14 มิถุนายน 2546 18:30 น.

วันดวล

ราม ลิขิต

อากาศบ่ายควายกำลังดี รวยรินของลมทุ่งเย็นชื่นฉ่ำ ส้มสลับแดงของผีตากผ้าอ้อมดูเลื่อมพราย  แว่วเสียงวิหคนกการ้องกันเซ็งแซ่อยู่บนยอดไม้สูง..ถ้าไม่ติดกลิ่นคละคลุ้งของขี้หมูที่อวลปะทะฆานประสาทอยู่เป็นระยะๆแล้ว ผมว่ามันคือสวรรค์บนดินดีๆนี่เอง
         สวัสดีลุงเผย ทำอะไรง่วนเชียว
         ผมถาม ก่อนเสือกหัวมอเตอร์ไซด์เข้าใต้ต้นขนุน 
         ถ้าหมอมาเรื่องนั้นละก็ ไม่ต้องมาคุยกับผม
         แกพูดโดยไม่หันหน้ามามอง คงเห็นผมตั้งแต่ตอนเลี้ยวรถเข้ามาแล้ว
         เรื่องอะไรหรือ 
         ผมกล่าวกลั้วหัวเราะ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนแคร่อย่างไม่ต้องเชื้อเชิญ
         ก็ที่ไอ้คนแถวนี้ มันไปร้องเรียนที่อำเภอนะซิ
         ร้องเรียนเรื่องอะไรล่ะ
         คราวนี้แกหันมาจ้องหน้า
         หมอไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้
         ผมจะมาชวนลุงกินเหล้า ผมพูดไปคนละทิศละทาง นี่อุตส่าห์ข้ามคลองไปซื้อไอ้นี่ของตาหลอมาเลยนะ 
         ผมชูถุงพลาสติคที่บรรจุน้ำใสอย่างตาตักแตนสองถุงใหญ่ให้แกดู เห็นลูกกระเดือกของแกวิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่ไหวๆ
         ได้ข่าวมานานแล้วว่า ลุงน่ะคอทองแดง ตัวผมเองก็อย่าหาว่าคุยเลยนะ ไม่เคยแพ้ใครเหมือนกัน จะขอประชันฝีมือกับนักเลงตัวจริงดูสักหน่อย
         คราวนี้สีหน้าแกดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
         ถ้าเรื่องนี้ละก็ คุยกันได้

         แล้ววงของเราก็ตั้งขึ้นอย่างง่ายๆบนแคร่หน้าเล้าหมูนั่นเอง แดดร่มลมตกอย่างนี้เหมาะนักกับการร่ำสุรา ตาเผยตะโกนเรียกลูกชายวัยรุ่นที่กำลังให้อาหารหมู ให้ออกมามาจัดสำรับกับแกล้ม
         ตามมีตามเกิดนะหมอ มียำกบ ต้มยำตะพาบแล้วก็ผัดเผ็ดกระจง ทำไว้แต่วาน คงพอกินได้กระมัง
         แกพูดเรื่อยๆ ขณะเทสุราเถื่อนใส่แก้วเปื้อนคราบขุ่น ผมยิ้มแหยๆ เพราะไม่ค่อยถูกชะตากับเหล่าสัตว์ประหลาดสักเท่าไร
         แค่นี้ก็หรูแล้วล่ะลุง ผมกินได้
         การสนทนาของเราเป็นไปได้ด้วยดี ออกรสออกชาติและสนุกสนานเพิ่มขึ้นทุกขณะ  น้ำเมาของหลอ สุรารินนับว่ายอดเยี่ยมกระเทียมดองสมคำร่ำลือจริงๆ นับว่าไม่เสียยี่ห้อที่ดังกระหึ่มโรงพักมาหลายครั้ง 
         กินกันกลางทุ่งกลางเถื่อนอย่างนี้ ต้องไม่เรื่องมาก แก้วก็ใช้มันใบเดียวเวียนกันไป กับแกล้มก็ใช้ช้อนกลางเก่ากลางใหม่คันเดียวกันเหวี่ยงเข้าปาก บาดคอนักก็ซดน้ำฝนในขันใบใหญ่ตบตูด สุโขสโมสรอย่างนี้ ผมถึงกับเห็นขนุนใหญ่ส่ายสะโพก ยิ้มแฉ่งให้เลยล่ะครับ
         ปีนี้เงาะเป็นไงมั่งลุง 
         ผมถามก่อนกระดกเหล้าครึ่งแก้วหายวูบลงคอ ยกแขนเสื้อขึ้นป้ายปาก และผายลมหายใจออกมาดังฮ่าอย่างเอร็ด
         ไม่เป็นไงหรอก ดกดีทุกต้น
         แกพูดหน้าตาย ผมถึงกับหัวร่อร่า 
         แล้วราคาล่ะดกดีด้วยหรือเปล่า
         ถุย แกถ่มน้ำลายลอยไปไกลสามวาสี่ศอก ดีกะผีอะไรหมอ ถูกยิ่งกว่าขี้ไอ้ลูกๆผมเสียอีก ปากบุ้ยไปที่เล้าหมู โลละหกสลึง แพงกว่าสายสองหลึงผมหน่อยเดียว
         เอาแล้วไง พอหน้าเริ่มแดง ปากก็เริ่มดีด
         สายสองสลึงลุงยังอยู่อีกเหรอ ผมแหย่บ้าง
         ยังอยู่ หมอจะดูหรือเปล่าล่ะ แล้วแกก็ยงโย่ยงหยก ทำท่าทำทาง จนผมต้องโบกไม้โบกมือห้ามเสียงหลง
         เชื่อแล้วๆ นั่งลงเหอะ 

         ค่ำลงคาตา ชายทุ่งบริเวณนั้นเลือนสลัว ชาวบ้านที่กลับจากเรือกสวนไร่นา เดินคุยงึมงำเป็นกลุ่มๆ มาตามทางลูกรังเพื่อกลับคืนเคหสถาน เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆเป็นระยะ  บางคนตะโกนโหวกเหวกทักทายเข้ามาที่ก๊วนของเรา ซึ่งเปิดไฟแดงโร่เห็นเด่นอยู่ในความมืด บางคนก็วิสาสะเข้ามานั่งโจ้ด้วย ครั้นได้คนละกรึ๊บสองกรึ๊บก็จากไป ชีวิตคนบ้านนอกก็เป็นเช่นนี้เอง รู้จักกันแต่หัวบ้านยันท้ายบ้านและไม่มีพิธีรีตรอง
         ได้ยินเสียงคนรดน้ำดังซู่ๆ ตาเผยซึ่งแก่ดีกรีพอสมควร หันไปตะโกนถาม
         อ้าว! ไอ้ผุยเอ็งจะไปไหนแต่หัวมืดเชียววะ
         วันนี้มีงานวัดไง ฉันนัดกับเพื่อนไว้
         อ้อเหรอะ! งั้นเอ็งแวะไปบอกแม่เอ็งที่บ้านในทีนะว่าข้าค้างที่นี่ แล้วก็เวียนไปบอกไอ้พวกลูกคู่ข้าให้มานี่ด้วย
         เอากี่คนล่ะพ่อ
         เอามาหมดนั่นแหละ 

         ไม่ถึงสิบนาทีเจ้าผุยก็หล่อออกไปกับมอเตอร์ไซด์ค้นเก่ง จากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงก็มีคนสี่ห้าคนเดินเข้ามาร่วมวง ส่วนใหญ่รู้จักกับผมแทบทั้งนั้น เพราะเห็นหน้าค่าตาตอนเจ็บไข้ได้ป่วยที่สถานีอนามัยอยู่บ่อยๆ
         เอ้า-นั่งๆ ว่ากันคนละจิบก่อน 
         ตาเผยกระดืบก้นเบี่ยงให้มีที่ว่าง ผมก็ขยับร่นออกไป 
         วันนี้นึกไงล่ะไอ้เผย ถึงนั่งเฉิ่มเหล้าอยู่กะหมอเขานี่ ใครคนหนึ่งเอ่ย
         ข้าไม่ได้นึก หมอต่างหากแกนึก แกว่าตามตรง 
         แล้วให้พวกข้ามาทำไมล่ะ
         มาเป็นพยาน..หมอจะดวลกะข้า
         เสียงร้อง ฮ้า จากชายห้าคนดังขึ้นพร้อมกัน
         จะไหวเร้อไอ้เผย เอ็งแก่งั่กปานนี้ หมอเตะทีเดียวก็งอขี้กล้องแล้ว
         ตาเผยทำคอย่น
         ไอ้บ้า ดวลเหล้าโว๊ย ไม่ใช่ต่อยกัน
         ทั้งวงเฮกันครืน ผมเองซึ่งออกจะมึนอยู่ไม่ใช่น้อย ชักนึกสนุกไปด้วย
         ใช่! ผมได้ยินกิตติศัพท์ว่าลุงเผยแกคอแป๊บ เลยอยากท้าชนแก้วหน่อย จะได้รู้กันว่าแป๊บเหล็กหรือแป๊บเดียว
         จะดีรื้อหมอ ใครอีกคนทำเสียงปราม ไอ้เผยนี่ก่อนมาเลี้ยงหมูมันก็แอบต้มเหล้าขายแข่งกะไอ้หลอ เพิ่งจะเลิกไปเมื่อนี่ๆเอง
         ฮะ-งั้นวันนี้ก็สวยซิ ผมก็กินเหล้าเป็นแต่ออกมาจากท้องแม่เหมือนกัน
         ตาเผยเหลือบมองมาที่ผมแว่บหนึ่ง ดวงตาฉายแววครุ่นคิดลึกซึ้ง
         เอางี้มั้ยหมอ น้ำเสียงของแกแจ่มชัด ไม่ส่อแสดงว่าจะมึนเมาแต่ประการใด ดวลกันทั้งทีมันต้องมีเดิมพันติดปลายนวมกันหน่อย ม่ายงั้นไม่สนุก 
         ผมหรี่ตามองไปที่เผย พิสดารอย่างคาดคะเน นึกในใจว่าเสือเฒ่าตัวนี้จะมาไม้ไหน แต่ปากก็หลุดออกไปว่า
         เอ้า-ว่ามาเลยลุงเผย ผมได้ทั้งงั้นแหละ
         พวกเอ็งเป็นพยานนะ ตาเผยพูดกราดไปทั่ววง ก่อนหันมาทางผม ผมรู้ว่าหมอมาทำไม แกกระทุ้งตรงนี้ลงไปแบบเน้นๆ คนชอบๆกันก็ไม่อยากให้เสียน้ำใจ เอาเป็นว่าคืนนี้ถ้าหมอแพ้ผม หมอพาผมกะไอ้พวกนี้ไปเลี้ยงที่คาราโอเกะตรงเนินนี่ แต่ถ้าผมแพ้หมอจะให้ผมทำอะไรก็ว่ามา
         ประโยคง่ายๆประโยคเดียว แต่พาลให้ผมคิดได้ร้อยสีพันอย่าง แบบไม่คิดอะไรเลยก็คิอ ทำไมมันง่ายอย่างปอกกล้วยเข้าปากปานนี้ แต่แบบคิดจนหัวแทบผุก็คือ เอ็งจะเอายังไงกะข้าแน่หวาตาเฒ่า แต่หลังจากคิดสะระตะจนรอบด้านดีแล้ว ผมก็ตัดสินใจ
         ได้เลย-กติกาว่ายังไง
         ไม่มีอะไรมากหมอ ผลัดกันซดเหล้าไอ้หลอครั้งละครึ่งแก้ว ใครอ้วกก่อนแพ้
         แค่นี้เอง
         แค่นี้แหละ

         แค่นี้ก็คือแค่นี้ เป็นประสาซื่อแบบเราชาวลูกทุ่ง ห้าพยานปากเอกต่างขยับตัวให้วงกว้างขึ้น หนึ่งในนั้นอาสาเป็นคนรินสุราให้ 
         หลังจากโยนหัวก้อย ปรากฏว่าผมต้องเป็นคนดวดคนแรก 
         ผมยื่นมือไปรับแก้วที่มีเจ้าน้ำใสปานกระจกมาถือในมือ ตามองไปที่ตาเผยเขม็ง ใจก็นึกไปถึงทฤษฎีการขับถ่ายแอลกอฮอลล์ออกจากร่างกายที่ว่า ส่วนใหญ่จะถูกขับออกทางปอด ฉะนั้นคนที่กินสุราหากยิ่งพูดมากจะยิ่งเมาน้อย นอกจากนั้นการกินกับแกล้มให้มากเข้าไว้ ก็จะยิ่งยับยั้งการดูดซึมของแอลกอฮอลล์ให้ช้าลงอีกโสตหนึ่งด้วย 
         นี่แก้วที่หนึ่ง-ลุงเผย
         ผมเทเจ้าน้ำตาตั๊กแตนวาบเดียวลงคอ โดยไม่ให้มันแตะลิ้นแม้แต่น้อย ใจก็นึกถึงคุณพระคุณเจ้าไปต่างๆนาๆ  ความร้อนแรงของดีกรีผ่าววูบลงไปเป็นทาง ตั้งแต่ริมฝีปาก จนจรดกระเพาะ 
         ตาลุงแล้ว
         ผมวางแก้ว มือเอื้อมไปตักยำกบใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย แผนกเติมเหล้ารีบรินสุราลงไปดังโจ๊ก ตาเผยไม่พูดพล่ามทำเพลง คว้ามาเทกร้วมเข้าปากหน้าตาเฉย
         เอ้า-ตาหมอ
         เราถ้อยทีถ้อยรินกันไปอย่างนี้ กระทั่งเข้ารอบที่ยี่สิบ ความรู้สึกอึดอัดแน่นท้อง และความคลื่นเหียนที่โคนลิ้น ก็เข้าจู่โจมผมจนแทบตั้งตัวไม่ติด เพียงแค่มือแตะแก้วเท่านั้นผมก็อาเจียนโอ้ก พุ่งเป็นลำออกไปอย่างเหลือกลั้น 
         หมอแพ้ ตาเผยเอ่ยออกมาอย่างผู้ชนะ
         ถ้าถามผมว่าเมาหรือยัง หัวเด็ดตีนขาดก็ต้องตอบว่ายัง แต่เหล้าตาหลอดีกรีมันเหลือร้ายจริงๆ ขณะกำลังนึกเสียใจที่เสียงานเสียแล้ว สิงห์เล้าหมูก็พูดขึ้นมาว่า
         เอาเถอะ เหล้าป่าอาจจะไม่คุ้นเคยคอของหมอ เดี๋ยวไปที่คาราโอเกะ ผมให้หมอแก้ตัวใหม่ ดวลกันด้วยเหล้าโรงอีกรอบก็ยังไหว ม่ายจะหาหาว่าคนบ้านนี้เอาเปรียบ ว่าแต่หมอยังจะสู้อยู่หรือเปล่า กติกาเดิม ถ้าหมอแพ้พรุ่งนี้มาเลี้ยงพวกผมต่อ ถ้าผมแพ้อยากให้ผมทำอะไรก็ว่ามา
         ผมตาสว่างขึ้นมานิด เอาวะ! ยังพอมีทาง 
         ไปเลย-เราไปกัน
          
          คาราโอเกะสถานแห่งนั้นตั้งอยู่ริมทางหลวงแผ่นดิน ไกลจากที่เรานั่งก๊งกันโขอยุ่ เป็นโรงเรือนเล็กๆหลังคามุงด้วยจาก บนแนวหลังคาด้านหันออกนอกถนน พาดไฟราวหลากสีให้กระพริบวูบวาบยั่วสายตา ในคอกที่ตีกรอบด้วยไม้ระแนงแบบง่ายๆ ตั้งโต๊ะและเก้าอี้พับไว้ ๕-๖ ชุด ตู้เพลงขนาดเขื่องตระหง่านอยู่ข้างเคาน์เตอร์แคชเชียร์ แม้มันอาจไม่หรูเลิศอลังการเหมือนอย่างในตัวเมือง ไม่เย็นฉ่ำจนสะท้านผิวหนังด้วยแอร์คอนดิชั่น แต่ก็ชื่นหัวอกหัวใจด้วยลมทุ่งยามดึก ที่โชยพัดมาเป็นระยะ 
         คืนนี้ลูกค้าคงจะน้อย เพราะตอนที่เจ็ดคนเราเดินเข้าไป คำนวณเวลาไม่น่าจะต่ำกว่าสี่ทุ่ม เห็นโต๊ะทุกตัวว่างไปหมด
         สาวใหญ่หุ่นบึ้บบั้บนางหนึ่งปรี่ออกมาต้อนรับ ทว่าครั้นเห็นหัวขบวนเป็นใครหล่อนก็ถึงกับผงะ แต่พอเหลือบสายตามาพบผมซึ่งเดินอยู่รั้งท้าย ยิ้มปานกระดังงาแย้มก็สยายขึ้น เธอคือเจ้าของกิจการแห่งนี้..พริ้ง ระทวยพี่
         สวัสดีค่าคุณหมอ วันนี้ลมอะไรพัดมาถึงที่นี่ได้ค้า หวานปานจะหยดฉอเลาะเข้าใส่
         ก็ลมคิดถึงพี่พริ้งน่ะแหละ..วันนี้คนน้อยจัง
         ฮื่อ..เด็กชุดก่อนมันโยกไปที่อื่น ชุดใหม่ที่ย้ายเข้ามา มันไม่ค่อยตรงสะเป๊ค ต้องรอดูอีกชุดว่าแต่วันนี้เอาถุงยางมาแจกอีกหรือเปล่า  
         วันนี้ตั้งใจมาหาพี่อย่างเดียวไม่ได้มาเรื่องงาน ผมสาดน้ำตาลกลับบ้าง "ยังไงพี่พริ้งก็ปรามๆน้องๆไว้มั่งนา ว่าให้อยู่ร้องเพลงที่นี่กันมั่ง อย่ามัวแต่ออกไปร้องกับแขกข้างนอกกันหมด"
         ขณะที่จะสาวเท้าเข้าไปนั่งโต๊ะ เธอก็เอื้อมมือยุดแขนผมไว้ กระซิบกระซาบว่า
         ไงๆหมอต้องดูไอ้แกงค์นี้ให้พริ้งด้วย เกลียดขี้หน้าจริงๆ วันก่อนแทบจะมีเรื่องมาทีแล้ว เด็กๆไม่มีใครอยากเข้าใกล้สักคน
         ผมหันหน้ามองเชิงตั้งคำถาม ด้วยไม่รู้เรื่องมาก่อน ยังไม่ทันจะว่ากระไร เสียงของตาเผยก็ดังขึ้น
         น้องพริ้ง เอาไอ้นั่นมากลมซิ ชุดใหญ่เลยนะ แกเอ่ยชื่อบรั่นดีไทยยี่ห้อหนึ่ง  วันนี้หมอเขาถูกหวย 
         ผมแยกเขี้ยว นึกในใจว่านี่มันปากเสือหรือปากอะไรกันแน่วะ
         สาวพริ้งส่งสายตาขี้เล่นสบผมแว่บหนึ่ง ก่อนจะสะบัดก้นงอนๆ เดินไปที่เคาน์เตอร์ ปากก็ขานหวานแหววว่า
         เอาแบบลงนะหน้าท้อง..เอ๊ย!ทองด้วยหรือเปล่า

         เราเริ่มร่ำสุรากันต่อ ผมสังเกตว่า นับตั้งแต่มาที่นี่ตาเผยดูจะสลัดความสุขุมคัมภีรภาพครั้งอยู่ที่เล้าหมูทิ้งไปเสียสิ้น ดูแกจะสนุกสนานเฮฮาแบบหมดเปลือก เหล้าก็เดี๋ยวกรอกเดี๋ยวกรอก จนย่างเข้ากลมที่สี่ กับแกล้มกิน
หมดเป็นจานๆอย่างกับปอบหรือไม่ก็กระหัง 
         แล้วเราก็เริ่มร้องเพลง เขาคิดอัตราเพลงละ ๕ บาท โดยเลือกเพลงจากสมุดอัลบั้ม จดใส่เศษกระดาษ ส่งให้บริกร แล้วก็คอยวาดลวดลาย
         หลังจากผ่านไปหลายเพลงติดต่อกันจนไมโครโฟนแทบระเบิด ผมก็ออกจะฉงนเสียไม่ได้ว่า เสียงคนบ้านนอกนี่ทำไมมันดีอย่างนี้ เพลงแต่ละเพลงที่ร้องซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพลงลูกทุ่ง ไม่เพี้ยน ไม่พลาด ไม่ขาด ไม่เกิน ฟังแล้วช่าง
สบายหูเสียนี่กระไร
         จนเกือบเที่ยงคืน ตาเผยก็เริ่มอ้อแอ้ 
         เดี๋ยวนาหมอ เดี๋ยวค่อยดวล
         ผมเองความจริงก็ร่ำๆ จะสะกิดอยู่หลายครั้ง บังเอิญที่แกออกปากมาเสียก่อน
         เฮ้ย! เอาไอ้นั่นมานี่
         ตาเผยแย่งไมค์มาจากสหายคนหนึ่ง แล้วแกก็กรอกเสียงเซๆลงไปดังลั่น
         แม่พริ้งคนสวย ช่วยปิดเพลงให้เผยก่อนนะ เผยอยากจะทำอย่างอื่นมั่ง
         แล้วโดยไม่ฟังอีร้าค่าอีรม เสียงโย้หน้าโย้หลังขอแกก็กระหึ่มขึ้น

         สุนทรภู่หรือจะสู้สุนทรเผย
         จะเฉลยให้รู้ดูสักหน
         มิใช่แกล้งเป็นไม่รู้ท่านครูคน
         แต่กลอนกลเผยก็ไม่ย่อใคร

         เผยทำสวนเลี้ยงหมูรู้ไหมเหนื่อย
         ตัวแทบเปื่อยอย่ามาว่าเผยสาไถย
         ราคาต่ำจริงหนอเผยท้อใจ
         รอแม่พริ้งปลอบให้สบายตัว
                        ฯลฯ

         ผมหัวเราะหึๆออกมา อย่างอดขำเสียไม่ได้ ชายตาไปที่สาวใหญ่ เห็นกวักมือเรียกผมอยู่หยอยๆ ขณะขยับตัวให้พ้นจากเก้าอี้ ตาเผยก็เปลี่ยนแนว คราวนี้พรรคพวกที่มาต่างก็ปรบมือเป็นจังหวะร่วมวงไปกับเขาด้วย

          ชาละวันกุมภีร์   ชะหน่อละน้อล่ะหน่อล่ะน้อน้องเอยชะเอ่อเอ๋ย
          กุมภีร์ใหญ่          ชะชะชะชะ
          สถิตถ้ำอำไพ       เออเอ่อเออ
          สบายอุรา            ชะหน่อล่ะนอหน่อล่ะน้อนองเอย
                                      ฯลฯ

         นี่หมอต้องห้ามไอ้บ้าเผยนะ" พริ้งหน้างอเป็นจวัก "มันร้องยังงี้แล้วใครที่ไหนจะเข้าร้าน" 
         ทำไมล่ะ  ผมฉงน  ก็เพราะดีออก
         เพราะน่ะเพราะหรอก แต่เขาเอาไว้ร้องหน้าศพ มาร้องที่นี่ พริ้งก็เจ๊งกันพอดี
         ผมอ้าปากหวอ รีบเดินกลับมาที่โต๊ะทันที พอมีจังหวะผมก็ก็รีบยื้อไมค์ 
         พี่พริ้งและน้องๆที่รักทุกคน ผมกรอกเสียงมึนๆตัดบทลงไป จากนี้จะเป็นการประลองเหล้าระหว่างผมกับลุงเผย ขอให้ทุกคนช่วยเป็นพยานด้วยนะจ๊ะ แล้วอย่าลืมใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อยับยั้งเอดส์ด้วยจ้ะ
         แต่ตาเผยกำลังจะไป ดูท่าทางแล้ว สงสัยว่าแกจะเอาโต๊ะเป็นที่วางหัว ทว่าผมยังไงก็ไม่ยอมให้แกหนีการดวล
         ลุงเผย เงยหน้าขึ้นมา ทำงี้เสียชื่อนักเลงหมู่สี่หมด
         แกปรือตาขึ้นมองผมอย่างง่อกแง่กเต็มที
         ผมยอมแพ้แล้วหมอ ไม่ไหวกินน้ำ..เหล้าที่เล้าหมูซะพุงกาง พรุ่งนี้ค่อยมาว่ากันว่าหมอจะให้ผมทำอะไร

         ผมตื่นขึ้นมาอีกทีประมาณเที่ยงของอีกวันหนึ่ง รีบตาลีตาลานอาบน้ำอาบท่า แล้วแต่งเนื้อแต่งตัวลงมาที่สถานีอนามัย รู้สึกหัวยังมึนงงด้วยอาการเมาค้าง  
         พี่ผู้หญิงหัวหน้าสถานีทักว่า
         ไง-เมื่อคืนได้ข่าวว่า โต้กับตาเผยหลายยกเลยหรือ
         แหม! ข่าวเร็วดีจริงนะครับ
         เขาลือกันให้แซดหมดแล้ว ตาเผยแกก็เที่ยวคุยฟุ้งไปหมดว่า ที่แกยอมปรับปรุงเล้าหมู ไม่ให้กลิ่นเหม็นลอยไปรบกวนคนอื่น เป็นเพราะดวลเหล้าแพ้หมอผู้ชาย  ผมยิ้มแก้มแทบแตก รู้สึกภาคภูมิเหมือนหัวใจพองคับอก 
         แต่เธอรู้ไหม ความจริงตาเผย แกยังไงๆก็ต้องทำอยู่แล้ว มีคนไปร้องเรียนท่านนายอำเภอเรื่องเหตุรำคาญจากกลิ่นขี้หมู ท่านก็ให้ปลัดลงไป เห็นเอาตำรวจมาด้วยนี่ ทางหนึ่งท่านก็ให้สาธารณสุขเข้าไปดูแล ใช้ทั้งไม้นวมไม้แข็ง เมียตาเผยบอกว่าหลังจากคุยกับปลัดอำเภอ แกก็ขอเวลาแก้ไข ๗ วัน ถึงเราไม่ลงไปยังไงๆแกก็ต้องทำอยู่ดี เหตุรำคาญมันผิดกฏหมาย อีกอย่างแกกลัวชาวบ้านแอบเผาเล้าหมูของแกด้วย
         ผมถอนหายใจออกมาดังเฮือก ปฏิบัติงานคลาดกับทางปกครองนิดเดียว เสียเงินไปตั้งหลายพัน แสบจริงๆ..สมิงเฒ่าแห่งบ้านทุ่ง-เผย พิสดารคนนี้/.				
14 มิถุนายน 2546 18:22 น.

ล่าผี

ราม ลิขิต

คุณจะคิดเหมือนผมบ้างหรือไม่ว่า พวกคนนี่ช่างเหลือเกินจริงๆ ชอบเสียดสี เย้ยหยัน ถากถาง ก็ไม่รู้ว่ามันไปสนุกสนานที่ตรงไหน และที่สำคัญก็คือไปรู้ได้ยังไงว่าผีบ้าง สัตว์บ้างเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผมออกจะไม่เห็นด้วยเลยสักนิด ที่คนไปเอาชื่อของใครต่อใครมาใช้ โดยที่เจ้าของเขายังไม่ได้อนุญาต มันเข้าข่ายละเมิดเลยทีเดียว วันดีคืนดีถูกฟ้องร้องขึ้นมา ผมซึ่งก็เป็นคนเหมือนกัน คงอับอายขายหน้าเหล่าผีสางและผองสัตว์ จนแทบแทรกแผ่นดินหนี คงถูกย้อนเข้าบ้างล่ะว่า
         นิสัยคนมันก็เป็นเสียอย่างนี้

         พูดพล่ามมามากแล้ว เข้าเรื่องที่ผมอยากจะเล่าให้คุณฟังดีกว่า ขอเริ่มตรงที่ว่า...ในชีวิตของคนเรา ไม่ว่าจะยากดีมีจน นอกเหนือจากปัจจัยสี่แล้ว ต่างก็มีความปรารถนาที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจแทบทั้งสิ้น ใครบอกไม่มีไม่อยาก เชื่อขนมกินได้เลยว่าปากเขาไม่ตรงกับใจ คนที่อยากแบบดิบๆ ก็มักจะใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงส่งตนให้บรรลุอยาก คนที่อยากแบบสุกๆ ก็จะใช้ฝีมือบ่มตัวเองจนบรรลุฝัน แต่ไอ้ประเภทที่มีมากที่สุดก็เห็นจะไม่พ้นพวกที่ถือคติว่า การไม่มีจุดยืนคือจุดยืน นี่แหละ ผมเข้าใจเอาเองว่าพวกนี้คงตีความเรื่องทางสายกลางมาอย่างผิดๆ การสะเทินได้ทั้งน้ำและบก มันน่าจะเป็นเรื่องทางชีววิทยามากกว่า ไหมล่ะ! แอบเหน็บแนมเข้าจนได้
         
         ผมเองก็มีความอยากเหมือนกับเขาอื่นทั่วไป อย่าขำล่ะถ้าจะบอกว่า ผมอยากเจอผี ขอย้ำว่ามันไม่ใช่เรื่องโปกฮา ที่แสร้งเล่าเพื่อแก้รำคาญนะครับ ผมปรารถนาเช่นนั้นจริงๆ ถ้าให้เลือกระหว่างการได้เป็นนายกกับได้เจอผีสักครั้งในชีวิต ผมเลือกอย่างหลังดีกว่า ทำไมน่ะหรือ เหตุผลมีหลายข้อครับ แต่ข้อหนึ่งก็ดังที่เกริ่นไว้แต่ต้นนั่นแหละ ผมสงสัยมาตลอดชั่วชีวิตว่า ผีมีหน้าและอุปนิสัยใจคอเป็นอย่างไร ทำไมคนถึงได้ชอบยกมาเปรียบด่ากันนัก ไอ้ที่สร้างความงุนงงเป็นอย่างยิ่งก็คือ ด่าเสร็จก็ยกมือไหว้ปะหลกๆด้วยความหวาดกลัว ทำอย่างกับผีเหมือนคนในเครื่องแบบจำพวกหนึ่งเสียงั้นแหละ
         
         ผมเที่ยวหาตำรับตำราที่ว่าด้วยภูติผีปีศาจ ไสยเวทมนตร์ดำ พ่อมดแม่มดทุกชาติทุกภาษามาศึกษาอย่างจริงจัง ภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องทุกเรื่อง ก็เช่าม้วนวีดิทัศน์ผีมาดูแทบจะยกร้าน ครั้นมีความรู้พอตัวก็ออกตามล่าผีอย่างต่อเนื่องมาทุกปี ที่ไหนว่าดุ ว่าแน่เป็นได้เห็นหน้าผมเสนอเข้าไปเจรจาด้วยทุกครั้ง แต่ครั้นซักไซร้ไล่เรียงและซุ่มรอ ผมก็ต้องคว้าน้ำเหลวกลับมาทุกที 
         เห็นเขาว่า.....
         เป็นคำพูดยอดนิยม ที่ผมจะได้ยินจากปากคนเจอผี ครั้นตามไปถึงไอ้ตัวเขาที่ว่า เขาก็บอกว่าเขาว่ามาอีกทีเช่นกัน นั่นก็คือไม่เคยมีใครเลยที่เคยพบผีจริงๆ ยิ่งซักแบบเซ้าซี้มากเท่าไร เห็นเหงื่อไอ้คนเล่าแตกพลั่กทุกครั้ง
         ถ้าอยากเจอ ก็ไปตายซะ
         คนขี้โมโหให้คำแนะนำ
         
         หรือว่าผีจะไม่มีจริงในโลก ไม่มีคนที่ไหนเคยเจอผี หรือว่าคนกลัวความมืด จนกระตุ้นจิตใต้สำนึกให้วาดมโนภาพที่น่าหวาดหวั่นออกมา แล้วถ้าเกิดเจอผีจริงเข้า เราควรจะทักทายเขาแบบไหน ใช้ภาษาไทยกับผีชาติอื่น เขาจะฟังออกหรือไม่ เช้านี้ผีดื่มนมหรือยัง ผีจะเชิดชูนักสู้ผู้เกรียงไกรหรือเปล่า ฯลฯ ต่างๆนาๆเหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่รบกวนจิตใจผมอยู่ตลอดเวลา แต่ไอ้ที่สร้างความสับสนอย่างหนักข้อ ก็เห็นจะเป็นวินิจฉัยจากพระสงฆ์องค์เจ้านี่แหละ ตอบไม่เห็นจะตรงกันสักวัด สำนักไหนศึกษาพุทธและปฏิบัติเชิงวิทยาศาสตร์ก็จะบอกว่า ผีคือคนที่ตายไปแล้ว เป็นซากศพที่ต้องนำไปเผา ทว่าสำนักที่ศึกษาและปฏิบัติเชิงไสยศาสตร์ ก็ยืนยันว่าผีมีจริง แต่ถ้าอยากคุยด้วยต้องเสียค่ายกครูนิดหน่อย 
         
          แล้วผมจะเชื่อใคร..นั่นซิ! แล้วอาตมาจะเชื่อใครดีล่ะก็คงต้องเชื่อเหตุผลที่เกิดจากการค้นคว้ากระมัง หรือคุณว่าไง นั่งอมยิ้มเฉยอย่างนี้ ผมถือว่าคุณเห็นด้วยแล้วกันนะ ถ้าเช่นนั้น ผมจะเปิดปูมปฐมเหตุการล่าผีของผมให้ฟัง
         
          บันทึกความทรงจำนี้ย้อนหลังไปประมาณ ๒๐ ปีสมัยผมอาสาเข้าไปปฏิบัติงานอยู่ที่สถานีอนามัยในป่าแห่งหนึ่ง ยุคนั้นเป็นยุคที่เขาเอาหมึกแดงละเลงลงไปในแผนที่จังหวัดหลายจุด มีความหมายโดยนัยว่าเขต ผกค. ครับ ใช่! หมู่บ้านที่ผมสมัครใจไปอยู่ก็โดนกับเขาด้วย

         สถานีอนามัยของผมมีเจ้าหน้าที่ ๒ คน หนึ่งคือผม อีกหนึ่งคือน้องผู้หญิงต่างก็จบใหม่หมาด ไฟแรงด้วยกันทั้งคู่ และจัดอยู่ในประเภทหมูไม่กลัวน้ำร้อนพอกัน ความลำบากลำบนในการปฏิบัติงานนั้นไม่ต้องพูดถึง...อย่าหาว่าดูถูกดูแคลนกันเลยนะ แต่คิดว่าคนเมืองอย่างคุณคงไม่ค่อยเข้าใจ

         ทุกเช้าผมต้องขโยกมอเตอร์ไซด์หลวง ออกสำรวจเขตรับผิดชอบเพื่อทำแผนที่ พร้อมทั้งเป็นโทรโข่งให้ทางราชการ ป่าวประกาศให้คนเจ็บไข้ได้ป่วยมาใช้บริการที่สถานีอนามัยเปิดใหม่ หน้านั้นย่างฝนพอดี ถนนลูกรังกลายเป็นทางเลนทุกเส้น ยิ่งทอดลึกเข้าดงด้วยแล้ว ปลักควายขนาดมหึมาดีๆนี่เอง สิ่งที่แวดล้อมตัวผมไปทุกด้านมีแต่ป่า ฝน คลองและโคลน 

         ชาวบ้านในเขตนี้มีคนพื้นที่เป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่อพยพมาจากจังหวัดอื่น มารับจ้างหักร้างถางพง รับจ้างทำไร่มันสำปะหลัง มาพร้อมกับความยากจน แบบไปตายเอาดาบหน้า ยิ่งสำรวจกว้างขวางมากขึ้นเท่าไร แผนที่หมู่บ้าน
ของผมก็ไปเต็มด้วยเครื่องหมายแสดงที่พักอาศัยแบบขนำหรือเพิงหมาแหงนมากขึ้นเท่านั้น 

         ผมเริ่มเป็นที่รู้จักมักคุ้นของชาวบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ ค่าที่ชอบตะลอนๆไปทั่วและไม่ค่อยขัดการสังสันทน์เชิงสุรากับใครเขา ซึ่งน้ำเมาแถวนี้ก็ล้วนแล้วแต่ประเภทจ่อไฟลุกพรึ่บด้วยกันทั้งนั้น เวลาหิวขึ้นมาผมก็จะเดินเทิ่งๆเข้าครัว กินไอ้ที่เขากินกันนั่นแหละ ไม่เลือก ไม่อิดออด อิ่มก็ออกมานั่งคุยกัน ชาวบ้านเมื่อเห็นผมซึ่งเป็นข้าราชการ ลงมาคลุกคลีตีโมงแบบไม่ถือเนื้อถือตัว ก็ยิ่งเป็นที่สนิทเสน่หา ไอ้ผมเองก็ชอบบรรยากาศลูกทุ่งมึงมาพาโวย ปากกับใจตรงกันไม่อ้อมค้อม สัมพันธไมตรีก็ยิ่งเจริญงอกงาม

         ปัญหาสาธารณสุขของที่นี่มีมากมายหลายเรื่อง ที่น่าหนักใจก็คือหมู่บ้านนี้ไม่มีส้วมราดน้ำเลยแม้สักที่เดียว ทุกหลังคาเรือนใช้วิธีไปทุ่งและทำเวจถ่ายเป็นภูเขาเลากา น่าสะอิดสะเอียน..ไว้มีโอกาสผมจะเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับเวจให้คุณฟังนะ รับรองอร่อยเชียวล่ะ 

         จากเรื่องส้วมก็คงเป็นเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วยและการบำบัดรักษา ว่ากันว่าก่อนมีสถานีอนามัย ชาวบ้านนิยมใช้หมออยู่ ๒ ประเภทคือ หมอชาวบ้านที่ถูกขนานนามว่า เถื่อน กับหมอชาวบ้านที่ถูกขนานนามว่า ผี ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันไป แต่ความนิยมออกจะไปข้าง ผี มากกว่า ด้วยพ้องกับความเชื่อที่ฝังอยู่ในใจมาแต่โบร่ำโบราณ นับเป็นภาระสำคัญที่ผมในฐานะ หลวง ต้องแก้
ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเรื่องส้วม 

         วันเจอผีเกิดขึ้นหลังจากที่ผมมาอยู่ที่นี่ครบหนึ่งปีพอดี เย็นของวันนั้นท้องฟ้าฉ่ำฝน มองไปทางไหนก็เห็นแต่ม่านน้ำขาวโพลนไปหมด อากาศเย็นชื้นเสียจนผมต้องหาเสื้อหนาๆมาใส่ ครั้นได้เวลาเลิกงาน ผมเตรียมที่จะปิดประตูหน้าต่าง ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนโหวกเหวกฝ่าสายฝนมาว่า
         หมอๆๆ อยู่หรือเปล่า ช่วยไปดูไอ้แดงที
         ผมชะโงกหน้าออกไปดู เห็นชายผอมสูงคนหนึ่ง เดินเปียกมะล่อกมะ      แล่กเข้ามา ผมรีบบอกให้เขาเข้ามาหลบฝน
         มาจากไหนล่ะ
         ผมถามด้วยไม่คุ้นหน้า
         ตีนเขาโน่น น้องผมป่วยมาไม่ไหว อยากจะให้หมอไปดูมันหน่อย
         ป่วยเป็นอะไรเหรอ
         ไม่รู้มัน ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ก็สามวันดีสี่วันไข้ เห็นเมียมันบอกว่า ลืมบอกเจ้าที่เจ้าทาง
         อาการเป็นยังไง
         อาการเหมือนผีเข้า
         นั่นน่ะซิ..เป็นยังไงล่ะ
         ป้ำๆเป๋อๆ พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง โดนน้ำมนต์ของพ่อแก่ไปสองหนแล้วยังไม่ยอมไป
         ผมเห็นภาพอาจารย์คำหมอผีหัวหงอกประจำตำบลลอยคว้างขึ้นมาทันที
         งวดหลังนี่เป็นมาได้กี่วันแล้ว
         พูดไม่รู้เรื่องมาสองวัน วันนี้หนักหงิกไปทั้งตัว พ่อแก่สงสัยปอบกำลังกินเครื่องใน ผมเห็นท่าไม่สู้ดี เลยแอบทางบ้านออกมาตามหมอนี่แหละ เขาว่าผีไหนๆก็แพ้คนของหลวง
         ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ คว้าเสื้อกันฝนมาใส่ สะพายกระเป๋าเวชภัณฑ์ที่ผนึกกันน้ำเรียบร้อยเข้ากับบ่า พร้อมกับบอกให้เขานำทางไป

         เดินครับเดิน ระยะทางจากสถานีอนามัยไปถึงบ้านเชิงเขา คำนวณคร่าวๆคงไม่ต่ำกว่า ๕ กิโลเมตร ผ่านดงมันสำปะหลัง ละเมาะน้อยใหญ่ ป่าทึบ ไปตามทางเลนที่ต้องถอดรองเท้าลุยไปครึ่งหน้าแข้ง 

         ขณะกรำฝนกันมา ผมก็ซักอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อย ทำให้ทราบว่า ครอบครัวนี้เป็นชาวนา ย้ายจากต่างจังหวัดมาอยู่ที่นี่ได้ประมาณสองเดือนเศษ เหตุที่ย้ายก็เนื่องมาจากถูกเศรษฐีเงินกู้ยึดที่ทำกินไป ฟังแล้วเหมือนนิยายน้ำเน่าชะมัด แต่ผมก็เชื่อว่ามันเป็นความจริง เพราะเกษตรกรมักเป็นเหยื่อเสมอ

         เรามาถึงที่พักผู้ป่วยตอนค่ำแล้ว แสงสลัวจากตะเกียงในขนำวับแวม เต้นระริกหลอกตาชอบกล โรงเรือนทั้งหลังทำด้วยฟากไม้ไผ่ ด้านหนึ่งไว้ทำครัว ถัดไปเป็นที่ไว้นอน ทั้งหมดอยู่บริเวณเดียวกัน 

         บนเสื่อเก่าๆ ผมเห็นผู้ป่วยนอนบิดไปบิดมาอย่างทุรนทุราย เนื้อตัวเปียกชุ่มโชก ตามเนื้อตามตัวมีรอยห้อเลือดเป็นทางอยู่หลายสิบแนว ดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกตัว  
          ขณะนั้นมีคนนั่งล้อมอยู่สี่ห้าคน ทุกคนช่วยกันยึดมือเท้าที่หงิกเกร็งของผู้ป่วยไว้ ข้างปลายเท้ามีตาแก่คนหนึ่งยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ แต่งตัวปอนๆเหมือนชาวบ้านทั่วไป มือขวาถือหวายเส้นเขื่อง มือซ้ายถือขันน้ำ ปากก็บ่นงึมงำ...นี่แหละอาจารย์คำหมอผีเฒ่าผู้เรืองฤทธิ์ 

         ตอนที่ผมเดินเข้าไป เห็นแกชำเลืองมองมาแว่บหนึ่ง สีหน้าดูออกจะตึงๆ สักครู่ก็เห็นแกหวดหวายเข้าไปที่ยอดอกของผู้ป่วยดังเชียะ ปากก็ตวาดสำทับว่า
         เอ็งมาทำไม แล้วจะไปหรือไม่ไป
         ไม่รู้ว่าแกถามผมหรือถามผี แต่เห็นแกหวดซ้ำลงไปอีก คราวนี้ตีเต็มกำลัง โดนเข้าที่แก้มซ้ายอย่างจั๋งหนับ โหนกถึงกับปูดตามหวายออกมา 
         
         หมอผีเต้นแร้งเต้นกาอยู่พักใหญ่ จนน้ำหมดขันก็แล้ว หวดจนหอบตัวโยนก็แล้ว ผีร้ายก็ยังไม่ยอมออก ดูท่าว่าจะมหาดุเลยทีเดียว
         มันเป็นผีเขมร ตาเฒ่าว่า ปราบยาก เห็นจะต้องใช้มีดหมอซะแล้ว แต่ค่าบูชาครูจะเยอะหน่อยนะ เอ็งสู้ไหวไหมอีหนู ม่ายผัวเอ็งคงไม่รอด
         คำถามทิ้งท้ายมาที่ผู้หญิงร่างผอมเกร็ง ผิวคล้ำแดด เธอปากคอสั่นรีบรับคำทันที
         ไหวจ้ะพ่อแก่ อย่าให้พี่แดงตายนะ 

         มีดหมอของจอมขมังเวทย์ยาวประมาณคืบเศษ มีลักษณาการคดคล้ายกริช บนใบที่ดูแล้วค่อนข้างทื่อ ลงอักขระเลขยันต์เต็มไปหมด ตัวด้ามที่เป็นแก่นไม้คาดด้ายสายสิญจน์จนหนาเตอะ สันนิษฐานจากสายตา ผมคะเนว่าถ้าถูกบาด คงไม่แคล้วต้องเป็นบาดทะยักแน่ๆ

         อย่างไม่มีพิธีรีตองอะไร หมอผีเฒ่าทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ มีดหมอที่ล้วงออกมาจากย่าม ปักฉึกลงกับพื้นฟาก เห็นแกหลับตาพริ้มอยู่เป็นครู่ ก็คุกเข่า มือคว้ามีดมากุมเอาปลายลงในท่าจ้วงแทง 

         ผมไม่รู้หรอกว่าพิธีการทางไสยศาสตร์นั้นจะดุเดือด ดุดัน ถึงเลือดถึงเนื้อกันหรือไม่และขนาดไหน ลำพังการหวดคนด้วยหวายก็ผะอืดผะอมพอทนอยู่แล้ว หากจะให้มีการทำอะไรที่ผิดมนุษย์มนาเกินไป ผมคงจะไม่ยอม ดังนั้นเสียงกระแอมเหมือนช้างทั้งตัวติดคอ จึงหลุดออกจากปากผมจนดังสนั่น ทุกคนต่างพากันหันมามองเป็นตาเดียว 

         หมอผีชะงักไปนิดหนึ่ง หน้าตาชักดูเครียด มองเห็นกรามขยับโปนออกมาอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่เห็นแกว่าอะไร มือข้างหนึ่งขีดอากาศอยู่ไปมา อีกข้างหนึ่งก็จ้วงมีดใส่อากาศเป็นพัลวัน ปากก็บริกรรมเวทมนตร์ไม่ขาดระยะ 

         ช่างประหลาดสิ้นดี ที่ผมเห็นผู้ป่วยดิ้นเร่าๆ เกร็งและทุรนทุรายขนาดหนัก มือเท้าสะบัดหลุดออกจากการเหนี่ยวรั้ง ใครคนหนึ่งดวงคงซวย หน้าแข้งของคนผีเข้าป่ายเข้าให้ที่ปากครึ่งจมูกครึ่ง หงายผลึ่งลงไปกองกับพื้น
         รีบจับมันมัดไว้ หมอผีสั่ง ไอ้นี่มันผีเร่ร่อน เพิ่งจรมาอยู่ได้ไม่นาน หนอย!มาทำกำแหงกะข้า ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน แล้วเอ็งจะรู้สึก
         ผมสะดุ้งเฮือก คำพูดของตาเฒ่า ฟังดูกำกวมพิกล ไม่รู้ว่าแกด่าผีหรือด่าผม แต่โดนอย่างนี้ ทำให้รู้สึกเกลียดขี้หน้าหมอผีปากจัดขึ้นมาตะหงิดๆ
         ไม่นานหลังจากนั้น จอมขมังเวทย์ก็เสร็จสิ้นพิธีกรรม แกเก็บมีดและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆลงย่าม มองแบบเมินๆผ่านหน้าผมแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปบอกเมียคนผีเข้าว่า
         อีกไม่เกินสามวัน ไอ้ผีห่าตัวนี้มันก็จะไป แถวนี้มันเป็นทางผ่าน พวกผีเปรตเร่ร่อนมักสัญจรไปมาโดยไม่ได้รับเชิญอยู่บ่อยๆ เอ็งอย่าลืมจุดธูปสมาเจ้าที่เจ้าทางให้ครบตามที่ข้าสั่ง ต้นไม้ต้นไร่จะตัดจะโค่นต้องดูให้ดี อย่าทำอะไรที่คนแถวนี้เขาไม่ทำ รู้จักดูตาม้าตาเรือ แล้วก็หัดมีสัมมาคารวะเสียบ้าง 
         ผมว่าแกเจตนาบอกกับผมแหงๆ

         ตาแก่ปากจัดกลับไปแล้ว คนป่วยถูกมัดมือมัดเท้าเหมือนหมูรอเชือด พวกญาติกำลังเถียงกันหน้าดำคร่ำเครียด คนเป็นพี่จะให้ผมตรวจรักษาอาการของน้อง คนเป็นเมียห้ามไม่ให้ทำ ที่สุดไฟเขียวก็เปิด

         ผมบอกให้แก้มัดผู้ป่วยแล้วช่วยกันจับ จัดแจงเอาปรอทวัดไข้เสียบเข้าที่ซอกรักแร้ นิ้วก็จรดที่ข้อมือตรวจนับชีพจร วัดความดันโลหิต ฟังเสียงปอด คลำร่างกายและ เอาเข็มเล็กๆเจาะปลายนิ้วผู้ป่วย พอมีหยดเลือดป้ายลงในแผ่นกระจกเล็กบางที่เรียกว่า สไลด์ ทุกอย่างถูกต้องตามตำราเป๊ะ 

         ผมพบว่าไข้เขาสูงเกือบสี่สิบองศา ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำ ปอดมีเสียงกรอบแกรบ ตับแล่บออกมาคลำได้นิดหน่อย แต่ม้ามโผล่ออกมายังกับแหลมที่ยื่นออกไปในทะเล ผมพอจะสันนิษฐานได้แล้วว่า ผีที่เข้าสิงผู้ป่วยเป็น
สัมภเวสีชนิดไหน 

         ผมบอกให้พวกญาติพลิกผู้ป่วยนอนคว่ำ ฉีดยาลดไข้เข้าสะโพกซ้าย ฉีดยาปฏิชีวนะเข้าสะโพกขวา แล้วให้กลับนอนหงายเหมือนเดิม จากนั้นก็สอนให้ผู้เป็นเมียรู้จักวิธีการเช็ดตัวลดอุณหภูมิ แล้วให้มีหน้าที่เช็ดตัวผู้สามีอย่าได้หยุด ที่ผนังห้องผมเอาน้ำเกลือแขวนไว้สี่ถุง สองถุงแรกบีบเอาน้ำออกเหลือไว้ถุงละ ๑๕๐ ซีซี. อีกสองถุงที่เหลือคงไว้ตามปกติ ทุกถุงฉีดควินินเกรนสิบเข้าผสม ผม
หาเส้นเลือดแล้วแทงเข็มลงไป

          คืนนั้นผมไม่ได้กลับสถานีอนามัย คงอยู่เฝ้าไข้ที่บ้านผู้ป่วย ผมเปิดน้ำเกลือถุงละ ๑๕๐ ซีซี.ซึ่งผสมควินินเข้มข้นให้ไหลฟรีติดต่อกันสองถุง แล้วต่อด้วยน้ำเกลือที่ผสมควินินเจือจางคำนวณการหยดของน้ำติดตามมา จากการให้ยาอย่างต่อเนื่อง พอค่อนรุ่ง อาการตาเหลือกลาน เนื้อตัวเกร็งและทุรนทุรายก็เริ่มสงบ ครั้นสายหน่อยผู้ป่วยเริ่มมีสติ และพูดจาได้ 

         คุณคงรู้แล้วใช่ไหมว่า ไอ้เจ้าผีมันมีนามกรว่ากระไร ผมจับมันได้อยู่หมัดเลยทีเดียว มันมีอยู่สองตัวด้วยกัน ตัวแรกชื่อว่า ความศรัทธาแบบโง่เขลา มันไม่เลือกหรอกครับว่าคนที่มันสิงจะร่ำรวยหรือยากจน จะเป็นด๊อกเตอร์หรือเป็นด๊อกต้อย ถ้าโง่ละก็ มันเข้าดะไปหมด ซึ่งคุณก็คงจะเห็นอยู่บ่อยๆแม้ในทุกวันนี้ สำหรับอีกตัวหนึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของไอ้ตัวบนมันมีชื่อว่า การเบียดเบียนอย่างเจ้าเล่ห์ ไอ้นี่แสบสันต์พอสมควร ชอบเหยียบย่ำเพื่อนมนุษย์ หรือไม่ก็คอยรังแกคนที่ไม่มีทางสู้ ทั้งสองตัวมันมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด คอยเสริมฤทธานุภาพซึ่งกันและกัน สำหรับไอ้มาลาเรียขึ้นสมองกับปอดบวมระยะแรก ที่ผมเพิ่งกำหราบมันไปหยกๆน่ะ เรื่องเล็กน้อยครับ

         ไม่กี่วันหลังจากนั้น ผู้ป่วยก็ยกครอบครัวมาหาผมเพื่อจะมาขอชำระค่าหยูกยา คุณอย่าหาว่าผมพูดจาเอาหน้าเลยนะ ถ้าผมจะบอกว่าแม้สตางค์แดงเดียว ผมก็ไม่ได้คิด มองเห็นสภาพที่ยากจน บอกตรงๆว่าขืนเก็บไปผมก็คง
ไม่ใช่คนแล้ว ถ้าว่าขาดทุนผมก็คงขาดเรื่องทรัพย์นิดหน่อย แต่ผมทำกำไรให้แก่ทางราชการบานตะไทเลยเชียวล่ะ 
         
         นับแต่นั้นเป็นต้นมา พฤติกรรมการตามล่าผีของผมก็เริ่มเข้ากระแสเลือด จนเขาลือกันไปทั้งตำบลว่า ผีน่ะกลัวผม เข้าที่ไหนผีมักจะวิ่งป่าราบเสมอ จนเริ่มหาผีทำยายากขึ้นทุกที กระทั่งชาวบ้านแอบตั้งฉายาให้ผมว่า คำสะท้าน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอาจารย์คำแกจะคิดเห็นเป็นประการใด เพราะไม่ได้เจอแกมาตั้งนานแล้ว

         ทุกวันนี้ผมยังคงอยากเจอผี และคงต้องขอรบกวนคุณในท้ายที่สุดนี้ว่า หากมีเบาะแสว่าที่ใดมีผีดุถึงขนาด ขอได้โปรดแจ้งมาให้ผมทราบด้วย จะเป็นพระคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ขอขอบพระคุณล่วงหน้ามา ณ โอกาสนี้ครับ/.				
14 มิถุนายน 2546 18:08 น.

เรื่องตลกของผม

ราม ลิขิต

น้ำเสียงฟังดูเหมือนตกนรก ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะพอค่อยๆลึกเข้าสู่ใจกลางฤดู อะไรหวานๆที่เคยได้สัมผัสมันกลับสูญหายไปเสียสิ้น อากาศที่เคยเบาสบายเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกชวนตะครั่นตะครอ ฝอยฝนกลายเป็นฝนฝ้าข้นคลั่ก ลมอ่อนชวนเริงรื่นก็มาเป็นรุนแรงชวนทะเลาะ อย่างนี้ใครไม่บ่นก็บ้าแล้ว

         วันนี้นับเป็นวันที่สามของการลงพื้นที่ของผม รู้สึกไม่ค่อยจะสู้ดีนัก หนาวๆร้อนๆวูบวาบและคัดจมูก อาจเพราะต้องลุยฟ้าลุยฝนติดต่อกันมาหลายวัน 
         สักพักก็คงดี 
         ผมคิดในใจ ก่อนโยนยาแก้ไข้เข้าปาก
         ฝนชุกๆอย่างนี้ไม่สนุกเลย กับการที่ต้องไปเดินท่อมๆตามบ้านชาวบ้าน แต่อย่างว่าล่ะครับ รักแล้วที่จะเป็นข้าราชการ เลี้ยงตัวตนอาตมาให้รอดปากเหยี่ยวปากกาด้วยเงินภาษีอากรของประชาชน ห้ามบ่นโดยเด็ดขาด

         เรื่องของเรื่องมันเริ่มต้นขึ้นในวันหนึ่ง เมื่อจังหวัดมีวิทยุด่วนแจ้งรายชื่อผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก มายังสำนักงานสาธารณสุขอำเภอที่ผมทำงานอยู่ ซึ่งตามปกติการแจ้งเพื่อให้มีการติดตามควบคุมโรคเป็นเรื่องธรรมดา แต่คราวนี้มันไม่ธรรมดาเพราะโรคดังกล่าวเป็นโรคที่จังหวัดถือเป็นนโยบายเน้นหนักที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ แม้จะเกิดขึ้นเพียงรายเดียวก็ตาม จำนวนตามวิทยุฟังแล้วผมลมจะใส่ เพราะมันมีถึงหกราย ทั้งสิ้นเกิดในหมู่บ้านเดียวกัน 
         หัวหน้าผมหน้าแดงก่ำ หลังจากผมจดรายละเอียดไปให้ 
         เฮ้อ-ถูกด่าตอนประชุมสิ้นเดือนแหงเลย แกบ่น ก่อนหันมาสั่งผม เรียกคุณสมอเข้ามาพบผมหน่อยคุณก็อยู่ด้วยนะ
         ผมเอี้ยวตัวยื่นหน้าออกจากห้องพลางตะโกนเรียก
         สอมอออหัวหน้าเรียก
         หนุ่มร่างสูงโย่งผู้รับผิดชอบงานควบคุมป้องกันโรค เดินเงียบเข้ามานั่งข้างผม
         สมอ รู้เรื่องไข้เลือดออกแล้วใช่ไหม 
         ท่านสาธารณสุขอำเภอถาม หนุ่มโย่งผงกศีรษะตอบ 
         มันโผล่พรวดเดียวหกรายอย่างนี้ ผมอยากรู้ว่าการหยอดทรายอะเบทเป็นไปตามแผนหรือเปล่า
         เป็นไปตามแผนครับ รอบแรกเราให้สถานีอนามัยทุกแห่งรณรงค์บ้าน วัด โรงเรียนและสถานบริการพร้อมกันทั้งอำเภอในเดือนเมษายน ซึ่งตามรายงานได้ทำครบร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ
         อ้าว-แล้วไอ้หกรายนี่มาจากไหน อะเบทมันอยู่ได้สามเดือน หยอดเมษา จะไปเสื่อมเอาก็มิถุนานี่กลางพฤษภาเอง
         หนุ่มโย่งเกาศีรษะแกรก
         ง่า-ไม่ทราบครับตามรายงานมันทำครบนี่ครับ
         แล้วคุณล่ะในฐานนะนักวิชาการมีความเห็นว่าไง 
         หัวหน้าหน้ายุ่งหันมาทางผม
         เป็นไปได้ทางเดียวครับ รณรงค์บนหน้ากระดาษ ผมกลั้นใจพูด ความจริงผมเคยเสนอไปครั้งหนึ่งแล้วว่า เราควรเลิกฟังรายงานปกติ ควรลงไปสุ่มตัวอย่างประเมินผลจริงในพื้นที่ ซึ่งมีโอกาสซ่อมจุดบกพร่องได้ทัน
         คุณเคยเสนอตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมจำไม่ได้
         ก่อนรณรงค์เดือนเมษาครับ แต่หัวหน้าให้เอาตามวิธีการของจังหวัด
         โอเค-ผมนึกออกแล้ว ไม่เป็นไรรอบสองเอาตามคุณว่า สถานการณ์ของอำเภอเราตามเอกสารที่คุณสรุป เฉพาะครึ่งเดือนนี้มีไข้เลือดออกเกิดขึ้นสิบหมู่บ้าน หมู่บ้านละหนึ่งราย แนวโน้มระบาดแน่ อย่างนี้มันต้องมียุงตัวแก่เกิดขึ้นแล้ว ผมจะให้ทุกสถานีอนามัยรณรงค์ใหม่ ให้คุณสมอไปกำหนดวันประชุม ได้วันแล้วแจ้งผมทราบ แจ้งให้เจ้าหน้าที่เฝ้าสถานีอนามัยแห่งละหนึ่งคน นอกนั้นให้เข้าประชุมทั้งหมด แล้วประสานไปยังชมรมอาสาสมัครสาธารณสุข ทำหนังสือเชิญคณะกรรมการชมรมให้เข้าร่วมประชุมด้วย ในส่วนของผู้ป่วยใหม่หกรายที่จังหวัดแจ้ง ให้นักวิชาการในฐานะเจ้าหน้าที่ระบาดวิทยาประจำอำเภอ จัดทีมควบคุมโรคออกสอบสวนและควบคุมให้สงบด่วนที่สุด รายงานให้ผมทราบทุกวัน 
         นั่นล่ะครับคือที่มาของการเดินกรำฝนของผม

         ทีมมีอยู่สี่คน เราแบ่งหน้าที่กันว่าผมจะเป็นผู้สอบสวนชี้เป้า ให้อีกคนเป็นคนตรวจนับลูกน้ำ ภาชนะขังน้ำและการหยอดทรายอะเบท สองคนที่เหลือดำเนินการด้านพ่นหมอกควัน
         หมู่บ้านที่ผมเข้าไปปฏิบัติงานอยู่ในเขตเทศบาล มีลักษณะกึ่งชนบทกึ่งเมือง ถึงแม้จะมีบ้านนับร้อยหลังคาเรือน แต่การค้นหาตัวผู้ป่วยก็ไม่ยุ่งยากอะไร แจ้งรายชื่อไปยังสถานีอนามัยเจ้าของพื้นที่ พริบตาเดียวก็ทราบแล้ว ว่ากันว่าในการระบุบ้านของใครสักคน เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยจะมีความแม่นยำพอๆกับบุรุษไปรษณีย์ทีเดียว เนื่องจากมีสถานที่ทำงานตั้งอยู่ในหมู่บ้านตำบล ทั้งลักษณะการปฏิบัติงานก็บังคับให้ต้องคลุกคลีกับชาวบ้านมีการขึ้นทะเบียนดูแลกันตั้งแต่เกิดจนตาย
         สองวันที่ผ่านมาเราได้ข้อมูลมากทีเดียว ผู้ป่วยทั้งหกรายเป็นเด็ก อายุระหว่างสิบถึงสิบสี่ปี พักอาศัยอยู่ในห้องแถวละแวกเดียวกัน เริ่มป่วยในช่วงเวลาไล่เรี่ยกัน จากการตรวจสอบภาชนะขังน้ำละแวกนั้น พบลูกน้ำยั้วเยี้ยอยู่ในภาชนะทุกชิ้น โอ่งทุกใบไม่ว่าจะในบ้านนอกบ้านเจ้าลูกน้ำตัวร้ายพากันดำผุดดำว่ายอย่างสบายใจเฉิบ นี่ยังไม่รวมภาชนะแตกหักเสียหายอื่นที่ขังน้ำได้รอบบ้านอีกนะครับ
         ผมถามจริงๆเถอะ คุณรณรงค์จริงหรือเปล่า 
         ผมหันไปถามหัวหน้าสถานีอนามัย
         จริงครับ
         แล้วทำไมลูกน้ำมากมายอย่างนี้ ร้อยละร้อยของ ภาชนะขังน้ำเลยนะ บ้านแถบนี้ก็พบลูกน้ำทุกหลัง
         นั่นซิ-ผมเองก็งงอยู่เหมือนกัน เพราะในวันรณรงค์ผมก็กำชับแล้วกำชับอีกกับอาสาสมัครสาธารณสุขทุกคนที่เข้ามาช่วยว่า ต้องมอบทรายอะเบทให้เจ้าของบ้านนำไปหยอดโอ่งน้ำของตัวเอง
         อ้าว-คุณไม่ได้ให้เขาหยอดเลยหรอกหรือ
         คือถ้าหยอดได้ให้หยอดเลยถ้าไม่สะดวกก็ให้ฝากไว้
         ผมถอนหายใจออกมายาวเหยียด พอจะรู้สาเหตุที่มาของการเจ็บป่วยในครั้งนี้แล้ว ก็คงจะไม่ไปโทษใครหรอกครับ เพราะในการปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข เรามักพบความจริงว่า ส่วนที่มีความสำคัญมากจะถูกให้ความสำคัญน้อย ส่วนที่มีความสำคัญน้อยจะถูกให้ความสำคัญมาก อธิบายได้ว่า ในคนปกติหนึ่งคน ถ้าใส่ใจในด้านการสาธารณสุขดีพอ ก็ยากที่เขาจะล้มหมอนนอนเสื่อ แต่ไอ้การสาธารณสุขที่ว่ามันทำยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา เช่น คนเขาอยู่ดีๆจะให้เขาไปออกกำลังกาย บอกว่าสุขภาพจะได้แข็งแรงไม่เจ็บไม่ไข้ มันไกลตัวเหลือเกินครับ ไม่เหมือนป่วยแล้วไปหาหมอให้รักษาพยาบาล ถ้าไม่หายก็ตาย ซึ่งไอ้การหายกับการตายนี่แหละเป็นปมในใจของคน ที่จะให้คุณค่างานด้านการแพทย์มากกว่าการสาธารณสุขเสมอ 
         จากการพูดคุยกับตัวผู้ป่วยซึ่งเรียกกันว่าการสอบสวนโรค ทราบจากการคะเนระยะฟักตัวเฉลี่ยของไข้เลือดออกซึ่งประมาณว่าห้าวัน ผมพบว่าเด็กทุกคนเริ่มป่วยจากบ้านของตนเอง นั่นหมายความว่าบริเวณละแวกนี้คือแหล่งรังโรค
          ผมสันนิษฐานว่าชาวบ้านจะไม่ได้หยอดทรายอะเบท 
         ผมเอ่ยกับทีมงาน
         เราจะเอากันอย่างนี้นะ- มีจุดที่เราต้องบล๊อคอยู่สองจุด จุดแรกคือที่โรงเรียนที่เด็กทั้งหมดไปเรียน ยังดีที่ทุกคนเรียนที่เดียวกันและโรงเรียนก็อยู่แค่นี้เอง ม่ายงั้นคางเหลืองแน่ สำหรับที่โรงเรียน ผมขอให้ทางอนามัยเจ้าของพื้นที่รับไปดำเนินการประสานครู ให้ทำการตรวจสอบภาชนะขังน้ำ หยอดทราบอะเบทและพ่นหมอกควันฆ่าตัวแก่ โดยไม่คำนึงว่าจะทำมาก่อนแล้วหรือไม่ ให้ถือว่าอยู่ในภาวะอันตราย ไม่ทราบว่าจะมีข้อขัดข้องหรือไม่
         ไม่ขัดข้องครับ แต่ผมขอเบิกทราบอะเบทที่ต้องนำไปใช้ด้วย
         ไม่มีสต๊อคไว้เลยเหรอ อำเภอเองก็มีจำกัด
         หมดเกลี้ยงเมื่อรณรงค์รอบแรก
         ได้..แต่ไงก็ขอร้องว่าห้ามฝากอีกนะ ให้นักเรียนหยอดเลย สำหรับละแวกบ้านผู้ป่วยผมขอให้ปฏิบัติตามทฤษฎี ซึ่งเราทราบกันดีว่าลูกน้ำจะกลายเป็นยุงใช้เวลาประมาณสามวัน และยุงตัวแก่จะบินได้ไกลเต็มที่ประมาณหนึ่งร้อยเมตร ปกติเราจะต้องหยอดทรายอะเบทล่วงหน้าสามวันแล้วค่อยพ่นยา แต่คราวนี้เราจะหยอดไปเลย แต่จะพ่นยาสองครั้ง ครั้งแรกคือวันนี้เพื่อฆ่ายุงตัวแก่ที่มีอยู่แล้ว ครั้งที่สองอีกสามวันนับจากวันหยอดทรายอะเบท เพื่อฆ่าตัวแก่อีกรุ่นหนึ่งที่จะเกิดใหม่ตามมา ที่ต้องทำอย่างนี้ก็เพราะตัวโม่งที่พร้อมจะกลายเป็นยุง อะเบทเอาไม่อยู่ ซึ่งผมคาดว่าขณะนี้ตัวโม่งจะมีอยู่เยอะ ขอบเขตการปฏิบัติงาน ยึดตามวิถีการบินของยุงเป็นหลัก นั่นคือบ้านทุกหลังในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรจากบ้านผู้ป่วยเราจะดำเนินการทั้งหมด สำหรับการให้สุขศึกษาผมประสานทางโรงพยาบาลชุมชนไปแล้ว เดี๋ยวคงมา ไม่ทราบว่าพวกเรามีข้อสงสัย จะซักถามอะไรหรือไม่ เชิญเลยนะครับ โอเค-ไม่มี งั้นเราก็ลงมือกันได้
 
         ฟ้ายังคงฉ่ำฝน ผมจามฮัดเช้ยสี่ห้าครั้งติดต่อกัน ก่อนกระชับปกเสื้อแนบลำคอตามสัญชาตญาน ด้วยรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคามจากอาการผ่าวร้อนของไข้
         พี่ชักจะไม่ไหวแล้วว่ะ ผมหันไปบอกเพื่อนร่วมงาน ตากฝนเข้าสามวันนี่แล้ว สงสัยไข้หวัดจะเล่นงาน
         ไม่ไหวก็พักเถอะครับ เดี๋ยวผมจัดการต่อเอง ไอ้น้องคนนั้นว่า ก่อนหันไปสตาร์ทเครื่องพ่นหมอกควันเสียงดังหนวกหู 
         เออ งั้นพี่ขอพักเดี๋ยว มีปัญหาอะไรเรียกไปที่รถนะ 
         ผมหมายถึงรถราชการที่ปุเลงกันมาแต่เมื่อเช้า ตอนนี้จอดอยู่หน้าห้องแถวบ้านผู้ป่วย 
         ผมกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเบาะนั่งตอนหน้าของรถ ดูสายฝนที่โปรยปรายลงมาอยู่พักใหญ่ รู้สึกหนาวจนแทบจะสั่น จมูกสองข้างมีอาการตันจนต้องหายใจทางปาก ปวดศรีษะและกระบอกตามาก
         ไม่ไหวแล้วโว๊ย 
         ผมครางอยู่ในใจ ก่อนจะเอื้อมมือปลดวิทยุมือถือ ที่เหน็บเข็มขัดขึ้นมา กรอกเสียงเครือๆลงไป
         ควบคุมสองจากควบคุมหนึ่ง
         วอสอง มีอะไรครับพี่
         ดูท่าพี่จะแย่ซะแล้ว จับไข้เต็มตัวแล้วว่ะ ขับรถพาพี่ไปโรงพยาบาลที
         วอสองวอแปด งั้นรอเดี๋ยวครับฝากงานให้พรรคพวกก่อน
         ขอบใจมากหกสิบหนึ่ง

         นับแต่สายของวันนั้นจนถึงวันนี้ สิริรวมสามวันเข้าไปแล้วที่ผมยังไม่ได้กลับบ้านกลับช่อง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่านสั่งให้พักรักษา อยู่ในตึกผู้ป่วยในจนกว่าจะหาย
         หัวหน้าของผมมาเยี่ยมในเช้าของวันหนึ่ง หลังจากที่ได้พูดคุยกัน ผมก็แทบจะเอาปี๊บคลุมหัว ด้วยความอายจนแทบแทรกแผ่นดิน
         เป็นไงค่อยยังชั่วบ้างหรือยัง
         ดีขึ้นมากแล้วครับ
         หมอวินิจฉัยว่าเป็นอะไรรู้ไหม
         ถามน้องพยาบาลเมื่อวาน ว่าเป็นไข้หวัดกับทอนซิลอักเสบครับ
         อือม์-แต่วันนี้หมอเขาแถมให้คุณอีกโรคนะ
         โรคอะไรครับ
         ไข้เลือดออกน่ะซี ตอนนี้รายงานจังหวัดไปแล้ว นี่ผมให้คุณสมอไปดูที่บ้านพักคุณ เจอลูกน้ำเพียบเลยว่ะทั้งในบ้านนอกบ้าน ก็เลยให้หยอดอะเบทกับพ่นยาจนเรียบร้อย ส่วนที่ระบาดในหมู่บ้านตอนนี้ไม่มีเจเนอเรชั่นต่อไป ก็ถือว่าโรคสงบ
         เรื่องตลกของผม หัวเราะไม่ออกจริงๆ/.				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟราม ลิขิต
Lovings  ราม ลิขิต เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟราม ลิขิต
Lovings  ราม ลิขิต เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟราม ลิขิต
Lovings  ราม ลิขิต เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงราม ลิขิต