22 กรกฎาคม 2545 23:59 น.
ยังแคร์
ฉันเคยคิดว่า การเดินทางที่ลำบากมากๆอย่างหนึ่งก็คือ การเดินทางโดยรถประจำทาง หรือรถเมล์นั่นแหล่ะ คนก็เยอะ วุ่นวาย..กระเป๋ารถเมล์ก็ดุ ไปถึงก็ช้า ควันพิษก็เยอะ..แต่แล้ววันหนึ่งฉันก็ได้รู้ว่า...การนั่งรถเมล์ให้อะไรเรามากกว่าการนอนหลับแล้วตื่นก่อนถึงป้ายประมาณเส้นยาแดงผ่าแปด ..
"สวัสดีครับ เชิญคร๊าบ"
เสียงคุณลุงกระเป๋ารถเมล์คันที่ฉันนั่ง ทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจไม่น้อย...นึกว่าตัวเองกำลังเดินเข้ามาใน เซเว่นอีเลเว่น...หรือร้านอาหารหรูๆด้วยซ้ำ...ฉันจะชินกับประโยคที่ว่า "ไวคับเพ่...ไวคับ!!"หรือ"ชิดในพี่ ชิดในหน่อยนะค๊า"ซะมากกว่า...
คุณลุงเดินมาเก็บเงินฉัน.."แฮปปี้แลนด์ค่ะ"ฉันยิ้ม..ลุงก็ยิ้มให้ฉัน..
รถแล่นไปได้สักครู่...ที่นั่งเต็มหมด ผู้หญิงคนหนึ่งเดินขึ้นมา หันซ้ายหันขาวาแล้วผิดหวังเล็กน้อย...คุณลุงเดินไปเก็บตังค์และพูดกับเขาว่า "เดี๋ยวก็มีคนลงแล้วครับลูก"...ฉันยิ้ม...จะมีกระเป๋ารถเมล์สักกี่คนที่เรียกผู้โดยสารว่า"ลูก"กันนะ..^^
การกระทำของลุง...เป็นการกระทำอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก หรือผู้ใหญ่...ไม่ว่าจะสวยหรือไม่สวย หล่อหรือไม่หล่อ ฉันก็ได้เห็นรอยยิ้มเดิมของลุงปรากฏบนใบหน้าทุกครั้ง และลุงก็ได้รับรอยยิ้มกลับมาทุกครั้งเช่นกัน...
สักพักหนึ่ง..ก็มีผู้ชายวัยรุ่นสองคนเดินขึ้นมา พวกเขามายืนข้างๆฉัน ทำให้ฉันได้ยินบทสนทนาของพวกเขา
"เฮ้ย..มึงรู้ป่ะไอ้นิดแม่งโคตรป๊อดเลย วันนั้นนัดกูก็ไม่ไป"การเริ่มต้นบทสนทนาทำให้ฉัน และคุณลุงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างหน้าหันไปมองหน้าเขาแว๊บหนึ่ง แต่เขาไม่ได้สนใจนักหรอก..
"กูว่ากูจะคุยกะพี่ปี 3 เรื่องปืนว่ะ..."เขายังคงดำเนินบทสนทนาต่อไปโดยไม่สนใจคนรอบข้าง...ฉันละสายตาจากเขา อดกลัวไม่ได้ว่า หากอยู่ๆบุคคลที่เขาเรียกว่า"คู่อริ"ของเขาเกิดเดินขึ้นมาบนรถคันนี้...ฉันอาจได้ไปอยู่บนหน้า 1 หนังสือพิมพ์ก็เป็นได้...
ฉันดีใจมากที่ไม่นานนักเขาก็เดินลงจากรถไป..ดูคุณลุงคนข้างหน้าก็โล่งใจไม่ต่างจากฉัน..ฉันจึงเปลี่ยนเป้าหมายมามองคุณลุงกระเป๋ารถเมล์อีกครั้ง...แล้วมันก็ทำให้ฉันยิ้มได้เหมือนเดิม...
รถจอดที่ป้ายๆหนึ่ง...ผู้ชายวัยรุ่น แต่งตัวแบบมที่ในสายตาฉันว่า"น่ากลัว" นั่นคืด เจาะหู เจาะจมูก ใส่หมวกไหมพรมเดินขึ้นมาอย่างมาดมั่น..มานั่งอยู่ข้างหน้าฉัน...ฉันมองด้วยความรู้สึกอคติ.."รถเมล์คันนี้มันอะไรกันนักนะ"...ฉันคิด..
แต่แล้วฉันก็รู้ว่า ฉันคิดผิด...และฉันก็ทำผิดด้วย เมื่อมีผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่งเดินขึ้นมา..ผู้ชายคนนั้นแหล่ะที่เป็นคนลุกให้เขานั่งเป็นคนแรก ผู้ชายที่น่ากลัวคนนั้นแหล่ะที่มีรอยยิ้มและแววตาที่อ่อนโยน...
ฉันว่า...ฉันต่างหากล่ะที่น่ากลัว...ไม่ใช่เขาหรอก...
อีกป้ายเดียวก็สุดสาย.. เป็นธรรมดาที่คนจะเริ่มน้อยลง...จนสุดท้ายเหลือฉัน..กับผู้หญิงอีกคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง...คุณลุงกระเป๋ารถเมล์เดินมานั่งตรงแถวหน้าฉัน แล้วหันมาคุยกับฉัน..
"ไปลงสุดสายหรือลูก" ลุงยิ้ม
"ค่ะลุง"ฉันยิ้มตอบ และยังคงประทับใจกับคำว่า"ลุก"จากลุงอยู่เสมอ...มันทำให้ฉันรู้สึกว่า ลุงเอ็นดูฉัน และฉันก็รู้สึกเคารพลุงขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น...
ฉันกับลุงพูดคุยกันมาเรื่อยๆจนกระทั่งสุดสาย และถึงเวลาที่ฉันจะต้องลง...ฉันยกมือไหว้ลุง...ในฐานะที่ลุง กลายเป็นบุคคลที่ฉันนับถือ..ทั้งที่เจอกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น...
ฉันเดินลงจากรถด้วยความรู้สึกว่า...ดีนะ ที่ฉันไม่ได้หลับ และดีนะ ที่ฉันบังเอิญได้เจอรถคันนี้...การเสียเวลาสำหรับรถติด การเบียดเสียด ร้อน และวุ่นวายครั้งนี้ มีค่า...
บางทีมันก็ดีกว่า..การนั่งรถส่วนตัวตั้งเป็นกอง...
13 กรกฎาคม 2545 01:01 น.
ยังแคร์
ฉันเขียนเรื่องๆนี้ขึ้นมาทันที หลังจากได้คุยกับเธอ เธอที่ฉันเป็นได้แค่เพื่อนคนหนึ่งซึ่งตั้งใจรับฟังปัญหาของเธอ แต่สำหรับฉันไม่เป็นไรหรอก ฉันชินชากับบางความรู้สึกจนไม่กลัวที่จะต้องชิมความขมของมันเสียแล้ว...แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเศร้าใจ เมื่อรู้ว่าเธอกำลังเจ็บปวดอยู่กับความทรงจำบางอย่างที่มันฝังแน่นอยู่ในหัวใจของเธอ...
คนเรามักชอบหลอกตัวเองนะ...หลอกว่าลืมใครบางคนได้แล้ว...หลอกว่าลืมใครบางคนยังไม่ได้...หลอกว่าไม่รักใครซักคน...หรือบางทีก็หลอกตัวเองว่าเรารักเค้า..ทั้งที่บางทีมันก็ไม่ใช่...ฉันเองก็เคยรู้สึกว่ารักใครคนหนึ่งมากๆ มากเสียจนไม่อาจลืมเค้าได้
1 ปีผ่านไป ความรู้สึกนั้นก็ยังอยู่ ฉันร้องไห้เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านไป
2 ปีผ่านไป ความรู้สึกนั้นก็ยังอยู่ ฉันน้ำตาซึมเมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านไป
3 ปีผ่านไป ความรู้สึกนั้นก็ยังอยู่ ฉันเจ็บอยู่ลึกๆเมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านไป
จนกระทั้งวันหนึ่ง...ความรู้สึกนั้นก็ยังอยู่ แต่ฉันก็คิดถึงมันด้วยรอยยิ้ม
....ใช่...ฉันไม่มีเค้าอยู่ข้างๆ แต่ฉันก็ได้รู้ว่าเค้ามีความสุข เค้ามีคนที่เค้ารัก เค้ามีวิถีชีวิตที่งดงาม และเค้าก็เคยมีความทรงจำที่มีฉันเป็นเสี้ยวหนึ่งในนั้น...มันเพียงพอแล้วไม่ใช่หรอ ที่เราจะยิ้มเพื่อคนที่เรารักสักคนหนึ่ง ฉันไม่อยากค้นหาเหตุผลหรอกว่าทำไมวันนั้นเค้าถึงไม่เลือกฉัน เพราะมันคงไม่ทำให้อะไรๆดีขึ้น แต่ฉันอยากค้นหาคำตอบให้กับตัวเองมากกว่าว่า 3 ปีที่ผ่านมา ทำไมฉันต้องเศร้าบนความสุขของเค้า...ฉันทำอย่างนั้นได้อย่างไร...
ฉันว่าความรักมันเกิดขึ้นได้หลายครั้งนะ...คนที่บอกว่ารักใครสักคนมากๆจนไม่อาจรักใครได้อีก...ฉันว่าเค้าใจแคบเกินไป...ถ้าโลกนี้มีความรักที่มอบให้ได้กับคนๆเดียว เพียงครั้งเดียว...ฉันว่ามันไม่ต้องมีเสียคงดีกว่า...คุณว่าไหม?
อดีตมีไว้เพื่อให้เรานึกถึง...แต่นึกถึงเพื่อเป็นบทเรียน ไม่ใช่นึกถึงเพื่อฝังใจเจ็บ และใช้ปัจจุบันเพื่ออดีต...อนาคตมีไว้เพื่อให้เราก้าวเข้าไปหา โดยใช้อดีตเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการก้าวเดิน...ไม่ใช่ใช้อดีตเพื่อกำหนดอนาคต
สำหรับเธอ...ฉันคงไม่กล้าจะพูดอะไรมากนอกจาจะบอกให้เธอสู้...เหมือนที่เธอเคยบอกกับฉัน เพราะฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่เดินอยู่บนเรื่องราวซึ่งฉันกำหนดไม่ได้ ไม่อย่างงั้นฉันคงไม่ต้องมาเขียนบทความนี้ด้วยความเจ็บปวดที่ไม่ต่างจากเธอ...แต่ฉันก็อยากให้เธอรู้ว่า ฉันเขียนมันด้วยความรู้สึกที่ฉันมีให้เธอ...
12 กรกฎาคม 2545 17:51 น.
ยังแคร์
กลางดึกคืนหนึ่ง โทรศัพท์ในห้องของฉันดังขึ้น ฉันลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความหงุดหงิด ใครกันนะที่โทรมาดึกๆดื่นๆแบบนี้ นี่มันตีสองกว่าแล้วนะ แต่แล้วเมื่อฉันได้ยินเสียงจากปลายสาย ความหงุดหงิดที่มีก็หายไป กลายเป็นความตกใจเข้ามาแทนที่ เมื่อคนที่อยู่ปลายสายคือเพื่อนของฉันที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายจนพูดเกือบไม่เป็นภาษา
หลังจากที่คุยกันสักพักฉันก็รู้ว่า สาเหตุที่ทำให้เพื่อนของฉันร้องไห้ก็คือผู้ชายเพียงคนเดียวที่กำลังเดินออกไปจากชีวิตของเธออย่างไม่แยแส ผู้ชายที่ได้ทุกอย่างไปจากเธอแม้แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผู้หญิง เพื่อนของฉันเล่าให้ฉันฟังอย่างยากลำบาก ทุกครั้งที่ก้อนสะอื้นมันมาจุกที่คอคือทุกครั้งที่ความเจ็บปวดมันมาจุกอยู่ที่ใจ แล้วมันก็กลายเป็นความเศร้าใจที่ติดตามมาที่หัวใจของฉัน และคำพูดคำหนึ่งที่ทำให้ฉันไม่นึกว่าเธอจะพูดออกมาก็คือ เธออยากตาย
สำหรับฉันแล้ว ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ หากเพื่อนฉันอยากจะตายเพื่อลบลืมความเจ็บปวดทุกอย่าง เพียงแต่ฉันคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ที่สุดหากเธอจะทำลายชีวิตตัวเองในขณะที่มีคนอีกหลายล้านคนกำลังดิ้นรนเพื่อที่จะมีชีวิตรอด และมันก็เป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดถ้าเธอจะทำลายหัวใจพ่อแม่เพียงเพราะผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นเพียงคนแปลกหน้า ผู้ชายที่ไม่ได้เป็นคนยิ้มยินดีในวันที่เธอเกิด ผู้ชายที่ไม่เคยอดตาหลับขับตานอนเลี้ยงดูเธอจนเติบโต หรือแม้กระทั่งกอดเธอด้วยความรักที่แท้จริงแม้สักครั้ง...
ไม่ใช่ฉันไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกเหล่านี้ ฉันก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องการความรัก และเคยแสวงหาความรัก
แน่นอน...ฉันต้องเคยเจ็บปวดกับความรักด้วย
แต่ฉันจะบอกกับตัวเองเสมอว่า ความรักต้องตั้งอยู่บนสติ และหากครั้งใดที่เรารู้สึกเจ็บปวดเพราะความรัก นั่นเป็นเพราะรักของเราไม่ใช่รักที่แท้จริงต่างหาก ความรักที่แท้จริงนั้นจะต้องสร้างความสุขให้เราได้เสมอถ้าคนที่เรารักมีความสุข...แม้เราจะต้องสูญเสียก็ตาม...
คืนนั้น...ฉันวางโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มันเหมือนกับฉันได้ฟังโศกนาฏกรรมเรื่องหนึ่งที่มันเกิดขึ้นจากความพลาดพลั้งและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ฉันก็ดีใจที่เธอเลือกจะโทรมาหาฉันก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร อย่างน้อยน้ำเสียงสุดท้ายขอเธอก็ทำให้ฉันสบายใจขึ้นว่าเธอจะไม่ทำอะไรโง่ๆอีก...
ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานนักหรอกที่ชีวิตของเธอจะกลับมาสู่ความสดใสอีกครั้ง แม้มันจะเปื้อนรอยมลทินจากอดีต แต่ทุกครั้งที่เธอมองเห็นรอยนั้นเธอจะรู้ว่า เธอได้ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายนั้นมาแล้ว และมันจะไม่เกิดอีกเป็นหนที่สอง และฉันก็หวังว่าสักวันเธอจะรู้ว่า ความรักที่โลกใบนี้สร้างขึ้นมานั้นมันมีให้เธอตั้งแต่เธอเกิดแล้ว เพียงแต่มันไม่ได้เป็นของผู้ชายมักง่ายคนหนึ่งเท่านั้น...