6 มีนาคม 2553 14:59 น.

หนึ่งร้อยปีที่แล้ว กับคำตอบของจ่าฝูงกวางที่ยังคงเดิม

รักษ์บุญ เสาวณีย์

ยามนี่ฉันอยู่ที่ใดกันหนอ 
ผมพลิกตัวลุกขึ้นหันมองซ้ายขวา เราอยู่ข้างริมธารเล็กๆ ท้องที่อ้วนพุ้ยกินหญ้าไปเยอะมันยังไม่ย่อยเลย
"อูย " 
เจ็บระบมไปทั้งตัวเลย 
ใช่ซิ ก่อนหน้านี้ผมกำลังกินหญ้าอยู่ริมฝั่งภูเขาด้านบน ไม่นานผมก็ได้กลิ่นสาบศัตรู  เสือ! ใช่ คงเพราะผมเบี่ยงตัวหลบเสือเฒ่าตัวนั้นถึงทำให้ผมผลัดตกลงมาทีนี่
 "ดื่มน้ำซิจ๊ะคุณ" 
เสียงอ่อนหวาน ฟังรื่นหูนัก คงเป็นสวยน้อยที่ไหนซักตัวเอะหรือว่าจะแทนว่าไงดีก็เราเป็นกวางนี่
เสียงดังห่างออกไปที่โคนต้นไม้ใหญ่ใกล้ริมธาร ถัดออกไปทางน้ำไหลลงมา คงเป็นสัญชาติญาณสัตว์อย่างพวกเราที่ต้องเลือกดื่มน้ำให้เหมาะไม่เช่นนั้นกลิ่นของเราที่ไหลไปตามน้ำจะเรียกศัตรูมาได้
"ว้าวสวยจังเลย"
กวางหนุ่มอย่างผมต้องตะลึงกับทรวดทรงองค์เอวของเธอ ชั่งเหมาะแท้ที่จะเป็นคู่ชีวิตของผม
เธอเดินเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นหอมพิเศษแบบเฉพาะตัวที่ผมเองไม่เคยเจอมาก่อน
"ดื่มน้ำซิคุณ เดี๋ยวแรงจะไม่ฟื้นนะ" กวางน้อยตรงหน้าเตือน ผมจึงตื่นจากภวังค์ความงาม โอ โลกนี้ช่างงามเหลือเกิน 
"ผมกินไม่ได้คอเคร็ดมั่ง"ผมออกลายทั้งที่ลำธารก็อยู่ข้างปากผม แค่เอียงปากลงไปก็ดื่มได้พอดี
"ช่วยหน่อยได้ไหม" ผมสายตาเว้าวอน
"ยังไงจ๊ะ" เข้าทาง 
"ช่วยอมน้ำมาใส่ปากให้หน่อยได้ไหม" เธอเขินอายอย่างเห็นได้ชัด 
แม้ความคิดผมเวลาแบบนี้ไม่รู้ปัญญามาจากแต่ใดความพลิ้วไหวของความคิดแล่นมามากมาย
ปกติแล้วหากมิใช่คู่สามีภรรยาจะไม่ทำแบบนี้หรอก คือการอมน้ำทางปาก กวางสาวในป่ามักจะทำให้เมื่อเธอพึงใจกว่าหนุ่มหรือสามีเธอเท่านั้น
" แต่ในสถานการณ์นี้ผมว่าเธอมีสองทางให้เลือกคือเดินมาดันผมให้หัวลงไปในลำธารกับเธออมน้ำใส่ปากให้
"อะ ก็ได้จ๊ะ"ตอบอย่างอายๆ เพราะสงสารดอกจึงต้องทำ แต่แลอีกทีกวางหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายผู้นี้ก็สง่างามมิใช่น้อย กวางสาวตัวใดเห็นคงมิกล้าปฏิเสธไมตรี
"ชื่นใจ ผมดื่มน้ำอย่างกระหาย"
มองกวางสาวตรงหน้าอย่างมีความสุข เพราะเธอเลือกวิธีที่เป็นหนทางที่จะทำให้เราเป็นคู่กัน
"น้องสาวมาจากไหนครับ" 
ผมถาม 
"มาจากฝูงกวางใกล้ๆนี่แหละเราอยู่กันประมาณหนึ่งร้อยตัวได้มั่ง" ตอบน้ำเสียงอ่อนหวาน
"กว่าผมจะฟื้นตัวคงอีกสองสามวันน้องสาวคงกรุณาช่วยฉันหน่อยได้ไหม"
"จ๊ะ เดี๋ยวฉันขอไปบอกพ่อกับแม่ก่อนนะเดี๋ยวฉันจะกลับมานี่อาหาร เธอคาบหญ้าอวบสดๆมาวางข้างๆปากเพื่อให้ผมได้กินอย่างสะดวก
"ไปนะจ๊ะ"
"เอ่อเดี๋ยวซิผมชื่อสามสี แล้วน้องชื่ออะไรครับ"
ผมรีบถาม
"น้ำค้างจ๊ะ " 
กวางสาวตอบชะม้อยตาตวัดกลับแล้วเดินจากไปปล่อยให้ผมนอนฝันหวานตัวเดียว
....................................................................................................................
สองวันต่อมา
  ผมฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากหญ้าที่สาวน้อยทิ้งเอาไว้ และน้ำที่ผมดื่มจากปากเธอไม่ใช่ซิเพราะหลังจากที่เธอไปแล้วผมไม่เห็นแม้แต่เงาเธอ  อาจจะคงติดปัญหาบางอย่างก็เป็นได้ ผมกลัดกลุ้มตลอดเวลากระสับกระส่ายรอวันที่ตัวเองจะลุกไหวพอที่จะไปตามหาน้ำค้างซึ่งผมฝันว่าเธอจะเป็นภรรยาผมในอนาคต
      ผมเดินพลางนึกพลาง จนถึงป่าลึกโดยไม่รู้ตัว แต่พอได้ยินเสียงแว่วๆมาเหมือนจะอยู่ใกล้นี้
      ผมแอบลัดเลาะเดินไปทางต้นเสียง เดินขึ้นบนเนินเขาเล็กที่ขวางอยู่ข้างหน้า
โอ..ช่างเป็นฝูงกวางที่ใหญ่โตอะไรเช่นนี้ กลุ่มที่ผมอยู่เมื่อไม่นามานี้มีไม่ถึงยี่สิบตัว แต่นี่นับได้เป็นร้อยตัว
     ใจผมชื้นขึ้นมาทันที ที่นี่อาจเป็นฝูงกวางที่น้ำค้างอยู่ก็เป็นได้ ผมเดินลงเนินเขามุ่งสู่ฝูงกวางตรงหน้าทันที
    "มันผู้ใดว่ะ"เสียงทรงพลังและอำนาจดังขึ้น คงเป็นเสียงจ่าฝูงที่คอยระวังให้กับลูกฝูง จ่าฝูงต้องเป็นตัวที่ทรงพลังที่สุด ปัญญาเฉียบแหลม และสุดท้ายจ่าฝูงคือผู้สั่งการ
    กวางวัยฉกรรวิ่งรอบๆตัวผมเพื่อป้องกันภัยให้ฝูง  ผมเหลือบตาไปเห็นกวางแก่แต่รูปร่างบึกบึนเดินตรงมาหา คงจะเป็นจ่าฝูงกระมั่ง ผมคิดในใจ
    "สวัสดีครับท่านจ่าฝูง ผมชื่อสามสีครับ ผมมาหาคนที่ผมรักครับ"  
     ผมต้องพูดความจริงเพราะพ่อกับแม่ผมสอนให้พูดความจริงเสมอ และต้องเป็นกวางที่มีคุณธรรม มีจิตใจเมตตากรุณาต่อเพื่อนสัตว์ด้วยกัน ช่วยเหลือทุกครั้งที่มีสัตว์ตัวใดตกทุกข์ได้ยาก
     "ฮ่าๆๆ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าเป็นเพียงแต่รองจ่าฝูงอยู่โน้น" เขาขยับตัวจึงได้เห็นกวางแก่ชรารูปร่างผอมโซ ไม่มีราศีในตัวแม้แต่น้อย มีเพียงสายตาเท่านั้นที่บอกถึงการเป็นผู้มีความปราดเปรื่อง เฉียบคม และสุขุม 
    ผมย่อขาหลังทำความเคารพ ยิ้มให้จ่าฝูง พร้อมยิ้มให้กับน้ำค้างที่ยืนอยู่ข้างๆ สายตาที่น้ำค้างส่งมาเธอตื่นเต้นเช่นเดียวกับผม
    "คนนี้ลูกรู้จักจ๊ะพ่อ ก็กวางหนุ่มที่ลูกเล่าให้ฟังเมื่อสามวันก่อนไงว่าตกจากเขาทำให้เดินไม่ได้" 
น้ำค้างออกตัวรับผมว่ารู้จักทันที ไม่อย่างนั้นต้องมีวิธีการไล่ผมให้ออกจากฝูงแน่ วิธีการเหล่านั้นยกตัวอย่างง่ายๆคือการไล่ชนเป็นต้น
  "งั้นเข้าไปที่พักของข้า ส่วนคนอื่นๆก็แยกย้ายกันไปได้"
 ผมมองตามกวางที่แยกย้ายกันไป มีเพียงกวางหนุ่มตัวหนึ่งที่ฮึดฮัดไม่อยากไปคงจะชอบน้ำค้างเช่นเดียวกับผมละมั้ง
.....................................................................................................................
     "เอาแม่หาน้ำหาอาหารมาให้แขกหน่อย" 
       ผมย่อขาหลังลงทำความเคารพแม่ของน้ำค้างซึ่งเป็นเมียจ่าฝูงด้วยเช่นกัน
 คุยกับจ่าฝูงมากมายหลายเรื่อง คำถามสุดท้ายที่ผมถามคือ ปกติจ่าฝูงต้องเป็นผู้มีร่างกายแข็งแรง ทรงพลังเหตุใดท่านถึงรูปร่างผอมโซอย่างนี้ถึงได้เป็นจ่าฝูง
      "พรุ่งนี้เจ้าจะรู้เอง"
วันต่อมา 
 วันนี้ได้ข่าวว่าจะมีการเลือกจ่าฝูงแทนพ่อของนำค้างที่หมดวาระการเป็นจ่าฝูงลงแล้ว
   แปลกที่ฝูงกวางฝูงนี้มิเคยต้องใช้กำลังห่ำหั่นกันเพื่อเป็นจ่าฝูง บรรพบุรุษของกวางฝูงนี้วางกฎไว้ว่า หากผู้ใดจะได้เป็นจ่าฝูงต้องผ่านการทดสอบ2 ด่าน
ด่านการทดสอบจ่าฝูงคนที่จะลงจากตำแหน่งจะกำหนดขึ้นให้ผู้ที่สมัครทดสอบ
"ข้าขอสมัครเป็นจ่าฝูงได้หรือไม่"
ผมถามดังเพื่อให้ได้ยินกันทุกตัว เสียงเซ็งแซ่คุยกันดังขึ้นไปทั่ว
"หยุด"
เสียงเงียบทันทีที่จ่าฝูงสั่ง
"พ่อแม่เจ้าสอนให้เจ้าเป็นคนเช่นไร"
"พ่อกับแม่ผมสอนให้ผมต้องเป็นกวางที่มีคุณธรรม มีจิตใจเมตตากรุณาต่อเพื่อนสัตว์ด้วยกัน ช่วยเหลือทุกครั้งที่มีสัตว์ตัวใดตกทุกข์ได้ยาก"
ผมตอบตามจริง
"อย่างนั้นหรือ"จ่าฝูงผงกหัว
เสียงคุยกันดังขึ้นอีกครั้ง 
"ทุกท่านเห็นว่าอย่างไร"
จ่าฝูงถามเสียงดัง
ใครควรให้เขาลงไปยืนอยู่ซ้ายมือข้า
ใครเห็นว่าไม่ควรให้เขาลงไปยืนอยู่ทางขวามือข้า
"นับ"
ปรากฏว่าเสียงเสมอกันอยู่ที่50ต่อ50 ทำให้เกิดปัญหา
"เขาไม่ควรได้ลงสมัครทดสอบเพื่อเป็นหัวหน้า"
เสียงศัตรูหัวใจของผมก็เปนตันเดียวกับเมื่อวานกว่าจะไปก็ฮึดฮัดอยู่หลายรอบ
"เจ้าหยุดก่อน ยืนยง"
จ่าฝูงปราม 
"ยังเหลือข้าอีกคนที่ยังไม่ได้ออกเสียง ข้าขออยู่ข้างซ้าย"
เป็นอันว่าผมได้ลงสมัครทดสอบเป็นจ่าฝูง ด้วยเหตุผลที่ว่ากวางส่วนมากจะมีนิสัยเหมือนที่พ่อแม่สอน เมื่อพ่อแม่ผมสอนมาดี เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่จะเป็นผู้นำได้สมควรได้ลงทดสอบเป็นจ่าฝูงได้
.......................................................................................................................
"ทำไมพี่ถึงได้เป็นจ่าฝูงเมื่อห้าปีก่อนล่ะจ๊ะ"
น้ำค้างภรรยาของผมถามผมในคืนหนึ่งหลังจากเหตุการณืนั้นผ่านมาห้าปีแล้ว นำค้างแต่งงานกับผมหลังจากที่ผมเป็นจ่าฝูง
"พ่อน้ำค้างถามว่าอะไร"
น้ำค้างเอียงหน้าถาม
ผมจึงตอบในคืนเงียบสงัดวันนั้น
 ด่านที่1.ด่านความกล้าหาญช่วยคนตกทุกข์ได้ยากหากเจอเสือที่กำลังจะฆ่าลูกกวางจะทำอย่างไร 
 "ทุกคนตอบว่าต้องเข้าไปช่วยโดยไม่กลัวตายโดยไม่นึกถึงคำว่าทำยังไงลูกวางจะรอดตายเพราะเขานึกว่าเป็นคำตอบ
"แล้วพี่บอกพ่อว่าไง"
"พี่บอกว่าพี่จะพูดกับเสือว่า เสือกินเราดีกว่าเนื้อมากกว่า นุ่มกว่ากวางตัวเล็กไม่อร่อยหรอก  เสือมันต้องยอมแน่ อีกอย่างหากเป็นเช่นนั้นจริงๆลูกกวางก็จะมีโอกาสรอดมากกว่า จะเข้าไปช่วยอาจตายทั้งสองก็เป็นได้"
ด่านที่2ด่านความสุจริต
"พ่อเจ้าถามว่าหากข้าให้เจ้าได้เป็นจ่าฝูง จะให้อะไรแก่ข้า"
"ทุกคนตอบว่าจะหาอาหารดีๆมาให้ จะเอาอย่างโนน้อย่างนี้มาให้ แต่ผมตอบว่า ผมไม่ให้อะไรเลยเพราะหากจะได้เป็นผู้นำหรือจ่าฝูงผมต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเอง ไม่ให้อามิสสินจ้างใคร แม้แต่ผู้มีอำนาจสูงสุดเช่นท่าน หากให้อามิสจ้างแล้วใยจะสมควรเป็นผู้นำเล่า"
"แล้วไงต่อ"
"พ่อเจ้าก็บอกว่า ผมตอบทั้งหมดเป็นคำตอบเดียวกับพ่อน้ำค้างเมื่อเข้าคัดเลือกเป็นจ่าฝูง และท่านยังบอกอีกว่าตั้งแต่บรรพบุรุษตั้งกฏมาจะถามแค่2 ข้อแล้วได้เป็นจ่าฝูง  ทั้งหมดล้วนตอบคำตอบนี้ทุกตัว  ซึ่งพี่แปลกใจมากเลยล่ะ นี่หลายร้อยปีแล้วยังตอบตรงกันได้
เพราะทั้ง2ข้อเป็นคุณสมบัติที่ผู้นำต้องมี คือการเสียสละแม้แต่ชีวิตเพื่อฝูงกวาง และความซื่อสัตย์สุจริตเป็นสิ่งที่ผู้นำต้องมีไม่เช่นนั้นจะเดือดร้อนไปทั่วฝูง ทั้งอาจทำให้ฝูงกวางแตกกระจายเป็นฝูงเล็กได้
ผมตอบน้ำค้างภรรยาสุดที่รักที่นอนหนุนตักอยู่  ตอบด้วยคำพูดที่เข้าใจง่ายที่สุด นี่ล่ะวิถีของผู้นำ หรือของจ่าฝูง
"น้ำค้างดีใจที่ได้เป็นภรรยาพี่ คนที่มีพร้อมคุณสมบัติของกวางที่ดี" น้ำค้างหอมผมทีหนึ่ง เรานั่งมองดาวด้วยกันอย่างมีความสุข

หมายเหตุ  งานเขียนนี้เขียนเพื่อการส่งเสริมความดีงามให้กับเด็กๆที่อายุไม่เกิน13 ปี ผู้ใหญ่อ่านอาจจะแปลกๆว่านี่น้ำเน่าจัง มีสิ่งใดบกพร่องช่วยชี้แนะด้วยนะครับ เพราะงานชิ้นนี้จะส่งไปเที่ยวแล้ว				
3 สิงหาคม 2552 09:02 น.

นาย

รักษ์บุญ เสาวณีย์

"กริ่งๆๆ"

ใครโทรมาแต่เช้าว่ะ หมู่เจษพลิ้งตัวลงจากเปล นอนอนบนพื้นดินทราย  รับโทรศัพท์ทั้งที่ยังนอนคลุกฝุ่นอยู่

"ครับ ๆๆ"

นายกองร้อยใกล้ๆกัน  ซึ่งไม่ใช่หน่วยแม่ของเขาโทรมาตีสี่  สั่งให้เจษออกปฎิบัติงาน

 ไปสามแยกชลประทานซึ้งอยู่ใกล้ๆที่เขาพัก หากไปประมาณ 1 กิโลเมตร เพราะมีสายรายงานว่ามีการวางระเบิดไว้ที่บริเวณนั่น

หกโมงเช้า  เขาต้องรีบพาลูกน้องไปดูวัตถุต้องสงสัย เจ็ดนายรวมทั้งเขา

"สมร ,พนา ทางซ้าย 50 เมตร 

เด๋อ,พี่รินด้านหน้า 50 เมตร

ที่เหลืออยู่ด้านหลังรอ "

"เอ้ยเป็นไงเจษเห็นอะไร ต้องสงสัยไหม"

พี่ที่มาจากกองร้อย ถามเมื่อมาถึง ถามเจษที่กำลังปาดเหงื่อเพราะวนหลายรอบแล้วไม่เจอ

"ไม่เป็นไร เรามีนี่" 
พี่เตี้ยยก GT-200 ซึ่งเป็นอุปกาณ์ตรวจระเบิดทันสมัยที่สุดในขณะนี้
ขึ้นอย่างมั่นใจว่าเจอแน่

"เฮ้ย...เป็นไปได้ไงว่ะทำไมถึงไม่เจอ"
 พี่เตี้ยปาดเหงื่อ

"สงสัยเครื่องเสีย กลับๆโว้ย" พี่เตี้ยพารถออกไปอย่างหัวเสีย

"เดี๋ยวเราเดินอีกรอบนะ ค่อยเดินกลับ"สั่งลูกน้อง

....................................................................................................

2 วันต่อมา 

"กริ่งๆๆๆ"

"ครับๆๆ เจษปาดเหงื่อเม็ดโป้งบนหน้า"
ซวยแล้ว

เจษไปหาระเบิดเมื่อ 2 วันที่แล้วไม่เจอแต่วันนี้ นายกองร้อยข้างๆบอกว่าเจอแล้ว

เจษเสียววาบเข้าที่ขั้วหัวใจ  เมื่อมาถึงบริเวณที่ระเบิดอยู่
  หากกดระเบิดจริงๆ นั่นหมายถึงเขาตายคนเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย  

มันหล่อเป็นเสากระทู้ข้างทาง เจาะให้พอใส่แบตเตอรี่ลูกเล็กได้  แล้วแกล้งทำล้มข้างๆต้นที่ล้มอยู่ก่อน  ให้ด้านที่มีระเบิดควำลงดินเขาจึงไม่เอะใจ  

"เอ็งตรวจอยังไงวะ  ทำไมหาไม่เจอ" นายถามสีหน้าขึ้งขัง

เงียบ  เจษเงียบด้วยรู้ว่าหากพูดไป ก็ไม่แน่หรอกว่าจะกลิ้งอยู่บนพื้นไหม

"เดี๋ยวให้เขียนรายงานซะนี่ " นายสบถ

(ดีน่ะที่คนล่ะกองร้อย  เจษคิด)

เขาถูกตำหนิจากนายที่หาระเบิดไม่เจอ 

(แล้วทำไมไม่หาเองล่ะ เจอง่ายขนาดนี้ เจษคิด)

เขาและลูกน้องยอมสละแม้ชีวิตเพราะไม่อยากให้ระเบิดถูกชาวบ้าน  หากมันจะระเบิด มันต้องระเบิดที่เขาเท่านั้น

แต่สิ่งที่ได้รับนี้ซิเจ็บปวดกว่าการได้ถูกระเบิดตายซะอีก  

"หมู่เจษอย่าคิดมากเลย  ประเทศไทยไม่ใช่ของเราคนเดียวหรอก" พี่รินตบไหล่ลูกพี่				
1 กรกฎาคม 2552 08:09 น.

ความรัก

รักษ์บุญ เสาวณีย์

"ฉันไปนะแม่" ฉันยกมือไหว้แม่ที่กำลังนั่งเคี้ยวหมากหยับๆอยู่บน กระท่อมน้อย มุ่งใบจาก  

 "ไปอีกแล้วหรือ"  แม่คงคิดในใจ  แต่ไม่เคยพูดออกมา  สายตาระห้อยเป็นห่วง

"เอ่อๆ เดินทางปลอดภัยโว้ย"  แม่พูดพลางลุกขึ้นเดินไปหยิบอะไรซักอย่างใต้บันไดมาใส่หัวฉัน 

ดึงฉันไปกอดอหอมแก้มซ้ายขวา  อย่างห่วงอาลัย

ความรู้สึกแปลกๆ  คิดว่าน้ำหมากที่แม่เคี้ยวหยับอยู่คงติดแก้มฉันบางล่ะ


ฉันหันไปยกมือไหว้พ่อแล้ว เดินไปขึ้นรถโดยสารออกจากหมู่บ้าน อย่างเร่งรีบ

....................................................................................................
" ดำ120 จาก121 ว.2"

"ดำ120 ว.2"

"ดำ 120 ขอทดสอบ ว.16 หน่อย"

"มีโซดา  ครึ่งขวดว่ะให้ 3 " คนตอบบอกว่ามีเสียงแทรกไม่ชัด

"เอ้ย ปลาที่ไปหว่านแหเมื่อวาน  ยังเหลือไหมว่ะ" ดำ121 ถามต่อ

"เอ้ยที่นี่ใช้งานราชการโว้ย กรุณาไปหว่านปลาเวลาอื่น" เสียงมาจากไหนไม่รู้รู้แต่ว่าวงแตกทันที

"ขอโทษครับผมจะไปหว่านแหที่อื่นก็ได้"ดูยังมีคนอยากต่อ

จบข่าว  ซักครู่โทรศัพท์เข้า(ข่าวราชการห้ามสั่งผ่านวิทยุ)

"ให้ทุกคนประจำแนว  หน่วยเหนือสั่งเตรียม 100%" ลูกพี่กระซิบ

"อะไรว่ะ100% ทุกวัน แล้วอะไรนักหนา" เสียงบางคนบ่นออกมา

"เอาน่าเพื่อนเพื่อชาติ"ผมตบบ่ามัน  

"ชาติแปะมึงดิ" บางคนมีนิสัยส่วนตัวที่แก้ไม่ได้ติดมาจากบ้าน
...................................................................................................
19.00น. วันที่ 18 มีนาคม 25..

"121 ว.2 ตั้งจุดตรวจด้วย มีคนเจ็บ"เสียง แหวน(วิทยุมาจากหน่วยใกล้เคียง)

พวกฉันได้ยินเสียงปืนตั้งแต่แรกแล้วต่างกอดคู่ชีวิตไว้อย่างดี


"ไปๆ" เสียงหัวหน้าสั่ง 

19.50 น. วันเดียวกัน
   ตั้งจุดตรวจมีคนเจ็บหนึ่งคนกำลังจะออกไปหาหมอ  หัวหน้าสั่งให้ฉันไปกับคนเจ็บ

ส่งคนเจ็บที่โรงบาลเสร็จ จึงกลับพร้อมกับน้องคนเจ็บ



"ตูม"

เสียงมัจจุราชดังขึ้นในความเงียบ  ลูกไฟสูง 20 เมตรได้ลุกท่วมยอดมะพร้าว


ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


เสียงปืนยิงมาที่รถ  และเสียงจากที่ฉันและเพื่อนยิงตอบโต้ออกไป

ฉันตอบโต้ไปเหมือนกัน 2 แมก

ไม่มีใครตายไม่มีใครเจ็บ  แต่รถเข้าอู่เป็นเดือน

....................................................................................................
"อ้าวกลับมาแล้วหรือว่ะ" แม่วิ่งมากอดฉัน

"จ๊ะ.." 

"เป็นไงเอ็งสบายดีไหมข้าเป็นห่วงเอ็งแทบแย่ เห็นข่าวในทีวีข้าใจหายทุกที"

"จ๊ะแม่  สบายดี  ที่ที่ฉันอยู่ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลยนี่"

"อือ..งั้นหรือ  งั้นแม่ก็สบายใจ  ไปกินข้าวก่อนไป"  

สายตาบอกถึงความสบายใจ และโล่งอก  แม่กุลีกุจอตั้งสำรับข้าวให้  







				
28 กุมภาพันธ์ 2552 14:10 น.

เขาบอกว่าผมมีความสุข

รักษ์บุญ เสาวณีย์

เวรใครว่ะ  ดูแลดีๆนะโว้ยอย่าหลับล่ะ ดึกแล้วกูจะไปนอน หัวหน้าถาม สอนไปตามเรื่องของแก

                     ผมครับ ผมตอบทันที 

                      เดินแบกปืนคู่กายไปนั่งเข้าเวรที่หลังโคนยางต้นใหญ่ขนาดสองคนโอบ

                       วันนี้ ผมเข้าเวรช่วง ตี2-3  หัวหน้าจะนั่งกับเวรแบบนี้จนดึกจึงจะไปนอน  

                       จริงๆแกนอนใกล้ๆนั่นแหละ 

                      ทำบังเกอร์จากกระสอบที่ใส่ดินแล้วเรียงต่อ เหมือนก่อบล็อกสร้างบ้านนั่นแหละ แต่มีเฉพาะผนังด้านหัวนอน     


                    กับด้านที่ติดแนวป่าด้านนอกฐาน
 	

                    ผมนั่งนึกอะไรไปเรื่อยตามความเงียบ      

........................................................................................................................

                  เฮ้ย...ทหารพรานมาว่ะ

 
                   เพื่อนที่นั่งกินเหล้าอยู่ที่ร้านตามั่น  ซึ่งเป็นร้านประจำหมู่บ้านร้องทักมาแต่ไกล


                 สายตาที่เคยรังเกียจเดียดฉันท์ อดีตขี้เหล้าอย่างผม

                 กลับกลายเป็นความการให้เกียรติและยกย่องอาชีพของผม
	
                 ผมปกติชอบโม้อยู่แล้วไม่อยากจะโม้ต่อเลยว่า  

                 บ้านไหนมีลูกสาวก็อยากจะยกให้ เดินผ่านบ้านไหนก็เรียกกินข้าวกินน้ำ 

                เพราะอาชีพผมดูน่าเกรงขามและมั่นคงพอตัว  

                 จบปริญยงปริญายังเงินเดือนน้อยกว่าผมเลย (โม้ฉิหายเลย)
              
                 แต่ผมก็มีเมียแล้วล่ะ 

                1 เดือนที่ผ่านมา ผมมีวันพัก 7 วัน ก็รีบบึ่งขี่รถไฟกลับมาหาเมียสุดที่รักเหนือกะบาล
              

               เฮ้อ.....ไม่อยากคิดถึงความหลังเลย
	
             แต่ก็อยากคิด
	
              วันนั้น
          
              พ่อๆ! อีน้อยไปไหน ผมกระสับกระสาย เพราะกลับไปที่บ้านปลายนาไม่เจออีน้อยเมียผม
               
              อ้อ...เอ่อ..มันเยี่ยมน้องสาวมันที่กรุงเทพฯ พ่อตอบตะกุกตะกัก

               เอะ..พ่ออีน้อยมันมีน้องสาวตั้งแต่เมื่อไหร่  ก็ฉันเห็นครัวมันมีแต่ไอ้ใหญ่น้องชายมันไม่ใช่เหรอ  แล้วน้องสาวโผล่มาจากไหนจากล่ะพ่อ 

                ผมค้านเพราะรู้จักครอบครัวเมียดี
                     
                 น้องสงน้องสาวของมันคนไหนก็ชั่งเถอะ  มึงไปกราบแม่มึงก่อนไป  แล้วหาขงหาข้าวกิน กูจะไปนา

                    พ่อดูท่าทางหงุดหงิด ตะโกนใส่หน้าทั้งที่ก็อยู่ใกล้กัน รีบเดินหนีไปนาทันที
                
                 จ๊ะ.. ผมรับคำงงๆ  

                         เอ้อดี   เมียไม่อยู่ผมจะแดกเหล้าให้เปรมเลย  เปรี้ยวปาก  หันกลับหลังเดินไปบ้านไอ้แสบเพื่อนวงเหล้าเดี๋ยวกัน ตั้งแต่สมัย ป.6 ที่หนีครูไปกินเหล้าด้วยกัน
	
                         อะไรไอ้ทึก..(ผมเรียกแทนชื่อแสบของมันเพราะมันไง่เหลือประดา) 

                          ไม่ต้องมองหน้าตากูแบบสงสาร ขนาดนั้น กูอยู่ปักษ์ใต้สบายดี อีกนานกูกว่าจะตาย ผมพูดให้มันสบายใจเพราะคิดว่ามันเป็นห่วงที่ผมไปเป็นทหารพรานอยู่ใต้
	
                           มันก้มกระดกเหล้าขาวที่เทไว้เกือบเต็มแก้ว  ไม่เหลือให้เห็นซักหยด นี่มันกะจะกินให้ทันตาโห พ่อมันที่เป็นตับแข็งตายเมื่อปีที่แล้วเลยหรือไง
               
                               ฮ่าๆๆๆ

                                 มันหัวเราะเสียงดังแบบไม่มีเหตุผล  รินเหล้าเกือบเต็มแก้ว  ยื่นให้ผมกิน
	
                         วันนี้กูรักมึงว่ะไอ้เกลอ มึงแดกเหล้าเข้าไป  กูจะร้องเพลงให้ฟัง   มึงจะได้หลับสบายไง  เสียงเริ่มอ้อแอ่ 

                               มันดันแก้วให้ ผมยังลังเลอยู่แต่ด้วยความเกรงใจ เอ้าใจป้ำกระดกหมดแก้วเหมือนกัน
	

                           ผมไม่รู้ว่าเหล้าขาวหมดกี้ลัง แต่จำได้ลางๆว่า 6 ขวดเป็นอย่างน้อย
	
                                 เอะ...ผมนอนที่ไหน อ้อนอนที่แคร่หน้าบ้านของพ่อผมเอง  หัวมึนๆหนักอึ้งเลย ขอหลับต่อดีกว่า
	

                               ได้ยินแว่วเสียงเหมือนไอ้แสบ คุยเบาๆกับพ่อ
	
                              พ่อ..ฉันละสงสารไอ้ชัยมันจัง ไอ้แสบถอนหายใจเฮือกใหญ่
	
                            ไม่รู้มันจะรับได้ไหมว่าเมียมันหนีตามผู้ชายไปไอ้แสบพูดต่อ
	
                      เอ็งก็อย่าพูดไปซิวะ กูก็ปิดมันอยู่  มึงก็รู้  เดี๋ยวมันไปอยู่โน้นเผื่อมันเจอสาวที่ถูกใจเราค่อยบอกมันก็ได้ พ่อทำเสียงกระซิบเบาๆ 

                              หารู้ว่าผมได้ยินเรื่องราวทั้งหมด  อาการช็อคเริ่มเกิดขึ้น
	
                               ซักครู่ได้ยินพ่อบอกไอ้แสบให้ไปนอน 

                              ส่วนพ่อหายไปซักพักก็มีผ้าห่มมาห่มให้ผืนใหญ่

                               มือที่กร้านเพราะทำงานหนักตั้งแต่วัยเด็กของพ่อลูบหน้าผมเบาๆ  แล้วก็ไปนอน 
               

                                  น้ำตาลูกผู้ชายชาติทหารกว่าจะไหลเป็นทางยาวก็ช็อกไปนาน

                                 ผมผิดตรงไหน

                                 ผมทำอะไรผิด

                               เมียถึงมีชู้  

                               อาจจะเพราะกลัวผมมีเมียใหม่หรือเปล่า 

                                 หรือความห่างกัน    ทำให้เธอเหงา ผมถามคำถามกับตัวเองวนไปวนมา 

                                 ความรู้สึกมันมึนไปหมด น้ำตาก็ไหลอยู่นั่นแหละ 

                                 ผมลองบังคับน้ำตาไม่ให้ไหลแล้ว  แต่มันก็ยังไหลอยู่ดี  
  	
                                ใช่..ทั้งคืนผมสะอื้นเบาๆไม่ให้ใครรู้ ตอนเช้ารีบล้างหน้ากลัวคนจะเห็น
	

                                 ผมไม่ให้พ่อ แม่ เพื่อนได้เห็นความเสียใจ  ขอกลับตอนเช้าทันทีบอกนายโทรมาต้องรีบกลับ  ทั้งที่เหลือเวลาตั้ง 5 วัน



แก่กๆแก่กๆ...เสียงกิ่งไม้บนพื้นหัก

 ผมตวัดสายตาไปทางต้นเสียงทางซ้ายมือทันที  

   ผมเพ่งสายตาอยู่นิดหนึ่ง ดูลักษณะของสิ่งที่ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาในใกล้ฐาน

 ใกล้เข้ามา  ใกล้เข้ามา 
	

             ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

               เสียงคำรามเปิดฉากยิง  ของปืน HK 33 ของผมดังสนั่น เพราะเปิดออโตร์(ออโตเมติก)
	

               จากนั้นเสียงปืนทั้งสองฝั่งดังจนแสบแก้วหู 

                ทหารเราไม่เคยยิงโดนกันเอง เพราะมีรัศมีในการยิงของตัวเอง  

                ประมาณ 20 นาทีผ่านไป 

                 เสียงหัวหน้าสั่งหยุดยิง  

                 รอซักพักฟังเสียงปืน เมื่อไม่มีเสียงปืน  

                  หัวหน้าจึงสั่งดำเนินกลยุทธ์ตามหลักของทหาร
             

                   ศพของโจรที่เข้ามาโจมตีฐาน ถึงแม้จะมีแค่ 2 ศพ มีรอยเลือดเป็นทาง สามสี่ทาง  

                    เราก็เชื่อว่าครั้งนี้โจรล้มเหลว  แต่ต้องคิดให้หนักว่า หากไม่แน่จริงมันไม่มาแน่ 

                     ส่วนฝ่ายเราบาดเจ็บกันห้าหกคนคน บางคนโดนกระสุนเฉียว แต่ส่วนมากบาดเจ็บเพราะกระโดดจากเปลไม้ตำบ้าง

                        กระโดดหลบที่โคนต้นไม้รุนแรงไปหน่อย	

                       ทหารอย่างพวกเราไม่เคยกลัวตายแม้แต่น้อย

                       แม้บางครั้ง หรือบางคน จะไม่มีความสุขในชีวิตครอบครัว มีปัญหามากมายในชีวิต 

                      เมียทิ้ง แฟนเลิก ลูกเสียคน  หนี้สิน 

                       แต่เราเหล่าทหารหาญ ไม่เคยลืมเลยว่าเราทำหน้าที่อะไร

                       เราทุกข์แสนสาหัส แต่ขอให้ชาติคงอยู่เราก็มีความสุข 

                       เราภาคภูมิใจเสมอที่ได้รับใช้ชาติ 

                       เหล่าศัตรูเอ๋ย  

                         ตราบที่เหล่าทหารกล้ายังอยู่

                         ก็จะแสดงแสนยานุภาพให้ประจักษ์แก่ใจว่า

                       แม้กูตายลูกหลานกูก็สืบเจนตนา 

                       แม้กูยังไม่ตายกูก็จะสู้จนตัวตาย 

                       เพื่อชาติ ศาสนา  พระมหากษัตริย์ 

                      ให้ขวานเล่มนี้ยังเป็นขวานที่สมบรูณ์ต่อไป				
27 กุมภาพันธ์ 2552 18:10 น.

เฝ้ามอง

รักษ์บุญ เสาวณีย์

ไอ้ขุนนั่งมองสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ 

                 มันห้วนนึกถึงชีวิตที่ผ่านมา  

                ก่อนนี้มันมีอีแรมจรัสอยู่เคียงข้าง  แต่มาวันนี้อีแรมจรัสมาจากมันไปอย่างไม่มีวันห้วนกลับ


               มันทั้งสองอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ปีมะโว้  จำไม่ได้ว่ามันนานนมแค่ไหนแล้ว

                อีแรมจรัสเป็นหญิงสาวนางหนึ่งที่สวยทีเดียว  ตัวไอ้ขุนทั้งรักทั้งหลงมันเฝ้าทนุถนอมอีแรมจรัส  ขนาดที่เรียกว่ายุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยทีเดียว


                บืนๆๆเสียงเครื่องเรือยนต์ที่กำลังแล่นผ่าน  

                น้ำที่ถูกเรือแหวก ออกกลายเป็นคลื่นลูกย่อมๆหลายลูก  วิ่งตามกันและชนตูมเข้ากับตลิ่งและบันไดศาลาที่มันนั่งอยู่ 

                 แรงทีเดียวล่ะเพราะบันไดที่นั่งอยู่ถึงกับสะเทือน


               เฮ้อ...

               ไอ้ขุนถอนหายใจเสียงดัง  

               โดยหารู้ไม่ว่ามีคนอื่นที่ยืนอยู่ด้านหลังมัน 

                กำลังมองด้วยความเป็นห่วง 

                แกล้งทักเหมือนเพิ่งเดินมาถึง  


               พี่ขุน..ทำอะไรอยู่จ๊ะ

               เสียงหญิงสาวดังขึ้นด้านหลัง  


               ไอ้ขุนหันขวับหาต้นเสียงที่เย็นยะเยือก   

                มันตื่นจากภวังค์ความคิดเก่าๆหยุดลงทันที  

               จ้องมองผู้มาใหม่อย่างสงสัยทำไมถึงรู้จักชื่อมัน 

              เพราะมันไม่รู้จักผู้หญิงคนที่อยู่ต่อหน้านี้  หรือเธอจะเป็นนางไม้หรือจะเป็นผีพรายจำแลงมา


               เหมือนดังว่าเจ้าหล่อนจะเข้าใจความคิด  

               ก็เลยรีบบอกนามตัวเอง

              ฉันชื่อมณีจ๊ะ เป็นน้องสาวของพี่แรมจรัส" 

              " พี่เขาให้คนไปบอกฉันก่อนที่ตัวเองจะไปว่า..ให้ฉันช่วยมาดูแลพี่ขุนแทนจ๊ะ


             อือ..

             ไอ้ขุนพยักหน้ารับรู้หันกลับไปมองสายน้ำเหมือนเดิม


              เหมือนไม่สนใจผู้มาใหม่  

              แต่ที่จริงมันอยากซ่อนน้ำตาที่กำลังไหลลรินออกมา

               มันไม่กล้าสะอื้นให้ใครได้รู้ว่ามันร้องให้  

              แสร้งวักน้ำลูบบหน้าเพื่อปกปิดน้ำตาที่กำลังไหลไม่หยุด
	

              พี่ขุนจ๊ะ มณีเพิ่งมา  ไม่เห็นพี่ก็เลยไปที่ครัวหุงข้าวทำกับข้าวแล้วนะ  ไอ้ละออหลานพี่ขุนมันบอกพี่อยู่ที่นี่มณีก็เลยตามมา  มณีว่าเรากลับกันเถอะจ๊ะเริ่มมืดแล้ว
              ไอ้ขุนลุกขึ้นตามเดินตามสาวน้อย  ไม่พูดอะไรเพราะกลัวจะหลุด(สะอื้น)ให้อีมณีได้รู้ 

             ไอ้,อีทั้งสองต่างไม่ปริปากพูดเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากอย่างงั้นแหละ  

             จนกลับถึงกระท่อม
.........................................................................................................................
             บัดนี้ล่วงเลยมาสองปีแล้ว  

             ทุกเช้าค่ำไอ้ขุนจะไปนั่งที่กะไดท่าาน้ำ  

             ไม่มีวี่แววเลยว่าอีแรมจรัสจะห้วนกลับมาหาไอ้ขุนดังที่มันหวัง  

             อีแรมจรัสช่างใจร้ายนัก  

             เหตุใดจึงทิ้งมันไป  

              ไอ้ขุนไม่เข้าใจยังหาเหตุไม่ได้อยู่ดีนั่นเอง


               ตั้งแต่อีมณีมาอยู่กับไอ้ขุน  ชั้นแรกเลยนั้นมันทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างเคอะเขิน  

               ฝ่ายไอ้ขุนจะไล่อีมณีกลับก็กะไรอยู่  

                ด้วยเหตุสองประการที่อีมณีชอบอ้าง 

                คือหนึ่ง  อีมณีมันบอกว่าพี่สาวมันคือ อีแรมจรัสนั่นแหละ  ที่สั่งเสียให้มันมาดูแลไอ้ขุนก่อนจากไป 

                 อีมณีบอกว่าหากมันทิ้งไอ้ขุนไป  คงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตเพราะผิดคำสัญญาที่ให้กับพี่สาวตน(ซึ่งมันโกหก)

                ข้อสอง  อีมณีมันบอกว่า  ด้วยว่าพี่สาวของนางคืออีแรมจรัสได้ให้ความมั่นใจว่า  

                 หากมาอยู่กับไอ้ขุนแล้วก็ไม่จำเป็นต้องกลับบ้านก็ได้ ก่อนมามันจึงบอกขายที่ทางไปแล้ว  หากกลับไปก็ไม่รู้จะไปอาศัยอยู่ที่ไหน  

                 ไอ้ขุนก็เลยต้องจำยอมรับอีมณีไว้ให้อยู่ด้วยอย่างจำใจ
	

                 ต่อมาไม่นานไอ้อีทั้งสองต่างรู้ว่า  การอยู่อย่างเดียวดายมันเหงาก็เลยเป็นผัวเมียกันดีกว่า
	

                 มันเหมือนนิยายน้ำเน่าเกินไปไหม  
 	

                 ไม่หรอก!  

                 คนที่รู้  คืออีมณีคนเดียว  

                 รู้อะไรน่ะหรือ 

                  ก็รู้ว่าไอ้ขุนมันตกน้ำตายตั้งนานแล้ว 

                  แต่ตัวไอ้ขุนไม่รู้ว่าตัวมันตายยแล้ว..ก็แค่นั้นเอง  


                  ส่วนอีแรมจรัสนะหรือก็ยังอยู่เป็นคนอยู่ ไม่ได้หนีไปไหนอย่างที่ไอ้ขุนเข้าใจหรอก 

                 เฝ้าแต่รอวันไอ้ขุนกลับไปหาเช่นกัน  

                 มันยังไม่เข้าใจเลยว่าไอ้ขุนไปไหนแล้วทำไมถึงทิ้งมันไว้คนเดียว  

                 มันแค่รีบไปเยี่ยมพ่อเฒ่าที่บ้านนอก  เพราะพ่อเฒ่าเป็นไข้ป่า  ไปแค่ 2 วันเอง  

                ครั้งที่แล้วไปตั้ง 15 วันไม่เห็นไอ้ขุนจะไปไหน  

                แล้ววันนี้ไอ้ขุนทิ้งมันไปไหน  ไอ้ขุนทิ้งมันไปไหน  ไปไหนนนน   

                เมื่อไม่มีวี่แววของไอ้ขุน  

                อีแรมจรัสจำต้องจากบ้านไปด้วยหัวใจแตกสลาย 

                ตอนนี้อีแรมจรัสมันกลับไปอยู่กับพ่อเฒ่าแม่แก่ที่ต่างเมืองแล้วล่ะ 


               ส่วนอีมณีนะหรือ มันก็เป็นผีนะซิ 

               แต่เป็นผีดีนะเพราะมันรักไอ้ขุนมานานแล้ว  

              แอบมองและอิจฉาคู่ของไอ้ขุนกับอีแรมจรัสเสมอ  

              เมื่อวันนั้นไอ้ขุนตกน้ำตายที่ท่าน้ำ  

              ก็เลยกุเรื่องขึ้นและรอเวลา  

             เพื่อที่จะอย่างมีผัวดีๆอย่างไอ้ขุนถึง 2 ปี 

              ทั้งที่ใจจริงมันอยากจะเข้าไปปล้ำไอ้ขุนทำผัวซะให้รู้แล้วรู้รอด  

              จะได้กกกอดไอ้ขุนอย่างที่ใจตัวปราถนา  

              แต่รั้งตัวไว้เสมอเพราะกลัวไอ้ขุนจะไม่ชอบใจ  

               และวันนี้อีมณีสมใจจริงๆที่มีผัวดีๆอย่างไอ้ขุน 

              และเป็นผัวที่รักมันด้วยใจ..มิใช่บังคับ

              วันนี้ไอ้ขุนทั้งรักและหลงอีมณีเหมือนที่มันเคยหลงอีแรมจรัส
     

              อีมณีที่เคยแอบรักไอ้ขุนและเฝ้ารอเสมอมา มันมีความสุขและดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่ทำสำเร็จ  

              และจะไม่ยอมให้ใครมาแยกไอ้ขุนไปจากมัน 

              เหมือนที่มันเคยพรากไอ้ขุนมาจากอีแรมจรัส  

             ไม่มีวันซะหรอก   
  

               ระวังนะท่านๆอาจจะมีใครรอโอกาสอยู่  

             เหมือนกับที่ฉันอีมณีเฝ้ารอพี่ขุนจนได้สมดังปราถนาแบบนี้ไง  

              ท่านอาจไม่ได้โชคดีแบบพี่ขุนที่ฉันเอาไปทำผัวก็ได้นะ 

              เขาที่เฝ้ารออาจจะหาคนไปแทนที่ก็เป็นได้ ระวังนะ!				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟรักษ์บุญ เสาวณีย์
Lovings  รักษ์บุญ เสาวณีย์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟรักษ์บุญ เสาวณีย์
Lovings  รักษ์บุญ เสาวณีย์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟรักษ์บุญ เสาวณีย์
Lovings  รักษ์บุญ เสาวณีย์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงรักษ์บุญ เสาวณีย์