4 มิถุนายน 2548 14:13 น.
รัตนาดิศร
กายครู
กายครูผู้อุทิศ
หวังเป็นวิทยาทาน
พากเพียรเรียนพิจารย์
จนรู้จบเจนวิชา
ควรทำด้วยสำรวม
จิตใจร่วมกายวาจา
รู้คุณหนุนนำพา
มงคลแท้แก่ตนเอง
------------------------------------------------------------
กาพย์ยานี ๑๑ นี้ จารึกอยู่บนป้ายหินอ่อน ติดที่ข้างฝาห้องปฏิบัติการกายวิภาค ๑ ชั้น ๒ ตึกกายวิภาค คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มาเป็นเวลาเนิ่นนาน บ่งบอกถึงความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของอาจารย์ใหญ่ทุกท่านที่ได้อุทิศร่างกายเพื่อเป็นวิทยาทานแก่นักศึกษาแพทย์ทั้งหลาย
จึงจะขอคัดลอกมาไว้ ณ ที่นี้ ให้ทุกท่านได้อ่านกัน
ในวันนี้ (๔ มิ.ย. ๔๘) ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ ได้จัดงานทำบุญอาจารย์ใหญ่ประจำปีขึ้นในช่วงเช้าของวัน ท่าน ศ. (เกียรติคุณ) นพ. สรรใจ แสงวิเชียร เป็นประธานในพิธี ได้นำบทประพันธ์บทนี้ขึ้นอ่าน เป็นการย้ำให้นักศึกษาแพทย์ทุกคนได้ระลึกรู้ถึงบุญคุณของอาจารย์ใหญ่ทุกท่าน และจะเพียรเรียนปฏิบัติต่อท่านด้วยความเคารพ
นามของท่านผู้ประพันธ์นั้น รัตนาดิศรมิอาจทราบได้ ส่วนชื่อเรื่อง "กายครู" นี้ รัตนาดิศรขอตั้งขึ้นเองตามข้อกำหนด เพราะท่านผู้ประพันธ์มิได้ตั้งชื่อเรื่องเอาไว้
3 มิถุนายน 2548 18:13 น.
รัตนาดิศร
รัตติวิโยค
วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
๏๑ ย่างรัตติกาลพระทินกร
จรรอนและอ่อนแสง
แสดหล้านภาขณะแสดง
ทิวดับขยับหาย ๚
๏๒ คล้ำคลุ้มคละคลึ้มสุริยะคล้อย
ระยะค่อยเขยื้อนกาย
ซ่อนอับพยับอุษณะคลาย
ระอุคลั่งกระทั่งเย็น ๚
๏๓ เยือกจิตพินิจ ณ คคนางค์
สุริย์ห่างสิร้างเห็น
คืนหวั่นเพราะจันทรมิเพ็ญ
มิประภัสสร์ประภาพรรณ ๚
๏๔ มืดตื้อกระพือมรุตพัด
ดุจรัดกระหวัดผัน
โหมโบกกระโชกระยะกระชั้น
จะกระชากพิฆาตชนม์ ๚
๏๕ วูบหวิววะหวั่นหทยวาบ
เพราะสภาพโพยมยล
ดับเดือนและดารกสกล
มิสกาวมิพราวกร ๚
๏๖ เมียงมองเสมือนฤทยหม่น
และทุรนทุรายรอน
ราตรีวิโยคกลจะย้อน
จะเยาะย้ำและเย้ยหยาม ๚
๏๗ คืนแรมก็ร้างรมยรัก
อุระจักประจักษ์ตาม
คืนแรมก็ไร้นภพิราม
ทุรงำกระทำเงา ๚
๏๘ โรยร่างพะพร่างพิรุณพรม
มนซมระทมเซา
หมอกม่านประสารประดุจเร้า
ฤดิร่ำและรำพัน ๚
๏๙ ผ่านคืนสะอื้นกมลไห้
ชลนัยนานันต์
อาบแซม ณ แก้มนิตยอัน
ผิวอั้นก็ถั่นนอง ๚
๏๑๐ ตราบเขตประเทศอุทยทิศ
สุริย์ฤทธิเรืองรอง
เข็ญขุกและทุกข์พิพิธผอง
สิจะพ่ายมลายสูญ ๚๛
3 มิถุนายน 2548 17:14 น.
รัตนาดิศร
เพียงความคิด
เพียงนกพับกระหยับปีกร่อนหลีกหลบ
ความสงบเงียบงันก็พลันหาย
เพียงคลื่นซัดพัดสาดริมหาดทราย
พลันทลายทรายปราสาทพินาศพัง
คล้ายดวงใจไหวหวามเมื่อยามคิด
ปรุงแต่งจิตคิดกลุ้มแล้วคลุ้มคลั่ง
ปล่อยดวงใจไหลลู่สู่ภวังค์
อบายบังเบือนบิดให้ผิดทาง
มัวสรรหาราคะปะทะทุ่ม
โรมร้อนรุ่มรุมรัดกระหวัดร่าง
ความโลภโมโทสันกระชั้นพลาง
ค่อยกระเถิบเขยิบวางเข้ากลางใจ
ใจเอ๋ยใจไฉนเลยไม่เคยนิ่ง
ว้าวุ่นวิ่งเวียนวนจนหวั่นไหว
หลงเตลิดกระเจิดเจิงสำเริงไกล
ยากกู่ให้หวนกลับมารับรู้
รู้ลดละความโลภละโมบหมาง
รู้ปล่อยวางทางระทดคลายหดหู่
รู้ทางถูกทางผิดแล้วคิดดู
.
.
.
สุขยอมอยู่คู่ใจไม่ไกลเลย