"ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะอ่านนิทานให้ฟัง" นักเล่านิทานผู้หนึ่งได้ ประกาศเล่านิทานขึ้นท่ามกลางหมู่ชน "นิทาน นี้มาจากบันทึกของคุณนายสป เรื่องเรื่อง ลูกแกะ กับหมาป่า " เรื่องมีอยู่ว่า...... กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ณ ดาวดวงหนึ่ง.. มีลูกแกะสีแดงอยู่ตัวหนึ่ง เกิดในสมัยที่ดวงดาวมีหมาป่าสีเขียว และมีแกะอื่น ๆ อยู่ร่วมกัน ด้วยความรักบ้าง ชิงชังบ้าง และไม่ว่าในกาลนั้นหรือกาลไหนจะมีหมาป่ากี่ตัวหรือลูกแกะกี่ตัวก็ตาม ผู้เล่นนิทานก็จะกล่าวว่าหมาป่าก็มีความหิว อยากกินลูกแกะเสมอ เรื่องนี้ก็เช่นกัน หมาป่าเขียว เห็นลูกแกะแดงก็เกิดความหิว ก็ด้วยความหิว อันอยู่ในจิต ดลใจให้ทนอยู่ไม่ได้ .. โอ้.. เจ้าแกะแดง.. ถ้าข้าได้กิน คงได้ สารอาหารครบ.. ( คือได้ทั้งโปรตีน เป๊บไตน์ เกลือแร่ วิตามิน เบต้าแคโรทีน แถมได้ เจลาติน โอเมก้าทรี อะมิโนโอเค๊ะ..กับ sugar 0% ฯลฯ ทุกอย่างเข้มข้นขนาดที่ว่า ไม่ต้องพูดเลยว่า ไม่เข้มข้นแล้วจะไม่นอน) แต่ครั้นจะจับลูกแกะกิน โดยปราศจากเหตุสมควร แต่ก็เกรงคนว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายจะโจทย์ว่าหมาป่าชั่วร้าย ว่าแล้ว เจ้าหมาป่าก็เข้าไป ดักลูกแกะ "เจ้าลูกแกะ ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยด่าข้า..." เจ้าหมาป่ารีบอ้างเหตุผล "เวลาที่ผ่านมานั้น ข้ายังไม่รู้เรื่องอะไรหรอก " ลูกแกะปฏิเสธ "ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็เคยแอบกินอาหารข้าแน่นอน" หมาป่าพูดอีก "ข้ายังเด็ก กินอะไรก็ยังไม่เป็นหรอก นอกจากน้ำ" "ก็นั่นแหละ เจ้าแอบกินน้ำของข้า" "แต่ข้าดื่มได้แต่น้ำนมเท่านั้นเอง" ลูกแกะปฏิเสธ "ไม่รู้แหละ เจ้าสีแดง แสดงว่าเจ้าต้องชั่วร้าย ในเมื่อนิทานทั้งหลายลูกแกะต้องสีขาว อย่างไรก็ตามถ้าเจ้าสีเหลือง หรือสีน้ำเงิน สีชมพู ฯลฯ เจ้าจะไม่มีความผิด ข้าจะยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษ ตามเกณฑ์มาตรฐานหมาป่าภิวัฒน์ แต่เพราะเจ้าสีแดง ข้าจึงไม่อาจยกเว้นได้" "ข้าจะลงโทษเจ้า และข้าก็จะกินเจ้าเป็นอาหารเดี๋ยวแหละ" ว่าแล้ว เจ้าหมาป่าก็กินลูกแกะสีแดงตัวนั้นให้ถึงแก่ความตายในทันที ครั้นแล้ว หมู่แกะก็ทักท้วง ว่าหมาป่าทำไม่ถูกต้อง หมาป่าก็แจ้งว่า ตนเองทำถูกแล้ว ตามหลักหมาป่าภิวัฒน์ จากนั้นก็พาคณะหมาป่ามาร่วมอ่านคำพิพากษา องค์คณะหมาป่า อ่านตามข้อสนทนาที่เกิดขึ้น ก็สรุปว่า ลูกแกะผิดแน่นอน ถ้าใครทักท้วง ถือว่าละเมิดอำนาจหมาป่าภิวัฒน์ จะต้องถูกจับกินเป็นรายต่อไป การที่เจ้ามาร้องเรียนแก่หมาป่า แสดงว่าเจ้าทั้งหลายยอมรับกฎแห่งหมาป่าภิวัฒน์ ว่ายุติธรรมที่สุดแล้วหาไม่เจ้าก็คงไม่มาร้องที่ข้าหรอก ฮ่า ๆๆๆ และแล้ว หมาป่าก็ใช้วิธีนี้ จับแกะแดงกินจนสิ้น หมู่แกะสีอื่น เห็นหมาป่ากินแกะแดงก็ต่างยินดี ด้วยรอยแสยะยิ้ม เยียบเย็น ด้วยรังเกียจแกะแดงแต่แรก และได้ผูกพยาบาทจองเวร ตั้งแต่ครั้งที่หัวหน้าแกะเหลือง ได้นำหมู่แกะขับไล่แกะแดงให้หายไปดาวดวงนั้น สุดท้ายแกะแดงสูญพันธุ์ หมดสิ้นจนคนรุ่นหลังอาจจะไม่เคยเห็นแกะแดง นี่เองสมัยหลังจึงมีแต่ภาพแกะสีขาว หรือสีอื่น ๆ แต่ไม่เคยมีสีแดงเลย ส่วนหมาป่าสีเขียว ภายหลังก็สูญพันธุ์ เพราะภายหลังมีผู้กล่าวว่า หมาป่าได้กระทำผิดเพราะสีเขียว เมื่อสีเขียวก็ต้องผิด จึงถูกลงโทษจนสิ้น นี่เอง ภาพประกอบที่ข้านำมาแสดงให้เห็นจึงมีแต่หมาป่า และลูกแกะอย่างนี้แหละ ................................................................................................... เมื่อผู้เล่า ได้เล่านิทานจบลง ผู้ฟังก็วิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ กัน บ้างก็ว่า จะเป็นไปได้หรือที่จะมีแกะแดง ในเมื่อเราไม่เคยเห็น บ้างก็เห็นด้วยว่า สมควรแล้วที่จะลงโทษ เพราะเกิดมาแดงเอง ถ้าเกิดเป็นสีอื่น ก็คงจะไม่ต้องมารับเคราะห์ ถือเป็นวิบาก ที่ควรก้มหน้าก้มตารับ ถ้ามีบุญจริงคงเกิดเป็นแกะสีอื่น หรือเกิดเป็นหมาป่า ผู้มากด้วยบารมี บ้างก็เห็นว่าน่าสงสารแกะ ไม่น่าผิดที่เกิดมาสีแดง หรือถ้าแกะสีแดงผิดจริง พอเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินก็ไม่น่าพ้นผิดได้ อย่างไรก็ตาม โดยมากเห็นว่า ถ้าสีเหลืองจะดีที่สุด ส่วนเหตุผลไม่อาจจะอธิบายได้ ณ ที่นี้ เนื่องจากเกี่ยวเนื่องด้วยพิธีแห่งการพลีบูชา อันกล่าวได้แต่เฉพาะผู้อยู่ในวรรณะศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เมื่อมีเสียงถกเถียงกันมากขึ้น ผู้อ่านนิทานก็จึงได้นำเรื่องไปถามผู้รู้ ซึ่งต่างนิยมเรียกอีกชื่อว่า นักประหลาด เพราะมีความคิดแปลก คนธรรมดาทั่วไป (ภายหลังเพี้ยนมาเป็นคำว่านักปราชญ์) เพื่อให้แจ้งความกระจ่างใจมากขึ้น หมู่ชนทั้งหลายก็พร้อมกันไปฟังคำอธิบาย ณ ที่นั้น ท่านนักประหลาดได้กล่าวว่า "..............เรื่องเล่านี้ ข้าพเจ้าได้สดับมานานแล้ว ซึ่งท่านจะเชื่อหรือไม่ว่าในอนาคตกาล นานไป ลูกหลานก็จะเล่าต่อ ๆๆ กันนานเข้า ก็เปลี่ยนชื่อผู้แต่งนิทานนี้ เป็นคำที่ไม่ค่อยสุภาพนัก และชื่อเรื่องก็เปลี่ยนจากลูกแกะกับหมาป่า กลายเป็นหมาป่ากับลูกแกะ ทั้งที่เริ่มเรื่องด้วยลูกแกะ ชื่อจริงจึงต้องลูกแกะมาก่อนหมาป่า แต่เนื่องจากหมาป่า เป็นผู้ชนะ และมีอำนาจกว่า ..... นักประหลาดอธิบายต่อว่า. ".....ตามหลักมัจฉาธิปไตย คือปลาใหญ่ ควรได้สิทธิ์ก่อนปลาเล็ก อันเกิดมีในยุคหลัง หรือยุคอันคนมีจิตใจล้าหลัง (นัยว่าผู้ใหญ่ก็ย่อมได้สิทธิ์ก่อนลูกบ้านกระมัง.. นี่เป็นความเห็นของผู้เรียบเรียง) เมื่อถือตามหลัก มัจฉาธิปไตย เขาเหล่านั้นจึงสลับชื่อ จากลูกแกะกับหมาป่า มาเป็นหมาป่ากับลูกแกะ ครั้นอนาคตกาลนานเข้าอีก แม้แกะ ก็เพี้ยนกลายเป็นแพะ และผู้รับโทษ อันใดนั่นเฉกลูกแกะนั่นแล ก็ชื่อว่าแพะ บ้างก็นำเรื่องแพะและแกะมาพูดปนกัน จนสับสน เขาจึงพูดกันว่าจับแพะชนแกะ อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องในอนาคต ที่จะเกิดขึ้น เมื่อท่านตายจากอัตภาพนี้ เกิดอีกหลายรอบ สูงต่ำตาม กรรมลิขิต จะมีบ้างที่เกิดในยุคที่กล่าวมาแล้ว สมัยภายหน้านั้นท่านจะถกเถียงดังเช่นนี้ ก็เมื่อท่านในที่นี้ บ้างก็เคยเป็นแกะเหลืองบ้าง เป็นแกะแดงบ้าง เป็นแกะน้ำเงินบ้าง เป็นหมาป่าบ้าง นิทานที่คุณนายศพเล่าไว้ แท้จริงก็คือเรื่องในอดีตของท่านทั้งหลายนี่เอง.............." "จริงหรือท่าน ช่างอัศจรรย์จริง ๆ เป็นไปได้หรือ ที่เรื่องในอดีตจะวนมาเกิดซ้ำได้" ชายคนหนึ่งพูดขึ้น "เหตุดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดเพียงในกาลครั้งนั้นเท่านั้น ในอดีตกาล นานนับชาติไม่ถ้วน ประมาณประมวล เคลิ้มคล้ายฝันดังว่าเพิ่งเกิดไม่นานนี้ เรื่องทำนองนี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้ว " ท่านนักประหลาดพูดขึ้น "ช่างวิเศษแท้... ขอท่านนักประหลาด จงเล่าเรื่องในอดีตให้เราฟังด้วยเถิด.." หมู่ชนในที่นั้นต่างพูดเป็นเสียงเดียวแล้วก็เงียบลงนิ่งรับฟัง ................................................................................................... ......กาลครั้งหนึ่ง มีวัวตัวหนึ่ง วัวนั้น เดินเข้ามากินหญ้า อันเกิดแต่ธรรมชาติ พลันก็มี หมู่นายพรานเข้ามาล้อมวัวนั้นไว้ "เจ้าวัว เจ้าขโมยกินหญ้า ของข้า เจ้ามีความผิด" นายพรานคนหนึ่งพูดขึ้น "วัวทั้งหลายย่อมกินหญ้า อันธรรมชาติให้มาอยู่แล้ว จะผิดได้อย่างไร" วัวเถียงตอบ "ก็ที่ดินผืนนี้ เป็นของข้า หญ้าที่ขึ้นย่อมถือเป็นของข้า เจ้ามากินก็ถือเป็นขโมย" "ผืนดินนี้ มีมาตั้งแต่โลกตั้งอยู่ และย่อมเปลี่ยนแปลง ตราบโลกสิ้นไป หาเป็นของใครเฉพาะไม่ หญ้าอันขึ้น ณ ที่นี่ ก็อาศัย สรรพสัตว์ถ่ายมูลบำรุง และได้น้ำจากฟ้าหล่อเลี้ยง" วัวแย้ง "ยังไงก็ตาม เจ้าเป็นวัว เจ้าเป็นพวกขี้โกง ฉลาดแกมโกง .. โง่ด้วย ฉลาดขี้โกงด้วย สรุปคือทั้งฉลาดทั้งโง่ ทั้งชั้นต่ำเจ้าเป็นพวกชั้นต่ำ เมื่อเกิดมาต่ำต้อย เจ้าก็ต้องผิด ต้องรับวิบากกรรม เป็นกรรมของเจ้าเอง" "เจ้าไม่ควรดูถูกเช่นนี้ ก็ข้าวที่เจ้าบริโภค ก็ด้วยวัวทั้งหลายทำกสิกรรม เจ้าจึงมีข้าวรับประทาน มีอาหารเลี้ยงลูก เลี้ยงผู้ให้กำเนิน เพราะวัวทั้งหลาย เจ้าเอง ไม่ประกอบการขวนขวาย เอาแต่ หยิบยืมจากผู้อื่นมากมาย ในเมื่อได้อาศัยข้าวอันเราทั้งหลายได้ไถพรวน เลี้ยงเจ้ามาเช่นนี้ ยังจะควรว่ากล่าวเราอีกหรอ" ... เจ้าวัวโต้ตอบ "เจ้าต่างหาก เจ้าวัว เจ้าเป็นผู้เหยียบแผ่นดิน แถมประพฤติตน ลืมรอยเท้าตนเองอีก ดูซี เท้าทั้งสี่ของเจ้า ไม่ได้เหยียบลงที่เดิม" "วัวที่ไหนก็ไม่ได้เหยียบเท้าเดิมตนเองทั้งนั้น หากทำเช่นนั้นท่านก็จะกล่าวว่า วัวทั้งหลาย เป็นผู้ตีตนเสมอ ดังเอาไปกล่าวว่าข้าวัดรอยเท้า" นายพรานโกรธจัดที่วัวต่อล้อต่อเถียงไม่จบ "แต่เจ้าเป็นวัวสีแดง! เจ้าผิด เพราะวัวทั้งหลาย ไม่ควรสีแดง ถ้าเจ้าเป็นวัวสีเหลือง สีน้ำเงิน หรือสีอื่น ๆ ข้าจะยกเว้น หรือถ้าเจ้า เป็นอย่างอื่นสีแดง เช่น กระทิง หรือคาราบาว ก็ถือว่าไม่ผิด แต่เจ้าเป็นวัว และสีแดง เจ้าต้องผิด!! ข้าเป็นนายพราน จะมีสิทธิ์อะไรก็ได้ ครอบครองทรัพย์สินเท่าไรก็ได้ แม้ภูเขาอันเป็นป่าสงวน หรืออุทยาน น้ำตก หรืออันเป็นของส่วนรวม ของรัฐ ของหลวง ของส่วนตัวใครก็ตามข้าก็ยึดได้ทั้งนั้น และแม้อะไรที่ข้าให้แก่ใคร ถ้าไม่พอใจ ข้าก็เอาคืนมาเป็นของข้าได้ ฮ่า ๆๆ เมื่อสักครู่ ข้าได้เขียนกฎหมายย้อนหลังไว้แล้วว่าห้ามวัวแดงใดกินหญ้า เจ้าทั้งเป็นวัวแดง ทั้งกินหญ้า ยังไงเจ้าก็ต้องผิด อย่างไรก็ตาม ข้าจะเมตตาเจ้า โดยเฉือนเอาเฉพาะหัวใจลูกตา สมอง จมูก ปาก กระเพาะ ตับ ไต ขา กระดูก และเส้นเลือด ทั้งหลาย และเนื้อส่วนที่อร่อยอ่อนนุ่ม ส่วนที่เหลือข้าจะคืนให้เจ้า " ว่าแล้วนายพราน ผู้นั้นก็ได้ฆ่าวัวทิ้ง แล้วก็ดีใจ ชำแหละเนื้อแบ่งกัน และแบ่งบูชายัญ ประมาณว่าเนื้อที่ได้นี้ มีถึง 10 ส่วนในร้อย เมื่อเทียบกับส่วนที่ยืมเพื่อนบ้านมาแล้วยังค้างเขาไว้ ที่ยืมมาก็มีมากประมาณไม่ได้ แม้ 10 ส่วนนี้ ก็มากเกินประมาณได้ ว่าแล้วก็แบ่งกัน และแสยะยิ้มให้กันอย่างสะใจ ด้วยเนื้อวัวนี้ ข้าไม่ต้องประกอบกสิกรรมอันใด ก็อยู่ได้สบาย ๆ หลายวัน หมู่วัวแดงทั้งหลายต่างก็ออกมาเรียกร้อง ขอความเป็นธรรม หมู่นายพรานก็บอกว่า ข้าเป็นผู้ยุติธรรมเที่ยงตรง ข้าจะตั้งคณะนายพรานขึ้นพิจารณา ว่าแล้วก็พิจารณา เห็นพ้องกันว่า วัวแดงผิด เพราะวัวเหลืองมักบอกว่าวัวแดง ขี้โกง เป็นพวกฉลาดแกมโกง ขณะเดียวกัน ก็เป็นวัวที่โง่ด้วย และที่สำคัญ ตามกฎที่เราเขียนขึ้นหลังวัวแดงกินหญ้า เราระบุไว้แล้ว ว่า ถ้าวัวแดงกินหญ้า ถือว่ามีความผิด และให้ถือคำตัดสินนี้เป็นที่สุด เจ้าจะโต้แย้งไม่ได้ ถ้าเจ้าไม่เชื่อกระบวนการ เจ้าก็คงไม่มาเรียกร้อง เจ้ามาเรียกร้องให้ข้าช่วยตัดสินเอง แสดงว่าเจ้ายอมรับกฏแห่งนายพราน สรุปแล้ว ใคครโต้แย้งถือว่าละเมิดอำนาจ อธิปไตยแห่งนายพราน สัตว์ทั้งหลายต้องยอมรับสถานเดียว จะคิดเห็นเป็นจากนี้ไม่ได้ เพราะนายพราน เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจาก เทพโอเรออน (Orion) ผู้ยิ่งใหญ่ ได้รับอำนาจอันชอบธรรมทุกประการ ดังปรากฎตรารับรองสิทธิ์อยู่บนท้องฟ้า (http://phuketindex.com/travel/photo-stories/other/s-star/orion.htm) ไม่เชื่อเจ้าจงดูสิ เห็นดาวนั่นมั้ย ดาวที่เรียงตัวกันเป็นสี่เหลี่ยม นั่นคือรูปลักษณ์ แห่งดาวนายพราน สัญลักษณ์ของพวกชนชั้นสูงอย่างข้า ดูซี ตรงกลางมีดาวสามดวง เป็นเข็มขัดหัวรูปคันไถ เทพเจ้าให้รูปคันไถแก่ข้า ก็ให้ข้ามีสิทธิ์เหนือวัวทั้งปวง ข้าจะออกกฎอย่างไร หรือแม้กฎที่มี ข้าจะตีความอย่างไรก็ได้ ว่าแล้ว ถ้าวัวแดงไหน คัดค้านก็จะถูกชำแหละ หรือแม้ไม่คัดค้าน พยายามหลีกเลี่ยง นายพรานก็อาศัยข้อบัญญัติกฎอธิปไตยนายพรานย้อนหลัง สั่งลงโทษวัวแดงได้ทุกครั้ง กระทั่งวัวแดงหมดสิ้นไป ฝ่ายวัวสีอื่น ๆ ต่างก็ดีใจเป็นอันมาก เพราะต่อไปก็ไม่มีวัวอื่น มาแสดงตัวดีเด่นกว่ากลุ่มตนได้ ....................................................................... ท่านนักประหลาดได้เล่าเรื่องจบ ผู้หนึ่งก็ได้ถามขึ้นว่า "ท่านผู้ประหลาด ทำไมวัวแดงช่างโชคร้ายนัก ทำไมนายพรานผู้เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น เช่นนี้ จึงอยู่สุขสบาย แต่วัวแดงกับต้องรับเคราะห์" ผู้ประหลาดนิ่งสักครู่ แล้วตอบว่า "ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะกรรมเก่า นั่นเอง" แต่ถึงกระนั้น กรรมใหม่ ถ้าทำดีก็ย่อมมีผลดี ดังเช่นว่า แม้วัวโดยมากจะชิงชังวัวแดง ดุด่าว่าร้ายบ้าง กล่าวหาว่าโง่บ้าง ฉลาดโกงบ้าง และดีใจเมื่อในความวิบัติอันเกิดจากวัวแดง วัวแดงทั้งหลาย ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้โกรธแค้น มหาเทวะ ผู้ทรงด้วยเมตตา และยุติธรรม อันเป็นบรมโพธิสัตว์ทรงคุณธรรมอันยิ่ง อยู่เหนือรูปและนาม แทรกในสรรพสิ่งสรรพสาร เป็นธรรมชาติ และเหนือธรรมชาติ พ้นแล้วซึ่ง อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ด้วยปรมังสูญญัง อันว่างจากกิเลสตัณหา ถึงแล้วซึ่งบรมสุข แต่ยังคงมีเมตตากรุณา ไม่สิ้นสุด สิ่งใดอันทรงให้แล้ว ไม่ปรารถนาเอาคืน มีแต่มุ่งให้ทุกสรรพสัตว์มีสุขสถานเดียว มิได้ถือตน ถือยศศักดิ์ ถือชาติตระกูล ถือตำแหน่งหน้าที่ เพราะทรงแทรกอยู่ในทุกอณู ทุกปรมาณู และสิ่งที่ไม่ใช่อนู ไม่ใช้ปรมณู ไม่ใช่แม้บัญญัติทั้งหลาย มหาเทวะท่านได้เห็นใจ และเห็นแก่ความดีของวัวแดงโดยรวม จึงได้เนรมิตให้ รูปลักษณ์แห่งวัวแดงได้ปรากฎบนท้องฟ้า วัวแดงได้ร้องขอว่า ขออย่าใช้สีแดงเลย ขอจงใช้สีขาวบริสุทธิ์ เพื่อความสมานแห่ง มวลหมู่ วัวทั้งหลายทั่วสากลจักรวาล มหาเทวะ กล่าวว่า ดีแล้ว จึงเปลี่ยนให้ทุกดาวเป็นสีขาวนับตั้งแต่นั้น พร้อมให้ชื่อกลุ่มดาวนี้ว่า กลุ่มดาววัว (TAURUS) และทำนายว่า อนาคตกาลข้างหน้า ดาววัวนี้แหละ จะได้กลายเป็นดาวประจำราศี ของผู้เกิดเดือนที่ห้าแห่งปฏิทินสุริยจักร (http://phuketindex.com/travel/photo-stories/other/s-zodiac/taurus.htm) ให้วัวผู้เป็นประธาน สถิตอยู่ที่ดาวชื่อ อัลดิบะรัน มีโชติมาตร 0.9 (ไม่เพียงเท่านี้ยังอนุญาตให้ วัวแดงในอนาคต ปรากฏเป็นสัญลักษณ์ที่กล่องนมอีกด้วย) ส่วนดาวนายพรานนั้นด้วยกรรมใหม่ที่มุ่งทำลายผู้อื่นในไม่ช้า เมื่อวิบากกรรมส่งผล ก็ดึงดูดเอา แมงป่องมาต่อย ให้ถึงแก่ความตาย พิษที่อยู่ในตัว ปรากฎเป็นดาวสีต่าง ๆ เพื่อแสดงความบาปที่แบ่งชนชั้น แบ่งสี ทำ โคเภท หรือความแตกแยกแห่งหมู่วัว จารึกไปนานเท่านาน (แมงป่องนี้ก็ไม่ใช่แมงป่องที่ไหน ขณะนี้ได้ไปปรากฎบนท้องฟ้าอีกซีกฤดูหนึ่ง เป็นกลุ่มดาว SCORPIUS ต่อมาจะกลายเป็นดาวประจำราศีแห่งมนุษย์ดาวโลก ของผู้เกิดเดือนที่สิบเอ็ดแห่งปฏิทินสุริยจักร (http://phuketindex.com/travel/photo-stories/other/s-zodiac/scorpius.htm)) เพื่อเป็นเตือนใจสรรพสัตว์ มหาเทวะจึงได้ประทานดาวคันชั่ง (Libra) (http://phuketindex.com/travel/photo-stories/other/s-zodiac/libra.htm) ให้ธำรงความยุติธรรมเที่ยงตรง ไม่ลำเอียงด้วยเหตุต่าง ๆ และให้มีมหากรุณา ไม่มุ่งให้โทษให้ร้าย ดังดวงดาวในจักรวาล ที่ให้แสงสว่างแก่สรรพสัตว์ โดยไม่แบ่งแยก และได้เนรมิตให้ดาวอดีตชาติของนายพรานและวัวปรากฏขึ้นด้วย คือ กลุ่มดาวแกะ (Aries) (http://phuketindex.com/travel/photo-stories/other/s-zodiac/aries.htm) และกลุ่มดาวหมาป่า (Lupus) โดยทำนายว่ากลุ่มดาวแกะ จะเป็นดาวประจำราศีอีกราศีหนึ่งแห่งมนุษย์ดาวโลก ส่วนชื่อดาวหมาป่า (Lupus) ด้วยกรรม ทางกายกรรม และวจีกรรมที่มุ่งร้าย ให้ร้ายผู้อื่น จึงมีตราบาปส่งผลให้ในอนาคตชื่อดาว กลายเป็นชื่อโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่ดูน่ารังเกียจ ....................................................................... ผู้หนึ่งได้ถามกับผู้เป็นนักประหลาดอีกว่า "ที่ท่านพูดว่า อนาคตกาล สมัยภายหน้า ก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงถ้อยคำต่าง ๆ และพวกเราก็จะถกเถียงกันเช่นนี้อีก ขอท่านได้อธิบายด้วย" ผู้เป็นนักประหลาดตอบกลับว่า "ในอนาคตกาล ท่านที่ผูกเวรแก่กัน อมเกิดมา และทำลายกัน เมื่อบังเกิดในดาวชื่อโลกมนุษย์ ด้วยแรง ริษยาอาฆาตบ้าง ด้วยความโลภ และเล่ห์ ดุจนายพรานผู้มุ่งเนื้อนั้นบ้าง ชิงชังกัน ประทุษร้ายด้วย วาจา ด้วยกาย ด้วยสารอันประกอบด้วยอนูแห่งจุลธาตุ (อิเล็คตรอน) บ้าง จริงบ้าง เท็จบ้าง ทั้งจริงทั้งเท็จบ้าง หมู่ชนก็ยิ่ง วนอยู่ด้วย โทสะ และโมหะ ดังเช่นเรื่องอันเล่าไว้แล้ว ความยุติธรรม ขาดหายไป แม้เครื่องหมายแห่งดาวคันชั่ง ก็ไม่อาจยั้งใจผู้ควรเที่ยงธรรม ให้ตั้งในยุติธรรม และมีเมตตากรุณาได้ ตัดสินด้วยพวกเดียวกับตน เหมือนนายพรานตั้งนายพรานตัดสินวัว เหมือนหมาป่า ตั้งคณะหมาป่า ตัดสินแกะ ฉะนั้น ในกาลนั้น แผ่นดินย่อมสะเทือน ลมฟ้าอากาศแปรปรวน ลงโทษ สรรพสัตว์ กระทั่งแม้ผู้มีปัญญาพยากรณ์ ก็ไม่กล้าพยากรณ์ ว่ามนุษย์ดาวโลก และดาวนั้นจะดำรงอยู่หรือไม่ คงทำปฏิทินไว้เพียงปีที่ถึงที่สุดแห่งการพยากรณ์ แม้เราก็ไม่อาจพยากรณ์ ได้ หากมนุษย์ หันกลับมาดี แก่กัน ผู้มีอำนาจเลิกเบียดเบียนผู้น้อย คิดต่อกันด้วยเมตตาธรรม ความสงบเย็นย่อมกลับมา ความต่างแห่งสี ย่อมสร้างความงามประสาน ดุจสีแห่งดอกไม้หลากสี ยังผืนปถพีให้สวยงาม ฉะนั้น นักประหลาดได้เล่า ไปเล่า ๆๆ เรื่องนั้นเรื่องนี้ ต่อไปอย่างไม่รู้จักเหนื่อย และไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบที่ตรงไหน ....................................................................... ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ ... เสียงปลุกจากนาฬิกาดังขึ้น โอ้... ฝันไปนี่เอง ได้เวลาที่จะเริ่มต้นวันใหม่ เพื่อสร้างความดี ต่อไปได้แล้ว และแล้ว เรื่องฝันก็คือ เรื่องฝัน ... นั่งทบทวนอยู่ว่าฝันอะไรไปบ้าง.. จำไม่ค่อยได้ด้วยซี... จำได้เพียงชื่อเลา ๆ ว่าแกะกับหมาป่า... ใช่ ๆๆๆ ว่าแล้วก็ต้องเขียนเป็นนิทานให้เพื่อน ๆ อ่านสักหน่อย