23 กุมภาพันธ์ 2551 21:00 น.
ยาแก้ปวด
เผาเพื่อนในวันเบื่อๆโดย ยาแก้ปวด & มณีจันทร์
วันนี้รู้สึกเหงาเหงา นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ ก็นึกเพื่อนในบ้านกลอนขึ้นมาคนหนึ่งเธอเป็นผู้หญิงผิวขาวๆ มีรอยยิ้มสดใสเสมอเวลาอยู่ใกล้ ชอบเขียนกลอนเป็นชีวิตจิตใจแต่ไม่ชอบเปิดบ้านกลอนของตัวเอง แต่มีความสุขที่จะไปแลกเปลี่ยนกลอนของเธอที่บ้านคนอื่นเสมอ..
พูดถึงการเม้นท์ในบ้านกลอน เพื่อนคนนี้จะมีลักษณะที่เฉพาะตัวเสมอ คือ ไม่ว่าเธอจะเม้นท์ที่บ้านของพวกเรา เธอเป็นต้องสะกิดมาในเอ็มว่า นี่ๆ ลบเม้นท์เราหน่อยจิ เราสะกดผิด หรือ นี่ๆ ลบเม้นท์เราหน่อยจิ เราลืมใส่สี หรือ นี่ๆลบเม้นท์เราหน่อยจิ เราลืมใส่โคตรูป จนเรากับเพื่อนอีกคนต้องถอนใจยาวๆ เฮ้อ....เอาอีกแล้ว..ประจำ แค่นั้นยังไม่พอเวลาที่เรากับเพื่อนอีกคนบอกว่า ลบรายอีก... เธอจะหัวเราะด้วยตัวดุกดิกมาในเอ็ม แล้วบอกว่า แหม ถ้าไม่ผิดก็ตัวปลอมจิ....ของแท้ต้องลงผิดแบบนี้ คิ คิ แนะยังมาคุยเป็นมุขอีก คุณนายเฟอะฟะ!
แล้วเวลาเธอแต่งกลอน เธอจะประมาณว่า พรืด พรืด ออกมาเธอเป็นคนแต่งกลอนได้ดีแต่ว่าเธอบ้าน้ำลายมาก บางถึงกับจบไม่ลง กลอนยาวเหยียด จนนึกว่านี่ กลอน หรือ นิราศ กันแน่เธอคนนี้ถ้าหากได้ดูหนัง เรื่องอะไรก็ตาม เธอจะติดงอมแงมเพื่อนฝูงไม่สน หายไปกับหนังทีละหลายๆวัน จนเรานึกว่าเธอแอบหนีตามพระเอกหนังคนนั้นไปซะแล้ว อิอิ... เธอชอบทานอาหารญี่ปุ่นมากๆที่ถนัดที่สุดคือ ราเมน (มาม่าสำเร็จรูป) ซึ่งเธอก็ทำเป็นอย่างเดียวเท่านั้น ... ถ้าลองให้เธอทำกับข้าวนะ เราต้องทำอาหารเป็นพิษแน่ๆ เคยมีอยู่ครั้งที่เธอทดลองทำกับข้าว เธอเรียกมันว่า ผัดผักรวมมิตร เธอจะคุ้ยผักทุกชนิดในตู้เย็นที่มีและใส่ทุกอย่างที่มีอยู่ในครัว แล้วเธอก็บอกว่า อร่อยนะ ผัดผักนี่ แค่ฉันกับเพื่อนนึกภาพสิ่งที่เธอผสมลงไป ฉันกับเพื่อนมองหน้ากันแล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อ้วก อิอิ... ของโปรดเธอคือ ไอติม เธอกินได้มากกว่า 5 ถ้วยในเวลาเดียวกันซึ่งหากใครกินหมดทีหลัง เป็นโดนเธอแย่ง..เรียบ.^-^..เวลาลงกลอนเธอจะช้ามากเนื่องจากคอมของเธอ เต่ามาก ซึ่งเธอภูมิใจนักหนาว่านี่เป็นคอมที่พ่อเธอยกมรดกให้มา..ฉันกับเพื่อนยังแซวคอมของเธอเลยว่า เอาไปวางทิ้งไว้หน้าบ้านนี่จะมีคนเก็บไปป่าวหว่า???
เวลาที่เธอเล่นเอ็ม เธอก็จะมีงานหลักที่ทำสม่ำเสมอ คือ การล่องตระเวนโลกไซเบอร์เพื่อหาตัว ดุกดิก เธอจะหน้าดำคร่ำเครียดในการหามาก เจ้าตัวดุกดิกนี้ถ้าคุณๆไม่รู้จัก มันคือตัวการตูนที่เคลื่อนไหวไปมาในเอ็มเอสเอ็น คุณเชื่อไหมว่าเพื่อนคนนี้ของฉัน สามารถนั่งหาตัวดุกดิกได้จากเย็นๆจนตะวันแยงตายามเช้า บางทีคุยๆกันอยู่ในเอ็ม เธอก็เงียบหายไปนานแสนนาน พอเราสะกิดเธอไป ก็จะได้คำตอบมาว่า หาดุกดิกอยู่ จะเอาตัวใหม่ๆ ฉันกับเพื่อนได้แต่นั่งทำตาปริบๆ เอาอีกแล้วแม่คุณ พึ่งจะหาใหม่ไปเมื่อวานนี้เอง อาการบ้าดุกดิกของหล่อนเริ่มอีกแล้ว หลายครั้งที่ ฉันกับเพื่อนอีกคนเคยแอบปรึกษากันว่า มันจะหาดุกดิก ไปชิงถ้วยทองคำเอาโล่หรือไงฟร่ะ ซึ่งบางครั้งเธอหายไป นานมาก บางทีเธอกลับเข้ามาในเอ็ม เห็นคำว่า บาย เธอจะหลับหูหลับตาพิมพ์ บ๊าย บายกลับมาโดยไม่ดูว่าเค้าพูดถึงอะไรกัน อิอิ ..ทั้งๆที่เราบอกว่า งานนี้บายนะ เราไม่เอาด้วย แต่เธอนึกว่าเราจะลาไปนอน ...คงเพราะ เธอเป็นคนที่คุยเอ็มหลายหน้าไม่ได้ ประมาณว่าแยกประสาทไม่ทัน...เธอจะสับสนมากเป็นพิเศษพิมพ์ผิดหน้าเป็นประจำ..จนเราสับสนว่าเธอพูดอะไรของเธอ เนี๊ย... เธอเป็นคนนอนไม่ค่อยหลับในเวลากลางคืนแต่เธอจะไปหลับในเวลากลางวัน จนเรานึกว่าเธอ เป็นเพื่อนกับมนุษย์ค้างคาวซะอีก..บางครั้งเธอตั้งกฎว่าเราต้องคุยเอ็มกันไม่เกินห้าทุ่ม แต่เธอปิดเอ็มไปแล้วก็ไม่นอนมัวนั่งอ่านหนังสือ อ่านไปอ่านมายังไงไม่ทราบจนสุดท้ายไปติดหนังจีนที่ฉายตอนตี3 เป็นอันว่าเธอถ่างตารอดูหนังตอนตี3 ทุกวัน กรรมจริง.....
" วันนี้มี คำถาม มาทายเพื่อน
อย่าแช่เชือน ตอบมา อย่านื่งเฉย
มีคำใบ้ บอกให้ ข้างล่างเลย
ว่าใครเอ่ยเพื่อนคนนี้ที่เล่ามา
ช่วยวานตอบ ออกมา ให้ได้รู้
แม่โฉมตรู คนนี้ คือใครหนา
ลองมาดู สรรพคุณ ที่ว่ามา
แล้วทายว่าเพื่อนซี้คนนี้ใคร?"
17 กันยายน 2550 19:35 น.
ยาแก้ปวด
ใครไม่เคยขับรถยนต์ที่เมืองไทย คงไม่ทราบหรอกว่ามันเป็นเรื่องน่าสนุกสนานแค่ไหน เราอาจจะเห็นว่าท้องถนนบ้านเรารถเยอะแยะไปหมด เพราะถนนตัดไม่พอหรืออย่างไร เปล่าหรอกจริงๆแล้ว อเมริกาที่ขึ้นชื่อว่ามีถนนมากที่สุดในโลกยังต้องแพ้บ้านเราเลย เรานะมีถนนมากกว่ารถเสียอีก แต่ที่เราเห็นว่ารถมันติดนักติดหนานี่ก็เพราะ คนที่ขับรถนี่มัวแต่ไปขับอยู่ในที่เดียวกันเสียหมด ไม่ยอมกระจัดกระจายออกมาถนนสายอื่นๆบ้างมัวแต่ไปกระจุกกันอยู่ที่กรุงเทพ เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ ฯลฯ คุณคิดดูแล้วกัน...ใครว่าเราทำถนนไม่พอ...
และเมื่อเราขับบนท้องถนนบ้านเรา เราก็ค่อยสังเกตการใช้ท้องถนนของคนต่างๆ อย่างเช่น พวกรถบรรทุกที่มีสิบล้อขึ้นไป โดยปรกติ พวกเขาจะเดินทางระหว่างต่างจังหวัดซะส่วนใหญ่ และความที่พวกเขาบรรทุกของต่างๆก็จะมีน้ำหนักมากๆซะทุกแทบคัน จึงทำให้การขับเคลื่อนค่อนข้างช้า พวกเขาจะขับช้าๆไปตามเลนซ้ายของท้องถนน รถเก๋งเล็กๆก็จะขับอยู่เลนขวาเพราะว่าเคลื่อนที่เร็วกว่า แต่ความน่ารักของพวกรถบรรทุกเหล่านี้ก็คือ เวลาที่พวกเขาขับตามกันเป็นขบวนไอ้คันที่ขนของน้อยกว่าก็จะแซงคันที่ขนมากกว่า พวกเขาก็จะปาดมาเลนขวาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ ค่อยๆลากตัวออกจากเลนซ้ายมาขวา โดยไม่สนว่าไอ้รถเก๋งคันเล็กๆ ที่อยู่เลนขวาจะวิ่งมาความเร็วเท่าไร จะต้องเบรคหัวโก่งหรือไม่ หรือแม้แต่จะเสียหลักหักหลบไปเกือบชนรถอีกเลน คุณคิดดู พวกเขาน่ารักจะตาย คุยเคยเจอพวกเขาเหล่านี้ไหม?
นึกแล้วก็ขำมียังรถอีกประเภทที่มีปริมาณจำนวนผู้ใช้สูงพอดู พวกเขาเหล่านี้น่าสงสารมากเพราะจะเป็นที่เพ่งเล็งของเจ้าหน้าที่จราจรบนท้องถนน ซึ่งพวกเขาจะคอยถูกเรียกเพื่อเสียค่าปรับเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น ไม่ใส่หมวกกันน็อคเอย ไม่มีกระจกเอย ปรับแต่งผิดระเบียบกรมขนส่งเอย พวกเขาเหล่านี้เป็นพวกรถสองล้อ หรือที่เรียกกันว่ามอเตอร์ไซด์ พวกเขาเหล่านี้มักจะรวมพลจ่อกันอยู่ที่หน้าไฟแดงต่างๆ พวกเขาจะขับเคลื่อนด้วยความชำนาญท้องถนนมาก เพราะพวกเขาจะซอกแซกชอนไชไปทุกที่ที่มีช่องว่างเล็กๆเกิดขึ้น บ้างก็ใช้เครื่องยนต์ บ้างก็ใช้เท้าดันซอกแซกไป แต่นี้ยังไม่เท่าไหร่ ความน่าสงสารของเขาอยู่ที่ พวกเขามีสิทธิพิเศษที่จะขับสวนทางมาในเลนของรถยนต์ได้เพราะพวกเขามีขนาดเล็กและไวเป็นพิเศษ เจ้าพวกรถยนต์ที่คิดจะเลี้ยวซ้ายออกมาจากปั้มหรือจากซอยต่างๆต้องคอยดูพวกเขาให้ดีๆ อย่ามัวแต่มองรถทางขวาที่วิ่งถูกกฎจราจรมาแล้วออกตัวเลี้ยวซ้ายไปโดยไม่มองด้านทางด้านซ้ายให้ดี เพราะคุณอาจจะเจอเจ้าพวกมอเตอร์ไซด์เหล่านี้วิ่งสวนเลนมาอย่างเร็ว เพราะเดี๋ยวคุณจะไปชนพวกเขาหกคะเมนมานอนใต้ท้องรถยนต์ของคุณเข้า คุณคิดดูว่าพวกเขาน่าสงสารแค่ไหน?
แล้วพวกที่เรียกตัวเองว่ารถเก๋ง โดยเฉพาะรถที่มีราคาแพงลิ่วเพราะเสียภาษีอย่างโชกโชน พวกเขาไม่เป็นที่สนใจของเจ้าหน้าที่จราจรเท่าไหร่นัก ส่วนมากเวลาที่เจ้าหน้าที่เรียกเขาเพื่อหยุดตรวจ พวกเขาจะถูกปล่อยออกเร็วเป็นพิเศษ! เพราะเขาไม่ได้ขนอะไรใส่ท้ายรถเหมือนคนอื่นๆ ปล่อยให้พวกรถกระบะจอดเรียงคิวตรวจตราอย่างขมักขะเม้น รถพวกนี้มักจะขับอยู่เลนขวาอย่างเดียววิ่งด้วยความเร็วเกินหนึ่งร้อยสามสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง เขาจะเป็นกลุ่มเดียวที่สามารถขับมาจี้ท้ายรถยนต์คันอื่นๆแล้วเปิดไฟสูงกระพริบๆให้แยงเข้าตาคนขับรถข้างหน้า และถ้าคนขับรถข้างหน้ายังไม่สะดุดตาเขาก็จะขับรถของเขาเข้ามาจ่อติดแทบท้ายรถยนต์คันข้างหน้าของพวกเขา โดยไม่กลัวว่ารถราคาแพงลิ่วของพวกเขาจะมาถลอกปอกเปิกจูบชนบั้นท้ายรถคันข้างหน้าเพราะเค้าอาจจะเผลอเหยียบเบรคด้วยความตกใจไฟกระพริบของพวกเขา แล้วคุณหละเคยตกใจเพราะพวกเขาเหล่านี้ไหม?
นอกเหนือจากนี้การผจญภัยบนท้องถนนอันสนุกสนานของเรา จึงกำเนิดข้อคิดในการเอาตัวรอดบนท้องถนนแบบคร่าวๆ ว่า ถ้าคุณกำลังจะเลี้ยวขวาและมีรถทางตรงวิ่งสวนมาแล้วเปิดไฟสูงกระพริบใส่คุณ นั่นแสดงว่าเขาเห็นคุณแล้ว คุณเลี้ยวขวาตัดหน้าเขาได้เลย และถ้าในท้องถนนที่รถติดมากๆ เคลื่อนไหวช้าๆ พอคุณต้องการที่จะเปลี่ยนเลนออก คุณอย่าเปิดไปเลี้ยวเป็นอันขาด เพราะรถที่อยู่อีกเลนเขาจะไม่เห็นไฟเลี้ยวของคุณแล้วรีบเหยียบคันเร่งขึ้นมาไม่ให้คุณเข้าไปในเลนของเขา ให้คุณเปลี่ยนเลนแล้วปาดหน้าเขาเข้าไปเลยเขาจะมีวิสัยทัศน์เห็นคุณได้ดีกว่า และถ้าคุณยังเปลี่ยนเลนวิธีนี้ไม่ได้อีก เราก็จะมีอีกวิธีที่พอจะช่วยคุณได้บ้าง ให้คุณคอยสังเกตว่ามีมอเตอร์ไซด์ใกล้ๆคุณไหม และถ้าพวกมอเตอร์ไซด์เหล่านี้บังเอิญซอกแซกมาเจอกับคุณที่กำลังต้องการเปลี่ยนเลนอย่างแรง ให้คุณค่อยๆเบียดไปให้ใกล้เขาที่สุด เบียดเข้าไปในเลนที่คุณต้องการจะเปลี่ยนไป เพราะมอเตอร์ไซด์เหล่านี้จะเป็นคนเปิดเลนให้คุณเอง เอาหละคงพอได้วิธีเอาตัวรอดอย่างสนุกสนานบนท้องถนนบ้านเราพอควร หวังว่าคุณคงจะได้ใช้บ้างไม่มากก็น้อย ยังไงก็ขับรถอย่างมีสติและถูกกฎจราจรนะคะ
2 สิงหาคม 2550 15:56 น.
ยาแก้ปวด
ตอน เจ้านายคนใหม่
ผมเป็นสุนัขพันธ์ทางผสมกับพันธ์บางแก้ว ผมจะเล่าความเป็นมาของผมคร่าวๆให้ฟัง ผมอาศัยอยู่ใกล้ๆร้านหมูกะทะแห่งนึง ได้อาศัยร้านนี้แหละเป็นที่หาอาหารยามท้องร้องอย่างหิวโซ ผู้ชายตัวเล็กๆผมยาวๆในร้านนี้แหละที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของผมที่คอยจะไล่ตะเพิดผมออกจากร้านอยู่เรื่อยๆ ไม่รู้จะรังเกียจอะไรผมนักหนา ผมเห็นเงาของผมนะสุดเท่ห์จะตาย ตัวดำๆ ขนของผมลาออกจากผิวไปนานแล้ว ดูๆผมก็คล้ายๆหมานอกที่เขาเรียกว่าอะไรน้า อ๋อ ฮาฮีน่า...
แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับชีวิตของผม ระหว่างที่ผมกำลังเริงร่าอยู่บนถนนนั้น ก็มีรถคันนึงพุ่งเข้ามาชนผมที่หลังอย่างแรง ผมเจ็บปวดแสบไปทั้งร่างแต่ผมก็ยังเขยิบตัวเองมาอยู่ริมฟุตบาท รู้สึกปวดร้าวอย่างรุนแรง ผมขยับขาหลังไม่ได้เลย ท่ามกลางแดดที่เปรี้ยง ผมกรีดร้องอย่างโหยหวน แล้วผมก็ฟุบลง สติของผมยังเลือนรางแต่ก็พอเห็นคนสี่คนเดินเข้ามาจับผมวางบนกระสอบและก็หิ้วผมไปใส่อยู่ท้ายรถกระบะคันนึง ผมได้ยินเขาปรึกษากันรางๆว่า
"มันยังไม่ตายเลย จะเอาไปหาหมอที่ไหนดี"
"แล้วหมอที่ไหนเขาจะรับ ขี้เรื้อนทั้งตัวอย่างนี้" ในความเลือนรางนี้ผมรู้สึกว่าเขาพาผมมาที่ๆนึง มีคนออกมาฉีดยาผมสองเข็ม แล้วเขาก็ขับรถกลับมาที่ร้านแล้วก็หิ้วผมใส่กระสอบเอามาวางไว้ริมรั้วของร้านใต้ร่มไม้ต้นนึง
สองอาทิตย์ผ่านไป ที่นอนของผมพัฒนาขึ้นเป็นเล้าไม้ยกระดับพร้อมร่มกันฝนคันใหญ่ และทุกๆวันจะมีผู้หญิงคนนึงเทียวมาให้ข้าว ให้ยา ผมเช้าเย็น เธอจะเอาอะไรก็ไม่รู้มาโรยผมตอนกลางคืน กลิ่นเหม็นตลบอบอวล ผมเข้าใจว่าเธอน่าจะเอามาไล่ไอ้เจ้ายุงที่คอยสูบเลือดผมเวลานอน เพราะเวลาที่เธอโรยไอ้กลิ่นนี้ทีไร ยุงมันไม่ค่อยมารบกวนผมเท่าใด
ตอนนี้ผมพอขยับขาหน้ายกตัวขึ้นนั่งได้บ้างแล้ว แต่ขาหลังของผมนะสิ ผมไม่รู้สึกอะไรเลย ผมไม่สามารถบังคับมันได้เลย ก็ผู้หญิงคนนี้อีกนะแหละที่คอยทำความสะอาดสิ่งที่ผมทำสกปรกทุกวันแถมเธอยังจับขาหลังของผมให้ทำท่าเดินบ้าง วิ่งบ้าง เหยียดเข้าเหยียดออก ตอนแรกๆผมก็ไม่เข้าใจว่าเธอทำอะไร แต่หลังๆชักพอรู้เธอคงอยากให้ผมออกกำลังกายขาหลังหละมั้ง หรือไอ้ที่คนเขาเรียกว่ากายภาพบำบัดมั้ง และทุกๆสองวันผู้หญิงคนนี้กับผู้ชายอีกคนก็จะอุ้มผมออกจากเล้าไม้มาอาบน้ำทำความสะอาดอยู่เสมอๆ จนผมรู้สึกสะอาดตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
จากหน้าร้อนก็ย่างเข้าสู่หน้าฝน นับว่าโชคเข้าข้างผมเพราะไอ้ฝนเจ้ากรรมนี่แหละที่ทำให้ผมได้อพยบตัวเองเข้ามาอยู่ข้างหลังร้านแห่งนี้ ผู้หญิงคนนี้ก็ยังปฏิบัติกับผมเหมือนเคย ให้ข้าว ให้ยา ออกกำลังกายให้ผมอย่างสม่ำเสมอ ผมเริ่มเห็นตัวจริงของผมแล้ว เพราะไอ้ขนที่ลาจากผิวไปเนิ่นนานนั้นเริ่มเหยียดยาวพองฟูออกมาห่อหุ้มผมไว้จนผมรู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัวด้วยขนนุ่มสีขาวปนน้ำตาลของผม
และที่แปลกไปกว่านั้นคือตอนกลางคืน ผู้หญิงคนนี้จะอุ้มผมใส่รถเข็น หรือ บางที่ก็ให้ผมเดินด้วยขาหน้าสองขาแล้วเธอก็จะยกขาหลังของผมเดินตาม ให้ผมออกมาสูดดมกลิ่นดินกลิ่นหญ้าที่ผมไม่ได้สัมผัสมาแสนนาน ผมรู้สึกอยากจะอยู่แต่ใกล้ๆเธอ อยากปกป้องเธอไว้ อยากจะวิ่งเข้าไปกอดเธอเลียหน้าของเธอ และนี่ก็คงเป็นกำลังใจละมั้งที่ทำให้ผมเขยกตัวเองไปหาเธอจนได้ ใช่ผมเริ่มขยับขาหลังได้คล้ายๆย่อง ผมจะรู้สึกฮึกเหิมมากพร้อมที่จะเขยกไปหาเธอผู้นั้นทุกครั้งที่เธอเรียกผมว่า
"มองดูเลี่ยน มองดูเลี่ยน มานี่เร็ว"
จบ._
20 กรกฎาคม 2550 22:43 น.
ยาแก้ปวด
ตอน..คุณหมอใจร้าย
วันนี้ฉันเจ็บที่ดวงตามากเลย ถ้าไม่ใช่เพราะฉันงี่เง่าลืมถอดคอนแทคเลนส์ก่อนนอน พอตื่นเช้าขึ้นมาถอดมันก็เลยดึงเยื่อตาเข้าไปด้วย ที่นี้แหละมันก็สุดแสนจะเจ็บที่ตานะสิ ฉันกะเพื่อนก็ขับรถหาหมอจักษุกันเป็นสิบๆที่แต่ไอ้ความที่เรามันอยู่ต่างจังหวัดก็เลยหาหมอตาแสนยากเย็น
ฉันกะเพื่อนก็เลยขับข้ามจังหวัดกันไปจบที่โรงพยายาลของจังหวัดแห่งนึง เราก็เข้าคิวรอกันอยู่แสนนานตามภาษาโรงพยาบาลรัฐแถมเป็นผู้ป่วยนอกเสียอีก
ก็พอดีกับที่เป็นเวลาที่คุณหมอกลับจากพักทานข้าวเที่ยงมา ก็มีคิวอยู่สามคนก่อนหน้าฉัน คุณพยาบาลก็เรียกเราเข้าไปรวมกันในห้องตรวจตาพร้อมๆกัน
ก็พอดีกับที่ชายหนุ่มคนที่มาก่อนหน้าฉันถูกคุณหมอเรียกเข้าไปให้นั่งตรวจตาคุณหมอก็ถามว่า
" นี่อะไรติดอยู่ในตานะ " เขาก็ตอบคุณหมอว่า
"กาวครับ " ตอนนั้นเองที่คุณหมอหันไปป้ายยาอะไรก็ไม่รู้แต่ขณะเดียวกันป้าข้างๆก็ถามชายคนนั้นว่า
" ไปโดนยังไงละหลาน" ชายคนนั้นก็ทำท่าเล่าเรื่องราวว่าเขากำลังอ็อคอะไรสักอย่างนึง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะอธิบายคุณป้านั้นเสร็จ คุณหมอก็จับคางเขาเงยขึ้นและจับเปลือกตาเปิดออก พูดเสียงดุๆใส่ชายคนนั้นว่า
"ไม่ต้องเล่าเรื่องของเรา มานี่ มานี่ ใส่ยานี่" ฉันเห็นเขารีบผงกๆทำตามจนนึกสงสาร โอยนี่ฉันจะโดนบ้างมั้ยนี่ พอถึงคิวของฉัน คุณหมอก็ให้ฉันเอาคางไปวางตรงที่ตรวจตา แล้วก็เอาไฟส่องในตา อ่านข้อมูลของฉันที่กรอกไปพลาง
"แล้วเธอหละ ใส่คอนแทคนอนใช่มั้ย"
"ค่ะ คืนนั้นมันลืมคะ" ฉันบอก
"ไม่ต้องไปโทษคอนแทคมันเป็นเพราะเธอนี่แหละ เอ้ามองข้างล่างซิ" หมอดุใส่ฉัน ส่วนฉันนึกในใจว่า " โถ คุณหมอขายังไม่ได้โทษเลยเจ้าค่ะ"
"แล้วใครตรวจตาให้เรานะ ใช้เลนซ์ไม่เป็นละสิ"
"เอ่อ..คือใช้มากว่ายี่สิบปีแล้วนะคะคุณหมอ"ฉันเถียง "ไปทะเลาะกะภรรยามาหรือเปล่าคะคุณหมอ"ฉันนึกในใจอีก
"ก็เพราะงี้สิมันถึงสะสม" เอ้าโดนเข้าอีกนัด ใจคิด "โอย โหดอะไรอย่างนี้คุณหมอขา หนูแค่ตาเจ็บครั้งแรกในรอบยี่สิบปีนะคะ"
"ไม่งั้นมันจะเลือดฝอยแตกในตาดำหรือ" คุณหมอใส่ฉันอีกนัด ถ้าเป็นลิเวอร์พูก็คงเข้ากลางลำส่วนฉันคงโดนใบแดงออกซะแล้ว
" ใส่ยานี่สองสามวันแล้วก็ให้หมอเขาตัดเลนซ์ใหม่ซะ "
" ใส่ยานี่สองสามวันแล้วก็ให้หมอเขาตัดเลนซ์ใหม่ซะ "
" ใส่ยานี่สองสามวันแล้วก็ให้หมอเขาตัดเลนซ์ใหม่ซะ "
" ใส่ยานี่สองสามวันแล้วก็ให้หมอเขาตัดเลนซ์ใหม่ซะ "
เสียงคุณหมอก้องในหูฉันตลอดทางเดินออกมา ฉันนึกในใจ
" ซวยจริงกูวันนี้ ตาเจ็บแล้วยังหูเจ็บอีก"
จบ
28 มิถุนายน 2550 22:27 น.
ยาแก้ปวด
ตอน วิ่งป่าราบ
เรื่องนี้เกิดที่สุสานแห่งนึงในรัฐคาลิฟอร์เนีย โดยปรกติถ้าเรานึกถึงป่าช้าก็จะรู้สึกขนลุกขนพอง เป็นสถานที่สุดท้ายที่เราอยากจะไปเหยียบเล่น ซึ่งผิดกับสุสานในอเมริกา ถ้าเรามองจากข้างนอกเราจะนึกว่าเป็นสนามกอล์ฟเพราะมันมีลักษณะเขียวขจีและปกคลุมไปด้วยต้นไม้ เงียบสงบ สะอาดเหมือนกับสนามพักผ่อนใจ บนพื้นหญ้าจะมีแผ่นป้ายเป็นเหล็กบ้าง ปูนบ้าง เขียนชื่อสลักไว้ตามหลุมศพต่างๆ แต่ถ้าเรารู้ประเพณีการฝังศพเขาเราจะนึกสยองพอดู เพราะทุกๆหลุมศพที่เราเดินผ่านมันมีศพนอนอยู่ในนั้นจริงๆ เพราะกรรมวิธีการฝังศพของเขาจะเริ่มต้นที่ นำศพผู้ตายไปแช่จนแข็ง และเมื่อญาติๆต้องการประกอบพิธีทางศาสนาเขาก็นำเอาศพที่แช่แข็งนั้นออกมาวางอยู่ในโบสถ์ ให้ญาติๆผู้ตายมาไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะให้บาทหลวงนำศพนั้นไปหย่อนในหลุมที่ขุดจัดเตรียมไว้และวางช่อดอกไม้ลงในโรงศพก่อนที่จะถูกฝังลงดิน
และนี่เองก็เป็นเหตุให้ผมและเพื่อนๆที่อยู่ในวัยคะนองนึกอยากลองท้าทายกับสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ผมกับเพื่อนห้าคนขับรถมาที่สุสานแห่งนี้ในตอนดึก ในระหว่างเดินทางที่ขับมาเราก็พูดท้าทายกันเองในรถ
" เดี๋ยวก็รู้ อเมกาจะมีผีรึไม่"
" มีกูก็จะเอาไม้กางเขนนี่ชี้ใส่ให้ดู" ระหว่างที่พวกผมท้าทายกันเองอยู่ในรถที่ขับเคลื่อนนั้น ที่ปัดน้ำฝนข้างหน้าก็สะบัดขึ้นมาทีนึง
"เฮ้ย พวกมึงไม่ต้องเลย กูรู้มึงแกล้ง" เพื่อนคนนึงสวนขึ้น
"กูเปล่านะเว้ย มันขึ้นมาเอง" เพื่อนที่ขับรถรีบแย้งทันที ผมมองดูหน้าของเขาผมคิดในใจว่ามันต้องโกหกแน่ๆ เพราะมันคงอยากที่จะสร้างบรรยากาศให้ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น ก็พอดีกับที่เรามาถึงที่สุสานทางด้านนอก พวกเราจอดรถไว้ข้างทางแล้วก็แอบปีนรั้วกันเข้าไปข้างใน ซึ่งขณะนั้นมีเพียงไฟริบหรี่อยู่ไกลๆแต่ก็พอที่จะเห็นทางเดินได้ลางๆ
"มึงตามกูมาเลย เดี๋ยวกูจะอัดผีฝรั่งให้มึงดู" แกนนำของผมทำเก่งกล้ากว่าใครเดินนำเพื่อนดุ่ยๆเข้าไปในสุสาน ตัวผมเองเดินตามไปเริ่มมองไปรอบๆตัวซึ่งจะเห็นอะไรๆเป็นตะคุ่มๆไปหมด อากาศก็แสนจะเย็นเฉียบ ลมที่พัดเย็นๆเล่นเอาผมเสียวสันหลังพอควร ขณะนั้นเองที่แกนนำของผมหยุดชะงักและเพ่งตามองไปที่ใต้ต้นไม้ต้นนึง
"เฮ้ยพวกมึงเห็นอะไรนั่นมั้ยวะ"มันหยีตาพยายามมองไปที่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น สิ่งที่ผมเห็นคือกองดำๆลางๆอะไรสักอย่างนึง ขนาดเป็นกลองพุ่มๆซึ่งใหญ่พอควร
"อะไรวะนั่น" เพื่อนอีกคนช่วยกันพินิจมอง
"กูเห็นมันขยับด้วยนะ" เพื่อนคนนึงเสริม
" ไอ้บ้า ลมหรือเปล่าวะ กูดูมันขาวๆนะเว้ย" แกนนำของผมออกความเห็น
ในระหว่างที่พวกเราทั้งหกเพ่งมองไปที่สิ่งนั้น ทันใดนั้นสิ่งที่กองพุ่มๆก็ผงาดขึ้นเป็นรูปร่างคนขึ้นมาในเงามืดนั้น ไม่ทันทีใครจะตกใจเพราะแกนนำของผมมันร้อง "เฮ้ย!"อย่างตกใจแล้วมันก็หันหลังกลับวิ่งอย่างสุดเร็วออกตัวไปก่อนที่ผมเพื่อนๆรีบโกยเท้าตามแทบไม่ทัน ระหว่างที่ผมวิ่งซอยตามมันมาผมก็ถามมัน
"มึงวิ่งหนีอะไรวะ"
"ก็มึงไม่เห็นเหรอว่ามันลุกขึ้นมาแล้ว "
"อะไรของมึงวะ"
"ก็ไอ้ศพขาวๆนั่นสิวะ"มันหอบอยู่ในลำคอก่อนจะหยุดพักหายใจที่ริมรั้วที่ปีนตามๆกันออกมา
" ไอ้เวร ไหนบอกจะอัดผีฝรั่งให้กูดู วิ่งโกยซะกูตามไม่ทัน"
" ลองซะเจอดีเลยมั้ยมึง" เพื่อนอีกคนว่าแล้วพวกเราก็รีบขับรถออกจากสุสานอย่างเร็วโดยไม่พยายามเหลียวหลังมองกระจกด้านหลังอีกเลย
เวลาผ่านไปผมโตขึ้นและก็บังเอิญขับรถผ่านสุสานแห่งนั้นเข้า ผมมองเข้าไปข้างในซึ่งตอนนั้นเป็นเวลากลางวัน เห็นคนประปรายเป็นหย่อมๆที่มาเคารพหลุมศพต่างๆ พอดีกับที่ผมเหลือบไปเห็นพวกขอทานที่ไม่มีที่นอนแต่มาแอบนอนตามต้นไม้ต่างๆแล้วก็นึกถึงภาพในวันเก่าและอดที่จะขำในใจว่า
"อ๋อ ไอ้ที่พวกเราวิ่งหนีกันวันนั้น มันคนเป็นคนพวกนี้ละมั้งที่มาอาศัยสถานที่แห่งนี้เป็นที่พักพิง เรารึอุตส่าห์วิ่งกันซะป่าราบแทบตาย"
จบ