14 มิถุนายน 2548 11:18 น.
ร. อินทนิล
ผมนั่งมองหน้าชาลีอยู่นานจนเธอเงยหน้าขึ้นมาผมก็ต้องหลบเฉไฉแกล้งมองไปทางอื่น เธอคงรู้ตัวและนึกแปลกใจถึงได้ถามผมขึ้นมา
มองอะไร เสียงเอาเรื่องนี่คุ้นหูผมมาตั้งแต่ปีหนึ่ง จนจะจบปีสี่ เสียงนี้ก็ไม่เคยหายไปจากชีวิตผม แต่ก็ไม่แน่ ในไม่ช้า เสียงใกล้ตัวเสียงนี้อาจจะอยู่ไกลตัวผมออกไป
มองบ้าอะไร ฉันยังไม่ได้มองแกเลย ผมพูดจบพลางกลบเกลื่อนด้วยการลุกออกไปซื้อน้ำดื่ม
ชาลีกับผมเป็นเพื่อนสนิทกันมานี่ก็เข้าปีที่สี่แล้ว ผมเป็นคนไม่ค่อยแสดงความรู้สึก แม้ว่าชาลีจะเป็นเพื่อนที่ผมรู้สึกว่ารักมากที่สุดแต่ผมก็ทำกับเธอเหมือนกับที่ทำกับเพื่อนคนอื่นๆ จนวันที่ผมรู้สึกว่ากำลังจะเสียเธอไป ช่วงนี้ผมดูเงียบไปถนัดตาจนหลายคนถาม ผมก็อ้างนู่นอ้างนี่ไปเรื่อย
แล้วไอ้เด็กวิศวะหวานใจแก ไม่มานั่งกับแกหรอวันนี้ ผมถามกวนๆเมื่อกลับมานั่งที่พร้อมขวดน้ำในมือ
ทำไม ร้อยวันพันปีไม่เห็นถามถึง
ร้อยวันพันปีอะไร มันเพิ่งจีบแกได้ไม่ถึงเดือน นี่แหละเหตุผลที่ทำให้ผมซึมลงในช่วงหลังๆ นี่ขนาดชาลีบอกว่ายังไม่ได้คบกันก็ยังมานั่งคุย รอกันไปรอกันมาทุกวัน แล้วคิดดูเถอะวันที่ทั้งคู่คบกันขึ้นมา อะไรมันจะเกิด ผมจะเหลือใคร
เทนไม่ใช่หวานใจฉันซะหน่อย
อย่ามาพูดเลย
แกว่าฉันจะคบกับเค้าดีไหมวะ
มันก็เรื่องของแก
แกว่าเทนเป็นไง
นี่ไอ้ยิ้ม ไอ้เนม จอย เปรมไปไหนกันหมดวะ จะถึงเวลาเข้าเรียนอยู่แล้วยังไม่มากันอีก
เฮ้ย วีย์แกอย่าเปลี่ยนเรื่องสิวะ
ผมนิ่งไปครู่ มันก็อยู่ที่แก ถามฉันได้ไง แกชอบมันรึเปล่าล่ะ
ก็หล่อดีนะเว้ย นิสัยก็ดี ถึงจะกวนๆไปนิดก็เหอะ
ก็ชอบมันใช่มั๊ย ผมมองหน้าชาลีซึ่งเงียบไป ผมเลยตัดสินใจพูด ก็คบไปสิ
ชาลียังคงเงียบ
แกจะลังเลอะไร ก็ไม่ได้ชอบใครอยู่ไม่ใช่เรอะ สิ้นคำถามนี้ผมได้ยินเสียงชาลีถอนหายใจออกมาเบาๆ
งั้น ฉันจะคบกับเทนนะ
นั่นทำผมหัวใจเต้นรัว รู้สึกเลยว่าหน้าซีดเผือด ไปขึ้นเรียนเหอะ ป่านนี้ไอ้พวกนั้นคงอยู่บนห้องกันแล้ว
วันต่อมาผมเดินเข้าห้องเรียนด้วยเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยแผลและรอยฟกช้ำ
ชาลีหันมาเห็นผมจึงร้องทัก ไปโดนใครกระทืบมาวะ
กระทืบบ้าอะไร รถล้ม
ขับอีท่าไหน
ก็ขับดีดีนี่แหละ มันเฉี่ยวฉัน ผมตอบยั้วะๆ น้ำเสียงชาลีดูไม่ห่วงผมเลยซักนิด
เจ็บมากอะดิ่ ไปหาหมอมายัง เสียงชาลีดูอ่อนลง เมื่อหน้าผมนิ่งไป
เออ หาแล้ว วันนี้ฉันรีบกลับนะ
ฉันก็ว่าจะไปเดินเล่นกับเทนอยู่เหมือนกัน
ผมชะงักไป ใจเต้นแรงอีกครั้ง จะไม่ถามฉันสักคำหรอว่าฉันจะไปไหน
ชาลีหันมามองหน้าผม
ช่างเถอะ ผมพูดปัดๆไปเมื่อเห็นเธอทำหน้าแปลกๆ
พอเลิกเรียนก่อนที่เราจะแยกย้ายไปกันคนละทาง ชาลีเดินเข้ามาหาผม
แล้วแกจะไปไหน หน้าของชาลีดูนิ่งลงกว่าเมื่อเช้า
ไม่ได้ไปไหนหรอก กลับบ้าน
ชาลีสบตาผมหน้าซึมๆ แกไม่พอใจอะไรรึเปล่า
ไม่นี่อะไรกัน ทำหน้าให้เหมือนคนกำลังจะไปเที่ยวกับแฟนหน่อยดิวะ
ชาลียิ้มๆ
ไปแล้วไปแล้ว แม่ฉันรออยู่ ผมพูดพลางเดินออกมา
ป่านนี้ชาลีคงเดินเล่นกับเด็กวิศวะที่ชื่อเทนอย่างมีความสุขตามประสาคนเพิ่งคบกัน ผมไม่ได้กลับบ้านหรอก ที่ที่ผมนั่งอยู่ตอนนี้เป็นที่ที่ผมใช้ระบายความรู้สึกไม่ดีมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต โกรธ เครียด ผิดหวัง เสียใจ เจ็บ เหงา เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย เวลาที่หงายหลังนอนลงไปกับพื้นหญ้านุ่มๆก็จะเห็นท้องฟ้าสีสดใส เมฆขาวๆที่ทำให้ผมคลายความรู้สึกเหล่านั้นลงจนกระทั่งมันหายไปแล้วถึงลุกขึ้นยืนรอตั้งรับกับมันไหม่อีกครั้ง
ผมยังไม่เข้าใจตัวเองเสียด้วยซ้ำนี่ผมหวงเพื่อนหรือคิดกับมันเกินเลยมากกว่านั้น เมื่อไหร่กันที่ผมรู้สึก กว่าจะรู้ว่าใครสักคนมีค่าแค่ไหนในชีวิตเรา ทำไมต้องเสียเขาไปซะก่อน นี่ผมเรียกว่ามันมีค่าในชีวิตผมเลยหรือนี่หรือ ที่เรียกว่า สาย
หรือผมไม่ยอมรับความจริง แต่ความจริงบางอย่างก็พูดไม่ได้ไม่ใช่หรือ หากความจริงบางประการต้องทำให้คำว่าเพื่อนทลายลง ผมเลือกที่จะหนีความจริงข้อนั้น
ผมสะดุ้งตื่นจากพะวงขณะกำลังทบทวนทุกๆอย่าง จากเสียงเรียกที่ไม่คุ้นหูผมเลย
พี่วีย์
ผมหันหลังไปตามเจ้าของเสียง เห็นเด็กสาวรุ่นๆวิ่งตรงลงมา ผมเห็นหน้าเธอชัดขึ้นเมื่อเธอเข้ามาใกล้ แก้ม
พี่วีย์จำได้ด้วยเรอะ แม่พี่ยังจำแก้มไม่ได้เลย แก้มบุกเข้าไปในบ้านมา แม่พี่คิดว่าแก้มเป็นขโมยซะอีกแหนะ
ขโมยอะไรน่ารักขนาดนี้
แน่ปากหวานไม่เปลี่ยนเลย แก้มกลับมาอยู่กรุงเทพแล้วนะ กลับมาอยู่เป็นเพื่อนบ้านพี่เหมือนเมื่อสิบปีที่แล้วไง หล่อนส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
แก้มเคยเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆซึ่งอยู่บ้านติดกับผมเมื่อสิบปีที่แล้ว เป็นคู่ซ้อมฟุตบอลให้ผม มานั่งรอผมกลับมาจากโรงเรียนจนมืดค่ำ แอบไปดูผมเตะบอลที่โรงเรียนจนผมต้องเอาเธฮแบกหลังกลับมาทุกครั้ง เธอย้ายไปอยู่เชียงรายในวันที่ผมรู้ตัวว่าความประทับใจได้กลายเป็นความรัก รักจากเด็กชายแรกชั้นมัธยมกับเด็กหญิงอายุเก้าขวบ ผมไม่เจอเธอเลยนับแต่วันที่เธอจากไป ตอนนี้ แก้มเป็นสาวเต็มตัว พกพาดวงตาคมกลมโตเป็นเสน่ห์ดึงใจใครที่พบเห็นได้อยู่หมัด
ไม่เจอกันนาน แก้มเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ ตัวสูงขึ้นมากเลย
สวยด้วยใช่ม้า แก้มจิกตาจ้อง จนผมต้องหลบ นี่ผมลืมเรื่องชาลีไปเลย พอนึกขึ้นได้ก็ซึมลงไปจนแก้มเอ่ยทัก
เป็นอะไร มีเรื่องไม่สบายใจแน่เลย หน้าหมองๆ
ผมมองหน้าใสใสนั่นอย่างเอ็นดู
วันนี้อาจารย์นัดสอบเก็บคะแนน เพื่อนๆเลยมากันเต็มห้องไม่มีใครกล้าโดด ผมนั่งสอบโต๊ะติดกับชาลี ทำไม่ได้อะไรยังไง มีชาลีอยู่ใกล้ปลอดภัยจากศูนย์เสมอ แต่แปลกอยู่อย่าง วันนี้ชาลีไม่นั่งอมยิ้มทำข้อสอบเหมือนเคย จะว่าทำไม่ได้ก็ไม่ใช่ เขียนเอาเขียนเอาอย่างกับเปิดหนังสือลอก แล้วเกิดอะไรขึ้น
เป็นอะไรหน้ายุ่งๆ ผมถามเธอหลังจากสอบเสร็จ
เปล่า วันนี้ดูแกอารมณ์ดีจังนะ
มันเป็นเรื่องธรรมดาของคนมี
ฉันบอกเลิกเทนไปแล้ว
อ้าวทะ ทะไมซะล่ะ ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจังหวะเวลาและสิ่งที่กำหนดโชคชะตาของมนุษย์
ขณะที่ตัวฉันอยู่กับเทน แต่ใจฉันคิดถึงแก
ผมจ้องหน้าชาลีอึ้งๆ ทำไมน่าจะเร็วกว่านี้สักนิด สักนิดเท่านั้น
พี่วีย์เสียงใสใสแผดดังมาจากข้างหลัง
ชาลีเอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อมองเจ้าของเสียง แล้วแก้มก็มายืนข้างๆผม
เพื่อนพี่วีย์หรอ
อืมชาลีนี่แก้มเด็กหญิงในความทรงจำที่เราเคยเล่าให้ชาลีฟัง
ชาลีถอนใจออกมาเบาๆ ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เพียงแต่ยิ้มให้อ่อนๆ
วันนี้ เด็กหญิงคนนั้นกลับมาแล้ว ผมสำทับชาลี
เออ ดีใจด้วยนะ ชาลียิ้มยินดีให้ผมก่อนจะเดินไปกับกลุ่มเพื่อนๆ ผมหรือจะดูไม่ออก สามปีที่อยู่ด้วยกันมา รอยยิ้มของชาลีทำให้เพื่อนสบายใจเสมอ มีรอยยิ้มนี้นี่แหละ ที่ทำให้ผมลำบากใจและเป็นห่วง สุดท้าย ผมเชื่อว่า ชาลีจะกลับไปนอนหงายหลังบนหญ้านุ่มๆ มองท้องฟ้าสีสดใสและก้อนเมฆสีขาว ที่ที่เธอใช้ระบายความรู้สึกไม่ดีมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต โกรธ เครียด ผิดหวัง เสียใจ เจ็บ เหงา เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย เพื่อคลายความรู้สึกเหล่านั้นลงจนกระทั่งมันหายไปแล้วถึงลุกขึ้นยืนรอตั้งรับกับมันไหม่อีกครั้ง พร้อมกับทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา