11 กุมภาพันธ์ 2546 15:02 น.

บรรเลงใจ

ราม ลิขิต

ในความเหงาเศร้าแฝงแต้มแต่งสี			
เพลงกวีใครวอนดูอ่อนไหว				
เหมือนเหว่ว้าอารมณ์ขมขื่นใจ			
ฟังอาลัยแผ่วโรยระโหยมา

เจ้าอยู่อยู่จู่พรากไปจากพี่				
ทำเหมือนรักเรานี้ไม่มีค่า				
แม้คำน้อยสักคำก่อนอำลา				
ก็สิ้นไร้วาจามาแจ้งใจ

ในเพลงขลุ่ยเขาครวญกำสรวลบอก			
พรมละลอกลึกล้ำระกำไหล				
น้ำตาเคล้าลมคลอล้อกันไป				
ขยี้ใยเยื่อยินถึงวิญญาณ

ฤาเจ้าเกลียดเรือนชานกระดานต่ำ			
จึงลืมคำอิงอรเคยอ่อนหวาน				
ฤาไอแดดแผดเจ้าจนร้าวราน			
ฤารำคาญขุ่นคลองเคืองระคาย

ประสาพี่มีแต่ใจที่ให้เจ้า				
กลางป่าเขาไพรพรรณตะวันฉาย			
ไม่มีทรัพย์ศฤงคารตระการกาย			
จึงหมดรักทิ้งชายให้เจ็บช้ำ

ทุกค่ำคืนตื่นตาผวาเพรียก				
สำเหนียกน้ำตาชื้นทุกคืนค่ำ				
แวมตะเกียงกรีดใจไหวประจำ			
เงาน้องวกซ้ำกระหน่ำทรวง

แต่ละเปิดนิ้วปานประหารหัต			
ทยอยตัดลมไต่อย่างใหญ่หลวง			
ยะเยือกอาบฉาบน้ำตามาเป็นพวง			
พลันขาดห้วงความระทมด้วยลมรวน

เพลงขลุ่ยเขาร้างห่างไปแล้ว				
ทำนองแนวกระทบในฉันให้หวน			
บรรเลงใจในคืนสะอื้นครวญ			
ด้วยบาดใจรัญจวนอดีตจาร/.				
11 กุมภาพันธ์ 2546 14:55 น.

บ้านนอก

ราม ลิขิต

หมู่บ้านเราเขาว่ามันล้าหลัง
เหมือนเมื่อครั้งปู่ย่าเคยอาศัย
เรียกบ้านนอกคอกนาว่ากันไป
ถึงอย่างไรฉันรักอยู่หมู่บ้านเรา

เลื้อยลูกรังวางรอยค่อยค่อยเลี้ยว
ผ่านทุ่งเปลี่ยวเปิดทางอย่างเหงาเหงา
รำเพยลมเรียบล้ามาเบาเบา
ฝุ่นสีเศร้าไหววู่อยู่บางบาง

ใครคนหนึ่งเคยชี้หน้าว่าฉันโง่
ไม่ต้องโงหัวเด่นก็เห็นหาง
ทำเผยอยิ้มย่องไม่มองยาง
เขาสองข้างทั้งคู่รู้ว่าควาย

ไหวน้ำตาอาดูรดังสูญสิ้น
กรรแสงสินธุ์นัยน์ท้นข้นความหมาย
ขณะจิตเจ็บรู้จู่กระจาย
สติคลายทยอยคลื่นกลับคืนคง

เมื่อวัดคนตรงทุนใช่คุณค่า
และมุ่งว่าเนื้อเนมต้องเหมหงส์
เมื่อตีกรอบครอบใจแต่ในกรง
ขอบรรจงวางกรุงมุ่งกลับมา

อนามัย ใช่! เราเพียงเท่านี้
แต่ที่นี่ฉันอยู่รู้รักษา
ได้ปลอบโศกหมองเศร้าชาวประชา
ได้ลงนาสมเห็นฉันเป็นควาย

หมู่บ้านเราเขาว่ามันล้าหลัง
รอยลูกรังเลี้ยวรู้สู่จุดหมาย
ถึงเป็นปลักเหม็นเปื้อนไม่เคลื่อนปลาย
ฉันขอตายเคียงคู่หมู่บ้านเรา/.				
11 กุมภาพันธ์ 2546 14:50 น.

ปรัศนีกับความเชื่อมั่น

ราม ลิขิต

ใจที่หวานปานอ้อยร่อยลงไหม 
มโนไฟอันวามทรามไหมหนอ
มันสั่นไหมมือรักที่ถักทอ 
ยังคิดกรอด้ายดาวสาวลงดิน?

หมอกระบายไอขุ่นภาพขุนเขา 
เป็นโค้งเค้าลางเลือนเตือนถวิล
ความยะเยือกเกลือกกรายร่ายกวิน 
บรรเลงจินตนาการเข้าขานใจ

กลางดวงจิตอิดโรยระโหยหนัก 
พญายักษ์มาเยือนถึงเพื่อนไหม
ยังหวังว่าสร้อยสนและกลภัย 
ยังคงไกลห่างกามไม่ข้ามกาล

รักจะสุขกับประชาบนหล้าโลก 
และพร้อมโศกกับใครใครผู้ไพศาล
จะกินเกียรติแห่งข้าพยาบาล 
จะไม่ซานเซซังเข้าขังไซ

เธอบอกกล่าวเล่าฉันในวันหนึ่ง 
กลางหมอกซึ่งหม่นมัวสลัวไหล
เหมือนวันนี้ที่มัวมนเป็นพ้นไป 
ฉันมาเยือนความยิ่งใหญ่ในใจเธอ

สุขศาลาค่าต่ำคำเขาติ 
ไยจึงริลดตนเหมือนคนเซ่อ
ตัวเป็นหงส์หลงกาบ้าแล้วเกลอ 
ไม่เคยเจอคนใจไม่รักดี

แต่ละคำเด็ดขาดและบาดลึก 
ฉันสะอึกอ่อนใจกระไรนี่
เธอสะอื้นอัดอั้นพันทวี 
หลายนาทีน้ำตาท้นล้นเป็นทาง

ร้องเถิดเพื่อนร้องมาถ้ามันเจ็บ 
ฉันจะเย็บเยียวยาจนฟ้าสาง
ขอมั่นจิตมิตรใจที่ไม่จาง 
ฉันอยู่ข้างเธอแท้อย่างแน่นอน

หมอกระบายไอขุ่นพร่าขุนเขา 
คงเห็นเงาใหญ่ยิ่งแห่งสิงขร
ใครคนหนึ่งแกร่งกล้าสถาพร 
คนสัญจรอย่างฉันมั่นหัวใจ/.				
11 กุมภาพันธ์ 2546 14:28 น.

นิราศฝัน

ราม ลิขิต

นิราศร้างแรมไปในความฝัน
ณ คืนหนึ่งตรึงตรามาทุกวัน 			
คืนที่ฉันได้สุบินจินตนา

ฝันว่าตัวฉันนั้นว่างเปล่า			
กายบางเบาดำเนินเหินเวหา
ให้วาบหวิวลิ่วเลื่อนเหมือนเมฆา
ละล่องฟ้าผ่านไปใจรับรู้


บางส่วนเสี้ยวแห่งมหาภารตะยุทธ์

บัดเดี๋ยวหนึ่งก็กำหนดปรากฏร่าง		
อยู่ท่ามกลางนภากาศเสียงบาดหู
แลเบื้องล่างโรมรันเขาพันตู 			
เห็นค่ายคูม้าล่อและหอรบ

เป็นทุ่งกว้างทางไกลมิใช่น้อย			
นับเป็นร้อยหมื่นมากด้วยซากศพ
เลือดนองสยองใจไม่เคยพบ 			
ฝูงแร้งแต่งพลบโพยมบน

รถศึกรุกรี่ด้วยปรีชา				
ช้างศึกขับมาโกลาหล
ม้าศึกคึกการผ่านผจญ 			
พลศึกหลากล้นตะลุมบอน

แม่ทัพนายกองต่างว่องไว			
ล้วนทหารชาญชัยเชิงสมร
รุกรบขบเข่นกระเด็นดอน 			
ต่อกรเติบกล้ามาทุกที

ฉันยินเสียงสนทนามาแว่วแว่ว		
ผุดแจ้วกลางใจไฉนนี่
กลางทุ่งมุ่งมาดพิฆาตตี 			
กลบเสียงกาลีนี่เสียงใคร

สญชัยถึงไหนแล้วการยุทธ์			
พระเจ้าข้าต่อรุทร์ประทุษใหญ่
ปาณฑปพร้อมพลังยังเกรียงไกร 			
เการพประสบภัยอันตราย

ทุรโยชน์เร่งเร้าระดมพล			
อรชุนเร่งพหลปานชลสาย
ภีษมเสียกลพลกระจาย 				
ภีมะเลิศชายชำนาญการ

พระเจ้าข้าอ้าองค์ธฤตราษฎร์			
วีรชาติเหล่าบุรุษสุดอาจหาญ
ต่างโจมโหมใจประจัญบาน 			
ขับขานเพลงรบจบประจัญ

ฉันมาถึงบางอ้อก็ตรงนี้			
กุรุเกษตรคือที่นี่ที่ห้ำหั่น 
ต่างฝ่ายตายกองพี่น้องกัน 			
ยุทธนายับสะบั้นด้วยเหตุใด

สงครามหาภารตะ				
สิบแปดวันผู้ชนะกำสรวลไห้
ภควัทคีตาอ่าอำไพ 				
บรรเลงใจบรรเลงโลกแต่โศกนัก

อหังการว่าใหญ่ใจก็ห้าว			
มมังการว่าของเรายิ่งเขลาหนัก
มากเล่ห์เพทุบายทำลายรัก 			
ขึ้นพยัคฆ์จะลงตรงที่ใด

ฉันมองทุ่งยุทธนามหาเกษตร			
ความเทวษทวีจนเกินทนไหว
เพียงแวบเดียวเสี้ยวคิดของจิตใจ 			
รูปก็วับลับไปจากที่นั้น
 

หายนะเพิร์ลฮาเบอร์
          			
มาลอยฟ่องล่องฟ้านภากาศ 		
ภานุมาศทอฉายประกายฉัน
เช้าตรู่ดูพรายสายฉัพพรรณ 			
ระยิบระยับสีสันอันรุจี

เบื้องล่างคือมหาชลาสินธุ์				
แม้สุบรรณก็อาจสิ้นพลาศรี
คลื่นโครมคุคั่งถั่งนที 				
สิ้นแล้วธรณีในสายตา

เกาะแก่งใกล้ไกลก็ไม่เห็น			
วิหคนกเร้นไม่เห็นหน้า
พลันแว่วกาหลคำรนมา 			
ขอบฟ้าขีดเส้นเขม้นดำ

กรายใกล้เข้ามาจนปรากฏ 			
เทพรถจรมาดูคลาคล่ำ
อาทิตย์อุทัยประทับลำ 		
ทั้งนั้นเนื่องนำหนุนกันไป

ทะลุผ่านตัวฉันสั่นประสาท			
บ่ายหน้ายุรยาตรไปหนไหน
จำต้องตามดูจนรู้ใด 				
ตรองตรึกนึกใน ณ เหตุการณ์
          
ถ้วนทั่วทั้งสิ้นเครื่องบินรบ			
ทุกองคาพยพกำแหงหาญ
บันไซเบิกฟ้าอันตระการ 				
แปซิฟิคเดือดพล่านขึ้นทันที

ตรงหน้าฮาวายเข้าชายฝั่ง 				
ดูสงบอนิจจังยังสุขี
นกเหล็กคลุมฟ้าทั้งธาตรี 				
ฉลามร้ายทั้งนี้ยังนิทรา

กองบินรุกโรมเข้าโจมศึก				
กองเรือก็สะอึกอยู่กับท่า
กองบินวาดองค์ผจงมา 				
กองเรือก็ผวาระเบิดลง

เทพเจ้าพายุประทุเดือด 				
พลีแล้วเนื้อเลือดธุลีผง
คามิคาเซ่แซ่แผ่เป็นวง 				
แล้วทุ่มตรงทิ่มตำกระหน่ำเรือ

เพิร์ลฮาเบอร์เร่อร่าในคราหลับ			
ย่อยยับถูกขยี้ไม่มีเหลือ
แผลแหลกเปิดตลอดหยอดด้วยเกลือ 		
เป็นเสือสิ้นลายในฉับพลัน          

ฉันเฝ้ามองตรองตรึกนึกกำสรด		
ผู้ชนะงามงดขึ้นสรรค์
ผู้แพ้ดิ่งนรกหมกตะวัน 			
พริบตาฆ่ากันจนบรรลัย

เพียงหมายมุ่งกรุงไกรไรซ์ที่สาม 			
ฮิตเลอร์หลามหลอมโลกวิโยคไหล
ประหารยิวทั้งยวงมิห่วงใย 				
แอนตี้ไครสต์นาซีที่น่ากลัว

มุสโสลีนีที่โลภลาภ 				
ฟัสซิสต์ทอทาบประเทศทั่ว
โตโจเฝ้ามองอย่างหมองมัว 			
ก่อนทุ่มตัวโถมทวีปทวีแทง

พวกเขาเป็นใครไยจึงบาป				
ทั้งโลกสาปเช้าค่ำด้วยคำแช่ง
เป็นมนุษย์พุทธะตะแลงแกง 			
มีเส้นแบ่งเขตคิดเพียงนิดเดียว
          
ฉันสอดส่ายสายตาดูฮาเบอร์		
แหลกแล้วเกลอเพราะใจไม่เฉลียว
ความประมาทอยู่ไหนประลัยเทียว 		
อเมริกาหน้าเขียวขบเขี้ยวแค้น

ฉันหนีเสือมาปะทะกับจระเข้			
ล้วนทะเลเลือดหลั่งถั่งถึงแถน
สิ่งดีดีมีไหมในเขตแคว้น 				
นิมิตแม้นมาลัยฉันหายวับ
 

โศกนาฏกรรมนิรันดร์

มาถึงถิ่นไพบูลย์จำรูญรุ่ง 			
งามพรายรุ้งเพลงนทีที่ขานขับ
เป็นโค้งคดลดเลี้ยวเกลียวระยับ 			
ได้สดับเอกกระแสแม่คงคา

ครั้งองค์ภคีรถพรตตบะ				
เชิญชำระถ่านเถ้าที่เนาหล้า
กองกระดูกหกหมื่นกุมารา 				
จะได้ขึ้นชั้นฟ้าอันน่าชม

แม่หักโหมโถมคลั่งถั่งกระแส			
อิศวรแก้รับใส่ในมวยผม
แม้นมิได้คังคธรมารอนคม 				
โลกคงล่มแหลกสลายกลายเป็นภิน 

ฉันประนมสายน้ำอันฉ่ำชื่น 			
งามเกลียวคลื่นระริกไล่ในสายสินธุ์
จิตประหวัดกระแสเสียงสำเนียงยิน 		
ใจก็บินโบกไปในทันที
         
เป็นประชุมหมู่ชนมีคนมาก			
เขากรูกรากล้อมกงวงวิถี
ที่ใจกลางขอบคั่นตรงนั้นมี 			
นาฏนารีเต้นคว้างอยู่กลางลาน

เป็นยามบ่ายไถงคล้อยลอยลงต่ำ 			
คนคลาคล่ำจ้อแจแซ่ประสาน
ในร่มรื่นชื่นพิสุทธิ์อุทยาน 				
ฤดีดาลฉันประเทืองอยู่เรืองรอง

ยินเสียงโห่อึงคะนึงว่างามนัก 			
ทำให้ชักสนใจไปกับผอง
จึงเที่ยวเร่เตร่แลชะแง้มอง 			
แล้วตาสองก็กับถึงตลึงงัน

โอ้งามเอ๋ยช่างงามแท้หนอแม่เจ้า			
ดูพริ้งเพราเหมือนอย่างนางสวรรค์
นี่นางเป็นผู้ใดพิไลพรรณ 				
ใครรังสรรค์ความสดใสมาให้เธอ

กำลังเดาะลูกคลีบนที่แท่น 			
จากช่วงแขนดูงามล้ำสม่ำเสมอ
ตาฉันจ้องเบิกกว้างอย่างละเมอ 			
นี่ฉันเจอวาสิฏฐีนารีรัตน์
          
ใครคนหนึ่งแทรกเสียดเบียดขึ้นหน้า	
ประสานตาคนงามกามกำดัด
ประหนึ่งกวางระวังภัยในป่าชัฏ 			
ลูกคลีพลัดหล่นพรากไปจากมือ

โกลากลวุ่นวายจึงได้เกิด				
ประดักเดิดรีบรี่ผีกระสือ
เขาแย่งคลีมั่วแหลกกลุ่มแตกฮือ 			
ต่างยุดยื้อเหยียบกันสนั่นไป

ผลสุดท้ายได้คลีที่หนุ่มนั่น				
เขาคืนมันโยนจังหวะระยะไหว
ตาสบตาก็พานพบประสบใจ 			
ขณะใครอีกคนหนึ่งขมึงมา
          
อันความรักนั้นให้อะไรแน่ 			
ความท้อแท้ความสุขสันต์ความหรรษา
บุคคลผู้มีรักปักอุรา 				
ไยจึงมีทีท่าที่แผกกัน

ควรหรือไม่หากความรักอนรรฆค่า			
คือจิตรางามเพริศประเสริฐสรรค์
พร้อมจะมอบให้ประชาผู้จาบัลย์ 			
ปิดอธรรม์เปิดทางสว่างธรรม
         
วันเวลาผ่านไปไม่เคยหยุด 			
พระสัมพุทธเยื้องยาตรพระบาทย่ำ
แต่เด็กดื้อถือสร้างหนทางกรรม 			
แม้งามคำแต่หมองใจก็ไร้มรรค

ใครคนหนึ่งเพรียกนามกามนิต			
สลักจิตวาสิฏฐีนี้หน่วงหนัก
อีกคนหนึ่งโหดร้ายทำลายรัก 			
สาตาเคียรเพียรควักหัวใจคน

กระทั่งโคดุดันประจัญขวิด				
แทงร่างกามนิตกลางถนน
ปิดฉากหัวใจบรรลัยชนม์ 				
จรดลสู่กามาพจร
          
ฉันโศกใจไยโลกนี้มีแต่เศร้า		
ต่างโง่เขลาห่างธรรมคำพระสอน
ล้วนสมคำโลกหรือคือละคร 			
ทุกบทตอนตัวแสดงไว้แต่งใจ

ปาดน้ำตาว้าเหว่ทะเลโศก				
ฉันลาโลกเจ็บช้ำเสียงร่ำไห้
ด้วยอึดอัดขัดข้องหมองหทัย 			
ประกายไฟไหววูบอรูปจร
 

ในป่าดึกดำบรรพ์
          
มาเดินดงพงป่าพนาเวศ 			
ภูมิประเทศใหญ่ยิ่งปานสิงขร
ขณะแสงรังสิมันต์ผันรอนรอน 			
ป่ายักษ์หลอนจิตฉันจนพรั่นใจ

เขียวชอุ่มคลุมบังประดังด้าน			
แลกิ่งก้านยิ่งยงอสงไขย
แน่นขนัดอัดเสียดเบียดกันไป 			
นภาลัยเห็นแต่ยอดกอดกันมา

บนพื้นดินก็บ่มใบไปจนทั่ว				
ดูน่ากลัวทะเลใบไกลลิบหล้า
อวลกลิ่นร้ายกระไอร้อนอ่อนอุรา 			
เห็นสายหมอกออกฝ้าทั่วป่าชด

ฉันหัวร่อต่อความใหญ่ในแปลกป่า			
เลื่อยไฟฟ้าไม่กี่ครั้งก็พังหมด
หัวใจป่าแพ้ภัยหัวใจคด 				
คงจะเตียนเหี้ยนหมดไม่นานนัก

ทั้งทั้งรู้ว่าป่าหรือคือชีวิต 				
พอจริตแตะเงินตราป่าก็หัก
ฝูงมอดไม้เจาะจิกอยู่คิกคัก 			
ก็มอดม้วยหน่วงหนักหนอป่าไม้
          
ฉันยินเสียงโครมครามฟังคร้ามขวัญ	
แล้วฉับพลันป่าก็แตกแปลกไฉน
กระเจิงดงมืดมัวตัวอะไร 				
ข้างหลังสุดทำไมใหญ่เหมือนยักษ์

ข้างหน้าเขาห้อเหยียดเบียดกันห้อ 		
ข้างหลังพ่อไล่งับอยู่ฉับฉัก
ข้างหน้าเขาสับไกแทบตายชัก 			
ข้างหลังพ่อไล่ตักจะควักเนื้อ

นี่ฉันหลงเข้ามาที่ป่าไหน				
จึงมีไดโนเสาร์เผ่าพันธุ์เสือ
ที่โกยควบทิ้งโค้งนั่นคลุมเครือ 			
แต่ข้างหลังใหญ่เหลือพ่อไทแรน

พยัคฆ์ร้ายไพรวัลย์ดำบรรพ์ดึก 			
ตัวเหมือนตึกหน้าโฉดดูโหดแสน
กินทุกอย่างที่ขวางลิ้นในดินแดน 			
นั่นยังไงงับเสียแน่นแล้วขบเน้น

พลางสะบัดฟัดเหวี่ยงเฉวียงฟาด			
เหยื่อดิ้นพราดเลือดนองฉันมองเห็น
กระดกลื่นกลืนเอื้อกกระเดือกเอ็น 			
กระดูกเต้นแตกก้อนกระดอนไกล

ปากเปรอะเลอะปริ่มด้วยลิ่มเลือด			
ยังก้มเชือดฉีกกินลิ้นไหวไหว
วัฏจักรแห่งชีวิตเมื่อคิดไป 				
เจ้าตัวใหญ่กินตัวน้อยถอยถัดมา

การต่อสู้เพื่อดำรงซึ่งพงศ์เผ่า 		
ไดโนเสาร์ปลาปูถึงหมูหมา
ล้วนกินเพื่อรักษ์ชีวาตม์อาตมา 			
ถึงต้องฆ่าต้องยีย่ำต้องจำใจ

แล้วคนเล่าเขากินแผ่นดินเกิด			
กินกำเนิดกินกำนัลกินกันไหม
กินกันเองเก็งแต่อัดยัดเข้าไป 			
กินเยื่อใยกินวิญญาณกินกันยาว

กินกับโกงโกงกับกินไม่สิ้นสุด			
ล้วนมนุษย์ไว้ชื่อจนลือฉาว
ชื่นสิ่งหอมตอมสิ่งเหม็นเป็นเรื่องราว 		
ไม่เหมือนชาวโลกาช่างน่าอาย
          
ไทแรนโนเซารัสยังฟัดซาก		
เนื้อเต็มปากกลืนอ้ำขม้ำหาย
พลันชะงักงกงันอันตราย 				
ทิ้งซากตายหล่นตึงตะบึงแจว

ฉันเหลียวซ้ายแลขวาสงกาหนัก			
ไยเจ้ายักษ์เลือดเย็นจึงเผ่นแผลว
แหงนดูฟ้าคลุ้งควันขวั้นเป็นแนว 			
ฉับพลันแก้วหูฉันสั่นสะเทือน

ระเบิดตูมไฟตามขามขยาด 			
ลาวากวาดพนาวันอยู่ลั่นเลื่อน
พระเพลิงฉานแดงดับตะวันเดือน 			
ธรณีแยกเขยื้อนโขยกโยน

อยู่ไม่ได้เหมือนกันฉันต้องเผ่น			
ประลัยวาตแผลงเห็นเช่นในโขน
ลมระอุปะทุกรีดเหมือนมีดโกน 			
ใจกระโจนสูญไปในทันที
 

ศรีศิลป์จินตนาการ

มาโลดลิ่วปลิวไปในสายหมอก 		
ลิ่มลมตอกตึงตึงตะบึงหนี
เชี่ยวงวงช้างคว้างฉุดดุษณี 			
วัชรีปลาบแปลบจนแสบตา

เป็นร้อยวนพลวัตสะบัดเหวี่ยง			
ฉันเฉลียงแฉลบขึ้นทมื่นผา
กระแย่งย่องกระพร่องยืนฝืนกายา 			
ในพริบตาภูมิทัศน์ก็ชัดนัยน์

ดูเวิ้งว้างร้างไร้ไม่มีหล้า 				
เสาค้ำฟ้าเสียดดาวสกาวใส
ไม่เห็นโคนมนมัวเสียวหัวใจ 			
ฉันยืนยอดปลอดภัยสงสัยยาว

มาโดดเดี่ยวเดียวดายที่ไหนนี่			
ศรคีรีเสาตะลุงที่พุงหลาว
ไมรู้เช่นเห็นชื่อหรือชนชาว 			
มิติด้าวแดนนี้หนอที่ใด
          
บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว		
สะดุ้งแล้วหมอกฝ้าข้างหน้าไหว
เกิดกระเพื่อมเป็นภาพระนาบไกล 			
นภาลัยเป็นจอต่อเข้ามา

เจ้าเกล็ดนิลทมิฬกาฬทะยานเผ่น			
เขี้ยวเพชรเข่นขบกัดสะบัดขา
ดาบสน้อยถอยเบี่ยงหลบเงี่ยงงา 			
หวายเจ้าตาคล้องควับเข้าฉับพลัน

ฉันเห็นใครคนหนึ่งรำพึงจด 			
จารปรากฏเรื่องราวอันพราวฝัน
แลรอบกายก่องกระพริบระยิบพรรณ 		
ผุดประกายสีสันวรรณกวี

ตรงนั้นโคบุตรสุดเกรียงไกร			
ตรงนี้พระอภัยมณีศรี
ตรงนั้นไชยสุริยาภูมี 				
ตรงนี้กากีงามตระการ

ลอยเลื่อนเตือนใจมาไม่หยุด 			
ฉันรีบทรุดกายยอบหมอบประสาน
มือประนมก้มเศียรประณตปราณ 			
กราบแทบเท้าอาจารย์หมดหัวใจ
          
ศิษย์สยามคนนี้ไม่มีชื่อ 			
เลื่องระบือดั่งภู่นามวามไสว
แต่ศิษย์น้อยมีมนัสที่หนักใน 			
จะปกปักรักษ์ไว้ในเชิงกลอน

แม้ไม่เด่นเช่นเชื้ออาชาชาติ			
ก็หมายมาดหมั่นทำตามคำสอน
ขอพระเดชพระคุณนามสุนทร 			
โปรดอย่าถอนใจสลายสายกวี
          
ยินเสียงครืนครืนครั่นจากด้านขวา		
ภาพพร่าพร่าเลือนออกหมอกมัวสี 
ประเดี๋ยวหนึ่งก็สว่างก็จ่างดี 			
นิมิตมีฉันมองจับจ้องดู

เป็นอาคารอาจองทะนงเด่น			
ฉันแลเห็นสัญลักษณ์สลักหรู
ในกรอบอาร์มหลากสีอินทรีงู 			
สิงโตคู่แบดเจอร์คงเกลอกัน
          
ฉันแว่วว่าวันนี้จะมีแข่ง			
กีฬาแห่งศักดิ์ศรีที่ใฝ่ฝัน
เรียกควิดดิชขวิดดะอัศจรรย์ 			
ขี่กันมันไม้เท้าท่องล่องนภา

นั่นยังไงมาแล้วเขาแจวกวด			
ชนกันพรวดลูกดิ้นบินถลา
ผู้ที่ชมร้องอื้อเขาฮือฮา 				
อย่าเชียวนาอย่าได้มีผีพนัน

ดูกีฬาดูเพื่อให้ใจสะอาด				
กระเป๋าขาดดูไปใครก็ขัน
กระเป๋าตุงดูไปใจก็ตัน 				
เพราะจิตมันดูผีใช่กีฬา

เจ้าหนูน้อยสวมแว่นเขาแน่นหนัก			
วูบเดียวดักลูกทองว่องผวา
กริฟฟินดอร์ชนะชัยในไม่ช้า 			
ณ ฮอกวอตส์แดนมหามายาการ

ฉันอิ่มเอมเปรมใจในภาพทิพย์ 			
สุขกระซิบซึ้งค่ามหาศาล
ในสีสันวรรณกรรมคำละลาน 			
โรว์ลิ่งจารจดสิ้นจินตนา
          
ศิลปินรินร่ำในคำร้อย 			
ศิลปะก็พร่างพร้อยในแหล่งหล้า
ไม่มีศิลป์ย่อมสิ้นธรรมค้ำอุรา 			
ทุกหย่อมหญ้าจะร้อนรุ่มเหมือนสุมไฟ

ผู้ไม่เสพย์ซึ่งศิลป์ย่อมสิ้นศรี			
ทั้งชีวีจักขุ่นข้องถึงหมองไหม้
ศิลปะศิลปินคือสินใจ 				
ที่หล่อหลอมโลกให้อำไพนัก

ฉันอำลาอาลัยจำใจจาก 				
คิดถึงมากเพียงไรจำใจหัก
ขอโลกนี้แจ่มสวยด้วยความรัก 			
ฉันถอนใจหน่วงหนักขอจากแล้ว
 

ค่ำคืนในป่าช้า

มาจดจ้องย่องตอดปอดกระเส่า 		
บรรยากาศทึมเทาทุกที่แถว
อัสดงคตกาลสิ้นวารแวว 				
เสี้ยวพระจันทร์แขวนแกร่วตะเกียงฟ้า

นาฏกรรมรัตติกาลบรรสานศิลป์ 			
กระชากสิ้นอาตมันหวั่นผวา
แม่ม่ายลองไนร่ายคีตา 				
สอดรับลีลาด้วยเรไร

วิหคนกแสกชำแรกต่ำ 				
หมาหอนสูงส่ำรับคำไข
แมงมุมตีอกบนยกใย 				
หิ่งห้อยฟ้อนไฟกระพริบพลี
          
ฉันเหลียวซ้ายแลขวาทั้งหน้าหลัง		
กรรมประดังโผล่มาป่าช้าผี
จะท่องบ่นมนต์อะไรก็ไม่มี 				
คลำที่คอหลวงพี่ก็ไม่มา

สภาพการณ์อย่างนี้เจอผีแน่			
เท้าหนักแปล้ปานครกเกินยกขา
กลัวแม่นาคยื่นมะนาวมือยาววา 			
กลัวท่านเคาท์แดรกคิวล่าขย้ำคอ

กลัวกระหังปอบกระสือยื้อลำไส้			
กลัวภูติไพรสมิงเสืองับเนื้อศอ
กลัวผีดิบผีสุกตาลุกรอ 				
ขวัญหนีดีฝ่อแล้วคืนนี้

ยิ่งกลัวความกลุ้มยิ่งกุมจิต				
มิดมิดหัวใจไหวแต่ผี
ขนเข็มเต็มเกล้าเข้าทุกที 				
ขนตัวตั้งชี้พอพอกัน

มีสติแต่สตัมภ์ค้ำไม่อยู่ 				
ความเคยรู้กลับโง่เป็นโมหัน
สมองใสไหวพริบมาตีบตัน 			
สาธุ!สว่างวันเสียทีวา

อันที่จริงคำชี้ว่าผีหลอก				
ก็บ่งบอกคำเล่าที่กล่าวหนา
ผีหลอกคือไม่จริงสิ่งลวงตา 			
แต่ก็ยังหวาดผวาวิ่งขาพัง

อันคำไขไม่เชื่ออย่าลบหลู่ 			
ใช่คำขู่พิจารณาว่าล้าหลัง
ต้องขอบใจคนโบราณท่านเก่งจัง 			
แต่ฉันยังแย่ยอดด้านปอดกลัว
          
ยังไม่ทันขาดคิดตะคุ่มโค้ง			
มาโหย่งโหย่งย่างหยามความสลัว
ผ่ะผ่ะผีฉันฉี่ไหลช่ะใช่ชัวร์ 				
ลิ้นระรัวชิวหาไก่ไล่กันกราว

ยิ่งผีใกล้เข้ามายิ่งตาเหลือก			
มันกลอกเกลือกดำหลบสบแต่ขาว
ยินเสียงเงี๊ยวเลี้ยวแผลวเจ้าแมวคราว 		
ฉันสะดุ้งถึงดาวใจกระเด็น

กะกะกลัวแล้วจ้าพ่อน้าผี	 			
เราไม่มีเวรกรรมเคยทำเข็ญ
จะทำบุญกรวดน้ำให้ฉ่ำเย็น 			
อย่าได้เห็นกันเลยหนอพ่อจงไป
          
ฉันเหลือบตาราตรีเห็นผียุ่ง		
ฝ่าควันคลุ้งเคล้าเจือกลิ่นเนื้อไหน
เขาง่วนตรงกองฟอนเพื่อรอนไฟ 			
ร่างของใครถูกปลงเป็นผงคลี

แท้เขาเป็นสัปเหร่อเซ่อเลยฉัน			
กลัวตะบันใจตะบึงถึงแต่ผี
มองทางไหนฟุ้งซ่านบานบุรี 			
ช่างไม่มีเหตุผลก่นแต่กลัว
          
ณ ถิ่นนี้คือที่พักพำนักร่าง 			
เป็นปลายทางแต่ไพร่ถึงนายหัว
โลกย์เกิดแก่เจ็บตายมลายตัว 			
แม้พรึงพรั่นก็พันพัวจนตัวตาย

เมื่อยังอยู่ร่มเย็นจงเป็นสุข				
ธรรมเปลื้องทุกข์โลกนี้ไม่มีขาย
ในเร่าร้อนนอนหวั่นอันตราย 			
เครื่องทำทุกข์มากมายหลายราคา

เกิดเป็นคนหลอกกันไยใช่หน้าที่ 			
รอเป็นผีค่อยออกหลอกเถิดหนา
ลวงไปปี้ลี้ไปปอกลอกกามา 			
ถึงป่าช้าพระยมจะอมยิ้ม

สัปเหร่อราตรีที่ป่าช้า 				
สัจธรรมดาดูหยุมหยิม
ความตายใกล้ตัวเฉกรั้วริม 				
ฉันแสนอิ่มเอมใจครรไลจร
 

คืนกลับบ้านเกิด
           
มาถึงย่านบ้านเก่าที่เราเกิด	 		
แดนกำเนิดก่อกายแต่กาลก่อน
ครั้งจากไปยังโหยหาและอาวรณ์ 			
ได้มาเห็นแสนสะท้อนสะเทือนใจ

เริ่มตั้งไข่ออกอุแว้เห็นแม่พ่อ			
และเรียนกอขอกามาจนใหญ่
มากเพื่อนเกลื่อนมิตรชิดละไม 			
ล้วนที่นี่แนบในกมลมาลย์

เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรตอนวัยเด็ก			
คือบ้านเล็กรั้วรอบขอบทหาร
สัตหีบกรมหลวงชุมพรชาญ 			
ค่ายทะแกล้วชลการทหารเรือ

ฐานทัพนาวีศรีสมุทร 				
ดินแดนสุภาพบุรุษฉลามเสือ
เผ่าพงศ์องอาจราชเครือ 				
เสด็จเตี่ยใต้เหนือบันลือนาม
          
เกิดเป็นทหารชาญทะเล			
เช้าค่ำลำเร่เห่สยาม 
ฝ่าคลื่นลมกล้าและฟ้าคราม 			
นิยามเพื่อใดให้ธิบาย

เกิดเป็นทหารชาญณรงค์				
ดาบชาติตอบตรงจำนงหมาย
มิคืนคมกลับสลับปลาย 				
ทำร้ายแทงหวนมวลประชา

เกิดเป็นทหารชาญชัย				
เกียรติศักดิ์ตอบไกรทหารกล้า
คือศพทอดรักษ์นัครา 				
ขอเทพอารักขาและคุ้มครอง

ฉันมองเห็นเยาว์วัยใจพิสุทธิ์		
อยากจะรุดเข้าไปถึงในห้อง
โหลปลากัดอัดใส่ตระไคร้ดอง 			
เขียวเข้มขึ้นเป็นกองสองสามวัน

นิทานกริมยืมเพื่อนเมื่อเดือนก่อน			
วางไว้หัวนอนอ่านขยัน
หลายจบสบอาทิตย์จนติดจันทร์ 			
เพื่อนทวงหน่วงมันฉันไม่คืน

หิวขึ้นกินข้าวสำรับครบ 				
ยำกบเคี้ยวคล่องไม่ต้องขืน
ผักกาดดองผัดไข่อร่อยกลืน 			
แกงส้มแม่ชื่นระรื่นใจ

ทุกเช้าประแป้งแล้วแต่งตัว				
ผมเผ้าเกล้าหัวพ่อหวีให้
หิ้วกระเป๋าปิ่นโตโต๋เต๋ไป 			
รอรถคันใหญ่ไปโรงเรียน

เห็นกวางย่างเยื้องชำเลืองเดิน 			
ท่องเพลินอาขยานทั้งอ่านเขียน
ไม้เรียวเงื้อง่าถ้าไม่เพียร 				
คุณครูประจงเจียรนัย
          
คืนวันเคลื่อนเลื่อนไหลจากวัยอ่อน			
เปลี่ยนมัจฉาสาครเกล็ดอ่อนใส
ให้เติบโตสู่มหาชลาลัย 				
เพียงเพื่อไปติดเบ็ดสำเร็จการ

หัวใจใสสูรย์พลันขุ่นสิ้น
ยุงลิ้นเหลือบไต่ไล้เลือดหวาน
เหมือนโลกไม่มีรวีวาร
มืดมนหมู่มารประจานใจ

ลืมห้วยลืมคลองหนองไก่เตี้ย			
เตยงามลืมเสียทะเลใส
เกล็ดแก้วสองสมอขอคืนไป 			
บางสะเหร่ขอไกลและไม่จำ

บรรจงลืมพ่อแม่ชะแรเฒ่า				
มาซุกเหง้าซ่อนเร้นด้วยเห็นต่ำ
เมื่ออยู่ในกรุงศรีวีรกรรม 				
จะต้องดำเนินดั่งเทวดา

ต้องทอดทิ้งจริงใจไปจับจด			
ต้องโป้ปดหมุบหมับทั้งครับขา
ต้องลมปากเจ้าเล่ห์เจรจา 				
ต้องอัตตาตัวเต่งให้เกร็งกัน

แดนดินถิ่นนี้โบราณว่า 				
สลัดซ่อนเงินตราเจ็ดกำปั่น
จึงเรียกนามสัตหีบด้วยเหตุนั้น 			
แต่ตัวฉันซ่อนจริตเหมือนจิตโจร

ที่ตีชิงวิ่งราวขื่นคาวโลภ 				
ทั้งมูมมามละโมภกับหัวโขน
เย็นเงินตราสาไถยขี้ไคลโคลน 			
แต่ร้อนรุ่มเหมือนกระโจนอเวจี
          
ได้กลับมาบ้านเก่าที่เราเกิด		
ได้มาเปิดใจเน่าแกะเหง้าฝี
เหมือนได้โชคพิพัฒน์สวัสดี 			
จรลีจากแล้วด้วยอาลัย
 

กลางทุ่งแห่งกรุงเทพ
          
มาย่างเหยียบเลียบทุ่งของกรุงเทพ 	
โดยสังเขปคือเมืองฟ้าเฟื่องสมัย
เห็นต้นตึกเติบโก้และโตไว 			
ต่างแตกใบชูช่ออรชร

แน่นขนัดรัถยาจนว่าชัฏ 				
ภูมิทัศน์หม่นมัวเห็นตัวหนอน
คลานยั้วเยี้ยละเหี่ยใจในนคร 			
จราจรจลาจลบ่นระอา

ฉันเห็นแม่เจ้าพระยาท่านบ่าไหล 			
เหมือนงูใหญ่โค้งคดไปจรดหล้า
ได้หล่อเลี้ยงบ้านเมืองรุ่งเรืองมา 			
ขณะไข้โรคากล้าทั้งกาย

คงเมืองหลวงเขาไม่ห่วงใยแม่			
จึงซูบเหงาเศร้าแท้แผ่ขยาย
จะสิ้นศักดิ์เจ้าพระยาครั้งย่ายาย			
กับรุ่นเหลนทั้งหลายหรือไรกัน
          
พลันคำนึงถึงทุ่งกรุงบางกอก		
กระเด็นออกเมื่อใจต้องไหวหวั่น
คลองจักษุจับภาพอาบตะวัน 			
เห็นอนันต์เอนกคนพ้นรพี

นี่ใช่หรือเมืองเรานคเรศ				
อาณาเขตมารดรสุนทรศรี
ไยผู้คนถะถั่งดั่งนที 				
เขาครรลีไปไหนครรไลคลอ

ได้ยินว่าถ้าไม่ให้จะไม่กลับ 			
ห่วงจะสับสร้อยสายตายจักต่อ
เสียงข้างบนครางอื้อนั่นคือฮอ 			
ตรงทางโค้งปืนคอจ่อจะยิง

เขียวขี้ม้านั่นใช่หรือคือทหาร 			
คงไม่ใช่เพราะหน้าด้านเขาต้านหญิง
ทหารไทยแต่ไรมาเขากล้าจริง 			
กล้าศัตรูใช่เฉิดฉิ่งกับหญิงชาย

หนึ่งอาวุธยุทธนาและหน้าเหี้ยม			
พร้อมจะเสี้ยมเสียบพรุนกระสุนสาย
หนึ่งมือเปล่าเปี่ยมหวังอันพรั่งพราย 		
พร้อมจะตายด้วยพรุนกระสุนพรู

กระผมขอสิทธิเสรีที่ควรได้ 			
กลับไปเถิดไม่มีให้หรอกไอ้หนู
ดิฉันขอกฎชาติประกาศชู 				
ใช้กฎกูไปก่อนอย่าอ้อนตาย
          
แล้วเสียงปืนก็แผดปังขึ้นดังเปรี้ยง		
ยิงไม่เลี้ยงเลือกหน้าผวาหงาย
ยิงทยอยสอยเลือดเดือดกระจาย 			
ยิงทลายมวลชนล้นลูกไทย

ฉันร่ำไห้เวทนาอย่างสาหัส				
เขากินหมัดกินหมามาแต่ไหน
บนทำเนียบบ้าคลั่งสั่งอะไร			
บนถนนบ้าใบ้จึงใส่ปืน

แม่โดมธรรมศาสตร์ประกาศศึก			
เจ้าพระยาร้าวลึกสะอึกขืน
ราชดำเนินหยัดย่างสล้างยืน 			
ชูชื่นวีรชาติมาศตุลา

วันสิบสี่หนึ่งหกศกพอศอ 				
วันแม่พ่อเพื่อนพี่กวีว่า
เป็นวันที่ฟ้าพิลาสสะอาดตา 			
เป็นวันที่มวลบุบผาร่าเริงรมย์

เมื่อเผด็จการกั้นปิดกันสิทธิ์ 			
รอนลิดเสรีที่สวยสม
เอาธรรมนูญแห่งรัฐยัดอาจม 			
สร้างระบอบโสมมตนขึ้นมา

แล้วละเลยต่อคำที่ร้องขอ				
ตีต่อลูกหลานด้วยการฆ่า
ประวัติศาสตร์จึงจารึกผนึกตรา 			
พวกเขาคือสัตว์ป่าหาใช่คน

ได้ขึ้นครองลองลิ้มชิมอำนาจ 			
กลับติดใจรสชาติอันฉ้อฉล
ได้ปกครองต้องคล้องใจประชาชน 		
และคล้องตนใจตัวอนัตตัง
          
ได้เหยียบทุ่งกรุงเทพสังเขปฆ่า 		
ชีวิตมีราคาใช่ตราสัง
ไม่มีใครมีสิทธิ์ปลิดชีวัง 				
ไม่มีสิทธิ์คุมขังใจประชา 

เพลงประลัยไกปืนคงยืนปราบ			
ผู้คนราบหลบเลี่ยงเอียงถลา
กลางกระสุนปลิวว่อนสำส่อนมา 			
ฉันก็บ้าเหมือนกันประจัญบาน
          
เสียงดังตึงหล่นตูมสะดุ้งตื่น 		
ยักแย่ยืนคิ้วยุ่งยังฟุ้งซ่าน
สายน้ำเกลือหลุดหล่นบนกระดาน 			
เหงื่อโทรมซมซานคลานขึ้นนอน

เป็นไข้ป่าห้าวันจันทร์ถึงศุกร์ 			
ไม่สนุกร้อนในไฟสุมขอน
เหลืองดีซ่านผิวพระสังข์ดังละคร 			
คอขย้อนต้องกินยาสารพัน

ฉันยังงงงุ่นง่านแต่เงื้อง่า				
จะชกหน้าใครหนอไอ้หมอนั่น
มองออกไปชายทุ่งเห็นรุ่งวัน 			
นิมิตฝันยังคว้างห้วงดวงกมล

จึงร้อยกรองเป็นกลอนสุนทรถ้อย			
ไม่ท้อถอยสร้างทำหนุนนำผล 
แม้ไม่งามสมใจผู้ได้ยล 				
ขออย่าก่นว่ากวีและชีวิต 
          
ชื่อของฉันว่ารามตามที่ตั้ง			
ลิขิตดั่งดาวเดือนไม่เบือนบิด
มีศรัทธารองเรืองอยู่เนืองนิตย์ 			
ขอเสรีศรีสิทธิ์กำจายเอย/.				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟราม ลิขิต
Lovings  ราม ลิขิต เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟราม ลิขิต
Lovings  ราม ลิขิต เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟราม ลิขิต
Lovings  ราม ลิขิต เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงราม ลิขิต