7 กันยายน 2547 00:57 น.
รัถยา
ภูพานคลุมฝนพรำ คลุมคลึ้มคร่ำ สกลนคร
หนาวจับใจคนจร จนหนักหน่วงถึงทรวงใน
เสื้อฝ้ายที่เคยฝัน ฟูเนื้อฝั้นย้อมสีไพร
อุ่นซับแนบเนื้อใส่ แทนอุ่นเมื่อจากมิ่งมา
ร้อยทอเป็นลายแถว ลายดอกแก้วพวงผกา
ยืนยันภูมิปัญญา มรดกแห่งแผ่นดิน
พฤกษาอันสูงศักดิ์ อินแปง รักษ์ร้อยใจริน
ปลูกทุกอย่างที่เรากิน กินทุกอย่างที่เราแปง
แรกหยั่งจากรากหญ้า ใจสูงพาอันค่าแพง
ร่วมรักและร่วมแรง หลอมรากเหง้าเป็นลานเงิน
หลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้น หลอมลือลั่นความจำเริญ
ภูพาน คือ ภูเพลิน หลากเผ่าพันธุ์อันอำไพ
อินแปง...พระอินทร์ท่านได้ทรงสร้างไว้
กลุ่มเครือข่ายอินแปง เจ้าของนิยาม.....ปลูกทุกอย่างที่เรากิน กินทุกอย่างที่เราปลูก...
30 สิงหาคม 2547 02:46 น.
รัถยา
.
เมื่อราตรีรี่รับเข้าดับโลก
เข้าหยุดโยก อยู่เหย้า หยุดเศร้าหมอง
กลับมามองทบทวนที่ควรมอง
หยุดทัดทองแห่งระทม พาจมเพลิง
เมื่อดวงจิตอิสระ ถลาร่อน
สายลมอ่อนจูงไถลได้เถลิง
ปีกเสรีพาลอยถึงดอยเชิง
ได้รื่นเริงหลีกฉาก หน้ากากกาม
เจ้าเกียรติก้อนค้อนควักยักคิวให้
บินก้าวไกลพ้นกลอย่างข้นขาม
ดาวเหนือดักพยักหน้า สู่ฟ้าคราม
ให้เหนือความเหนือเค้า เหนือเงาตรม
ความพิสุทธิ์ผุดใสครองใจสด
แม้นเขี้ยวกรด ปลายกุดหรือขุดขม
ได้คัดค้างง้างคาวด้วยง้าวคม
พอได้ข่มใจไว้ด้วยใจตน
จึงได้ยิ้มแย้มซ่อน พอซอนเห็น
ไอเยือกเย็น โรยรยางค์ระหว่างหน
เข้าทักทายรายล้อมรวมพร้อมพล
พร้อมผจญมารพรางรอบข้างตัว
หรี่ตาลืม ยืมยิ้มที่ยื่นให้
จักยืมไปยิ้มยื่นให้ชื่นหัว
เมื่อราตรีลืมตา หลังฟ้ามัว
ได้ชื่นทั่วถิ่นทางกลางแสงทอง
.
22 สิงหาคม 2547 23:38 น.
รัถยา
ทางข้างหน้าที่ท้าทาย
และความหมายแห่งวัยเยาว์
จำฝืนยืนคว้างกลางเปลวแดด
ร้อนแผดรุมเผาคอยเฝ้าผลาญ
อ่อนล้าต้องรับ....นับประมาณ
ลมปราณที่ปราย สายชีวิต
ในทางเส้นทอดตลอดสาย
ย่างกรายย่ำกล ดลลิขิต
ร่มเศร้าเงาโศกโบกใบชิด
คือมิตรเยี่ยมมองเมื่อหมองใจ
ไตร่ตรองต้องก้าวแม้นผ่าวผืน
จำฝืนฝ่าพงใช่หลงใหล
เร่งลอดเร่งร่ำมองรำไร
เหมือนไต่ติ่งผาอันท้าทน
เคยฝันถึงฟ้าทาครามครอบ
รายรอบขอบทองครรลองหน
เมื่อครั้งยังเยาว์อยู่เหย้ายล
ก่อนกลแห่งกาลพาผันกลาย
แลหน้าแลหลังทั้งใหม่เก่า
เรื่องเล่าล้วนหลากล้วนมากหลาย
เกลือกกลั้วกลิ่นเกียรติ์เบียดอบาย
ล้อมรายยื้อรั้งบนตั่งทอง
ห่วงหาอาทรได้รอนปีก
ซุกหลีกซ่อนหลับลงลับหนอง
เสือสิงห์กระทิงใหญ่ได้ที่จอง
เลี้ยงฉลองฉีกเนื้อเถือวิญญา
ฟ้อนระบำรำระบม พรมเพลิงแดด
พล่านแผดเต้นโผนโจนผวา
สุขแสบป่วนซ่าน ตระการตา
จนกว่าสิ้นปราณ...สานชีวัน
9 สิงหาคม 2547 23:06 น.
รัถยา
พอเผยนภาชิวะขจ่าง.................ก็สว่าง ณ แรกวัน
พร้อมพักตรพริ้มผัสสะพัน- ........ธะก็พร้อม ณ อ้อมกร
นวลนุ่มถนอมหัตถแนบ..............อุระแอบประคองนอน
อุ่นไอก็อวลอุณหะอ่อน..............ระอุอิงนะมิ่งเอย
นัยน์มอบละมุนกรุณะมวล............ฤ ก็ล้วนชโลมเชย
แว่ววอนและหวานมิละเฉลย........ยลค้นแคะริ้นไร
อิ่มเอมชะอ้อนกษิระอุ่น...............ธุระวุ่นมิวายไว
อิงอกและโอบวรหทัย..................ทะนุจานและทานเธอ
ถ้วนสรรพางค์ชำระสะอาด............ชลราดชะล้าง เจอ
ไคลหม่นและมูลมิละจะเผลอ.....ก็มิพาล สะอ้านผิว
คือองค์ปฐมอัครจารย์..................คุรุสานประสาท ทิว
ถ้อยพึงพะพร่ำพิริยะพลิ้ว..............วรพจน์จรดเผย
แม่ คือ ธ ขานมอบ.................ดนุนอบมิตอบเอ่ย
เพียรคร่ำ ณ คำเคย....................ยลร้องสนองนวล
นับนั้น ณ วันนี้...........................ก็มิหนีพะนอมวล
วันนี้ก็คลี่ควร.............................ตละค้นมิเพียง คำ
รำลึกผนึกเร้า............................กรเข้าประณตนำ
พรเอ่ยเฉลยล้ำ..........................ก็ลุถึงหทัยแล้ว
.................................................................................
6 สิงหาคม 2547 23:20 น.
รัถยา
......................น้ำเสียง น้ำตาเจ้า
..ทุกหยดหยาดหยดย้อยทยอยหยาด
ทุกถ้อยบาดเบื้องลึกสะอึกไหว
ทุกท่วงทีที่รันทด ระทวยใจ
ให้สะเทือนสะท้านใน ทุกถ้อยนั้น
..ในเส้นทางทอดทออย่าท้อแท้
อย่าอ่อนแออ่อนไหวให้ใจหวั่น
จงแกร่งกร้านปานผาพร้อมฝ่าฟัน
จงเผยยิ้มยื่นปันในฝันปอง
..ยังคอยแลแม้ห่างไม่ร้างหาย
ยังเข้าคลายเคล้ามนเมื่อหม่นหมอง
ยังมีคำคอยน้อมพร้อมทำนอง
ให้คลายครองขุ่นเคืองจนเรืองรมย์
..นิทรานะจักโน้มจันทร์โคมสวย
จรัสสลวยเรืองรองได้ครองสม
แลสายลมเอื่อยไหลละไล้พรม
ได้ลบตรมพร้อมรับรุ่ง ของพรุ่งนี้