28 กุมภาพันธ์ 2548 23:44 น.
ยโส
การบริหารเวลา (ในขวดแก้ว)
จำได้ว่าเมื่อผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่ง ผมเคยได้ฟังเพลง time in a bottle ขับร้องโดย Jim Croce รู้สึกได้ทันทีเมื่อฟังครั้งแรกว่า ชื่อเพลงและเนื้อหาของเพลงมีอะไรบางอย่างซ่อนไว้ให้ค้นหาคำตอบ หากผมไม่ใช่คนเสแสร้ง ผมก็คงอินกับบทเพลงและอินกับความรัก (fall in song and love) มากเกินไปกระมัง แต่หากเนื้อหาของบทเพลงและความไพเราะในท่วงทำนองของมัน ประสานกับเสียงเกากีตาร์ยังคงอยู่ในความทรงจำของผม
If I could save time in a bottle
The first thing that Id like to do
Is to save every day
Till eternity passes away
Just to spend them with you (บทเพลง time in a bottle ขับร้องโดย Jim Croce)
ถ้าหากผมเก็บเวลาไว้ในขวดแก้วได้
สิ่งแรกที่ผมอยากจะทำ
ก็คือเก็บมันเอาไว้อย่างนี้ทุก ๆ วัน
จนกระทั่งถึงกัลปาวสาน
จะได้ใช้เวลาอยู่กับคุณ
ผมก็แค่คิดไปตามประสาเด็กนักเรียนวัยรุ่นช่วงต้น ๆ มัธยมปลายเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดไปถึงอนาคตอย่างที่วัยรุ่นช่วงปลาย ๆ วาดฝันเอาไว้ว่า ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเอาอย่างนี้ และต้องอะไรต่อมิอะไรอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ในความเป็นจริงและความหลอกลวงของสังคมที่ผมจะผ่านและไปพบในวันข้างหน้ามันจะเป็นอย่างไรบ้าง ผมก็ยังไม่รู้เลย อาจจะเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะรู้ก็ได้
ไม่มีใครสามารถที่จะซื้อ ขาย เช่า หยิบยืม ขโมย เก็บรักษาไว้ ทำให้มากขึ้น สร้างมันขึ้นมาใหม่ หรือเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เราทำได้ก็คือการใช้ (เสริมศักดิ์ วิสาลาภรณ์. 2546 : 238) ถ้าไม่ได้ใช้ มันก็คงหมดไปอย่างไร้ค่า และช่างไร้ความหมายจริง
เพื่อน ๆ หลายคนในห้องเรียนในขณะนั้น บ่นว่าไม่มีเวลาทำการบ้าน บ้างก็ว่ามาไม่ทันเวลาเรียน เคยตอบเพื่อนไปเหมือนกันว่า นายกับเราก็มีเวลาเท่ากัน คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน แล้วทำไมต้องเอาเวลามาเป็นสิ่งอ้างและเอาเวลามาเป็นกำแพงปิดกั้นตัวเองด้วย แต่ผมก็ไม่ได้คำตอบใด ๆ จากเพื่อน
อยากหัวเราะกับความคิดที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองในขณะนั้นจริง ๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังขำไม่ออก เพราะว่าเวลาทำให้ผมกับเพื่อนต้องจากกัน นั่นยังไม่รวมถึงการลาจากกับเพื่อนหญิง หรือใครสักคนที่เคยเห็นหน้ากันมาเป็นระยะเวลา 3 ปีที่เคยเล่น กิน เที่ยว แม้แต่การหนีเรียนวิชาฟิสิกส์ที่ผมเข้าใจยากที่สุด ปลดปล่อยสูตรและการคำนวณไว้ในห้อง ฝากเพื่อนอีกคนไว้ เพื่อจะได้ไปดื่มน้ำอัดลมสีน้ำตาลเข้ม รสซ่าเย็นในร้านที่มีตู้เพลงดัง ๆ และจะได้ลืมเวลาขณะพักเที่ยงวัน
But there never seems to be enough time
To do the things you want to do
Once you find them
Ive looked around enough to know
That youre the one I want to go
Through time with (บทเพลง Time in a bottle ขับร้องโดย Jim Crose)
แต่มันก็ดูเหมือนว่าไม่มีเวลาพอ
ที่จะทำอะไรสักอย่างตามที่ต้องการ
สักวันหนึ่งคุณจะเข้าใจว่า
ผมมองดูคุณอยู่ เพื่อให้คุณรู้ว่า
คุณเป็นหนึ่งเดียวที่ผมต้องการจะไปหา
ผ่านกาลเวลา (ผู้เขียนถอดความเอง)
ฟังดูเหมือนอยู่ในห้วงเหวลึกที่มืดและวังเวงยิ่งนักเสียนี่ เวลาได้กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ตัวของมันเอง เนิ่นนาน ผ่านมา
ด้วยความที่ตัวผมเกิดอยู่ในชนบท แม้กันดาร ผมก็ยังภาคภูมิใจในถิ่นเกิด แผ่นดินที่ผมอยู่มาตั้งแต่ลืมตามาดูโลก วิ่งไล่จับตั๊กแตน ซุ่มตามร่มเงาของต้นไม้ใช้ไม้ยาว ๆ ผูกด้วยเชือกไนล่อนคล้องคอกิ้งก่า ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร ต้อนควายไปกินหญ้า ปล่อยให้มันกินไปตามเรื่องของมัน รวมหัวกับเพื่อน ๆ แก้ผ้ากระโดดเล่นน้ำในคลอง ว่ายน้ำแข่งกัน เป็นชีวิตวัยเด็กที่ไม่อาจย้อนกลับได้เช่นเดียวกับเวลา แต่ก็มีความสุขดีตามอัตภาพและตามแต่จะเป็นไป
แต่ก็มีบางครั้งที่ผมต้องหลบไป แอบเหงา และนั่งน้ำตาซึมอยู่กับวันและเวลาที่กำลังผ่านไปอย่างไม่มีวันกลับ
วันคืนและเวลาผ่านเลยมาอีกสัก 7 ปีได้กระมัง (หากผมไม่เสแสร้งนับผิด) เวลาก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนเดิม ผมอาจจะพอได้เห็นคุณค่าของเวลาขึ้นมาบ้างแล้วกระมัง รวมทั้งคนรอบข้างผมด้วย จึงได้รวมกลุ่มกับเพื่อนสมาชิกทำ baby thesis ในรายวิชาวิทยาการวิจัย ในหัวข้อเรื่อง การศึกษาการบริหารเวลาของนิสิตใน... ณ วันนี้ (19 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา 01.08 น.) ผมยังนั่งนึกย้อนไปถึงเวลาในขณะเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย เขียนสิ่งที่ผมเรียกว่า บทความ เรื่อง การบริหารเวลา (ในขวดแก้ว)
ความก้าวหน้าในการทำ baby thesis ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติบางอย่างอยู่ อีกสัก 5 วันเป็นอย่างมากก็คงเสร็จเป็นรูปเล่ม ถึงวันนั้นคงได้องค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับเวลาว่า ระหว่างเวลาที่ถูกเก็บไว้ในขวดแก้วเมื่อยังอยู่ในวัยเด็ก กับช่วงเวลาในปัจจุบันที่มีสถานภาพแตกต่างกัน มีความแตกต่างกันมากขนาดไหน
เห็นเพื่อนนักศึกษาแซวผมเล่นอยู่บ่อย ๆ ว่า สงสัยท่านจะมีความหลังหรือความทรงจำอะไรเกี่ยวกับเวลาหรือเปล่าถึงได้ทำ baby thesis เรื่องนี้ ถ้าวิเคราะห์ข้อมูลเสร็จและเป็นรูปเล่มเรียบร้อยผมจะนำองค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารเวลาไปแจ้งบอกกับเพื่อนนักศึกษาอย่างแน่นอน
แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ผมลังเลอยู่ในเวลานี้ก็คือ เพื่อน ๆ นักศึกษาจะยอมรับได้หรือเปล่าว่า เวลามีไว้ให้ใช้ ไม่ใช่มีไว้ให้เก็บ และนั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้รักษาเวลา พูดให้สั้น ๆ ก็คือให้ทำกิจกรรมอะไรก็ตามที่ต้อง เร็ว ๆ
ที่ผมเกริ่นนำเกี่ยวกับเวลาตั้งแต่อดีต จนกระทั่งมันล่วงเลยและผ่านมาในขณะนี้ ก็เพราะว่า มันมีอะไรมากมายที่ต้องค้นหาและใคร่อยากจะรู้จริง ๆ ในวัยเด็ก (อีกนั่นแหละ) ผมเคยตื่นเต้นเมื่อพบว่าตัวผมเองสูงกว่าปีก่อนเกือบถึง 5 เซนติเมตร ดีใจเมื่อได้นับเลขอายุของตัวเองด้วยเลข 2 หลัก นี่ยังมิพักต้องพูดถึงความปลาบปลื้มเมื่อผมได้ทำบัตรประจำตัวประชาชนครั้งแรก
ผมเคยใช้ชีวิตในวัยรุ่นอยู่กระมัง? ลองถูกและลองผิดอยู่หลายเรื่อง โดยไม่สนใจกับการผ่านพ้นของการเวลา (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล. 2545 : 120) ทำงานในภัตตาคารเจ้าพระยา 1 ปี พบปะนักเที่ยวและกลุ่มทัวร์จากต่างประเทศมากมาย ใช้ภาษาอังกฤษคำสองคำเพื่อทักทายกับคนต่างชาติ
โอกาสทางการศึกษาช่างปิดกั้นเสียนี่กระไร เรียนเท่าที่มีโอกาสได้เรียน เรียนในมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้ใบประกาศนียบัตรภาษาอังกฤษเฉพาะอาชีพ (ครู) 1 ปี ยังมิพักต้องพูดถึงการเรียนในสาขานิติศาสตร์ เอกนิติศาสตร์ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2544 แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว เพราะว่ามันไม่ใช่หนทางและสิ่งที่ตัวเองชอบ จึงต้อง droup out ออกมาเพื่อเรียนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ ชีวิตช่างตลกสิ้นดี!
แน่นอนว่า แม้ผมจะถูกถามในวันนี้ ผมก็ยังยืนว่าไม่เคยเสียดายวัน เดือน ปีเหล่านั้น เพียงแต่ว่า นับวันผมยิ่งมีสำนึกเกี่ยวกับกาลเวลามากขึ้น และนับวันผมยิ่งเลือกในสิ่งที่ตัวเองกระทำ
เคยนึกสงสัยเหมือนกันว่า ถ้ากาลเวลาเป็นคน เขาจะมีบุคลิกเป็นอย่างไร?
ก่อนอื่น เขาคงเป็นคนที่มีรูปร่างสง่างามและมีใบหน้าที่เฉยเมย เขาต้องแต่งตัวด้วยชุดดำ
นอกจากนี้ ก็คงจะนั่งอยู่บนหลังม้าที่มีบุคลิกไม่ต่างจากเขาเท่าใดนัก
แน่นอน เขาคงนั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าที่เหยาะย่างไปด้วยฝีเท้าที่สม่ำเสมอ ดวงตาอันสงบนิ่งเพ่งไปข้างหน้าอย่างไม่กระพริบ และชายเสื้อสีดำของเขาคงจะพลิ้วไปมา เหมือนริ้วหรีดที่ไว้ทุกข์กับทุกอย่างที่ผ่านไป ซึ่งสอดคล้องกับงานเขียนของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล (2545 : 121)
แม้เวลาจะเป็นทรัพยากรที่มีค่า ที่ไม่จำเป็นต้องจัดสรรหรือหามา แต่หากไม่รู้จักใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ คุ้มค่า และให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุดแล้วไซร้ เวลาก็คงหมดไป จึงควรที่จะรู้จักการบริหารเวลาให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยใช้เวลาน้อยที่สุดเพื่อนำเวลาในส่วนนั้นไปใช้ในกิจกรรมอื่น ๆ ที่ต้องการเวลามาก การบริหารเวลา ก็เหมือนกับการบริหารตัวเอง เวลาเป็นทรัพยากรที่ขาดแคลน ถ้าบริหารเวลาไม่ได้ ก็บริหารอย่างอื่นไม่ได้ (เสริมศักดิ์ วิสาลาภรณ์. 2546 : อ้างใน Drucker. 1996)
หากเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัย ก็ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับเวลา ซึ่งมีข้อแนะนำมากมาย พอยกตัวอย่างเพื่อจะได้บริหารจัดการกับเวลาดังต่อไปนี้
1. กำหนดเป้าหมาย (Goal setting) เขียนหรือบันทึกเป้าหมายในระยะยาวและใน
ระยะสั้น จะช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น
2. กำหนดความสำคัญของงานสำคัญและงานด่วน (Prioritizing) เป็นเคล็ดลับที่จะ
จัดลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนของงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Efficiency and effectiveness)
3. การตรวจสอบเวลา เวลาที่ต้องใช้ในการเรียน งานนอกเวลา พบปะสนทนา ไม่
เร่งรีบเพราะจะทำให้คุณเครียด วางแผนในสิ่งที่สามารถปฏิบัติได้
4. ทำเรื่องที่ง่าย ๆ ไปหาเรื่องที่ยากและซับซ้อน หัดฝึกนิสัยเริ่มทำสิ่งที่มันง่ายก่อน
5. แบ่งงานกันทำ อย่าเก็บไว้ทำคนเดียว หาคนช่วยเหลือ หาคนช่วยแก้ปัญหา
ผู้ให้คำแนะนำทางด้านวิชาการ หรืออาจารย์ที่ปรึกษาก็ได้
6. จดบันทึกไว้ในสมุดเตือนความจำ เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องนำมาคิดและจำให้
ยุ่งสมอง ทำตามแผนที่กำหนดไว้ในสมุดบันทึก ทำงานให้เสร็จตามกำหนด
7. พักสายตาจากการทำงาน ใช้เวลาว่าง ๆ อาจจะทำงานอื่นที่เบา ๆ ในช่วงเวลาที่
รอคอยก็ได้ จะช่วยเรียกเวลาที่เสียไปคืนกลับมาใช้ประโยชน์ได้
8. ตั้งใจทำงาน คนที่ทำงานหลาย ๆ อย่างในคราวเดียวกัน มักไม่ประสบ
ความสำเร็จ (จับปลาสองมือ, เหยียบเรือสองแคม ดูเหมือนว่ายังใช้ได้เสมอ) ทำงานอย่างเดียวแต่มีประสิทธิภาพ แม้จะไม่มีปริมาณก็ตาม
9. ลงมือทำงานในทันที เริ่มต้นจากงานชิ้นเล็ก ๆ และทำในสิ่งที่ถูกต้อง
10. ทำงานเป็นกลุ่ม รวมตัวกับเพื่อน ๆ จะช่วยประหยัดเวลา
11. ปรับปรุง ปรับเปลี่ยนแผนงานให้มีความเหมาะสม
12. บริหารตัวเอง สิ่งสำคัญก็คือ ต้องฝึกหัดและบริหารจัดการกับตัวคุณเองด้วย
ตัดสินใจให้ดีว่า จะทำงานอย่างไรถึงจะบรรลุเป้าหมายได้ (Brian Poser : 2003) (ผู้เขียนบทความเคยแปลและถอดความเรื่องนี้ให้เพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งที่มาปรึกษาการแปล Journal)
การบริหารจัดการกับเวลา ต้องบริหารและจัดการกับตัวเองด้วย เป็นการไร้ประโยชน์จริง ๆ ที่จะต้องมานั่งน้ำตาซึมและนั่งแอบเหงาอยู่คนเดียว เพราะเสียดายวันและเวลาที่มันผ่านพ้นไปอย่างไม่เคยหวนมาอีก สายน้ำย่อมไม่เคยไหลกลับฉันใด กาลเวลาย่อมเลยผ่านไปได้อย่างไม่มีวันหวนกลับฉันนั้น จะป่วยกล่าวไปใยกับอดีตที่มีทั้งเลวและโหดร้ายที่คอยทิ่มแทงแผลในใจและคอยตอกย้ำในความรู้สึกทุกวี่วัน ปล่อยมันไปกับกาลเวลาที่ผ่านเลยจะดีกว่า อย่างน้อย กาลเวลาที่ผ่านเข้ามาและผ่านไปคงจะช่วยเยียวยาและรักษาแผลใจให้หายวัน
หายคืนขึ้นได้ แม้ไม่มากนักก็ยังดีกว่าการจมปลักอยู่กับอดีต
เวลาช่างผ่านไปโดยเร็ว ตรงกันข้ามกับมนุษย์ที่เจริญเติบโตช้าเหลือเกิน
แต่ก็ยังน่าเสียดาย ที่เมื่อรู้สึกว่าตัวเองเจริญเติบโตขึ้นเต็มที่ ก็ปาเวลาเข้าไปเกือบ 20 ปีเศษ ๆ มาแล้ว
20 มิถุนายน 2547 10:00 น.
ยโส
เมื่อครั้งที่ผมสอบผ่านเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ สมกับความฝันที่ผมได้ตั้งใจไว้ สิ่งที่ผมคิดไม่ตก แก้ปัญหาไม่ได้ ผมจะเอาเงินที่ไหนมาเรียน บ้านผมถึงจะไม่มีเงินมากมาย แต่ก็ไม่ได้อดตาย อย่างน้อยก็ยังมีนาให้คราดดำ ไถ หรือหว่าน เลี้ยงชีพมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว แต่ค่าใช้จ่ายในระดับมหาวิทยาลัยที่ผมกำลังเรียนอยู่ในขณะนี้ ช่างแพงมาก เกินกว่าที่ลูกชาวนา และคนที่ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ของผมจะสามารถส่งเงินจำนวนนั้นมาให้ผมจ่ายเป็นค่าเล่าเรียน และค่าจิปาถะอื่น ๆ ได้
ผมสอบผ่านในวิชาที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดไว้ว่า ถ้าสอบผ่าน ก็ไม่ต้องลงทะเบียนเรียนในรายวิชานี้ได้ ... ใช่ ผมสอบผ่านทั้งหมด ผิดกับเพื่อน ๆ ที่พ่อแม่ของพวกเขามีเงินเหลือเฟือ พอที่จะส่งเสียลูก ๆ ของพวกเขาให้เรียนจนจบมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้ อย่าว่าแต่ปริญญาตรีกิ๊กก๊อกเลย ปริญญาเอก หรือที่สูงกว่านั้นก็สามารถส่งให้ลูก ๆ ของพวกเขา ซึ่งก็เป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนของผมได้ ... พวกเพื่อน ๆ สอบไม่ผ่าน มีเพียงผมคนเดียวที่สอบผ่าน ... น่าหัวเราะเยาะกับวาสนาของตัวเองเสียเหลือเกิน มีปัญญาสอบผ่านได้ แต่ไม่มีปัญญาที่จะหาเงินเพื่อเรียนในมหาวิทยาลัยที่ตัวเองสอบได้ โลกช่างยุติธรรมสิ้นดี ... คิดไปอยากหัวเราะดัง ๆ ในวาสนาตัวเองหลาย ๆ ครั้ง จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อคน ๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นความหวังของครอบครัว สู้ทนฝ่าฟันอุปสรรค หวังว่าสักวันจะมีงานมีการที่มั่นคง มีเงินเดือน ส่งให้พ่อแม่และครอบครัวที่เคยเลี้ยงดู และเคยส่งเสียให้ได้เรียนจนจบมหาวิทยาลัย ... น่าสงสารจริง ๆ ชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ไม่ได้เกิดบนกองเงินกองทอง ไม่ร่ำรวย ... เคยคุยกับแม่ทางโทรศัพท์ว่า แม่ครับ แม่จะเอาเงินที่ไหนส่งให้ผมเป็นค่าเทอม และค่าใช้จ่ายประจำวัน ... ค่ารถ ค่าอาหาร และ...? แม่จะไปหายืมจากญาติ ๆ และพี่น้อง แม่ตอบผม ผมรู้ว่าแม่ไม่มีเงินมากพอ แม้แต่ค่าเทอมสัก 4,500-9,500 บาทในช่วงเวลา 4 เดือน แม่ไม่ต้องขายควายเพื่อส่งเงินให้ผมหรอกนะครับ ผมอายเพื่อน ๆ และสงสารควายที่ไม่รู้ประสีประสา ชีวิตผมไม่มีค่าแค่ควายหนึ่งตัว .... ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้ควายสักกี่ตัว ผมจึงจะสามารถเรียนจนจบมหาวิทยาลัยได้ ... ผมตอบแม่ไปด้วยอารมณ์ขันแกมประชดประชันในโชคชะตาและวาสนาของผมเอง ... แม่เงียบไปสักครู่ ซึ่งผมก็ทราบด้วยสัญชาตญาณว่า แม่กำลังคิดอะไรอยู่ ... สักครู่เดียว ผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะของแม่ผ่านสายโทรศัพท์ ซึ่งผมก็รู้อีกอีกนั่นแหละว่า แม่หัวเราะออกมาอย่างกล้ำกลืน... อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าบ้านผมมีโทรศัพท์ หรือว่าแม่ผมมีโทรศัพท์มือถือหรอกนะ เพราะที่บ้านมีโทรศัพท์สาธารณะอยู่หน้าบ้าน ผมใช้เบอร์นี้แหละติดต่อกับแม่ของผมเป็นประจำ ซึ่งนั่นก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมหายคิดถึงแม่ของผม และน้อง ๆ อีกสองคนที่อยู่ที่บ้านเกิดในเวลานี้
เกินจะทนไหวจริง ๆ เมื่อผมทราบว่า ค่าใช้จ่ายในขณะเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ต้องใช้เงินถึง 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาท) เงินเล็กน้อยในสายตาเพื่อนร่วมห้อง แต่มากมายสำหรับคนบ้านนอกอย่างตาสียายสาแถวบ้านจะหามาจ่ายให้ได้ ... จะเอาที่ไปจำนองเพื่อเอาเงินให้ลูกไปจ่ายค่าเทอมรึ? จะขายควายที่มีอยู่เพียง 2 ตัวรึ? หรือว่าจะต้องให้แม่ทำงานดายหญ้าในสวน? หรือว่าจะต้องถอนต้นวัชพืชในสวนผักเพื่อแลกค่าจ้างเพียงวันละ 50 บาทรึ? ... น่าหัวเราะในโชคและวาสนาของตัวเองยิ่งนัก ... ทำไมโลกช่างสร้างสิ่งอยุติธรรม! และความอัปยศ! ให้กับครอบครัวของผมนะ? ...
ในตอนนี้ผมจ่ายค่าเทอมไปแล้ว 4,500 บาท ส่วนค่าอาหารและค่ารถโดยสารต้องให้เพื่อน (ที่ฐานะร่ำรวยออกให้) ... ในชีวิต หากไร้ซึ่งศักดิ์ศรี ต้องอาศัยคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังมีอาการครบ 32 ประการ มันช่างน่าละอายสิ้นดี เรียนก็หนัก ... อ่านหนังสือมากกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลายกิ๊กก๊อกหลายเท่า ... เพื่อน ๆ อาศัยผมในเวลาที่เรียนได้ ผมเป็นที่ปรึกษาของเพื่อน เป็นคนติวข้อสอบให้เพื่อน ๆ ไม่อยากชมว่าตัวเองเรียนเก่ง แต่ความจริงก็คงยังเป็นความจริงไปไม่พ้น ... ก็ผมเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพื่อนบางคนที่สงสารก็ออกค่าโดยสารเมื่อไปมหาวิทยาลัยให้ผม เพื่อนบางคนเลี้ยงข้าวมื้อกลางวัน ... ดีที่ผมยังมีเพื่อนที่ดี และจริงใจอยู่บ้าง ถึงผมจะจน แต่ผมก็ยังมีศักดิ์ศรีไม่ยอมรับสิ่งที่เพื่อนช่วยเหลือ โดยที่ไม่ตอบแทนเพื่อน ๆ เหล่านั้น ... ไม่ต้องสงสัยว่าผมตอบแทนอะไรเพื่อน ๆ ก็เพื่อนเหล่านั้นรวย มีฐานะทางการเงินดีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่พวกเขาด้อยกว่าผมก็คือ ความทรงจำในการเรียน ... ผมไม่ได้เอาเพื่อนมาขายหรอกนะครับ แต่เพราะผมเห็นว่าช่างไม่ยุติธรรมต่อผม และเพื่อน ๆ ของผมเลย ไม่มีความพอดีในสังคมมนุษย์ คนเรียนโง่แต่ร่ำรวย จะเรียนอะไรก็ได้ เพราะพ่อแม่มีเงินส่งเสีย แต่ผมสิ! น่าหัวเราะเยาะตัวเองนัก น่าสงสาร! แต่ก็ไม่เคยเรียกร้องความสงสารจากใคร ๆ คนจนอย่างผมก็มีศักดิ์และศรีพอ ไม่ยอมลดตัวและศักดิ์ศรีลูกตาสียายสาบ้านนอกกันดารและชนบทเช่นนั้นได้ ยอมไม่ได้จริง ๆ
ชีวิตผมยังคงต้องดำเนินต่อไป พร้อม ๆ กับชีวิตของตาสียายสา ที่รอคอยความสำเร็จจากลูก ที่เป็นเพียงความหวังเดียวของครอบครัว ... มันเป็นชีวิตจริงที่ถูกปกปิดซ่อนเร้นมานาน ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ชีวิตของคน ๆ หนึ่ง จะไปคล้ายกับชีวิตของคนอีกหลาย ๆ คนในสังคมไทย ... ไม่อยากคิดเลยจริง ๆ
เพียงแต่อยากบอกให้สังคมได้รับรู้ว่า ยังมีคนอีกหลาย ๆ ชีวิต รวมทั้งตัวผมเองด้วย ในโลกเบี้ยวดวงนี้ ที่ยังต้องดำเนิน และสู้กับชะตาชีวิตที่อยุติธรรม! อีกต่อไป จนกว่าวันที่หวังไว้ และวันแห่งชัยชนะจะมาถึง
เท่านี้ก็เกินจะรับไหวแล้วครับ
ยโส-โย อริน อริยไตรกุล
11 พฤษภาคม 2547 13:43 น.
ยโส
อดีต
อดีตก็มีกันทุกคน เพียงแต่แตกต่างกันปะปน เห็นหน้ากันวันนี้วันหน้าอาจจะไม่ได้เห็น วันที่ฉันเห็นเธอ ก็เมื่อเธอไม่เหลือใคร ๆ ดูเหมือนและราวกะว่าฉันคือคน ๆ หนึ่ง ในยามที่เธอไม่มีใคร ไม่เหลือใคร เมื่อนั้นเธอก็คิดถึงฉัน มองเห็นฉันในสายตาของเธอ มันแสนเจ็บปวดเพียงใด ฉันไม่อยากคิดเล็กคิดน้อย ไม่อยากให้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มากวนใจให้กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ ฉันทนและรับทุกอย่างได้ดีเสมอ
ก็ในเมื่อฉันนั้นไม่สำคัญ แล้วเธอจะป่วยกล่าวไปใยกับการคิดถึง และการมาพบฉันเล่า? ฉันเพียงแค่คน ๆ หนึ่ง เป็นนายกระจอกสำหรับเธอ ไม่สำคัญอะไรเลย ฉันรับได้ในทุกสิ่งที่เธอเป็น ทุก ๆ อย่าง คนเคยรู้จัก คนเคยเห็นหน้า แม้แต่คนที่เธอไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา ฉันรับได้ในทุก ๆ อย่าง จริง ๆ
ฉันเพียงอยากเป็นคนสุดท้าย ในยามที่เธอไม่มีใคร คอยปลอบใจเธอ อยู่เคียงข้างเธอ ยามที่เธอไม่มีใคร เพราะถึงอย่างไร "ฉันก็ไม่เคยคิดทิ้งเธอไป" เหมือนอย่างพวกเขา
คนที่ผ่านมาพบ บ้างก็ดี บ้างก็เลว คงไม่แตกต่างกันกับฉัน ดีและเลว ในสายตาของเธอ ฉันไม่ได้น้อยใจในวาสนาตัวเอง เกิดมามีชีวิตรอดได้ถึงเพียงนี้ก็ดีแล้ว สำหรับฉัน มันเป็นกำไรชีวิตของฉันมากด้วยซ้ำไปแล้วตัวฉันจะเรียกร้องเอาอะไรอีกล่ะ? สิ่งเดียวที่ฉันไม่ได้ก็คือความจริงใจจากเธอ ... จะป่วยกล่าวไปใยกับความรักที่เธอจักมีให้ฉันเล่า?
จักมีได้อย่างไร
ความทุกข์ระทมเพราะขื่นขม นานเท่านาน หน้าชื่นอกกลับตรอมตรม รักที่ว่าหวาน นานไปก็เศร้าระทม เจ็บระบมในอกเพื่อพบเธอ
ถ้าหากฉันจะจากไปไกล ๆ ตัวฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะทนทานหักห้ามใจได้นานสักแค่ไหน? แล้วเธอจะดีใจหรือเสียใจมากเพียงไร? ในเมื่อสายใยของเรามันขาดสะบั้นลงเมื่อเธอเดินจากไปในครั้งนั้นแล้ว เธอจากไปพร้อมกับการเอาหัวใจของฉันไปด้วย... เธอคงไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดเดียว
ใช่ว่าตัวฉันจะไม่เคยรักใคร ๆ แต่ใคร ๆ ก็ไม่เคยรักฉันเช่นเดียวกัน คิดไปคิดมาแบบนี้ทุก ๆ วัน ยามจากกันก็คงรู้ว่าเป็นเช่นไร ฉันเพียงอยากทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากเงื้อมเงาแห่งรักที่สุดแสนจะเจ็บปวด... มันก็เท่านั้นเอง
เงียบหายไปนานเมื่อไรจะได้พบกันอีก กับคนที่เคยห่วงใยหรือบางคนอาจจะลืมไป ตัวฉันรักเธอเพียงใด ใครจะรู้นอกจากตัวฉัน เธอคงสัมผัสถึงความรักที่ฉันมีให้เธอไม่ได้กระมัง? เพียงแวะและผ่านมาให้ได้ทักทายกันและกัน ในยามที่เราเจอะเจอกัน แม้ไม่ได้ดั่งที่ฉันหวังไว้ มันก็ยังดีกว่า ถ้าฉันได้ฝันถึงเธอ
ฉันไร้ตัวตน จะป่วยกล่าวไปใยเล่า เงาฉันจักมีได้อย่างไรกัน? ไม่อยากวาดหรือฝันจินตนาการ สิ่งที่ฉันควรทำ คือเฝ้ารอ แม้มันจะนานแสนนาน ชีวิตของฉัน วัน ๆ ก็ทำเพื่อเธอ หลับฝันหรือละเมอ ก็คงมีเธอเพียงผู้เดียวในใจฉัน... ทุกวันนี้ก็คงเป็นฉัน คนเดียว คนนี้ แม้เธอลืม ตัวฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด ไม่แม้กระทั่งนิดเดียว
ฟังเพลงแนว sad songs ยิ่งทำให้ใจรู้สึกหดหู่ ลำพังเพียงผู้เดียวอีกแล้ว เพียงกายก็ยังพอต้านทานแรงหดหู่ได้ ที่ร้ายไปกว่านั้น "หัวใจ" และ "ใจคนบางคน" คงจะทนทานได้เพียงสักแค่ไหนกันนะ? ไม่อยากกล่าวหาว่าตัวเองอ่อนแอ แต่ยอมรับมัน และปล่อยมันไปตามกระแสเหล่านั้น ไม่ว่าสุข จะทุกข์ ก็ไม่เคยเห็นแคร์ คนที่ว่าแน่แท้ก็ยังมีน้ำตาให้ฉันเห็นมาแล้ว
ยิ่งคิด ยิ่งน่าตลก! สมเพทแกมเวทนา ที่เห็นตัวเองไร้ค่าในสายตาของใครบางคน
ในห้องแคบ ๆ มีเพียงตัวฉันอยู่ลำพัง ไร้ผู้คน! หมู่มวลมิตรหายไป ไม่เหมือนเช่นในอดีต อยู่เพียงลำพังกับความเงียบและอดีตคนเดียวจริง ๆ อย่าได้เข้าใจผิดคิดว่าสงสารตัวเอง ไม่ได้มีความสงสารให้กับตัวเองเลยสักนิด ไม่เคยเหลืออะไรไว้ให้ตัวเอง แม้แต่ "ความรัก" ที่ใคร ๆ ต่างก็ดิ้นรน ตะเกียกตะกายให้ได้มา ไม่ว่าจะด้วยวิธีก็แล้วแต่ ความรักของฉันถูกนำเอาไปให้กับใครบางคนจนหมดแล้ว จนไม่เหลือเผื่อไว้ให้กับตัวฉันเองเลย
ถึงอย่างไร
ตัวฉันก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
เพื่อที่จะได้พบกับใครบางคน
มีเพียงคนเดียว... เธอ คนที่ฉันแคร์
ยโส โย-อรินครับ