2 พฤษภาคม 2550 22:08 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
ภาพเก่าเก่างดงามเล่าความหลัง
ทุกทุกครั้งที่ดูเธอรู้ไหม
ยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจ
ความสดใสรอยยิ้มที่อิ่มตา
รูปของเธอปลูกต้นไม้แต่สายสาง
รูปน้ำค้างกลมใสบนใบหญ้า
รูปที่เธอถือจานอาหารปลา
ยังงดงามมีค่าทุกนาที
ดูซิดอกสีสวยของกล้วยไม้
ออกดอกใหม่ช่อหลากดูมากสี
ที่ลงแรงลงกายมาหลายปี
จนบ้านนี้รื่นรมย์ด้วยร่มเงา
มาหนุนตักพักเห่บนเปลหญ้า
ปล่อยเวลาวางเฉยจากเคยเหงา
โชคชะตาอุปสรรคทั้งหนักเบา
ล้วนแต่เราเคยข้ามทุกลำเค็ญ
เธอไม่เคยฟูมฟายเมื่อพ่ายแพ้
ความอ่อนแอซ่อนไว้ไม่ให้เห็น
เธอจะยิ้มแย้มเผยอย่างเคยเป็น
แม้ต้องเร้นรอยร้าวทุกคราวครั้ง
เมื่อแว่วยินใบไม้ไหวระลอก
กระซิบบอกบ้างถามถึงความหลัง
ฉันจะตอบทุกสิ่งอย่างจริงจัง
ไม่ผิดหวังที่ให้หัวใจเธอ
๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒
29 เมษายน 2550 15:50 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
แล้วซุกกาย หลับตา ใต้ผ้าห่ม
แต่ไม่อาจ ป้องคม ของลมหนาว
สะดุ้งตื่น ลืมตา มองฟ้าพราว
หลบแสงดาว สาดส่อง ร่องหลังคา
เช็ดน้ำใส เจิ่งนอง ทั้งสองแก้ม
ในคืนแรม ร้อยดาว ประดับฟ้า
ยังคงนั่ง นับวัน นับเวลา
ให้ลูกมา หาแม่ แม้สักครั้ง
มือซีดเซียว เหี่ยวชรา ตามอายุ
เหมือนดังเรือ ผุผุ ที่ใกล้ฝั่ง
ที่โดดเดี่ยว ลอยลำ ตามลำพัง
ที่เรี่ยวแรง กำลัง เริ่มโรยรา
นาฬิกา เรือนเก่า ที่เสาบ้าน
ใกล้หมดลาน ฟันเฟือง เริ่มเชื่องช้า
ใบไม้ร่วง ใบลง ตลอดมา
ใกล้เวลา ใบสุดท้าย จะวายแล้ว
28 เมษายน 2550 20:07 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.ผ่านมาหลายสิบปีแล้วพี่น้อง
ชเวดากองเจดีย์ถูกฟ้าผ่า
แผ่นทองคำจารึกหล่นลงมา
เป็นเรื่องของผู้กล้าแห่งชาติไทย
๒.มหาเทพจึงมุ่งจากกรุงศรีฯ
หลังถูกตีพ่ายแพ้เกินแก้ไข
รวมทหารดาบคู่ที่รู้ใจ
แล้วฝ่าไปมุ่งออกนอกประตู
ตีพม่าที่รุมเข้าล้อมจับ
จนตายยับราบคาบด้วยดาบคู่
หนึ่งทหารกำจัดสิบศัตรู
กลิ่นเลือดผู้รุกด้าวจึงคาวดิน
ยิ่งถาโถมทะลุทะลวงด่าน
ผู้รุกรานยิ่งยับยิ่งดับดิ้น
คราสองดาบคมจัดตวัดบิน
ก็ดื่มกินเลือดปร่าแห่งรามัญ
มือที่จับศาสตราอย่างสามารถ
เคยตักบาตรหวานคาวทั้งข้าวฉัน
บัดนี้ต้องปราบถ่อยเป็นร้อยพัน
คนหยิบมือจะยันได้ฉันใด
เหงื่อรินอาบดาบชุ่มชโลมเลือด
จะแห้งเหือดสักคราก็หาไม่
พอล้าโรยแรงแล้วทแกล้วไทย
ก็พลาดให้ตีกลับจนอับจน
มิอาจต้านทานทัพคนนับหมื่น
ธนูปืนซัดมาเป็นห่าฝน
ยังยืนหยัดจนหมดแรงอดทน
แต่ละคนร่วงไปเหมือนใบไม้
เหลือเพียงมหาเทพทหารแกร่ง
แหวกกำแพงวงล้อมออกมาได้
รีบมุ่งหน้ากลับบ้านแห่งวานวัย
ที่อาศัยเกิดมาจนหย่านม
เห็นเรือนชานบ้านไหม้เพราะไฟเผา
วันที่เขามายืนอย่างขื่นขม
วันที่เขาถูกผลักลงปลักตรม
แหละจะจมรามัญผู้จัณฑาล
มาเถิด..พม่าชะตาดับ
จะชั่วกัปถึงกัลปาวสานต์
กูจะป้องอโยธยา..ขอสาบาน
ต่อหน้าดวงวิญญาณวีรชน
๓.ควันไฟไหววับพยับแดด
เสียงแผดพม่าโกลาหล
เมื่อไพร่ไพรีและรี้พล
ตามจนจวนติดประชิดตัว
มหาเทพยืนพิงกำแพงวัด
จะยืนหยัดสู้ตายถวายหัว
ขอพระผู้พิสุทธิ์ดุจดอกบัว
โปรดเป็นรั้วป้องกันอันตราย
สามคืนวันผ่าน ณ ลานร้าง
ก็ถมร่างนับร้อยไพรีร้าย
ทุกขยับคมดาบอันปลาบปลาย
เรียกความตายพม่าทุกคราฟัน
ศพขุนทัพนายกองก็กองเกลื่อน
ข่าวสะเทือน..หนึ่งชื่อก็ลือลั่น
ดั่งไฟลามทุ่งทองสู่สองกรรณ
ของราชันย์นักรบ..บุเรงนอง
๔.บุเรงนองหยุดม้าที่หน้าวัด
เงียบสงัดไร้นกจะผกร้อง
ศพพม่ามากมายนอนก่ายกอง
เกิดจากสองคมดาบกำราบฤๅ
เหลือทหารสองนายยังกายสั่น
เขาหวาดกลัวใครที่ไหนหรือ
บุรุษนั่นหรือเปล่าที่เล่าลือ
ดาบสองมือสองแขนยังแน่นกำ
ดาบข้างหนึ่งปลายชี้ไปที่ฟ้า
ราวบอกว่าข้าน้อยผู้ต้อยต่ำ
ทำหน้าที่ครบถ้วนอย่างควรทำ
เหมือนดั่งคำวาจาที่สาบาน
อีกหนึ่งดาบปลายชี้ไปที่พื้น
ราวบอกคืนร่างกายนายทหาร
กลับสู่พื้นแผ่นดินเมื่อสิ้นปราณ
ตลอดกาลใต้พระธรณี
ดาบยังยันร่างไว้มิให้ล้ม
สองตาคมยังจ้องสุรีย์สี
ราวอาลัยในพื้นปฐพี
หวังกรุงศรีฯหลุดพ้นจากโพยภัย
พลธนูเล็งง้างที่ร่างนั้น
หวังรางวัลหากยิงผู้ยิ่งใหญ่
บุเรงนองฟันควับอย่างฉับไว
หัวคนไพร่หล่นพื้นพสุธา
ฟังคำกูให้ดีพวกขี้ขลาด
ใครบังอาจทำร้ายร่างชายกล้า
หัวมึงจะถูกบั่นในทันตา
กูจะจารึกเขาในเจดีย์
กูจะเผาร่างเขาราวขุนศึก
กูยังนึกหวาดหวั่นท่านผู้นี้
หากมีแค่ร้อยคนในธานี
คงไม่มีวันกูจะกำชัย.
กลอนเก่า ๒๘ เมษายน ๒๕๕๐
เกลาใหม่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๔
28 เมษายน 2550 08:28 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
เจ้าหลงทางกลางเถื่อนหรือเพื่อนข้า
หรือศรัทธาแห้งขอดจนมอดไหม้
เคยเร่งรุกบุกกระหน่ำเพื่อกำชัย
กลับถอดใจทิ้งร่างลงกลางดิน
หรือถนัดผลัดวันประกันพรุ่ง
จนความมุ่งมั่นลดลงหมดสิ้น
เป็นเหยื่อให้วันคืนมากลืนกิน
เมื่อหยุดบินอย่าหวังข้ามฝั่งฟ้า
ดั่งห้วงน้ำเต็มอิ่มจนปริ่มฝาย
ถ้าซึมทรายต่อเนื่องแม้เชื่องช้า
ย่อมแห้งลงวันละนิดไม่ผิดตา
จะรู้ว่าน้ำหายก็สายไป
เจ้าแพ้พ่ายเวลาหรือว่าขลาด
ความสามารถสุดกู่นั้นอยู่ไหน
อย่าสูญเสียความฝันความมั่นใจ
รักษาไว้ตราบที่มีชีวิต
เมื่อคบไฟถูกจุดครั้งสุดท้าย
เมื่อสหายรู้สึกสำนึกผิด
หันกลับมาพยายามปรับความคิด
หยุดยึดติดแล้วตัดซึ่งอัตตา
ความมุ่งมั่นอารมณ์คือคมดาบ
จะเงาวาบเช่นเฉกเนื้อเหล็กกล้า
สนิมขุมเคยอาบคมศาสตรา
จะอำลาคมดาบที่วาบคม.
๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒
26 เมษายน 2550 21:12 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.พอสิ้นเสียงเลื่อยยนต์คำรณเสียง
ก็เหลือเพียงซากสักหักสะบั้น
ต้นสักถูกผีห่าวิสามัญ
โค่นสักพันกว่าปีนาทีเดียว
ฤๅจะสิ้นป่าสักเคยกักฝน
คราวน้ำล้นจะกวาดอย่างกราดเกรี้ยว
คราวน้ำแล้งจะแล้งและแห้งเซียว
ใต้คมเขี้ยวผงฝุ่นอันรุนแรง
ดูซิ!.เหลือต้นสักต้นสุดท้าย
ท่ามความตาย คนบาป คำสาปแช่ง
ชายร่างใหญ่ไหล่ล่ำผิวดำแดง
เดินแบกแท่งสัมภาระและเลื่อยยนต์
เมื่อเลื่อยยนต์ระยำคำรามร้อง
ต้นสักทองพันปีฤๅหนีพ้น
เทพารักษ์ตะลึงกันอึงอล
จะสวดมนต์หรือหักด้วยศักดา
แต่ฉับพลันเลื่อยยนต์ก็หล่นน้ำ
เขาครวญคร่ำฟูมฟายลงไหว้ฟ้า
ถ้าเทพไท้สมเพชเวทนา
ช่วยงมหาเลื่อยยนต์ให้ตนที
เทพารักษ์ชักมึนเลือดขึ้นหน้า
จึงกร่นด่าผีเปรตและเศรษฐี
มึงตัดป่าของพ่อ..ทรพี!
ยังจะมีหน้ามาขอมางอมือ
ไอ้มนุษย์สังคังผู้บังอาจ
ธรรมชาติทำอะไรให้มึงหรือ
ใช้หัวคิดหรือใช้ใต้สะดือ
ป่านี้คือที่อยู่ของปู่มึง
น้ำที่มึงทิ้งขว้างและล้างตูด
ทิ้งของบูดหนอนเต้นจนเหม็นหึ่ง
ทำห้วยหนองคลองเน่าชำเราบึง
เคยนึกถึงหรือไม่พวกใจพาล
ปู่ของมึงขึ้นชื่อเรื่องซื่อสัตย์
ตอนมาตัดต้นไม้เขาใช้ขวาน
พอกระเด็นตกน้ำกูรำคาญ
ลงไปควานขวานทองมาลองใจ
แต่เขากลับต้องการแต่ขวานเหล็ก
กูจะเสกให้เขาสักเท่าไหร่
ไม่ใช่ขวานของเขาไม่เอาไป
กูเลยให้ทุกด้ามเพราะความดี
หรือเพราะขวานทองคำมันล้ำค่า
สิ้นปู่ย่าเหลือหลานสันดานผี
เปิดโรงเลื่อยขยับความอัปรีย์
ทรพีตัดป่าอย่างสามานย์
ดูป่าสักพันปีสิปี้ป่น
จะแล้งฝนตราบกัลปาวสานต์
จะไม่เหลือต้นน้ำแหละลำธาร
จะกันดารขาดแคลนทั้งแผ่นดิน
กระทั่งถึงต้นสักต้นสุดท้าย
มึงยังหมายจะบดให้หมดสิ้น
เลื่อยยนต์มึงบาปหนาด้วยราคิน
จึงพ่ายภินท์ถูกสูบลงสู่บึง
เทพารักษ์ตักเตือนแล้วเลือนร่าง
เขายืนอยู่ตรงกลางอย่างละครึ่ง
ดีดึงซ้ายร้ายดึงกลับสลับดึง
ณ กลางกึ่งสุดขั้วของชั่วดี
ป่าเสื่อมโทรมกับสักต้นสุดท้าย
บุรุษหมายเลือกสักหรือศักดิ์ศรี
จะเลือกทางถอยหลังหรือมั่งมี
อาจอยู่ที่รายได้หรือไขเชื้อ
........................................
๒.ป่าสักตายไม้ดอกยังออกช่อ
บนหมื่นตออาจมีหนอนผีเสื้อ
แต่สักต้นสุดท้ายสุดปลายเครือ
กลับไม่เหลือให้แลแม้แต่ตอ
๖ กันยายน ๒๕๕๓