่วหัวอกแห่งนกไพร
ก็โผไปสู่แสงสุดแรงบิน.
........................................


๔.คือเรื่องราวผ่านมาในจารึก
ที่บันทึกทำนองแห่งท้องถิ่น
ยังโลดเล่นเต้นไหวยังได้ยิน
อยู่ในจินตนาการนานนิรันดร์

คือเวทย์มนต์ฝนแรกอันแตกตื่น
คือค่ำคืนพฤติกรรมที่ขำขัน
วันนี้ข้าคืนดงอย่างงงงัน
บ้านจัดสรรโผล่ผุดจนสุดตา

แผ่นดินล่มสมบัติถูกตัดขาย
บนน้ำตาหลั่งรายของยายย่า
ทางคอนกรีตทับทางระหว่างนา
ไร้หลังคาสังกะสีเคยคีย์เพลง

คลองรกแล้งแห้งน้ำและคล้ำเน่า
แลว่างเปล่าลิบโล่งจนโหวงเหวง
ฤๅเรือหางผุพังจึงวังเวง
ฤๅนักเลงเรือจอดเพราะถอดใจ

ข้าหยุดยืนมองโคนลำต้นพร้าว
ครั้งหนึ่งยาวแค่ครึ่งไม่ถึงไหล่
วันนี้สูงสุดเท่ากับเสาไฟ
การเติบใหญ่..เปลี่ยนปรับ..และอับปาง 

มืดเมฆฝนหม่นดำมาคล้ำเขียว
เพียงครู่เดียวสายฝนก็หล่นพร่าง
เหมือนมาเตือนมารับการกลับบาง
ผู้เคว้งคว้างวงเวียนการเปลี่ยนแปลง

ข้ายังอ่านบันทึกจนสึกกร่อน
ตัวละครตัวเดิมไม่เติมแต่ง
ไม่มีผู้กำกับการแสดง
แต่พร้อมแบ่งปันสุขเช่นทุกครั้ง

มองโลกที่ติดปีกกับอีกฝน
บางเหตุผลไม่อาจจะคาดหวัง
อย่าคาดหมายสิ่งที่ไม่จีรัง
แม้กระทั่งศรัทธา..ของข้าเอง.

๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓				
16 กุมภาพันธ์ 2553 05:07 น.

ยังหวัง

ฤทธิ์ ศรีดวง

๑.กองเพลิงลุกโพลนไฟโชนแสง
ถ่านแดงธุลีเถ้าสีขาว
หนังสือเล่มเขื่องเล่าเรื่องราว
เรื่องดาวพวยพุ่งจากโพ้นฟ้า
  หากได้แปดเศษดาวศักดิ์สิทธิ์
จะได้ดังจิตปรารถนา
คนที่ลาลับจะกลับมา
เป็นเรื่องปรำปราที่ว่าไว้
  เป็นเรื่องที่เขาเคยเฝ้าอ่าน
นิทานก่อนนอนอันอ่อนไหว
วันเขาไม่กลับจากทัพไทย
วันที่หัวใจเธออ้างว้าง
  คืนนี้ฝนหนาวลงกราวเกล็ด
สาดเม็ดเป็นฝ้านอกหน้าต่าง
แสงจันทร์กลางเดือนดูเลือนลาง
นวลนางยืนเดี่ยวอย่างเดียวดาย
  ทะเลเหว่ว้าเวลาค่ำ
หยาดน้ำตาหยดเปียกจดหมาย
ส่งข่าวคนรักอาจจักตาย
สูญหายพลัดหลงในสงคราม
  เธอมองม่านฝนที่หม่นมิด
ชีวิตครอบงำด้วยคำถาม
มากมายเท่าทุกข์ที่คุกคาม
ในท่ามความมืดอันชืดชิน
  กองไฟไอฟืนไอชื้นจับ
ไฟดับควันคงยังส่งกลิ่น
ผีเสื้อโผผกแล้วตกดิน
คราวิญญาณแตกลงแหลกลาญ.



  ๒. เธอจึงอ้อนวอนจันทร์กระนั้นหรือ
กอดหนังสือเล่มเก่าที่เขาอ่าน
ตราบฝนตกต้องตามฤดูกาล
อธิษฐานต่อดาวทุกคราวคืน
 
ยังเขียนรูปดอกไม้บนชายหาด
แม้รูปอาจสลายด้วยพรายคลื่น
ยังสุมใส่ไฟอุ่นด้วยดุ้นฟืน
ฟังสะอื้นสายฝนอยู่คนเดียว
 
ลูบละอองไอฝ้าที่หน้าต่าง
อาจจะล้างใจร้าวผู้เปล่าเปลี่ยว
โลกที่ไร้ยิ้มจากริมปากเรียว
ย่อมบิดเบี้ยวไร้ค่าและทารุณ
 
สงครามจบหรือยังอีกฝั่งโลก
กี่เลือดโชกจะทั่วหัวกระสุน
กี่ร่วงเป็นใบไม้เมื่อพ่ายพรุน
ทดแทนคุณแผ่นดินจนสิ้นใจ.
.............................................

ท้องฟ้าคราวเช้าครามสีครามคล้ำ
กับเสียงพร่ำไพเราะละเมาะไม้
คือเสียงนกการเวกวิเวกไพร
แหละยังอวลควันไอจากไฟฟืน
 
มือกอบทรายฉ่ำน้ำทุกสัมผัส
พอลมพัด..มือคลายจากทรายชื้น
เม็ดทรายร่วงร่องนิ้วแล้วลิ่วคืน
ก่อนเกลียวคลื่นแรกสาดถึงหาดทราย
 
ทรายค่อยไหลเรื่อยเรื่อยอย่างเฉื่อยช้า
พลัน!..สายตาสะดุดสิ่งสุดท้าย
เหลือก้อนเกล็ดเศษดาวอันพราวพราย
ซึ่งคลับคล้ายเรื่องขำในตำนาน.

ช่วงชีวิตยากยิ่งหลังพิงเชือก
เหลือทางเลือกคือคว้าปาฏิหาริย์
ฉุดใจล้มจมปรักจากดักดาน
อาจเรียกขานให้ชัดว่าศรัทธา

เป็นดั่งดวงดาวประกายพฤกษ์
ที่ผนึกใจแหว่งจนแกร่งกล้า
หากคุณเห็นเพียงพรายประกายตา
จะรู้ว่ามุ่งมั่นเป็นฉันใด.
................................................

 ตะลอนร่อนร้อนร้าวและหนาวนัก
จะพบสักเศษแร่ยากแค่ไหน
กว่าจะเก็บเจ็ดแก้วเจียรไน
วันแห่งวัยอายุก็ลุเลย

อีกเพียงหนึ่งอำพันจะครันครบ
แต่จะพบที่ไหนเล่าใจเอ๋ย
เพราะชราช้าย่างใช่อย่างเคย
จะลงเอยอย่างไรเล่าวัยนี้

ตาสองข้างมองใครก็ไม่ชัด
ค่อยค่อยถัดผอมกะหร่องผมสองสี
เลยจะรั้งสังขารปีผ่านปี
ตราบยังมีความหวังจะยังบิน

หวังพรอันใหญ่ยิ่งหรือมิ่งขวัญ
พลอยสำคัญอาจซ่อนหลังก้อนหิน
เจ้าหญิงเอ๋ยเลยร่วงลงดวงดิน
ก็กลั้วกลิ่นคำสาปอันหยาบช้า.
.............................................

เช้าวันใหม่ไขลานด้วยม่านหมอก
ในหลืบซอกใครเยือนต้องเบือนหน้า
มีตะคุ่มเงานิ่งหญิงชรา
นั่งหลับตาล้าง่วงและร่วงโรย

เคยหยุดยืนให้เห็นเป็นระยะ
คุ้ยขยะหาหินกลางกลิ่นโหย
ไม่ก่นด่าฟ้าโหดเฝ้าโอดโอย
ยอมรับโดยดุษฎีว่า..ชีวิต

อย่าคาดหวังสังเกตถามเหตุผล
เธออาจดูคล้ายคนวิกลจริต
แต่เก็บงำความงามแห่งความคิด
ซึ่งศักดิ์สิทธิ์เกินให้ผู้ใดรู้

เมื่อสายฝนหล่นไหล..คนไร้บ้าน
สั่นสะท้านนอนขดน่าหดหู่
พอลมหนาวพราวพัดสะบัดพรู
อีกฤดูทรมาณเพิ่งผ่านไป.

แต่อากาศจะเย็นถึงเอ็นเท้า
จะทนเท่าสังขารจะทานไหว
อาจพบแก้วสุดท้ายก่อนวายวัย
เพื่อดวงใจผู้รอได้ขอพร

จะสมหวังทุกอย่างหรือว่างเปล่า
ยอมคุกเข่าเพราะหวังลางสังหรณ์
หากไม้เท้ายังนำทุกย่ำจร
จะตะลอน..ต่อไป และ..ต่อไป
............................................

  
ระเบียงชาหน้าหนาวนั้นเช้าช้า
หญิงชราอิดโรยผู้โหยไห้
นั่งดูชาหอมกรุ่นอวลอุ่นไอ
เธอยากไร้เกินกว่าเข้ามาชิม
............................................

๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓				
16 กุมภาพันธ์ 2553 05:04 น.

ยังไหว

ฤทธิ์ ศรีดวง

๑.คงไม่ต้องขี่หลังข้ายังไหว
ยังยิ้มได้เพื่อนเอ๋ยอย่างเคยยิ้ม
ไปเถิดไปหาซื้อหนังสือพิมพ์
นั่งอ่านริมสนามในยามเย็น

เสาไฟฟ้าเปิดไฟเมื่อใกล้ค่ำ
ดาวประจำเมืองไฉนมองไม่เห็น
หรือถูกลบกลบเกลื่อนจากเดือนเพ็ญ
อาจจะเป็นเช่นนั้นนิรันดร์กาล

ดูแดดโลมโลกมนุษย์แสงสุดท้าย
เถิดสหายแห่งข้าผู้กล้าหาญ
ฟังเรไรแหละหริ่งรัตติกาล
ใช่กังวานเสียงปืนเช่นคืนนั้น

คืนที่มัจจุราชสาดกระสุน
คืนที่วุ่นหวีดเสียงอย่างเสียขวัญ
คืนที่หลายร่างเหลวกลางเปลวควัน
ภาพไม่อันตรธานดั่งวานนี้

เสียงระเบิดระยำ..ข้าจำได้
แปลบเปลวไฟร้อนเร่าเหมือนเผาผี
บดสองขาข้าหักกลางอัคคี
แหลกปนเถ้าธุลีเป็นเศษเนื้อ

อยากขอบคุณมากมายสหายข้า
ที่วิ่งฝ่าลำห้วยเข้าช่วยเหลือ
ท่ามกลางซากศพเหม็นตายเป็นเบือ
เขาพลีเพื่อผืนด้าวแผ่นดินรัก

ตัวของเพื่อนเปื้อนเลือดแหละเผือดซีด
มีปลายมีดปักบ่าคาสะบัก
เพื่อนโอบข้าวิ่งอุ้มเข้าหลุมพัก
เข้าซุกใต้ซากปรักของป้อมปืน

เศษขาข้าทั้งสองก็ร่องแร่ง
รอยเลือดแดงไหลโทรมชโลมพื้น
คงเป็นฝันน่ากลัวแค่ชั่วคืน
พอเช้าตื่นฝันร้ายคงหายไป

แต่รอยยิ้มของเพื่อนนั้นเจื่อนนัก
เรานั้นจักรอดตายกันใช่ไหม
ก็ปึงปังบังเกิดระเบิดไฟ
เสียงปืนใหญ่ถล่มระดมยิง

ภาพที่ก่อนดวงตาข้าล้าหลับ
ภาพเพื่อนพับล้มแผ่ลงแน่นิ่ง
แต่มือกำภาพถ่ายไม่ไหวติง
รูปเจ้าหญิงของเพื่อนผู้เลือนลาง.
................................................

คืนนี้พราวเดือนเพ็ญฟ้าเย็นนัก
สหายรักเบื้องหน้ายังฟ้ากว้าง
สมรภูมิเพลิงเผาเขม่าพราง
ช่างแตกต่างกับฟ้าเวลานี้

เหรียญกล้าหาญเกรอะเก่าด้วยเถ้าธูป
วางใกล้รูปที่ดูยับยู่ยี่
ที่สหายใส่พานไว้นานปี
ยังเลอะสีเลือดกรังแต่ครั้งนั้น

ภาพที่เพื่อนเคยเล่า..คือเจ้าหญิง
คือทุกสิ่งสวยงามเหมือนความฝัน
คือทุกสิ่งที่พร้อมหลอมรวมกัน
คือแรงบันดาลใจในชีวิต

แต่สหายไม่กลับไปรับขวัญ
ปล่อยให้เธอจาบัลย์สำคัญผิด
อยู่ในโลกเย็นชืดและมืดมิด
แหละร้างทิศไร้ทางจะย่างเท้า
.............................................


 เพื่อนรู้เถิดว่าข้าก็ล้าลึก
เสี้ยวรู้สึกอ้างว้างและว่างเปล่า
ให้เธอเลือกย้อนมองวันของเรา
จำวันเก่าก่อนพลันอันตรธาน

เพลิงเผาข้าป่นปี้เป็นปีศาจ
ถึงสูญเสียแขนขาดก็อาจหาญ
แต่สูญเสียสติและพิการ
จะกลับบ้านอย่างไรเล่าใจรู้

ให้ข่าวข้าสูญหายหรือตายลับ
การไม่กลับบางบทอาจหดหู่
แต่วันหนึ่งเธอกล้าเปิดตาดู
จะเลือกอยู่เพื่อย่างเหมือนอย่างเคย

โลกของข้าผุพังรอฝังศพ
สงครามจบลงแล้วทแกล้วเอ๋ย
แหละป่วยการถามทวงวันล่วงเลย
สู้ยิ้มเย้ยชะตาให้สาใจ

จึงมิหลงเหลือฝันถึงวันหน้า
เลยเวลาปะผุอายุขัย
เพียงเลี้ยงตัวให้รอดและปลอดภัย
ยากแค่ไหนกว่าวานจะผ่านวัน

ตอนข้าเห็นความตาย..สหายเฒ่า
พรุ่งนี้เช้าคือคำแค่ขำขัน
พิโรธเพลิงแดงโร่จากโลกันตร์
ขบเคี้ยวฟันราวพญาแห่งซาตาน

อาจประสงค์พระเจ้าให้เรารอด
สู่อ้อมกอดแผ่นดินหอมกลิ่นหวาน
ได้เห็นท้องฟ้าใสดอกไม้บาน
ปฏิญาณให้ดินทั้งสิ้นรู้

หากข้าศึกฮึกเหิมและโหมกล้า
อย่าหมายว่าหัวใจข้าไม่สู้    
ด้วยเลือดแดงพรูผุดจนหยุดพรู
หวังแผ่นดินรักกูอย่างกูรัก
..............................................


๒.ดึกดื่นคืนหนาวหลากดาวหาง
พุ่งร่างร่วงสู่กลางหมู่สัก
แร่น้อยรอยร้าวนั้นวาวนัก
รอยหยักแร่เย็นกว่าเพ็ญพราว

๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓				
10 ธันวาคม 2552 17:52 น.

บิน

ฤทธิ์ ศรีดวง

จึงจำใจจับปีกบินอีกหน
เพื่อฝ่าฝนไปยังอีกฝั่งฝัน
มีเสบียงเลี้ยงกายได้หลายวัน
วางเดิมพันครั้งนี้ด้วยชีวิต

ข้ามมหาสมุทรครั้งสุดท้าย
เดียวดายอ้างว้างทุกทางทิศ
ขาดแคลนน้ำจืดและมืดมิด
หวั่นปลิดชีพคว้างลงกลางชล

ลมเห่เลโล่งสุดโค้งฟ้า
ทายท้าปีกแกร่งกับแผงขน
นกน้อยกบฏผู้อดทน
ยากใครสักคนจะเข้าใจ

จากรุ่งจวบแลงคอแห้งผาก
ถึงฟากฝั่งฝันจะวันไหน
ฟากฝั่งทั้งรู้ว่าอยู่ไกล
ปีกไหล่อิดโรยยังโบยบิน

ฝั่งโน้นคือฝันอันบรรเจิด
ไปเถิดหนอสัตว์ผู้พลัดถิ่น
ไปหาพืชพงและดงดิน
สูดกลิ่นกรุ่นหอมพยอมไม้

จวนสูรย์สูญแสงฟ้าแดงกล่ำ
ใกล้ค่ำฟ้าเรืองแลเหลืองใส
คลื่นขรมลมขับหนาวจับใจ
แลไฟลอยเรืออยู่เรื่อเรือง

ทะเลข้างหน้าซิข้าหวั่น
พรึงพรั่นอุกาฟ้าเหลือง
หากพายุโหดโกรธเคือง
เปล่าเปลืองแรงเจ้าจะเปล่าดาย

กลับมิวิตกแก่นกกล้า
วันหน้าไม่อาจจะคาดหมาย
ถ้าชะงักงันรอวันตาย
จักอายถ้ารู้ในหมู่นก

เมื่อกล้าก็ขืนไม่คืนกลับ
ขยับปีกแกร่งด้วยแผงอก
เห็นฝั่งรำไรแมกไม้รก
ถึงบกคงฟ้าอุษาจาง

ฉับพลัน!..ฟ้าโกรธและลมกราด
กัมปนาทแผดเสียงเปรี้ยงปร้าง
นกน้อยงุนงงหลงทาง
ปลิวกลางพายุราวธุลี

เรือล่มลมฉีกเป็นซีกชิ้น
กลืนกินอวนปลากลาสี
ขย้ำส่ำสัตว์เป็นบัตรพลี
แหลกในราตรีอันเลวร้าย
.........................................

แล้วแดดเช้าวาววับก็กลับหวน
ปูเสฉวนโผล่ปุ๊ปแล้วผลุบหาย
มีซากเรือเกลื่อนกลาดบนหาดทราย
กับซากนกนอนตายที่ชายเล.

๑ ธันวาคม ๒๕๕๒				
6 ธันวาคม 2552 22:15 น.

เขื่อน

ฤทธิ์ ศรีดวง

ไปรับลมชมเขื่อนกันเพื่อนรัก
ฉันมีจักรยานที่อานนุ่ม
ให้เธอซ้อนท้ายเบาะมือเกาะมุม
แล้วเลี้ยวดุมล้อพ้นผ่านต้นยาง

พอข้ามโค้งลงเดินสู่เนินเขา
ทั่วรองเท้าชุ่มฉ่ำด้วยน้ำค้าง
เธอเหน็ดเหนื่อยนั่งหอบดูบอบบาง
หรือว่าทางขึ้นเนินนั้นเกินไกล

มาพักฟังนกน้อยผู้อ้อยอิ่ง
ดูต้อยติ่งดอกดวงสีม่วงใส
ฝักต้อยติ่งตอนเรายังเยาว์วัย
เธอเด็ดใส่มือน้อยไปลอยน้ำ

ฝักแตกเมื่อน้ำแตะดังแป๊ะเป๊าะ
ฉันหัวเราะชอบจังเธอนั่งขำ
วันนี้โขดหินเขรอะตะไคร่ดำ
ไม่เหลือลำธารเย็นยะเยือกตา

ในวัยเยาว์เราแข่งกันขึ้นเขื่อน
โลกดูเหมือนอบอุ่นและหมุนช้า
จนต่างเราร่อนเร่กลางเวลา
เพื่อไขว่คว้าความฝันอันเลื่อนลอย

ซึ่งไม่เคยมีจุดที่สุดสิ้น
ยังคงดิ้นแม้เอือมการเอื้อมสอย
กว่าจะรู้คุณค่าคำว่าคอย
ก็เสื่อมถอยไปถึงเกินครึ่งทาง

โลกหมุนเร็วหรือเพื่อนอาจเหมือนใช่
เคยวิ่งไล่คว้าโชคบนโลกกว้าง
เคยลิงโลดโดดน้ำในลำราง
วันนี้ย่างขึ้นเนินก็เกินล้า

โลกมิได้หมุนเร็วขึ้นหรอกเพื่อน
แม้แต่เขื่อนอันเขื่องที่เบื้องหน้า
ยังเหมือนเดิมเพื่อนเอ๋ยอย่างเคยมา
เราต่างหากชราและช้าลง..

๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฤทธิ์ ศรีดวง