2 เมษายน 2555 23:06 น.
ร้อยฝัน
พายุฤดูร้อนพัดกราว ๆ ต้นมะพร้าวข้างบ้านพักโดนพัดแทบหักโค่นไปกับลม แต่กระนั้นต้นตรงสง่าก็ยังยืนฝืนต้านลมมิได้หวั่น
ฝนเม็ดเป้ง ๆ สาดพัดขึ้นมาบนระเบียงบ้าน เสียงข้าวของ
ที่อยู่ข้างนอกปลิวกระทบกันปึงปัง ๆ ฉันรีบวิ่งเข้าไปหลบในห้องน้ำข้างล่าง ซึ่งประเมินแล้วว่าเป็นพื้นที่ที่น่าจะปลอดภัยที่สุดของบ้านพัก กระนั้นก็ตามเมื่อมองออกไปข้างนอกฟ้าแลบแปลบปลาบ
ตามด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสั่นไปถึงหัวใจ ฉันนั่งสวดมนต์ภาวนาขอให้สิ่งศักสิทธ์คุ้มครอง ทั้งกลัวฝน กลัวฟ้า กลัวความมืดมิดที่จะตามมาหลังพายุ ทั้งบ้านพักไม่มีใคร ฉันได้แต่นั่งกลัวอยู่ในห้องน้ำ
เพียงลำพัง
อ้อย อ้อย อยู่รึเปล่า แว่วเสียงดังจากข้างนอก เงาตะคุ่ม ๆ เดินฝ่าสายฝนเข้ามาใกล้
ฉันแง้มประตูห้องน้ำ เงี่ยหูฟังและแอบดูจากช่องรอยแง้มนั้น เมื่อเห็นคนที่เข้ามาชัดเจนฉันแทบจะกระโดดเข้าไปกอด
ยาย ยาย ไปไหนมา อ้อยกลัวแทบแย่
ยายติดฝนที่อาคาร นึกขึ้นได้ว่าอ้อยอยู่บ้านคนเดียวก็เลยฝ่าฝนมา กลัวใช่ไหมนั่น
ใช่ค่ะยาย ขอบคุณยายนะคะที่มาอยู่เป็นเพื่อน
อ้าว แล้วทำไมไม่อยู่บนบ้านล่ะ
อ้อยกลัวค่ะยาย บนบ้านน่ากลัว ทั้งฝนทั้งฟ้า อ้อยอยู่ไม่ได้
แล้วทำไมอยู่ในห้องน้ำได้
ห้องน้ำมันมืด มันไม่เห็นฝน ไม่เห็นฟ้าแลบ แล้วเสียงดังน้อยกว่าบนบ้านด้วย
อ้อย เอ้ย ไม่เคยเห็นกลัวอะไร กลัวพายุเนี่ยนะเรา
มันน่ากลัวนะยาย น่ากลัวจริง ๆ
ไปบนบ้านเถอะเดี๋ยวยายอยู่เป็นเพื่อน ห้องน้ำเหม็นจะตายอยู่เข้าไปได้แถมปิดห้อง ซะมิดเชียว น้องเอ้ย ยายพูดเจือหัวเราะ
เบา ๆ
พายุพัดโหมอยู่สักพัก ก็อ่อนแรงลง ยายเห็นฉันเริ่มมีอาการดีขึ้น แกก็ขอตัวไปบ้านพักอีกหลังที่อยู่ติดกันเพื่อสำรวจความเสียหายจากพายุ ร่อยรอยของพายุ ไม่ได้ทำความเสียหายอะไรมากนักนอกเสียจากการพัดข้าวของกระจุยกระจาย ใบไม้ร่วงเกลื่อนบริเวณ
อ้อย คงไม่มีอะไรแล้วนะ อ้อยอยู่ได้ไหม ถ้ากลัวก็ขึ้นมาอยู่กับยายก็ได้นะ ยายยื่นน้ำใจให้คนขี้กลัวอย่างฉัน
ไม่เป็นไรแล้วล่ะยาย อ้อยอยู่ได้ ยายไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ
ฝ่าฝนมาตั้งนาน เดี๋ยวเป็นหวัด มีอะไรอ้อยจะเรียกยายแล้วกันนะ ขอบคุณค่ะยาย ยายไปพักเถอะ
แน่ใจนะว่าอยู่ได้ ยายย้ำเพื่อความแน่ใจ
ชัวร์ เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์น่ะยาย ถ้าไม่มีพายุพัดอีกนะ แค่นี้จิ๊บ ๆ
จ้า งั้นยายไปนะ
เจ้าค่ะคุณยาย ขอบคุณค่ะ ฉันพูดเจือหัวเราะเล็ก ๆ
อ้อยเอ้ย ดู๊ดู หัวเราะเสียงใส ตะกี้สั่นเป็นลูกหมูเชียว ดูมัน ๆ ยายส่ายหน้าแล้วเดินลับ
เข้าบ้านไป
*********************************************************
ฉันขึ้นไปบนบ้าน เริ่มเก็บกวาดเศษใบไม้ เก็บของให้เข้าที่
เข้าทาง ยุ่งจนลืมดูเวลาแต่เวลาของร่างกายฉันมันฟ้องด้วยอาการหิวจนแสบไส้ ฟ้าข้างนอกมืดแล้ว ฉันมองไปที่บ้านพักหลังของยาย ไม่มีแม้แต่แสงไฟ ยายคงหลับ ฉันเรียกยาย แต่ไม่มีแต่เสียงตอบรับ ฉันยอมแพ้ที่จะปลุกยาย เดินกลับเข้าห้องเปิดตู้เย็นควานหาของกิน นอกจากน้ำสองขวด ไข่สองฟอง ที่แอ้งแม้งอยู่ในนั้นนานนับเดือนแล้วก็ปราศจากสิ่งใด ๆ อีก ฉันหัวเราะกับตัวเอง รำพึงเบา ๆ ของกินหายไปไหนหมดวะ ปกติตู้เย็นของฉันมันอัดยัดแน่นไปด้วยของกินสารพัด สารพัน แต่วันนี้กลับว่างจนน่าใจหาย เอาวะมีไข่ รอดตายแล้วเรา
ฉันเปิดไฟชั้นล่างของบ้านพัก สำรวจดูข้าวสารที่เก็บไว้ คงพอเหลือได้หุงบ้างสักจานสองจาน ในไม่ช้าข้าวก็พร้อมหุง ประการต่อมาฉันนึกถึงกับข้าว .... ไข่ต้ม.... มันผุดขึ้นในหัวฉัน
อือ มันง่ายดี ล้างไข่ให้สะอาด ซุกในหม้อหุงข้าว ง่ายดีไม่ต้องเหนื่อย ขณะที่รอข้าวสุก ฉันรื้อหนังสือเก่าเก็บออกมาดู หนังสือหลายเล่มที่เป็นเล่มโปรด หนังสือที่เก็บความทรงจำเก่า ๆ เอาไว้ มีร่องรอยลายมือยุกยิก บางเล่มมีรูปภาพเก่า ๆ สอดเก็บในนั้น
และหนังสือเล่มนั้น หนังสือที่ฉันรักที่สุดและฉันเก็บมันไว้เมื่อนานมาแล้วในนั้น มีรูปข้าวคลุกไข่ต้ม แทรกอยู่ ฉันหยิบรูปขึ้นมาดูน้ำตาหยดหนึ่งหยดแหมะลงในรูป ภาพแต่หนหลังพรั่งพรูเข้ามาดุจดังเหตุการณ์นั้นเพิ่งผ่านไป ความทรงจำที่ไม่เคยตายไป
จากฉัน
******************************************************************
ภาพในอดีตแจ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ มันฉายซ้ำซากอยู่อย่างนั้นไม่เคยเหนื่อย แว่วเสียงใครคนนั้นเอ่ยทักเหมือนว่าเรายังอยู่ด้วยกัน
อ้อย เป็นไงบ้าง ซ้อมทั้งวันเหนื่อยไหม คำถามที่ทำให้หัวใจละลายได้เสมอ
เหนื่อยสิ หิวด้วย มีอะไรกินไหม
อือ ไม่มี แต่มีข้าวกับไข่ กินไหมเดี๋ยวเค้าจัดการให้
ให้ไวเลย หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว
ไม่นานเลยสำหรับการรอ ข้าวไข่ต้มแสนอร่อยจานนั้น ข้าวสวยหุงใหม่หอมกรุ่นเหยาะน้ำปลาเค็มปะแล่ม ๆ ไข่ต้มบี้ ๆ คลุกข้าวสีเหลือง กินไปมองหน้าคนปรุงยิ้มไป อาหารง่าย ๆ ที่อร่อยจนไม่อยากจะแลกกับอะไร
************************************************************************
ฉันหวังว่าข้าวไข่ต้มวันนี้ มันจะอร่อยเหมือนวันนั้น ข้าวสุกคลุกน้ำปลา คลุกไข่ เหมือนเดิมกับที่ใครบางคนคลุกให้ ฉันตักข้าวเข้าปากคำแรก รู้สึกปร่าที่ลิ้นวันนี้ข้าวไข่ต้มจืดชืด ฉันเติมน้ำปลา
ลงไปอีก เติมลงไปอีก เค็มจนขม ไม่ว่าจะคำไหนก็ไม่อร่อย ฉันผลักจานข้าวให้ห่างออกไป ข้าวกระเด็นจากจานลงเปื้อนพื้น กลิ่นน้ำปลาเหม็นกระจาย แต่ฉันไม่รับรู้ ฉันรู้แต่ว่าข้าวมัน
ไม่อร่อย มันเจ็บตรงหัวใจ เจ็บจนน้ำตามันไหล ภาพวันนั้นยังแจ่มชัดเหลือเกิน ไม่มีวันลบเลือนภาพวันรับปริญญา วันที่ฉันน่าจะมีความสุขที่สุด มันกลับมีความทุกข์ที่สุดเช่นกัน
เขายื่นดอกไม้ช่อสวยให้ฉัน
สำหรับคนเก่ง เขาบอกอย่างนั้น
ขอบคุณนะ อือ เป้งมาทางนี้หน่อยสิ พ่อกับแม่เค้ารออยู่ตรงโน้นน่ะ ไปไหว้ท่านหน่อยไหม
อ้อย ไม่ดีกว่ามั๊ง
อ้าวทำไมล่ะ
เรามีเรื่องอยากจะบอกอ้อยน่ะ เราเลิกคบกันเถอะ
เลิกคบเหรอ มันเกิดอะไรขึ้น
เขาไม่ตอบกลับอุ้มเด็กคนหนึ่งเข้ามาใกล้
น้อง คิง สาธุ แม่ทูนหัวสิลูก
เป้ง หมายความว่ายังไง
เราไม่สามารถหลอกอ้อยได้อีกต่อไป เรามีครอบครัวแล้ว
เราขอโทษ
ขอโทษ นายทำได้ดีที่สุดแค่นั้นใช่ไหม นายออกไปเลย นายจะไปไหนก็ไป ไป
ฉันออกปากไล่ กลั้นน้ำตาไว้เต็มที่ ในเวลาอย่างนั้นฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทน ชีวิตฉันยังต้องก้าวต่อไป พ่อแม่พี่น้องที่อยู่ตรงนั้นจะเห็นน้ำตาฉันในวันที่พวกเค้ากำลังมีความสุขไม่ได้ ฉันกำมือแน่น เล็บที่จิกลงไปในเนื้อทำให้รู้สึกเจ็บแต่ฉันก็ไม่ยักกะรู้สึก เจ็บที่มันกินอยู่ในใจมันเจ็บกว่าบาดแผลใด ๆ ที่เกิดขึ้น
*************************************************************************
นานนักแล้วสินะกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฉันยังยืนอยู่ได้ลำพังโดยไม่มีเขาหรือใคร แต่บางสิ่งบางอย่างมันไม่เคยจางจากไปในความทรงจำ ไม่ว่านานเท่าใดก็ตามฉันก็ยังจำมันไว้ทั้งที่รู้ว่ามันเจ็บ เจ็บเหลือเกิน เจ็บกว่าการตายจากกัน
ฉันนั้นไร้ความหวัง ฉันนั้นไร้จุดหมาย ...วันที่เธอไปจากฉัน
ฉันเหมือนไร้ชีวิต กัดฟันก้าวข้ามผ่าน พ้นจากวันนั้นมา
เหมือนฉันนั้นหายดีแล้ว แต่ยิ่งเดินไกลเท่าไร สุดท้ายฉันก็ยิ่งได้รู้
*เจ็บกว่าการไม่มีความหวัง ก็คือการไม่ลืมความหลัง
เท้าก้าวเดินไป แต่หัวใจหยุดตรงนั้น
เธอรู้ไหมการคิดถึง คนที่ไม่มีทางพบกัน
นั้นปวดร้าวและทรมานเหลือเกิน
ทุกคืนที่หลับตา ทุกวันที่ตื่นมา ยังไม่เคยลืมได้สักครั้ง
ทั้งๆที่ก็รู้ต้องเจ็บและต้องร้าวราน ฉันก็ยังคิดถึงเธอ
พรุ่งนี้ที่ไร้จุดหมาย อาจเขียนขึ้นมาได้ใหม่ แต่จะลบวันวานอย่างไร (*) (*)
บทเพลงนี้ช่างตรงกับฉันตอนนี้เหลือเกิน ใครกันนะช่างแต่งช่างปั้น เอาชีวิตจริง ๆ มาล้อเล่น ฉันนึกถึงเนื้อเพลง ร้องมันออกมาเบา ๆ เพื่อซับน้ำตาที่หยดไหล จนน้ำตาแห้งเหือดไปแล้ว แต่ใจฉันยังไม่ลืม ฉันมองไปยังข้าวไข่ต้มจานนั้น มันหกกระเด็น เหม็นหึ่งด้วยกลิ่นน้ำปลา ถึงเวลาเก็บกวาดมันแล้ว ฉันลุกขึ้นหยิบไม้กวาดและไม้ถูพื้นเตรียมพร้อมจะเก็บกวาด และฉันจะทำอย่างนี้
เสมอ ๆ เวลาใดก็ตามที่นึกถึงมัน ถึงเวลาเก็บกวาดแล้ว กวาดมันให้เกลี้ยงไปถึงหัวใจและความทรงจำ เพื่อลบมันออกไป
เจ็บกว่าการไม่มีความหวัง ก็คือการไม่ลืมความหลัง
เท้าก้าวเดินไป แต่หัวใจหยุดตรงนั้น
เธอรู้ไหมการคิดถึง คนที่ไม่มีทางพบกัน
นั้นปวดร้าวและทรมานเหลือเกิน
มันปวดร้าวและทรมานเหลือเกิน