9 เมษายน 2550 16:15 น.

เสภาสารภี (ตอน ๑)

รักษ์รัก

..





ภายนอก ภายใน / เรือนครัวของขุนพาทยเสน่หา(เกื้อ) / กลางวัน

ชายหนุ่มร่างบางอรชรอ้อนแอ้นกับหญิงแกลนกลางคน กำลังสาละวนช่วยกันโยกครกกระเดื่องโขกข้าว แลหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งตำพริกตาก หากแต่ประสานเสียงเป็นสำเนียงเรียงรับ พร้อมเสียงสับเนื้อหมูดัง ปังปัง ดั่งกับบทเพลง เมื่อละเลงกะลามะพร้าวเข้าฟันกระต่าย ก็จักกลายเป็นคีตสถานในลานครัว ดูฝาหม้อแกงถ้วนทั่วระรัวเต้นเป็นพวยควัน เสียงน้ำมันดังฉ่าเมื่อปลาลงเล่น เสียงกระเฉดกระเซ็นเมื่อไฟท่วมหัว กะทิราดทั่วกระทงห่อหมก เสียงแขวกแขวกขูดน้ำพริกนรกลงถ้วย ผสานเสียงกระพวยสะกิดถ้วยแกงส้ม เสียงสูดลมซดจนหยดสุดท้ายของหญิงชรา ชื่อว่าป้าขาผู้เป็นหัวหน้าครัว

                    เสียงบรรยายทำนองเสนาะ
          น่ารัญจวนชวนดอมคงหอมหื่น         
          อยากจะกลืนแกงสดรสป้าขา
          ชามเล็กใหญ่ใส่สำรับจับเรียงมา	
          นางชราพิถีพิถันทุกขั้นตอน
          ปรากฏร่างกลางคลองสารภี	
          เหล่านารีหรี่จ้องมองสลอน..

ที่กลางคลองมีหญิงร่างอ้วนคนหนึ่งกำลังพายเรือมุ่งหน้ามาทางนี้ เสียงสับหมูจึงหยุดทันทีเพราะนางมีหันไปมอง แลเรียกเพื่อนพร้องร้องโบกนิ้วรี่ชี้ให้ดู สาวสาวจึงกรูกันไปที่แคร่แลดูไปยังคลองเส้นนั้น ฝ่ายป้าขานั่งเงียบงันหันซ้ายปรายตามอง แลเหลือบกลับมาจ้องผองทาสในเรือนครัว เสียงระรัวต่างๆ ระวางไป

                    เสียงบรรยายทำนองเสนาะ
          ..พลันป้าขาขากว่าอย่าอาวรณ์	
          มัวนิ่งนอนใจเอยจักเลยเพล
	
ป้าขาพลันกระแอมไอเอาเสมหะขม ขากถ่มลงกระโถนน้ำหมากดัง ถุย! สาวสาวหน้ามุ่ยม้วนกลับมาจับสากจับครก และก้มหัวงกงกดำเนินงานไป
 
ตัดไป


ภายใน / ห้องนอน / กลางวัน

กระโถนลายครามใบงามตั้งอยู่ข้างนางตู่ หญิงผู้เปลือยร่างอวบอล่างฉ่างนั่งคร่อมหว่างกายของชายหนึ่ง สรรพางค์ซึ่งกระเพื่อมพั่บพั่บจับจังหวะหัวเราะระริก คิกคิก..คิกคิกคล้ายจะควบคุมความหฤหรรษ์นั้นยาก ริมฝีปากจีบมวนยาแลพ่นลมออกมาเป็นควันจาง แลก็ครางคิกคิก..คิกคิกระริกอยู่ร่ำไป 

                    เสียงบรรยายทำนองเสนาะ
              บัดนั้น	                      
          ขุนพาทยสเน่หาท่าทะเล้น
          ให้นางทาสชื่อตู่ที่อยู่เวร                
          ขึ้นประเคนก้นหนักบนตักตน

ขุนเกื้อที่อยู่ข้างใต้ส่งยิ้มหวานให้นางตู่ไม่สู้ดีนัก น้ำหนักนารีไม่น้อย บัดเดี๋ยวถอยบัดเดี๋ยวโถมไถล ยิ่งส่งให้นางตู่ขยุบขยับละหลับละเหลือกเกลือกลูกตา จนขุนเกื้อถอนกายาให้นิ่งแน่ว กล้ามท้องผะแผ่วขึ้นลง

                    เกื้อ
          นี่แม่ตู่อยู่กับข้าว่านานนัก           
          เจ้านั้นรักข้าไหมหรือไม่สน

                    ตู่
                    (นิ่งเงียบ  มองปลายมวนยาที่เริ่มมอด)
             บ่าวเป็นทาสศักดิ์น้อยต้อยต่ำชน	
          จะยกตนเทียบนายก็ไม่ดี
          คงไม่เหมือนเรือนนู้นสกุลหนัก	
          ทั้งรูปลักษณ์ชวนชมโฉมฉวี
          เห็นบ่นถึงแม่กลิ่นอยู่ทุกที            
          อย่าสนใจใยดีอีนี่เลย

นางตู่เขี่ยเถ้ายาเส้นลงกระโถน  ละวาดนิ้วขึ้นมาจูบโคนมวนยา  ละเลียดลิ้มหลับตาไม่มามอง

                    เกื้อ
              คำก็ด้อยย้ำบ่อยว่าต้อยต่ำ	
          ไยมาค้ำหัวข้าล่ะแม่เอ๊ย
		
                    ตู่
          อุ๊ย  (ทิ้งมวนยาเส้นลงกระโถน)    เจ้าข้า..

นางตู่ลุกลี้ลุกลนลงจากร่างของขุนเกื้อ นายท่านก็เงื้อมือเข้าฉวยโครงมากอด แลตะแคงสอดท่อนแขนรองแผ่นหลัง เอาแก้มอังเนื้อนางข้างข้างคอแล้วกระซิบคลอเคล้ากระเส่ากรรณ

                    เกื้อ
              ..หยอกดอกแม่ทรามเชย	
          อยากจะเกยใกล้เจ้าเท่านั้นเอง

นางตู่กรุ้มกริ่มบังเกิดความขันระริก  คิกคิก..คิกคิกแล้วพลิกหันมาประจันกระทาชาย

ตัดไป


ภายนอก ภายใน / ท่าน้ำ บริเวณบ้านและใต้ถุนเรือนขุนเกื้อ / กลางวัน

เสียงกาบเรือขูดกระทบท่าเทียบ แลนางเรียบรีบขึ้นมาเทียบท่า เกิดละลอกธาราขนาดใหญ่เพราะนางนั้นไซร้ตัวใหญ่เหลือเชื่อ ขี้ไคลขี้เหงื่อเปื้อนเนื้อผ้าแถบที่แอบอยู่ใต้รักแร้ นางเปิดผ้าแพรโพกหน้าที่กันสุริยาภามาคล้องคอ ในมือหนอมีกระดาษยับยับอยู่พับหนึ่ง แล้วบึ่งห้อเข้าไปในเรือนโดยไม่ใส่ใจคำเตือนของทนายหน้าหอ ชายอื่นก็ขอเมียงมามองน้องสาวแปลกถิ่น แลไม่อาจผินผันจากนางนั้นไปได้เสมือนว่าเห็นสิ่งอัศจรรย์อันน่าตะลึง นางเรียบถลึงตาราวกับด่าขี้ข้าทั้งหลาย เพราะอ้ายชายชี้มาตั้งท่าหัวเราะ นางจึงยิ่งเหยาะๆ ไปที่เรือนใหญ่ ชะเง้อมองขึ้นไปบนศาลาก็ว่าไม่มีใคร ชะเง้อมองเข้าไปในบ้านเห็นอ้ายหาญนั่งเล่นไก่อยู่ใต้ถุน นางเรียบจึงวิ่งหลุนหลุนเข้าไปหา

                    เรียบ
                    (ตาจ้องไปที่เสาต้นหลังบ้าน พูดหอบ)
          มีจดหมายจากนายในเรือนข้า	
          ให้เอามาส่งมอบถึงมือขุน
          นายเจ้าอยู่หรือไม่เล่าพ่อคุณ..

                    หาญ
                    (ลุกขึ้นยืน แล้วหันหลังไปมองว่านางจ้องอะไร)
          ..กำลังวุ่น  (เดินเข้าไปหานางเรียบ)
          ฝากข้าไว้เดี๋ยวให้เอง

                    เรียบ
                    (ยังจ้องเสาต้นนั้นอยู่)
          มิได้ดอกนายย้ำกำชับนัก  
          ว่า..

                    หาญ
                    (เอื้อมมือไปฉวยกระดาษในมือของนางเรียบ)
          ข้าไม่ลักอ่านดอกเพราะไม่เก่ง

                    เรียบ
                    (ตามองเสาแต่ก็หลบทัน พลันผลักอ้ายหาญผละไป)
          บอกไม่ให้ไงเล่า..

                    หาญ
          ..เอ๊ะนี่เอ็ง  (ชี้หน้านางเรียบ)	
          อย่ามาทำนักเลงแถวนี้นะ

                    เรียบ
                    (เดินออกจากชายคาไปยืนห่างๆ)
          ก็บอกว่านายย้ำซ้ำกำชับ	
          ให้ขุนเกื้อท่านรับกับหัตถะ	
          คำคุณหญิงเอ็งไม่..

                    หาญ
          เออ เอาสิวะ (กลับไปนั่งเล่นไก่ต่อ)	
          เอ็งอยากรอก็รอซะให้สาใจ	

ตัดไป


ภายใน / ห้องนอน / กลางวัน

เสียงขิมแว่วหวามอยู่ในห้อง เส้นแดดส่องลงต้องผิวท้องที่นวลเนียนของนางตู่ มันยังกระเพื่อมอยู่เพราะอาการหฤหรรษาระริก คิกคิก..คิกคิก จักพลิกกายไปมาว่าเกินกำลัง เพราะขุนเกื้อเธอนั่งช้อนกายาเอาฝ่าเท้าข่มลำแขนไว้ เสียงขิมหวานไหวด้วยท่านไซร้ใช้ไม้หนวดผีเสื้อตีเนื้อสาวราวกับเป็นตัวขิม นางตู่ก็ยิ้มพลางหัวร่อกระซิกกระซี้ แสนจะจักกะจี้จนน้ำตาไหล ขุนเกื้อก็ตีขิมไปตามทำนองแลเคาะเนื้อน้องตรงนั้นทีตรงนี้ที จวบจนท้ายดนตรีพี่ก็มารัวขยุ้มที่ปุ่มปทุมถันพลันสิ้นบรรเลง นางตู่ก็เกร็งกายบิดสะบัด ทั้งเสียงหัวเราะหรือเริ่มขัดด้วยอาการไอ สลับกับยั้งใจไม่ให้ขำแต่ก็ทำไม่ได้ ขุนเกื้อวางไม้ตีขิมลงพลางรอนางที่กำลังกระอักกระอ่วนกระแอมไอ นางตู่ไซร้ก็เริ่มสงบลง

                    ตู่
          คงเป็นเพราะรสยาของท่านแน่	
          อะไรแหย่หน่อยพลันก็ขันขำ

                    เกื้อ
                    (ยิ้มกรุ่มกริ่ม)
          แล้วอะไรหรือแม่ที่แหย่ตำ		

มีเสียงครกดังแว่วมาจากเรือนครัว  นางตู่ส่ายหัวเอียงอาย  

                    เกื้อ
                    (กระชับนางตู่เข้าชิด แล้วขยับหยุบๆ)
          มาจะทำ..

                    ตู่
          อุ๊ย   (นางตู่สะดุ้ง ยิ้มพลันตีบ่าขุนเกื้อเบาๆ)

                    เกื้อ
          ..ให้หนำใจ

ขุนเกื้อคุกเข่าเข้าบั้นท้ายสตรีที่เงยหงายประจันหน้า นางประสานบาทาที่สันหลัง เสียงครกก็คลอดังเป็นจังหวะมั่น เมื่อขุนท่านดันสะโพกโยกอย่างแช่มช้าแลขยับเร่งกายาเหมือนม้ากระโจน นางตู่ก็ตัวโยนเพยิบเพยิบขึ้นขึ้นลงลง ทรวดทรงหนอกระเพื่อมเคลื่อนเหมือนกระจาดฝัดข้าว มือทาสสาวคว้าหมับที่ท่อนแขนขุนเกื้อ พลันซุกหน้ากับเนื้อชายคล้ายจักเอามาละไล้ผิวแก้ม แลแต้มจุมพิตน่อยนิดท่านขุน พ่อคุณก็ไม่ละสมจรกรรม กระหน่ำตอกป๊อกป๊อกตามเสียงตอกครก ดั่งกับเสียงโป๊กโป๊กจากเรือนหลังยิ่งดังขึ้น นางตู่ตาตื่นฝืนเกร็งมองเขม็งเบื้องหน้า  ขุนเกื้อพลันก็ว่าคำกลอน

                    เกื้อ
          เสียงสะบั้นตะบันบี้ขยี้แยง	
          เม็ดหอมแดงแซงแทรกจะแตกไหม
          ขยับโยกโขกขบตลบไป	
          พลันสงสัยหอมดิ้นปะปลิ้นตัว..

เครื่องเทศในครกที่จวนจะผสานเป็นเนื้อเดียวกันนั้น สากกำลังตะบันสนั่นเสียง ทว่าหอมแดงเม็ดหนึ่งเอียงไปทางซ้ายส่ายไปทางขวามิได้มาอยู่ในวิถีสาก นางตู่ลากหลังมือไล้รับผัสสะจากหน้าท้องขุนเกื้อ เธอท่านก็ขยับเพื่อให้สะดวก แลจ้วงจวกล้วงครกกระดกสาก กระทั่งปากนางตู่จีบจู๋อู้อูย

                    เกื้อ(ต่อเนื่อง)
          ..จึงจ้วงจกยกสากลากกระหวัด	
          ตะลุมอัดซัดไซ้ไม่โงหัว
          แม้นหอมแดงแรงคึกไม่นึกกลัว	
          สะบัดทั่วตัว..แตก..แหลก..เป็น..ธาร

หอมแดงเม็ดเป่งในครกถูกสากตอกลงเต็มรัก อาาา..

ตัดไป


ภายใน ภายนอก / ใต้ถุนเรือน บนเรือนและบริเวณบ้าน / กลางวัน

เสียงระฆังเพลดังขึ้นไกลไกล แดดเริ่มไล่มาตามหลังนางเรียบที่ยืนรอขุนเกื้อ นางจึงเอาผ้าแพรมาห่มเนื้ออันเปลือยเปล่า พวกนางครัวเริ่มยกกับข้าวเดินผ่านใต้ถุนมาแลพากันขึ้นเรือนไป นางเรียบมองอาหารแล้วไซร้อดใจไม่ไหวจนกระเดือกเคลื่อน  แลเลื่อนตามาเห็นอ้ายหาญนั่งจ้องอาการตน  จึงบ่นออกมา

                    เรียบ
          ธุระใดของท่านถึงนานแท้

                    หาญ
          ธุระใดของแม่ต้องจุ้นจ้าน	
          เอ็งเป็นทาสหัดเสงี่ยมเจียมกบาล

ป้าขาเดินเสียบสีข้างเข้ามาถามอ้ายหาญ

                    ป้าขา
          นี่อ้ายหาญ เจ้าข้ามาหรือยัง  
                    (เหลือบไปมองนางเรียบ แต่กลับเห็นภาพไกลๆ)
          นั่นอีตู่ไหมหว่าลงมาแล้ว	
          คงไม่แคล้วขุนเกื้อจะตามหลัง
                    (หันรีหันขวางหาบ่าว)
          อ้าวอีหาบอีบัวเสร็จหรือยัง	
          ยกกระมังล้างมือมาด้วยซี

นางเรียบหันไปมองทางเรือนข้างข้างที่ตั้งอยู่ถัดไปไม่ไกลนัก เห็นนงลักษณ์นางหนึ่งดึงชายผ้านุ่งหนีเท้าที่ก้าวลงบันไดมา นางเรียบไม่ชักช้าย่างสามขุมดุ่มไปทันที

                    หาญ
                    (ตะโกน)
          นั่นจะไปไหนนี่ ฮะ อีอ้วน

อ้ายหาญรีบอุ้มไก่ไปใส่ซุ้ม แลเดินดุ่มดุ่มตามนางเรียบไป แต่นางนั้นไซร้ไม่รีรอจนเกือบจะถึงหอเล็กเสียแล้ว อ้ายหาญผู้ทแกล้วคว้าไหล่นางเรียบไว้ได้ แต่กลับลื่นไหลด้วยเหงื่อกาฬ

                    หาญ
          อย่าไปกวนขุนท่านให้ขวัญหนี

                    เรียบ
          กูต้องรีบ (หันมาผลักอ้ายหาญจนล้มลง จดหมายในมือยู่ยี่)

                    หาญ
          เอ๊ะ นี่กูพูดดีดี

อ้ายหาญรีบลุกขึ้นพลางเพราะนางเรียบกำลังจะเทียบบันได

                    เรียบ
                    (จ้องเงาผู้หญิงที่เดินลัดหลังเรือนไป)
          น่าจะบอกท่านอยู่นี่ทีแรกไป  

                    หาญ
                    (เหยาะตามไป)
          มันกงการอะไรของมึงวะ

นางเรียบละสายตาจากหญิงนั้น  แลไต่ขั้นบันไดโดยเร็ว

                    หาญ
          นั่นมึงจะ..

อ้ายหาญกระโดดตะครุบตัวนางเรียบไว้ได้ นางจึงเหน็บจดหมายไว้ที่รักแร้แลนั่งรั้งขั้นบันได หันมากระทุ้งตีนใส่อ้ายหาญจนทะยานหกคะเมน

                    หาญ
          โอ๊ย..  ถึกฉิบหาย  (เอามือจับสะโพกตัวเอง)
          เฮ้ยอีอ้วนมึงรีบลงมาไวไว

ขุนเกื้อชะโงกหน้าไปมองข้างล่างผ่านทางซี่รั้วไม้ ตั้วท่านไซร้ไร้ซึ่งอาภรณ์พันร่าง ยืนอล่างฉ่างกางขาเอาผ้าเช็ดหว่างกาย

                    เกื้อ
          เหวยเสียงใครเอะอะน่ารำคาญ

ฉับพลันนั้นนางเรียบขึ้นเทียบชาน มาประสานตากับพ่อคุณ แม้นท่านขุนก็มิทันระวังทางบันไดว่าใครปีนขึ้นมา

                    เกื้อ
          เฮ้ย..!

                    เรียบ
          ว้าย..ควายตกกระดกใส่

                    เกื้อ
                    (เอาผ้าป้องสมบัติตนแล้วเดินอาดอาดเข้าห้องไป)
          เปรตกระไรอ้ายหาญ.. เหวยอ้ายหาญ

                    หาญ
                    (ปีนขึ้นบันไดมาแลเยี่ยมหน้ามอง)
          อีอ้วนนี่ไม่ยอมฟังคำทัดทาน	มันทะยาน..

                    เกื้อ
                    (ตะโกนจากในห้อง)
          ลากมันลงไปเดี๋ยวนี้

อ้ายหาญเดินขึ้นมาบนเรือนแลยืนค้ำหัวนางเรียบเหมือนเสือจะขย้ำเนื้อทราย หรือไม่ก็ควายป่า อ้ายหาญไม่รอช้าคว้าแขนนางขึ้น แต่นางฝืนแลสะบัดหนีพลันเงยหน้าขึ้นจ้องนภาอยู่ในที โอ้ชาตรีมองตามไปทั้งสงสัยว่านางมองกระไรกัน แต่ก็เริ่มหวั่นหวั่นพรั่นพรึงจึงต้องขยับห่าง บัดนั้นนางก็ดึงจดหมายที่หนีบแนบข้างมาวางบนพื้น 

                    เรียบ
          บ่าวเป็นทาสในเรือนเจ้าคุณปิ่น

ดังกับสรรพสิ่งจะนิ่งรอ ไม่นานหนอพ่อเกื้อก็ดำเนินออกจากชายคา หากแต่นุ่งผ้ามาปรายสายตามองนาง อ้ายหาญพลางหยุดชั่งใจนายว่าจะเอาเยี่ยงไรกัน

                    เรียบ
                    (ก้มมองจดหมาย พูดเสียงอ่อน)
          คุณหญิงกลิ่นฝากถ้อยอักษรศรี	
          ให้ขุนเกื้อ..

                    เกื้อ
                    (พูดแทรก)
          อ้าวอ้ายหาญ  เอ็งอ่านที

                    เรียบ
          แต่คุณหญิง..

                    เกื้อ
                    (ตะคอกใส่นางเรียบ)
          เว้ยอีนี่   (เว้นหนึ่งอึดใจแลหันกลับไปหาอ้ายหาญ)    
          เอ็งอ่านไป

อ้ายหาญหยิบจดหมายขึ้นมา นางเรียบเงยมองฟ้าอ้ายทาสแค่เหลือบมามองแล้วจ้องไปยังเนื้อความ

                    หาญ
                    (เบิ่งตาอ่านกระท่อนกระแท่น)
          ถึงพ่อเกื้อ..หลาน..รัก สมัคร...มาน	
          มีนิทาน คำ..แผลงแถลงไข
          หมายจักเล่า  ให้ฟัง..ใน..ทันใด	
          เจ้าจัก..ได้แก้...ไข...ใน...ทัน  ที

ระหว่างนั้นขุนเกื้อทำท่าราวกับว่าลุ้นขี้ข้าให้มันอ่านเป็นทำนอง แต่ก็ต้องเดินมาคว้าจดหมายไปเสียเอง หมึกดำหนอละลายละเลงในเนื้อกระดาษตรงที่อีทาสทำเปียกเหงื่อ แต่เนื้อความก็ยังพออ่านตามได้จึงไล่มองจนจบคำกลอน

                    กลิ่น(เสียงบรรยาย)
          ดงมะเขือเรื้อรกดกในสวน	
          พิทักษ์นวลเบญจมาศวิลาสศรี
          หมายจะเข้าเชยชิดสนิทที	
          เสียแต่มีขวากหนามมากำบัง

บังเกิดเสียงบรรเลงเพลงปี่พาทย์  แลกระดาษที่ถืออยู่นั้นพลันเปลี่ยนไปเป็นจอหนังใหญ่ เมื่อคราบเหงื่อไคลกลืนอักขราเป็นพื้นรัตติชาติ ปรากฏหนังเชิดรูปดอกเบญจมาศอันชดช้อย กลีบน้อยกลีบใหญ่สลายแย้มอย่างแช่มชื่น มีต้นมะเขือดาษดื่นรายล้อมจอมเบญจมาศ แลละวาดแขนงหนามตามพุ่มมะเขือ ผีเสื้อตัวหนึ่งกระพือปีกมาพั่บพั่บ หมายจักเข้ามาจับเกสรอมรมาศ แต่ก็มิอาจผ่านขวากหนามมะเขือได้

                    กลิ่น(เสียงบรรยายต่อเนื่อง)
          พ่อผีเสื้อราตรีสีสวยสด	
          คงได้ซดเกสรในตอนหลัง
          หากแต่ผ่านพุ่มมะเขือเหนือกำลัง	
          เมื่อหยุดยังดอกมะเขือยังเหลือแรง

ดอกมะเขือดอกหนึ่งผึ่งผายกาบกลีบอันโอฬาร ผีเสื้อสุดทะยานได้ไกลจึงคลาไคลเข้ายังผอบดอกมะเขือ เนื้อใกล้เนื้อเอื้อไอให้กัน ดอกมะเขือสั่นสั่น ผีเสื้อจึงกระสันซุกไซ้ไต่ตอมไม่ยอมสิ้น ขยับดิ้นหมกมุดในเนื้อบุษบา แลว่ากลีบสุมขยุ้มเขย่าเบาไหว พลันผีเสื้อขยับให้แย้มแยกแล้วแทรกออก สู่เบื้องนอกในรัตติกาล 

                    กลิ่น(เสียงบรรยายต่อเนื่อง)
          จึงซุกซ้อนซ่อนไซ้ไปในกลีบ	
          มะเขือบีบรึ้งล้วนชวนแขยง
          มนต์ผีเสื้อที่ทำจึงสำแดง	
          ดอกมะเขือเปลี่ยนแปลงเป็นตุ้มพันธุ์

ดังว่าเวลาเร่งรีบ  ดอกมะเขือผลัดกลีบไป  แลขยายตนเป็นผลกลม

ตัดไป
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟรักษ์รัก
Lovings  รักษ์รัก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟรักษ์รัก
Lovings  รักษ์รัก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟรักษ์รัก
Lovings  รักษ์รัก เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงรักษ์รัก