27 มกราคม 2549 19:25 น.
ร้อยฝัน
ฉันอมยิ้มเมื่อเห็นแม่ลูกจูงมือกันผ่านหน้าร้าน แว่วเสียงลูกสาวอ้อนแม่ แว่วให้ได้ยิน
"คุณแม่ขา น้องขวัญอยากกินไอติม"
"เดี๋ยวนะลูก วันนี้หนูยังเป็นหวัด ยังกินไม่ได้จ๊ะ ไว้วันหลังหนูหายแล้วแม่จะพามากินดีไหม"
" แต่น้องขวัญหิวไอติม เดี๋ยวนี้นี่แม่ ไม่ได้หิววันพรุ่งนี้ซะหน่อย"
"แล้ววันนี้น้องขวัญเป็นหวัดด้วยไม่ใช่เหรอลูก ถ้าหนูกินไอติมวันนี้ วันพรุ่งนี้แม่พาไปหาลุงหมอนะ
ตกลงไหม"
"ไม่เอาค่ะแม่ งั้นน้องขวัญไม่กินไอติมแล้ว ไม่ไปหาลุงหมอนะคะ"
"จ๊ะ ถ้าน้องขวัญไม่เป็นไข้ก็ไม่ต้องไปหาลุงหมอ ไปเถอะจ๊ะคุณพ่อรออยู่นะ"
แม่ลูกเดินผ่านไปแล้ว ฉันออกมาชะเง้อดูผู้คนที่หน้าร้าน ถนนสายนี้เดิมเคยคึกคักด้วยผู้คน มาจับจ่ายใช้สอยของกินของใช้ แต่ในสมัยนี้ ถนนสายนี้ดูเงียบเหงาซบเซาขึ้นทุกวัน เพราะมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่สร้างขึ้นใหม่ทดแทนแผงต่าง ๆ ในตลาดสด แล้ว ร้านค้า แผงลอยธรรมดาไหนเลยจะสู้ห้างสรรพสินค้านั้นได้ ตลาดแห่งนี้ก็คงเป็นได้แค่เพียงทางผ่านเพื่อใช้แก้ขัด ยามที่ไม่มีเวลาแวะไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเท่านั้น
ฉันมองร้านไอติมของตัวเองอีกครั้ง พลางนึกว่าวันไหนหนอสูตรไอติมอันเก่าแก่จากยาย จากแม่ จะหายไป หรือมันจะคงอยู่ที่ฉันเป็นรุ่นสุดท้าย
แม่หวาน แม่หวาน ไปห้างฝั่งนั้นหน่อยไหม เห็นว่าวันนี้เค้ามีการลดกระหน่ำ ซัมเมอร์เซล ด้วยนะ เสียงแม่วาดร้านขายขนมที่อยู่ติดกันชวน
เอ ลดกระหน่ำ ซัมเมอร์เซล มันลดมากขนาดไหนหรือ มากกว่าร้านอาโกรึเปล่าล่ะ
โอ้ย เมื่อวานนังแหวน มันไปซื้อน้ำปลา น้ำตาลมา ถูกกว่าร้านอาโกอีกนะ ร้านอาโกวขวดละตั้ง 23 บาท ที่ห้างเค้าขาย 21 บาทเอง น้ำตาลก็ถูกกว่าโลละ 2 บาทน่ะ
จ๊ะ แล้วซื้อมาแล้วเค้ามาส่งให้เหมือนโก รึเปล่าล่ะ
อ๋อ นังแหวนมันเหมารถตุ๊ก ๆ มาน่ะ เค้าไม่มาส่งหรอก ลูกค้าเค้าออกพรื่ด มาส่งไม่ไหวหรอก
จ้า ถ้ารวมค่ารถกับค่าของที่ซื้อมาแล้วน่ะ มันถูกกว่าร้านอาโกจริงหรือจ๊ะ แล้วก็ต้องลากต้องขนเอง
ไม่ใช่เหรอ แม่วาดไปเถอะจ๊ะ ฉันมันชอบสบายซื้อร้านอาโกน่ะดีแล้ว เป็นการช่วยเหลือกันด้วย
ไงซะร้านฉันก็ซื้อของจากอาโกตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายแล้วล่ะ ขอบใจแม่วาดนะที่บอก
พิลึกคนนะแม่หวาน สมัยนี้เค้าเปลี่ยนไปแล้วอย่ามุดอยู่แต่ในกะลานักเลยน่ะ
ช่างฉันเถอะ กะลาฉันอบอุ่นสบายน่าอยู่ที่สุดนี่นา ไปเถอะจ๊ะเดี๋ยวช้าไม่ทันของลดนะ
แม่วาดคงจะไปซื้อของที่ห้างแล้ว ฉันเดินแกร่วหน้าร้าน ไม่มีลูกค้า ฉันรออย่างมีความหวังวันนี้คงได้กำไรบ้างห้าบาทสิบบาท ไว้ต่อชีวิตในวันต่อไป
หลายชั่วโมงผ่านไปไม่มีใครเลยที่จะแวะผ่านมา ซื้อไอติมฉัน มันเป็นอย่างนี้มานานนับเดือนแล้วเงินทุนก็เริ่มร่อยหรอ เด็ก ๆ แถวนี้มักจะแวะเวียนมาที่ร้านในตอนเย็น ใครมีเงินก็ซื้อห้าบาทสิบบาท ใครไม่มีเงินก็แจกฟรี แต่การแจกฟรีมักจะมากว่า เพราะยังไง เด็ก ๆ รู้ฉันต้องแจกให้ไอติมหมด ให้เด็กกินยังดีกว่า
เททิ้ง ฉันคิดอย่างนั้น
หลายวันต่อมา ฉันไม่ทำไอติมอีกเพียงแต่มานั่งแกร่วหน้าร้าน
แม่หวาน แม่หวาน ที่ห้างเค้าให้ประมูลร้าน ในร้านอาหารน่ะ ฉันว่าจะลองไปดูนะ ขายยังงี้ไม่ไหว คนเค้าไม่กินกัน เดี๋ยวนี้เค้าเข้าไปกินในห้างกันแล้ว ไอ้ลูกชายชั้นมันบอกว่า ขายข้างถนนทั้งฝุ่น ทั้งควัน ทั้งร้อน ไม่มีใครเค้าอยากกินหรอก ไปดูกันไหมล่ะเผื่อได้ไปขายในห้างโก้ไม่หยอกนะเอ็ง
ไปดูก็ดีเหมือนกันนะ แม่วาด ฉันก็ปิดร้านแล้ว เผื่อมีอะไรดีขึ้น ไปกันเถอะ
เออ ไป ๆ
ในห้างผู้คนเดินขวักไขว่ ต่างก็เลือกซื้อหา สิ่งของที่ตนเองต้องการ ไม่มีการแวะทักทายคุยกันเหมือนดังร้านรวงข้างถนน ฉันรู้สึกหดหู่ใจ หรือว่ายุคสมัยของฉันจบสิ้นลงแล้ว ฉันอยู่ในกะลาจริง ๆ หรือ
ฉันกับแม่วาดเค้าไปห้องประมูล ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างหวังที่จะได้มาขายสินค้าในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ รวมทั้งฉัน แม่วาด และคนอื่น ๆ ในตลาดที่คุ้นเคยกัน ต่างคุยกันถึงเรื่องราคาค่าเช่า เรื่องค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แต่สิ่งที่คาใจฉันมากที่สุดคือ จะหาเงินจากที่ไหนมาเช่าทำร้านไอติม
โก โก อยู่รึเปล่าจ๊ะ
ว่ายังไงล่ะแม่หวาน วันนี้จะเอาอะไรรึ
โก โกพอจะมีเงินให้ฉันหยิบยืมสักสามหมื่นรึเปล่า ฉันจะเอาไปลงทุน
แม่หวานจะย้ายร้านไปไหนรึ ตรงนี้มันเป็นไง
ฉันว่าจะไปเปิดร้านในห้างน่ะโก ตรงนี้ไม่มีคนมากิน ฉันจะหมดตัวอยู่แล้ว
เอ้อ แม่หวาน ถ้าแม่หวานไปขายในห้างใครจะซื้อของฉันล่ะ ฉันคงไปส่งของไม่หวานในห้างไม่ได้ ฉันก็คงเลิกเหมือนกันล่ะนะ เอาล่ะเงินน่ะพอมี เห็นทีฉันจะต้องเปลี่ยนอาชีพจากขายของชำ เป็นเถ้าแก่เงินกู้ซะมั๊งนะ เสียดายร้าน นะแม่หวานนะ เราทำมาหากินตั้งแต่ปู่ย่าตาทวดแล้ว ว่า ก็ว่าเถอะ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ขอแค่อยู่รอดก็พอแล้ว
จ๊ะโก ฉันต้องทำไงบ้าง
แม่หวานทำสัญญา เอาร้านน่ะค้ำประกันไว้ แล้วก็เอาเงินนี้ไปเถอะ ขอให้โชคดีนะแม่หวาน ขายของล๊อตนี้พร่องฉันก็คงต้องเลิกขายแล้วล่ะ ร้านเล็ก ๆ อย่างเรามันสู้ห้างสรรพสินค้าไม่ได้ เอาเถอะช่วยบอกข่าวพวกเราหน่อยก็แล้วกัน ใครต้องการเงินกู้มาหาฉัน ฉันคิดดอกไม่แพงเหมือนคุณนายบ้านโน้นหรอก คนเคย
ช่วย ๆ กันมาก็ช่วยกันไป
ขอบคุณค่ะ โก หนูจะพยายามส่งทั้งต้นทั้งดอกให้ครบทุกเดือนจ๊ะ
ไปเถอะ ขอให้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่านะแม่หวานนะ
ฉันยกมือไหว้อาโก แล้วเดินจากมา ในใจก็คิดว่า ร้านของอาโกนอกจากจะขายของให้ฉัน ยังบริการส่งของ เก็บของให้ ในยามยากไร้ ยังสามารถหยิบยืมเงินทุนได้อีก แล้วห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ที่ฉันจะเข้าไปขายไอติมนั้นมีบริการแบบนี้รึเปล่าหนอ ฉันได้แต่ยกมือท่วมหัว สาธุขอให้ใจดีเหมือนอาโกเถอะ
21 มกราคม 2549 13:28 น.
ร้อยฝัน
กริ๊ง ๆ ๆ ๆๆๆ เสียงโทรศัพท์ดัง ฉันเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาดูหมาย
เลขที่ปรากฎขึ้น แม้จะคุ้นเคย แต่ก็กดทิ้งไปไม่รับสาย
กริ๊ง ๆ ๆ ๆๆๆ ดังอีกครั้ง กดทิ้ง
กริ๊ง ๆ ๆ ๆๆๆ กดทิ้ง
กริ๊ง ๆ ๆ ๆๆๆ กดทิ้ง
มอว ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเสียงที่ฉันใช้เวลาที่มีข้อความเข้ามา ฉันกดดูข้อความอย่างเซ็ง ๆ
" ไอ้เวร แกเอาเห็ดกระด้างทำหูรึไง ทำไมไม่รับโทรศัพท์ เชนทร์โว้ย"
ฉันยิ้ม เจ้าเพื่อนคนนี้มักจะทักทายในวันที่ฉันไม่อยากรับโทรศัพท์เสมอ เออน่าวันนี้คุยกะมันสักหน่อยท่าจะดี
"หวัดดีเชนทร์ วันนี้เกิดอาเพศเหรอถึงโทรถึงฉันเนี่ย"
"เออ ก็เห็นขึ้นเอ็มไว้ แค่วันนี้เท่านั้นที่ฉันจะร้องไห้ อยากรู้มีใครตายรึเปล่า ทำไมใช้ชื่อน่าถามยังงั้นวะ"
"ไม่มีใครตายหรอก ฉันอยากเรียกร้องความสนใจมากกว่า"
" แกเหรออย่ามาอำฉัน ฉันรู้จักแกน่า แกเป็นอะไร"
" เป็นคน"
"ไอ้เวร ที่ถามเนี่ยเป็นห่วงจริ๊ง จริง เป็นอะไรไปวะ หือ "
" ก็มีปัญหาบ้างนะ แต่ก็ไม่มีอะไรแล้ว ฉันน่ะมันตุ๊กตาล้มลุก หายห่วงน่า"
"ฉันเชื่อ แกน่ะตุ๊กตาล้มลุก แต่ถึงกับไม่ยอมรับโทรศัพท์เนี่ยตุ๊กตาอย่างแกมันน่าจะเป็นตุ๊กตายมากกว่ามั๊ง มีเรื่องอะไร"
" ก็มีปัญหาเรื่องงานบ้างอะนะ แกก็รู้ฉันคิด ฉันทำเหมือนคนอื่นเค้าเมื่อไหร่ ช่างเหอะ ฉันจะคิดใหม่ทำใหม่ ใครทำไงก็ทำงั้นแหละ แปลกแยกมันลำบากถึงแม้จะจำใจบ้างก็ต้องทนวะ ประเทศชาติไม่ใช่ของเราคนเดียวนี่หว่า"
" เออ ประชดเข้าไป แกเคยฟังนิทานเรื่อง กบหูหนวกไหม
จะเล่าให้ฟัง "
แล้วเชนทร์ก็เริ่มเล่า โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากฉันสุดท้ายก็ต้องนิ่งฟัง เลยตามเลย
ในบึ้งกว้างกลางเมืองใหญ่ มีการแข่งขันปีนเสาไฟฟ้าของเหล่ากบเพื่อหาผู้นำฝูง มีกบหลายตัวที่เข้าร่วมการแข่งขัน ต่างก็มุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงยอดเสาไฟให้ได้ เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้นเหล่าบรรดากบนั้น ก็พยายามปีนป่ายเสาไฟ
บ้างก็เหยียบกันร่วง บ้างก็แรงไม่พอตกลงมาก่อน บางตัวได้ยินเสียงเชียร์ของกบที่อยู่ด้านล่าง ก็ฮึดสู้ปีนป่ายต่อไป จนกระทั่งผ่านไปนานเหลือกบเพียง
สองตัว ตัวหนึ่งเป็นกบที่แข็งแรงสมบูรณ์ แต่อีกตัวเป็นกบผอมกะหร่องเหมือนกบเป็นโรค กบทั้งสองตัวก็พยายามจนสุดความสามารถ เสียงเชียร์ที่ดังมาจากบึงทำให้กบที่แข็งแรงฮึดสู้ แต่สักพักมันแหงนหน้าขึ้นมองเสาไฟ ยังเหลืออีกไกลนัก มันจึงรูดตัวลงมาแล้วยอมแพ้ เหล่ากบบ้างก็ส่งเสียงเชียร์ บ้างก็บ่น บ้างก็ตำหนิกบขี้โรค ตัวนั้น แต่มันก็ไม่ได้สนใจอะไร และยังปีนเสาไฟเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงยอดเสาไฟ ฝูงกบโห่ร้องอย่างดีใจ มันมีผู้นำที่เก่งกล้าสามารถ
และมีความวิริยะอุตสาหะ เป็นเยี่ยม มันจึงได้รับยกย่องว่าเป็นผู้นำแห่งกบ แต่กบตัวนั้นมันก็มิได้ดีใจ มันกลับกระโดดลงน้ำไป ดำผุดดำว่ายอย่างที่มันเคยทำ
จบแล้วเหรอ นิทานของแก ไม่สนุก
อื้อ จบแล้ว แล้วแกรู้ไหม ทำไม กบขี้โรคตัวนั้นจึงชนะ
มันอดทน แล้วก็มีมานะ เท่านี้ใช่ไหมที่แกจะบอกฉัน
อื้อ อีกเหตุผลนึงที่ทำให้มันชนะ ก็คือ กบตัวนั้นหูหนวก
งั้นเหรอ แล้วทำไมมันถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้นำแห่งกบล่ะ
แกถามตัวเองสิ ทำไมแกถึงเลือกทำงานที่แกพอใจ มากกว่าตำแหน่ง
ใหญ่ ๆ ที่เค้ายื่นให้ ทั้งที่แกมีโอกาส
อือ
ที่แกทำ มันดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ท้อทำไม สิ่งที่เกิดขึ้นแกอย่างมองว่ามันเป็นผลร้ายของการทำดีสิ แกลองมองสิว่ามันเป็นอุปสรรคของการทำดีตังหาก ลุกได้แล้วยัยตุ๊กตา แกทำได้ ฉันเชื่อแก
อือ ขอบใจมากเชนทร์
วันหลังโทรศัพท์น่ะ ไม่ใช่สากกะเบือร้องได้นะเว้ย มีปัญหาอะไร
บอกเพื่อน
อื้อ ไงก็ขอบใจมาก สบายใจแล้วล่ะ
เก็บคำขอบใจของแกไว้เลย วันเสาร์หน้าขอหนึ่งเมา ค่านิทานโว้ย
ไอ้ เ....ห้...................
โทรศัพท์ ตัดไปแล้ว เพื่อน คำนี้ ไม่รู้จะนิยามอย่างไร ไม่มีความหมายที่ชัดเจน แต่รู้ว่าหลังจากรับโทรศัพท์มันแล้วนั่งยิ้ม นึกถึงกบตัวนั้น อดทน
มีมานะ และหูหนวก ฉันจะทำได้อย่างมันไหม ฉันอยากเป็นกบตัวนั้น