7 กันยายน 2551 15:00 น.
รอยทาง
ฉันเชื่อว่าหลายๆ คนที่เคยขับรถ มักจะมีห้วงหนึ่งของความรู้สึกแห่งความสุขของการขับ ซึ่งแต่ละคนย่อมมีเหตุผลของความสุขแตกต่าง ฉันคนหนึ่งที่มีเหตุผลของความสุขในการขับรถด้วยเช่นกัน
ช่วงบ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง ฉันขับรถทางไกลผ่านถนนมิตรภาพมุ่งตรงสู่จังหวัดในภาคอิสาน ระยะทางกว่า 300 กิโลเมตรจากจังหวัดบ้านเกิด ฉันมีความสุขมากๆ กับการขับรถ ฟังเพลงสบายๆ ไปตลอดสู่จุดหมายปลายทางนั้นๆ
แอบมองท้องทุ่งข้างทางไปเรื่อยๆ เมฆหมอกเริ่มบทบังแสงแดด สายลมพัดโชยผ่านกิ่งไม้ใบไหวเอน สายฝนเริ่มโปรยปรายเป็นระยะๆ ฉันมักจะมีความรู้สึกที่เป็นสุขมากมายทุกครั้งที่ได้ขับรถแล้วมีฝนตกลงมา มืออีกข้างเริ่มขยับสัมผัสปุ่มปัดน้ำฝนไปมาหน้ากระจกรถ ทำให้ฉันรู้สึกถึงความสดชื่นชุ่มฉ่ำในหัวใจ มองไปทางไหนมีแต่ความเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้า ปล่อยอารมณ์สบายๆ ไปกับสายฝน ทำให้นึกถึงบทเพลงหลายๆ เพลงที่เหล่าศิลปินทั้งหลาย นำมาแต่งเป็นบทประพันธ์ขับขานผ่านเสียงดนตรี ให้อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ไม่ว่า รัก สุข เศร้า เคล้าน้ำตา จากฝนที่กำลังตกลงมานั้น
ฉันเอื้อมมือจับม้วนเทปที่แสนโปรดปรานของนักร้องในดวงใจอย่าง พี่แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ ซึ่งมีอยู่ม้วนเดียวโดยไม่ต้องมองหา เสียบเข้าไปในช่องเล่นเทปแต่ละเพลงขับขานร้องผ่านไปแล้วก็ผ่านไป แล้วเพลง น้ำตาฝน ของพี่แจ้ก็ผ่านมาถึงช่วงจังวะนั้นพอดี ด้วยคำร้องที่ว่า
ฟ้าหรือฝนลมจะเทมาเพียงใด ไม่เจ็บเท่าไรใช่มั๊ยฟ้า
ไม่ทันข้ามวันหมดแรงฟ้าเมื่อไรพลัน ลมฝนคงผ่านเลยไป
คนซิคนลวงล่อคนซิเจ็บกว่า ไม่แบ่งเวลาดังเหมือนฟ้า
ไม่พูดไม่จาเบื่อหนาลืมได้ทันที เจอะคนใจร้ายใจดำ
ก้อมีแต่ช้ำระกำ ตากฟ้าตากฝนยังชื่นฉ่ำ
กว่าเจอหน้าเธอคนลืมคำ จะจำเอาไว้กับใจ ว่าใจเธอร้ายกว่าใคร
ฟ้าหรือฝนลมจะเทมาเพียงใด ไม่เจ็บเท่าไรใช่มั๊ยฟ้า
ไม่ทันข้ามวันหมดแรงฟ้าเมื่อไรพลัน ลมฝนคงผ่านเลยไป
คนซิคนลวงล่อคนซิเจ็บกว่า ไม่แบ่งเวลาดังเหมือนฟ้า
ไม่พูดไม่จาเบื่อน้าลืมได้ทันที เจอะคนใจร้ายใจดำ
ก้อมีแต่ช้ำระกำ ตากฟ้าตากฝนยังชื่นฉ่ำ
กว่าเจอหน้าเธอคนลืมคำ ได้โปรดเถิดฟ้าปราณี
ข้าเจ็บครานี้ไม่มีดี ถูกคนใจร้ายย่ำยี่
เจ็บปวดเหลือที่ช่วยข้าที ข้าวอนให้ลมกับฟ้า
จงพาให้ฝนตกมา ให้หยาดฝนลบข้ามน้ำตา
ฉันเพลิดเพลินกับการขับรถ สายฝนพรำๆ ฮัมเพลงไปด้วยอย่างมีความสุข เนื้อเพลงที่บ่งบอกถึงความหมายซึมลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจอย่างได้อารมณ์ ทำให้นึกถึงใครๆ อีกหลายคนไม่เพียงเเต่ฉันที่อาจกำลังเป็นเช่นบทเพลงนี้ บรรยากาศพาไปยังกับตัวเองกำลังเล่นมิวสิควีดีโอตามนั้น
"อุ๊ย โอ๊ย" เสียงฉันอุทานพร้อมกับเสียงดัง "โครม" รีบหักพวงมาลัยรถหลบแฉลบออกถนนเลนด์ขวาด้วยความตกใจอย่างสุดขีด เท้าเหยีบเบรคดังเอี๊ยดดดดด ลากเสียงดังยาวหัวขมำเล็กน้อย ถูกเข็มขัดนิรภัยยึดตัวไว้ได้อย่างกระทันหัน เหลือขอบถนนอีกนิดล้อก็จะตกลงไปในท้องทุ่งลำคลองข้างทาง
เสียงกระแทกจากรถมอเตอร์ไซน์วิ่งเลี้ยวตัดหน้าไม่รู้มาจากไหน พุ่งเข้าชนด้านข้างเสียงดังสนั่นหวั่นไหวใกล้ทางแยก "โอสงสัยต้องมีคนนอนตายกลางถนนแน่เลย" คิดว่าตัวเองไปชนเขาเข้าอย่างจัง มือไม้ ใจสั่น สติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หันหลังกลับไปมองไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยใครเป็นอะไรเลยสักคน "เอ๊ะ ผีหลอกหรือเปล่า" เพราะเป็นช่วงเวลาตะวันโพล้เพล้เข้าไปเต็มที เพื่อความแน่ใจเปิดประตูรถลงออกมาดูอีกครั้งเห็นมอเตอร์ไซน์คันนั้นรีบขับหนีเข้าไปในซอยอย่างรวดเร็ว ฉันนึกโมโหอย่างแรง "ไอ้บ้าเอ๊ย" ฉันตะโกนออกมาพร้อมกับมือขวาชกลมอย่างเสียความรู้สึก ใจจริงอยากจะไปตะบันหน้าคนขับมอเตอร์ไซน์ให้หายเจ็บใจ โชคดีที่ไม่มีรถสวนมาด้านหน้า มีหวังเป็นศพข้างทางคนเดียวแหง๋๐๐
พระเจ้ายังเข้าข้างชีวิตแต่กระจกและประตูรถด้านซ้ายพังยับเยินไปทั้งแถบ ฉันเอามือสัมผัสที่อกแล้วหายใจเฮือกใหญ่ ตั้งสติค่อยๆ ขับรถอย่างช้าๆ ต่อไป ด้วยใจสั่นหวิวๆๆ ทำให้ฉันหมดความสุขเเละอารมณ์สุนทรีย์ในการขับรถไปอีกยาวนานเเสนนานนับจากวันนั้น
"ความไม่ประมาทเป็นลาภอันประเสริฐ"