12 กันยายน 2554 18:25 น.
ฤกษ์ ชัยพฤกษ์
พี่น้องเพื่อนฝูงครับ เมื่อประมาณปี2547ผมได้ไปอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับการบริหารสั้น ๆที่เมืองแอทแลนต้า รัฐจอเจียแล้วได้เลยไปเที่ยวหาเพื่อนที่ ซานฟรานซิสโก เพื่อนคนนี้พาผมตระเวณเที่ยวทั้งพ่อแม่เขาต้อนรับเป็นอย่างดีต่างชาติต่างศาสนาไม่มีข้อจำกัด ได้เขียนกลอนเล่าไว้ใน ซาน - ฟรานซิสโกในฝัน
ถึงปัจจุบีนเพื่อนคนนั้นเขาแต่งงานแล้วกำลังข้าวใหม่ปลามัน ไปอ่านเวปไซด์อะไรไม่รู้อยากมาเที่ยวเมืองไทย โดยเฉพาะสามเหลี่ยมทองคำ กับเกาะเต่า จะ
ทำไงได้ผมก็ต้องต้อนรับตอบแทนเขาแต่เขารีบคาดคั้นเอาข้อตกลงว่า ไม่ให้ผมเดือดร้อนเขามีงบประมาณมาเรียบร้อย ผมก็คัดค้านบ้างตามธรรมเนียมโดยจะต้องขอจ่ายอะไรบ้างตามโอกาศอำนวยเช่นการใช้รถยนต์น้ำมันรถยนต์และอาหารบ้างเป็นบางมื้อซึ่งเขาขอบอกขอบในที่เป็นธุระผมก็พาเขาไปทั้งสองแห่งนั่นแหละและก็มีรายทางอีกมากมาย แต่ครั้งนี้อยากจะเล่าตัดตอนเมื่อไปเที่ยว เกาะเต่า สำหรับที่อื่นก็จะทยอยเล่าเมื่อมีโอกาศ
ผมเปิดดูเวปไซด์เจอสถานที่พักหลายแห่งแต่ไปถูกใจที่ ดุสิตบัญชา รีสอร์ท
ราคาสูงคืนละ 6000 บาทแต่ไม่สูงที่สุดห่างชุมชนมากหน่อยจึงจองที่พักหนึ่งหลังมีสองห้อง จองเรือข้ามจากจ.ชุมพรไปเกาะเต่ามีสองบริษํทที่ดีหน่อยคือส่งเสริมทัวร์ ราตาถูกว่าบริษัทลมพระยา นิดหน่อย เรือของลมพระยาไปกลับคนละ 600 ทันสมัยแล่นเร็วกว่าเกือบชั่วโมง ของ ส่งเสริมทัวร์ไปกลับ คนละ 450 เราตกลงจองของส่งเสริมโดยเขารับรองว่าเอารถจอดไว้ที่ท่าเรือได้โดยปลอดภัย
ภรรยาของเพื่อนสวยน่ารักมากเขาจบจากมหาวิทยาเบิรกส์เล่ย์ด้วยกัน
ทำงานที่เดียวกันเลยพักร้อนพร้อมกันวันที่ผมไปรับที่สุวรรณภูมินึกว่าดาราภาพยนต์มาเที่ยวซะอีก เขาคุยเก่งมากชอบถามจนผมอธิบายไม่ทันเลยละ
เราไปเที่ยวภาคกลางและภาคเหนือมาแล้วถึงคิวไปเกาะเต่าตามที่จองที่พักไว้จะต้องไปลงเรือให้ทันตอนเจ็ดโมงเช้า ถ้าไม่ทันก็มีอีกเที่ยวหนึ่งตอนบ่ายโมง วันหนึ่งมีสองเที่ยวเท่านั้น เราสามคนเตรียมตัวพร้อมตื่นนอนตอนตีสามออกจากกรุงเทพฯขับรถสบาย ๆ กะจะกินอาหารไทยที่ร้านต๊โภชนาที่เขาย้อย แต่เห็นว่าเช้าเกินไปก็เลยเรื่อยเฉี่อยมาถึงชะอำเข้าไปหาอะไรกินแล้วผ่านหัวหินไม่ไปทางบายพาสต์ ไม่เร่งร้อนถึงชุมพรกินก๋วยเตี๋ยวแล้วเลยเข้าปากน้ำชุมพรไปถึงที่เรือก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง
ได้ที่จอดรถนอกเต๊นท์เพราะมีคนอื่นจอดก่อนเราสงสัยต้องตากแดดหลายวันเชคการจองแล้วเขาให้สติคเกอร์ติดหน้าอกสำหรับลงเรือมีแต่ฝรั่งทั้งนั้นรู้สึกจะมีเราหน้าดำอยู่คนเดียวจริง ๆทั้งลำเรือเรือออกตรงเวลาเจ็ดโมงผู้โดยสารเกือบเต็มลำเขาให้พวกเราอยู่ชั้นบนเป็นห้องแอร์ แต่วันนี้เครื่องแอร์เสียเลยไม่เก็บค่าแอร์ต้องเปิดหน้าต่างรับลมสังเกตุเห็นคนคนนึ่งมาตีสนิทกับผู้โดยสารแทบทุกกลุ่มพอมาถึงกลุ่มเราถึงรู้ว่าเขาเป็นครูสอนดำน้ำถ้าสนใจดำน้ำก็ให้ติดต่อเขาตามนามบัตรที่แจกรู้สึกว่าสอนดำน้ำเที่ยวหนึ่งจะสองพันบาทนี่แหละดำโดยใช้ถังอ๊อกซิเย็นด้วย แต่แฟนเพื่อนกลัว ๆ คงไม่กล้าดำลึกจึงไม่ได้ตกลงอะไร วันนี้ เกิดคลื่นลมแรงมากหน่อยเรือวิ่งตัดคลื่นกระดอนกระโดกกระเดกไปสักสองชั่วโทงสุภาพสตรีแฟนเพื่อนทนไม่ไหว อาเจียรออกมานิดหน่อยกว่าจะถึงเกาะเต่าใช้เวลาสามชั่วโมงแต่พอขึ้นฝั่งสักพักก็ค่อยยังชั่ว รถของ ดุสิตบัญชารีสอซต์มารับเป็นรถกระบะโฟวิลล์มีที่นั่งข้างหลังพวกเราชอบสนุกดีรถแล่นผ่านชุมชนผ่านตลาดลัดเลาะไปตามทางขึ้นเขาบ้างสักพักก็ถึงที่พัก อยู่ตงกันข้ามกับเกาะนางยวนพอดีเลย ห้องพักอยู่บนเขาหมายเลย 110 มองเห็นทะเลสวยงาม การจัดห้องเขาเอาหินก้อนใหญ่ที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาเป็นส่วนประกอบของห้องด้วยน่าอยู่มาก ๆ สองคนผัวเมียฝรั่งชอบมากเลย อาหารกลางวันทานอะไรกันนิดหน่อยแล้วเดินดูวิวริมทะเลด้านหลังรีสอร์ทมีต้นไม้เยอะแยะเย็นวันนี้เราไปกินกันที่ เรสเตอรองริมทะเลอีกด้านหนึ่ง สั่งได้ทั้งอาหารไทยจีนฝรั่ง เราสั่งมากินหลายอย่างรวมทั้งราดหน้าทะเลของไทย แต่ฝรั่งกลับติดใจกว่าอาหารฝรั่งซะอีก
เราให้เขาหาแทกซี่ให้ไปเที่ยวในตลาดบนเกาะเต่ามีแทกซี่เชื่อไหมล่ะท่านแทกซี่เอกชน เขาคิดหัวละร้อยห้าสิบแพงบรรลัย ตลาดไม่มีอะไรก็เป็นที่ขายของเดินเที่ยวดื่มกินของฝรั่งมองไปทางไหนมีแต่ฝรั่งทั้งดำขาวสองคนนั่นซื้อของหลายอย่างเดินกันจนเมื่อยจึงได้เวลานัดแทกซี่ส่งกลับที่พักเราได้แวะจองการเที่ยวดำน้ำนั่งเรือรอบเกาะและพาเที่ยวเกาะนางยวน คนละ 500 บาท วันพรุ่งนี้รถจะไปรับที่รีสอสต์มาลงเรือตืนนี้หลับสบายมาก สองคนจะหลับยังไงเราไม่รับรู้เพราะคนละห้องกัน อิอิ
อาหารเช้าไปกินฟรีที่รีสอร์ทจัดไว้ฝรั่งแต่งตัวรัดกุมเตรียมลงน้ำนุ่งกางเกงขาสั้นเสื้อกล้ามทรวดทรงพิศมาก ๆน้ำลายจะหกแต่ต้องรักษามารยาท อิอิแปดโมงรถมารับพาไปลงเรือเป็นเรือหาปลาลำไม่ใหญ่นักมีฝรั่งเยอะเหมือนกันไปเที่ยวเดียวกันเขามี สน๊อกเกอร์ ใส่ดำดูปลาน้ำตื้นให้ด้วย ถ้าใครทำหายถูกปรับพันบาท ให้ทุกคนใส่เสื้อชูชีพเรือพาแล่นอ้อมเกาะเต่า ช่วงด้านหน้าเกาะลมแรงมากคลื่นสูงเรือหาปลากระดอนขึ้นลง หลายคนกลัวแต่หลายคนสนุก กว่าจะพ้นแนวคลื่นลมก็เป็นชั่วโมงพอพ้นมาได้ค่อยดีหน่อยเขาจอดให้ลงลอยตัวไปดูปลาสวยงามมากบางคนจับเชือกลอยไปบางคนไม่ต้องจับเชือก เพื่อนเขามีกล้องเล็ก ๆถ่ายใต้น้ำได้ ก็ถ่ายปลาสวยงามได้เยอะ เรือพาไปอีกที่หนึ่ง เขาบอกว่าให้ดูดี ๆ เป็นที่ซึ่งฉลามชอบมาแอบนอนพักในหลืบหิน นักท่องเที่ยวก็พยายามไปดูกัน เพื่อนเขาโชคดีไปเจอฉลามนอนอยู่ถ่ายรูปมาได้ เขาเอามาอวดพวกฝรั่งด้วยกันดูกันใหญ่เลย เรือจอดให้ดูปลาสองสามแห่ง ก็แจกอาหารกลางวันเป็นข้าวกล่อง ฝรั่งกินได้ผัดเผ็ด ๆ กลับชอบซี๊ดซาด มีผลไม้เช่นมะละกอ ส้ม เตรียมใส่ถาดไว้ก็กินกันใหญ่สนุกดี
เรือพามาจอดที่เกาะนางยวน มองเห็นที่พักของเราอยู่ที่เกาะเต่าเลย
ต้องเสียค่าผ่านประตูฝรั่งสองร้อยคนไทยสามสิบบาท ใครจะขึ้นไปบนยอดเขาดูวิวก็ได้แต่ส่วนใหญ่ลงน้ำดูหลา ปลาเยอะมากอยู่น้ำตื้น ๆ สองคนนั้นชอบใจมากถ่ายรูปใต้น้ำ แต่ต้องระวัง หอยเม่นมาก ต้องใส่รองเท้ากันไว้ก่อน ปลาที่เกาะนางยวนคงรู้ว่าไม่มีใครทำอะไรมันจึงเชื่องมากแทบเอามือจับเล่นได้เลยทีเดียวอยู่ที่เกาะนางยวนสักสองสามชั่วโมงได้เวลากลับ เรือพามาส่งที่ท่าเรือตามเดิมมีรถพาไปส่งที่พัก เราเหนื่อยกันมากเย็นนั้นก็ไม่ออกไปไหนกินอาหารที่รีสอสต์นั่นอีก นั่งฟังดนตรีมีนักร้องร้องเพลงทิบกันไปบ้างเล็ก ๆน้อย ๆก่อนแยกกันไปนอน
รุ่งเข้ากินอาหารฟรี เรายืม สน๊อกเกอร กับเสื้อชูชีพจากผู้จัดการรีสอร์ทพากันลงไปในทะเลหน้าที่พักวันนี้ตลื่นลมไม่แรงนัก ว่ายน้ำดูปลาหน้ารีสอร์ทโอ้โฮ ปลาในทะเลงดงาม มากมายกว่าที่เกาะนางยวนเสียอีก จารนัยไม่ถูกสวยงามมากเราว่ายดูกันเป็นชั่วโมง ๆ ไม่เบื่อจนใกล้เที่ยงถึงได้ขึ้นมากินอาหารกลางวันเตรียมตัวเดินทางกลับไปลงเรือบ่ายโมง ขากลับ คลื่นลมไม่มีทะเลเรียบเรานั่งกันสบายมากแถมลงมาซื้อ ฮอทดอก ที่ชั้นล่างกินกันซะอีก เรือวิ่งสามชั่วโมงพอดีรถของเรายังอยู่ดีไม่มีบุบสลาย สปร์อตไลเดอร์ซะอย่าง
ขึ้นฝั่งได้ก็บ่ายมากเลยไปไหว้ศาลกรมหลวงชุมพรที่หาดทรายรีเขากำลังจะปิดศาลพอดี เสร็จแล้วมาที่ร้าน อาหารจีน ชื่อร้าน ลุย อยู่ริมทะเล กินอาหารทะเลกันฝรั่งงงกับยำไข่แมงดาทะเล ว่ากินได้จริงหรือ พอลองกินกลับชอบ อิอิ ค่ำแล้ว แต่เราไม่รีบร้อนขับรถกลับกรุงเทพฯไม่รีบร้อนแวะหัวหินกินของว่างดูวิวกลางคืนปนเปกับฝรั่งที่หัวหินเขาซื้อของได้หลายอย่างกว่าจะกลับถึงกรุงเทพก็ตีหนึ่งกว่าแล้ว อิอิ ทริปนี้ก็จบลงเท่านี้
27 สิงหาคม 2554 06:51 น.
ฤกษ์ ชัยพฤกษ์
บ้านเพื่อนผมอยู่ในสวนผลไม้เป็นเรือนใต้ถุนสูง มีลานบ้านกว้างขวาง
บรรดาสหายธรรม เอ๊ย สหายวงดื่มกินก็มักจะแวะเวียนมาร่วมชุมนุมเฮฮาบ่อย ๆเหมือนเช่นวันนี้ซึ่งเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพื่อนเพิ่งแต่งงานกับสาวเมืองเหนือ
ผู้สวยสะคราญแคล่วคล่อง ทำอาหารพื้นเมืองทางเหนือเก่งมากวันนี้จึงมีลาบหมู
ทั้งคั่วสุก และลาบดิบยังแดง ๆ ให้เป็นกับแกล้มพร้อมผักสด
ในละแวกบ้านมีญาติพี่น้อง ลูกหลานเยอะ และบรรดาเด็ก ๆ ก็จะจับกลุ่มเล่นซนกันตามลานบ้านเด็กผู้หญิงมักจะไม่ค่อยซนวันนี้ได้ยินเล่นทายปัญหาอะไรเอ่ยกันเป็นที่สนุกสนาน มาสะดุดปัญหาที่เด็กทายกันว่า อะไรเอ่ย ท้าวพันตา พระยาพันวังพ่อมันตายพี่ชายมันยัง แล้วเฉลยกันว่า แห ที่เราเคยได้ยินเป็นเรื่องเล่ากันมาเพี้ยนไปจากนี้ เป็นว่า ท้าวพันตา พระยาพันวัง ตัวกูตายพี่ชายกูยัง เป็นคำท้าทายอาฆาตมาดร้ายระหว่างจรเข้สองตัวซึ่งเป็นศัตรูแย่งชิงความยิ่งใหญ่แห่งลำน้ำเจ้าพระยา
ท้าวพันตา เป็นจรเข้น้ำจืดเชื้อสายเมืองพิจิตรหว่านเครือลาละวันแผ่อิทธิพลลงมาทางใต้ พระยาพันวัง เป็นจรเข้พันธุ์น้ำเค็มมีอิทธิพลด้านน้ำกร่อยแผ่ไปทางเหนือ จึงเกิดปะทะกันท้าวพันตาบุกลงมาต่อสู้กับพระยาพันวังบริเวณคุ้งข้าวเหนียวบูด คุ้งนี้กว้างไกลจาก บางโพงพาง(แถวสะพานพระรามเก้า)อ้อมกระเพาะหมูที่ตั้งปากลัดไปถึงบางหัวเสือ(เลยที่ตั้งอำเภอพระประแดง) ถ้านึ่งข้าวเหนียวแล้วมูน ลงเรือพายจากบางโพงพางไปถึงบางหัวเสือข้าวเหนียวบูดพอดีคุ้งน้ำนี้จึงได้ชื่อว่าคุ้งข้าวเหนียวบูด
สองจรเข้ผู้ยิ่งใหญ่ต่อสู้กันสนั่นหวั่นไหวน้ำกระฉอกฉานต่างบาดเจ็บสาหัสเลือดแดงท้องน้ำตลอดเวลากี่วันกี่คืนไม่แน่ชัดจนจะขาดใจตายไปด้วยกันไม่มีใครแพ้ใครชนะจนเกิดวลีอาฆาติมาดร้ายที่กล่าวมาข้างต้น พระยาพันวังกระเสือกกระสนเกยฝั่งขาดใจตายที่ปากคลองพระโชนงข้างวัดหน้าพระธาตุชาวบ้านก็ได้จัดสร้างศาลไว้ให้ส่วน ท้าวพันตากระเสือกกระสนขึ้นเกยฝังสิ้นใจตายที่หน้าเมืองนครเขื่อนขันธ์ขณะนั้นเป็นวันศุกร์ เดือน 7 แรม 10 ค่ำ ปีกุน พ.ศ.
2358 ทางราชการกำลังทำพิธีฝังอาถรรพ์เสาหลักเมืองนครเขื่อนขันธ์เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่มีจรเข้ใหญ่ว่าทวนน้ำมาเกยฝั่งตายตรงหน้าปริมณฑลพิธี เจ้าหน้าที่และชาวบ้านเชื่อว่าจรเข้ยอมถายชีวิตเพื่อบูชาหลักเมืองแห่งนี้ จึงได้ตัดหัวจรเข้ขึ้นไว้บนศาลหลักเมืองยังอยู่เป็นหลักฐานถึงปัจจุบัน สำหรับศาลของพระยาพันวังได้สูญหายไปเพราะบริเวณนั้นได้มีการเวณคืนที่ดินสร้างท่าเรือคลองเตยทำการรื้อวัดไปสามวัดคือ วัดหน้าพระธาตุ วัดทอง และวัดเงินโดยเฉพาะวัดเงินคลองเตยกรุพระเครื่องได้แตกออกมาเป็นที่ฮือฮาทั้งแผ่นดิน ทางราชการได้รวบรวมวัตถุและสิ่งของไปรวมสร้างวัดขึ้นใหม่เพียงวัดเดียวคือ วัดธาตุทองอยู่ในปัจจุบัน
เมืองนครเขื่อนขันธ์นี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย นีชกาลที่ 2ได้โปรดเกล้าให้สร้างขึ้นเมื่อ พศ.2358ได้ทำพะธีฝังอาถรรพ์เสาหลักเมืองดังกล่าวข้างต้นแล้วได้โปรดเกล้าให้ย้ายครัวมอญจากเมืองสามโคกปทุมธานี รวมทั้งไพรพลของแม่กองช้างมอญที่มาสวามิภักดิ์พึ่งบรมโพธิสมภารคือเจ้าพระยา
มหาโยธา (เจ่ง )มาอยู่ที่เมืองนครเขื่อนขันธ์ และทรงแต่งตั้งให้ "สมิงทอมา"บุตร
ของพระยาเจ่งเป็นผู้รักษาเมือง ประกอบกับคำว่า เจ่งภาษามอญแปลว่าช้างจึงได้อัญเชิญ พระพิฆเนศวร์ประดิษฐุ์ฐานบนเสาหลักเมือง ศาลหลักเมืองของนครเขื่อนขันธ์ หรือ อำเภอพระประแดงในปัจจุบัน จึงเป็นศาลพระพิฆเนศวร์ที่ศักสิทธิ์และเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย
ผู้ใดได้ไปนมัสการศาลหลักเมืองนครเขื่อนขันธ์ หรือ ปากลัด หรือ อำเภอพระประแดงซึ่งเป็นที่เดียวกันนี้แล้วจะได้รับแต่ความศิริมงคลหาที่เปรียบมิได้
8 สิงหาคม 2554 08:56 น.
ฤกษ์ ชัยพฤกษ์
เมื่อประมาณยี่สิบปีก่อน ผมยังเพิ่งจะแตกเนื้อหนุ่มรุ่นตะกอ คบหาเพื่อนพ้องมากมายซุกซนไปทั่ว ก็ไอ้ความซุกซนนี่แหละเข้าไปในที่รกถูกตะขาบกัด ตัวมันใหญ่ยาวคืบกว่าเท้าเปล่า ๆไปเหยียบตรงด้านหางมันม้วนตัวขึ้นมากัดที่หลังเท้า
เราดีดกระเด็นไปแล้วรุมตีกันจนแหลกเหลว ที่หลังเท้ามีรอยเขียวสองรู เริ่มปวด ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ลุงคนหนึ่งบ้านแกอยู่ใกล้ ๆ บอกว่าจะช่วยทายาให้ ก็ไปที่บ้านแก เห็นแกค้นเอาสมุนไพรออกมา แกบอกว่าเป็นหัวขั้วของผลฟักทองแห้งสนิทเก็บไว้นานแล้ว แกเอามาฝนกับฝาละมี(ฝาหม้อดิน) ใส่เหล้าขาวกับน้ำมะนาวนิดหน่อย แกฝนจนเป็นน้ำเหลือง ๆข้น ๆ แล้เอามาทาที่รอยตะขาบกัด น่าแปลกตรงที่ความเจ็บปวดค่อย ๆลดลง ๆ สักชั่วโมงหนึ่งก็เหลือแต่ความปวมแดงสองสามวันจึงหายร่องรอย
ไม่ทราบว่าจะเป(นสรรพคุณยากลางบ้านหรือเพราะผมไม่แพ้ตะขาบมากก็ไม่ทราบ และไม่อยากจะลองอีก เจอตะขาบเมื่อไรต้องสำเร็จโทษทุกครั้งไป เมื่อได้ดูสารคดีเกี่ยวกับตะขาบ ก็เห็นว่ามันไม่ค่อยมีพิ(ษภัยเท่าไรถ้าไม่ไปรบกวนมัน แต่ในชีวิตผม กลับถูกอวัยวะของตะขาบมารบกวนหลายครั้ง ก็ตีนตะขาบไงล่ะท่าน รถตีนตะขาบออกมาเพ่นพ่านตอนทหารเขายึดอำนาจ มีให้เห็นหลายครั้งในช่วงชีวิตนี้ ทหารเขาเป็นอะไรถึงยึดอำนาจรัฐบาลได้ ทำไมประชาชนที่เลือกผู้แทนเข้าไปตั้งรัฐบาลบริหารประเทศยอมให้ทหารเข้ามายึดอำนาจไปบริหารเอง
เขาเก่งนักหรือ ครั้งสุดท้ายนี่ก็เห็นไม่ทำอะไรให้ประเทศเลย หัวหน้า(หัวหน้าจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้) เดี๋ยวนี้ก็ยังมาสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทน แล้วเมื่อเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยดีขนาดตัวเองยังมาสมัครรับเรือกหตั้ง แล้วมาทำการายึดอำนาจทำไม ใครสั่ง?
อันที่จริงแล้วตะขาบที่กัดผมไม่ใช่ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมี ผมคิดว่าตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลกน่าจะอยู่ที่ดอยสิงคุตต์ หรือสิงคุต ประเทศพม่า ใหญ่โตขนาดจับช้างกินเป็นอาหารซษกช้างกองสุมเต็มดอยสิงคุต ต่อมามีเจ้าชายต่างแดนเป็นพ่อค้าสำเภาเดินทางมาพลซากช้างกองสุมเป็นภูเขา จึงคัดเลือกงาช้างบรรทุกลงเรือสำเภาทั้งสิ้น 7 ลำ ตะขาบยักษ์กลับมาก็โกรธเป็นอันมากถือว่าเจ้าชายพ่อค้าสำเภานั้นขโมยงาช้างไป จึงติดตามเรือทั้ง 7 ลำไป จนกระทั่งออกสู่มหาสมุทร ในมหาสมุทรนั้นมีปูยักษ์เจ้าทะเลอยู่ตัวหนึ่ง คอยเอาก้ามอันมหึมาของมันหนีบสิ่งที่จะลอดผ่านไปกินเป็นอาหาร เรือบรรทุกงาช้างของเจ้าชายพ่อค้าสำเภาแล่นผ่านไปได้โดยปลอดภัย แต่ตะขาบยักษ์นั้นถูกหนีบจับไปกินเป็นอาหาร จนกระทั่งสมัยพุทธปฐมโพธิกาล ตปุสสะและภัลลิกะ พ่อค้าชาวสุวรรณภูมิ เดินทางมาค้าขายที่ชมพูทวีปและได้พบกับพระพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงปฏิญาณตนเป็นอุบาสกคนแรกในพุทธศาสนา และได้รับพระราชทานพระเกศาธาตุจากพระพุทธเจ้า จึงนำกลับมาบ้านเมืองตนหาที่ก่อสร้างเจดีย์บรรจุพระเกศาธาตุจากพระพุทธเจ้า และได้กำหนดให้ดอยสิงคุตต์ของตะขาบยักษ์ที่สร้างเจดีย์ เรียกว่า พระธาตุตะโก้ง หรือ เจดีย์ชะเวดากองต่อมามีเจ้าชายต่างแดนเป็นพ่อค้าสำเภาเดินทางมาพลซากช้างกองสุมเป็นภูเขา จึงคัดเลือกงาช้างบรรทุกลงเรือสำเภาทั้งสิ้น 7 ลำ ตะขาบยักษ์กลับมาก็โกรธเป็นอันมากถือว่าเจ้าชายพ่อค้าสำเภานั้นขโมยงาช้างไป จึงติดตามเรือทั้ง 7 ลำไป จนกระทั่งออกสู่มหาสมุทร ในมหาสมุทรนั้นมีปูยักษ์เจ้าทะเลอยู่ตัวหนึ่ง คอยเอาก้ามอันมหึมาของมันหนีบสิ่งที่จะลอดผ่านไปกินเป็นอาหาร เรือบรรทุกงาช้างของเจ้าชายพ่อค้าสำเภาแล่นผ่านไปได้โดยปลอดภัย แต่ตะขาบยักษ์นั้นถูกหนีบจับไปกินเป็นอาหาร จนกระทั่งสมัยพุทธปฐมโพธิกาล ตปุสสะและภัลลิกะ พ่อค้าชาวสุวรรณภูมิ เดินทางมาค้าขายที่ชมพูทวีปและได้พบกับพระพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงปฏิญาณตนเป็นอุบาสกคนแรกในพุทธศาสนา และได้รับพระราชทานพระเกศาธาตุจากพระพุทธเจ้า จึงนำกลับมาบ้านเมืองตนหาที่ก่อสร้างเจดีย์บรรจุพระเกศาธาตุจากพระพุทธเจ้า และได้สถานที่ดอยสิงคุตต์ของตะขาบยักษ์เป็นที่สร้างพระธาตุตะโก้งหรือเจดีย์ละเวดาองปัจจุบันและได้ทำธงตะขาบตั้งไว้ใกล้เจดีย์เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ตะบาบยักษ์ด้วย
ปัจจุบันชาวรามัญที่ปทุมธานี และ อ.พระประแดง มีประเพณีแห่ธงตะขาบ
วันสุท้ายของสงกรานต์ด้วย เพราะฉะนั้น ตะขาบ ไม่ใช่เรื่องกล้วย ๆ เลยนะครับพี่น้อง
7 สิงหาคม 2554 21:50 น.
ฤกษ์ ชัยพฤกษ์
ในยามที่ประชาชนสามสี่จังหวัดภาคใต้ เดือดร้อนเลือดตากระเด็น ประชาชน ข้าราชการครู พระ ตำรวจทหาร ถูก ผู้ก่อการไม่สงบ (ไม่เรียกว่าผู้ก่อการร้ายเหมือนพวกเสื้อแดง)วางระเบิดเข่นฆ่าไม่เว้นแต่ละวัน ประชาชนทั่วประเทศเดือดร้อนข้าวยากหมากแพงไปทุกหัวระแหง ท่านอ่านข่าวนี้แล้วรู้สึกยังไง
ในการจัดทำ "ร่างแผนพัฒนาขีดความสามารถกระทรวงกลาโหม ปี 2554-2563 (Modernization Plan : Vision 2020)" จะมีแผนการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ขนานใหญ่
แผนดังกล่าวได้กำหนดความต้องการโครงการพัฒนา และจัดหายุทโธปกรณ์หลัก แบ่งเป็น ความต้องการระดับสูงสุด 332 โครงการ วงเงิน 1,307,731.413 ล้านบาท และความต้องการระดับต่ำสุด 301 โครงการ วงเงิน 770,392.413 ล้านบาท
งบส่วนนี้ยังรวมถึงการจัดตั้งหน่วยทหารขนาดใหญ่ในระดับ "กองพล" ถึง 2 กองพลด้วย นั่นคือ กองพลทหารราบที่ 7 (พล.ร.7) ที่ จ.เชียงใหม่ และกองพลทหารม้าที่ 3 (พล.ม.3) ที่ จ.ขอนแก่น
จำได้ไหม ตั้งกรมทหารตามความเห็นของใคร ประเทศนี้เอาเงินไปทำอะไรกันหมดประชาชนถึงทุกข์ยากขนาดนี้
ทำไมไม่ไปตั้งกรมทหารที่ภาคใต้เพื่อปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขไม่ต้องใช้อาสาสมัครทหารพราน อาสาพลเรือน และหน่วยนาวิกโยธิน ตั้งกรมที่เชียงใหม่ ขอนแก่น เพื่ออะไร ควบคุมประชาชนที่หัวแข็งใส่เสื้อแดงหรือไง ขอฝากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อะไรชลอได้ก็ชลอไว้ก่อนเถิด ประชาชนจะอดตายอยู่แล้วเอาสตางค์ไปซื้ออาวุธ ซื้อมาทีไรก็มีแต่ข่าวว่าซื้อของใช่แล้ว ไม่มีคุณภาพ เรือเหาะบินไม่ได้ เครื่องตรวจระเบิดใช้ไม่ได้ รถถังเก่าใช้แล้วซ่อมกันไม่หวาดไหวนี่เห็นให้ข่าวว่าจะเอาเฮรี่ค๊อปเตอรอีก 30 ลำประเทศไทยน่าสงสารจริง ๆ
1 สิงหาคม 2554 12:42 น.
ฤกษ์ ชัยพฤกษ์
การจะให้เกิดการปรองดอง จะต้องมีความยุติธรรมและอยู่บนพื้นฐานของความจริง คนไทยด้วยกันอาจจะมีข้อสงสัยในการรับฟังความจริง ลองไปฟังนักข่าวต่างประเทศที่อยู่ในเหตุการณ์บ้าง
ดีเอสไอเคยไปถามเขาหรือเปล่า ลองฟังเขาแถลงบ้างครับพี่น้อง
2นักข่าวฝรั่ง เล่าประสบการณ์สยองในวัดปทุมวนาราม
วันทหารสลายผู้ชุมนุม
เมื่อ 21 พ.ค. เว็บไซต์ข่าว ดิ ออสเตรเลียน ของออสเตรเลีย รายงานว่า นายสตีฟ ทิกเนอร์ นักข่าวช่างภาพในสังกัดที่มาจากเมืองนิวคาสเซิล รัฐนิวเซาท์เวลส์ เข้าไปทำข่าวการชุมนุมและอยู่ในที่เกิดเหตุสลายผู้ชุมนุมที่วัดปทุมวนาราม วันที่ 19 พ.ค. ทิกเนอร์ เล่าว่า ตลอดคืนนั้นมีแต่เสียงปืนและระเบิด ภายในวัดมีทั้งคนตายและผู้บาดเจ็บ คนที่อยู่ในวัดส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และไม่ใช่กลุ่มฮาร์ดคอร์
นายทิกเนอร์ กล่าวว่า ชายคนหนึ่งที่อยู่ในวัดถูกทหารที่อยู่ห่างจากวัดไม่กี่เมตรยิงเข้าใส่ ชายคนนั้นทรุดลงไปกองกับพื้น เมื่อตนและพระสงฆ์จะเข้าไปช่วยลากชายคนนั้น ก็ถูกทหารยิงใส่เข้ามา ตนคิดว่าทหารรู้ว่าตนเป็นนักข่าว เพราะเห็นกล้อง ต่อมาตนและพระช่วยกันลากชายคนนั้นเข้าไป แต่ก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา บรรยากาศในตอนนั้นเต็มไปด้วยความกลัว ตื่นตระหนกและเครียด ตนไม่ได้ออกจากวัด เพราะกลัวถูกยิงตาย ข้างนอกวัดมีสไนเปอร์และรถถัง มีแต่ความโกลาหล
ด้านเว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดอะโกล้บ แอนด์ เมล์ สื่อชื่อดังของประเทศแคนาดา รายงานว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค. นายมาร์ก แม็กคินนอน ผู้สื่อข่าวเดอะโกล้บ แอนด์ เมล์ ปฏิบัติหน้าที่ทำข่าวเหตุทหารไทยบุกโจมตีเวทีชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดงแยกราชประสงค์ และเขียนบทความเรื่อง In a Bangkok Buddhist temple, the groans of the wounded shot seeking sanctuary. เล่าประสบการณ์เฉียดตายในวันดังกล่าว ว่า ตนกับนายแอนดรูว์ บันคอมบ์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ ดิ อินดีเพนเดนต์ ประเทศอังกฤษ พร้อมนายร็อบ ดอนเนลแลน ชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และอาสาทำหน้าที่ล่ามแปลภาษา ออกไปเก็บข้อมูลสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกระทั่งท้ายที่สุดเข้าไปทำข่าวในเขตวัดปทุมวนารามในช่วงเย็นและพบชาวนา รวมทั้งชาวบ้าน ซึ่งเป็นมวลชนคนเสื้อแดงหลบภัยอยู่ข้างในวัดประมาณ 1,500 คน ส่วนแกนนำ นปช.นั้นหายไปหมดสิ้น
นายแม็กคินนอนระบุว่า ก่อนหน้านี้แกนนำเสื้อแดงกล่าวกับมวลชนว่าถ้าทหารบุกเข้าที่ชุมนุมให้เคลื่อนย้ายมายังวัดปทุมวนารามเพื่อความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม พอใกล้ถึงกำหนดที่รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว เวลา 20.00 น. วันที่ 19 พ.ค. สถานการณ์รอบๆ วัดก็ตกอยู่ในสภาพตึงเครียด จนตนกับแอนดรูว์และร็อบออกจากวัดไม่ได้ต้องหลบกระสุนกันชุลมุน แม้ว่าวัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และน่าจะปลอดภัยก็ตาม ขณะเดียวกัน คนบางคนในกลุ่มผู้ชุมนุมพยายามยิงพลุตอบโต้ฝ่ายทหาร
ต่อมาตนเข้าไปหลบในกุฏิพระและมีโอกาสใช้อินเตอร์เน็ตตรวจสอบเหตุการณ์ข้างนอก จากนั้นนายแอนดรูว์โทรศัพท์มือถือเข้ามาบอกว่า "ผมถูกยิงแล้วเพื่อน" เมื่อไปถึงบริเวณประตูวัดพบนายแอนดรูว์ถูกปืนลูกซองยิงใส่ได้รับบาดเจ็บตรงต้นขา และเสียงกระสุนปืนดังสนั่นหวั่นไหวมาก
ผู้สื่อข่าวแคนาดาซึ่งผ่านประสบการณ์สยองในวัดปทุมวนาราม รายงานต่อไปว่า ตนใช้มือถือโทร.ติดต่อขอความช่วยเหลือจากสถานทูตแคนาดา อังกฤษ รวมถึงโรงพยาบาลต่างๆ และต่อสายไปยังสำนักงานของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผู้ออกคำสั่งปราบปรามคนเสื้อแดง ชั่วโมงอันยาวนานผ่านพ้นไป บางขณะเสียงปืนเงียบไป แต่กลับดังระงมขึ้นอีก ตามด้วยเสียงระเบิดปริศนาหลายนัด ในที่สุดได้รับโทรศัพท์แจ้งว่ามีการตกลงหยุดยิงเพื่อให้รถพยาบาลเข้ามารับนายแอนดรูว์กับผู้บาดเจ็บออกจากวัดไปโรงพยาบาล
เมื่อรถมาถึงนายแอนดรูว์ปฏิเสธไม่ยอมขึ้นรถเป็นคนแรก เพื่อเปิดทางให้ผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ ไปก่อน เพราะไม่มั่นใจว่าเมื่อเจ้าหน้าที่มาช่วยชาวต่างชาติแล้วจะกลับไปเลยโดยละทิ้งคนอื่นๆ หรือไม่ ส่วนเจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉินขอให้ตนเข้าไปบอกคนในวัดว่าพรุ่งนี้เช้าจะพยายามกลับมาใหม่ อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อช่วยเหลือสตรี คนชรา และผู้บาดเจ็บที่อาจยังหลงเหลือ จากเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 7 คน ในจำนวนนี้เป็นเจ้าหน้าที่การแพทย์ 2 คน บาดเจ็บ 10 คน
สำหรับคนตายรวม92คนนั้นได้โพสต์รายชื่อไปหลายครั้งแล้วใครยังอยากทราบอีกก็บอกมาจะได้โพสต์ใหม่ เมื่อความถูกต้องยุติธรรมเกิดความปรองดองก็ย่อมเกิด