11 ธันวาคม 2545 18:55 น.

เจ้าชายความจริง..เจ้าหญิงความฝัน

ยังแคร์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่โลกใบนี้ยังเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีดวงดาวดวงจันทร์บนท้องฟ้า ไม่มีดอกไม้ ไม่มีผืนหญ้าบนพื้นดิน โลกใบนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ จะมีก็เพียงเจ้าหญิงท้องฟ้าผู้อาศัยอยู่บนฟ้าที่ว่างเปล่าอย่างเดียวดาย เจ้าหญิงเป็นเจ้าหญิงแห่งความฝัน เธอมีจินตนาการที่งดงาม มีหัวใจที่อ่อนโยน

	ในเวลาเดียวกันที่ผืนดินอันว่างเปล่า มีเจ้าชายองค์หนึ่งอาศัยอยู่ เขาคือเจ้าชายผืนดิน เจ้าชายองค์นี้เป็นเจ้าชายแห่งความเป็นจริง เขามีหน้าที่ดูแลผืนดินให้เงียบสงบ และเขาจะไม่มีวันยอมให้สิ่งใดเกิดขึ้นมาทำลายความเงียบสงบบนผืนดินนี้ 

	เจ้าหญิงแห่งความฝัน และเจ้าชายแห่งความจริงไม่เคยพบเจอใครมาก่อน เพราะในโลกใบนี้ไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นนอกจากความเงียบสงบ จนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่เจ้าหญิงความฝันล่องลอยไปอย่างเปลี่ยวเหงา เจ้าหญิงได้พบดอกไม้สีขาวดอกหนึ่ง เธอแปลกใจมาก เพราะเธอไม่เคยพบเจอสิ่งใดที่อ่อนโยนและอ่อนหวานเท่านี้มาก่อน 

	เจ้าหญิงจึงร่อนตัวลงไปสู่พื้นดินและเด็ดดมความงดงามของดอกไม้ดอกนั้นอย่างมีความสุข แต่แล้ว เจ้าชายผืนดินก็มาพบเข้า เขาแย่งดอกไม้แสนสวยดอกนั้นจากมือเจ้าหญิง และใช้เวทย์มนต์ทำลายมันจนหมดสิ้น เจ้าชายผืนดิน ไม่เคยชื่นชมความงามของดอกไม้ ไม่เคยหลงไหลกับความฝัน เขามีชีวิตอยู่เพื่อความจริงเท่านั้น

	ทำไมท่านถึงทำลายสิ่งที่สวยงามเช่นนั้นได้ลงคอ เจ้าหญิงเอ่ยปากอย่างเสียใจ
	ข้าไม่เคยชื่นชมสิ่งใดนอกจากความเงียบสงบ เขาตอบ และหันหลังเดินจากเจ้าหญิงไป

	ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าหญิงความฝันก็ออกตามหาดอกไม้สีขาวที่ผลิบานขึ้นบนผืนดิน แต่เธอไม่เคยได้พบเจอดอกไม้สีขาวอีกเลย เพราะเจ้าชายแห่งความจริงทำลายมันจนหมดสิ้นทุกครั้ง

	ในที่สุด เจ้าหญิงจึงออกตามหาเจ้าชาย เธอล่องลอยไปบนท้องฟ้า ผ่านวัน ผ่านคืน ผ่านเวลาเนิ่นนาน และแล้วเธอพบเจ้าชายที่ผืนดินแห้งแล้งแห่งหนึ่ง เจ้าชายกำลังท่องคาถาเพื่อทำลายดอกไม้สีเหลืองอ่อนซึ่งกำลังผลิกลีบบาน
	หยุดก่อนเถิดท่าน ได้โปรดอย่าทำลายดอกไม้นั้นเลย เจ้าหญิงตะโกนร้องขอ
	เจ้าชายหยุดท่องคาถา และหันมามองหน้าเจ้าหญิง
	ไม่ได้หรอก ข้าจะไม่มีวันยอมให้สิ่งใดมาทำลายความเงียบสงบบนผืนดินนี้
	โธ่..ได้โปรดเถิด มอบดอกไม้นั้นแก่ข้า ข้าจะนำมันขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้า และข้าสัญญาว่าจะไม่ให้ดอกไม้ดอกนี้ทำลายความเงียบสงบบนอาณาจักรผืนดินของท่านเป็นอันขาด

	ในที่สุด เจ้าชายจึงยินยอมให้เจ้าหญิงนำดอกไม้สีเหลืองอ่อนขึ้นไปบนท้องฟ้า เจ้าหญิงมีความสุขมาก เธอเฝ้าดูแลเลี้ยงดูดอกไม้ดอกนั้นจนเติบโต ผลิบานอยู่กลางฟ้า กลายเป็นดอกไม้ที่งดงามและอ่อนหวานที่สุดในโลก เธอเรียกมันว่า ดอกไม้ดวงจันทร์

	วันแล้ววันเล่า เจ้าชายก็เฝ้ามองดอกไม้ดวงจันทร์และเจ้าหญิงอยู่บนผืนดิน เขาไม่ต้องการให้ดอกไม้ดวงจันทร์มาทำลายความเงียบสงบบนผืนดินของเขา แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เขาก็พบว่า เขาได้หลงรักดอกไม้ดวงจันทร์และเจ้าหญิงความฝันเสียเต็มหัวใจ เขาค้นพบความอ่อนหวานของดอกไม้ และความอ่อนโยนในดวงตาของเจ้าหญิง 

	เจ้าชายพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้เจ้าหญิงรับรู้ความรักในหัวใจของเขา แต่เจ้าหญิงก็อยู่สูงขึ้นไปบนฟ้า ไกลแสนไกลเกินกว่าที่เขาจะตะโกนร้องเรียก ไกลแสนไกลเกินกว่าที่เจ้าหญิงจะมองเห็น

	เวลาผ่านไปนานแสนนาน เจ้าชายยังคงเฝ้ารอการกลับมาของเจ้าหญิง เขาตะโกนร้องเรียกเจ้าหญิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ใต้ดอกไม้ดวงจันทร์ และในที่สุดเขาก็ทนคิดถึงเจ้าหญิงไม่ได้

	เจ้าชายนึกถึงดอกไม้สีขาวที่เจ้าหญิงหลงรัก และเขาเริ่มร่ายเวทย์มนต์ปลูกดอกไม้สีขาวขึ้นบนผืนดิน ดอกแล้ว ดอกเล่า จนกระทั่งอาณาจักรอันว่างเปล่าของเขาเต็มไปด้วยดอกไม้สีขาวบานสะพรั่ง

	เจ้าหญิงผู้กำลังชื่นชมกับดอกไม้ดวงจันทร์แลเห็นความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงบนผืนดิน เธอจึงร่อนตัวลงมาหาเจ้าชายที่ผืนดิน 
และในที่สุดเจ้าชายก็ได้พบกับเจ้าหญิงที่เขาหลงรัก

	ได้โปรดเถิดเจ้าหญิง อยู่กับข้าที่นี่ อย่าจากข้าไปไหนอีกเลย เจ้าชายอ้อนวอน
	ไม่ได้หรอก ข้ายังต้องกลับไปบนท้องฟ้าข้าไม่อาจทิ้งอาณาจักรของข้าได้ เจ้าหญิงกล่าว
	ถ้าอย่างนั้น ท่านลงมารับดอกไม้สีขาวจากข้าในทุกคืนได้ไหม ข้าอยากมอบดอกไม้เหล่านี้ให้กับท่าน เจ้าชายเอ่ยและมองลึกลงไปในดวงตาของเจ้าหญิง
	เจ้าหญิงความฝันยิ้มให้เจ้าชายอย่างอ่อนโยน และรับดอกไม้สีขาวก่อนจะลอยกลับไปบนท้องฟ้า

	ตั้งแต่นั้นเป็นมา ถ้าเธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน เธอจะเห็นดอกไม้ดวงจันทร์สีเหลืองอ่อน และดอกไม้ดวงดาวสีขาวบริสุทธิ์ แทนความรักของเจ้าชายและความอ่อนโยนแห่งความรักที่ปกคลุมโลกใบนี้ตลอดไป				
8 กันยายน 2545 23:44 น.

วันพลูโต(ความเชื่อเล็กๆของหัวใจช่างฝัน)

ยังแคร์

ฉันเชื่อว่าความจริงแล้วโลกนี้มีทั้งหมด 8 วัน
คือวันอาทิตย์ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ วันเสาร์ และ วันพลูโต
วันพลูโตเป็นวันพิเศษ เพราะมันเป็นวันที่โลกจะหมุนไปอีกทางหนึ่ง
ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกกลับตารปัตรไปหมด
ท้องฟ้าจะมาอยู่บนพื้น และพื้นจะไปอยู่บนท้องฟ้า
วันนี้เป็นวันของดอกไม้ดวงดาว
คือวันที่ดวงดาวจะมาทอประกายอยู่ใกล้ตัว ส่องสว่างบานสะพรั่งเหมือนดอกไม้
เด็กๆจะพากันไปเก็บดอกไม้ดวงดาว
เด็กชายคนหนึ่งเอาไปใส่กล่องแล้วเฝ้ามองก่อนหลับตา
เด็กหญิงผมเปียดวงตาใสค่อยๆคัดเลือกดาวแต่ละดวงใส่ตระกร้า
เด็กหญิงกำพร้าผู้หิวโหยกุมไว้ที่อกแล้วอธิษฐาน
เด็กทุกคนหลับลงอย่างมีความสุข ท่ามกลางดวงดาวที่ส่องประกายระยิบระยับ
แต่มีเด็กหญิงคนหนึ่งยังไม่หลับ
เด็กหญิงคนนี้จ้องมองดาวดวงหนึ่งในกล่อง
เธอจ้องมองจนดาวดวงนั้นค่อยๆดับแสง
และลอยกลับคืนสู่ฟากฟ้า...

ดวงดาวดวงนี้ของเธอปรากฏอยู่บนฟากฟ้าในวันต่อมา
เมื่อสิ้นสุดวันพลูโต
วันมหัศจรรย์...ที่ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย
นับจากนั้นเป็นต้นมา

ในชีวิตฉัน..ฉันยังเฝ้ารอวันพลูโตอยู่ทุกคืน
เมื่อเข็มนาฬิกาตีบอกเวลา 0.00 น.
ซึ่งหมายถึงวันใหม่...
ไม่แน่นะ..คืนนี้ถ้าคุณยังไม่หลับ
คุณอาจจะได้เก็บดอกไม้ดวงดาวอยู่กับฉัน
ก็ได้...				
22 กรกฎาคม 2545 23:59 น.

รถเมล์

ยังแคร์

ฉันเคยคิดว่า การเดินทางที่ลำบากมากๆอย่างหนึ่งก็คือ การเดินทางโดยรถประจำทาง หรือรถเมล์นั่นแหล่ะ คนก็เยอะ วุ่นวาย..กระเป๋ารถเมล์ก็ดุ ไปถึงก็ช้า ควันพิษก็เยอะ..แต่แล้ววันหนึ่งฉันก็ได้รู้ว่า...การนั่งรถเมล์ให้อะไรเรามากกว่าการนอนหลับแล้วตื่นก่อนถึงป้ายประมาณเส้นยาแดงผ่าแปด ..

"สวัสดีครับ เชิญคร๊าบ" 
เสียงคุณลุงกระเป๋ารถเมล์คันที่ฉันนั่ง ทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจไม่น้อย...นึกว่าตัวเองกำลังเดินเข้ามาใน เซเว่นอีเลเว่น...หรือร้านอาหารหรูๆด้วยซ้ำ...ฉันจะชินกับประโยคที่ว่า "ไวคับเพ่...ไวคับ!!"หรือ"ชิดในพี่ ชิดในหน่อยนะค๊า"ซะมากกว่า...

คุณลุงเดินมาเก็บเงินฉัน.."แฮปปี้แลนด์ค่ะ"ฉันยิ้ม..ลุงก็ยิ้มให้ฉัน..

รถแล่นไปได้สักครู่...ที่นั่งเต็มหมด ผู้หญิงคนหนึ่งเดินขึ้นมา หันซ้ายหันขาวาแล้วผิดหวังเล็กน้อย...คุณลุงเดินไปเก็บตังค์และพูดกับเขาว่า "เดี๋ยวก็มีคนลงแล้วครับลูก"...ฉันยิ้ม...จะมีกระเป๋ารถเมล์สักกี่คนที่เรียกผู้โดยสารว่า"ลูก"กันนะ..^^

การกระทำของลุง...เป็นการกระทำอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก หรือผู้ใหญ่...ไม่ว่าจะสวยหรือไม่สวย หล่อหรือไม่หล่อ ฉันก็ได้เห็นรอยยิ้มเดิมของลุงปรากฏบนใบหน้าทุกครั้ง และลุงก็ได้รับรอยยิ้มกลับมาทุกครั้งเช่นกัน...

สักพักหนึ่ง..ก็มีผู้ชายวัยรุ่นสองคนเดินขึ้นมา พวกเขามายืนข้างๆฉัน ทำให้ฉันได้ยินบทสนทนาของพวกเขา

"เฮ้ย..มึงรู้ป่ะไอ้นิดแม่งโคตรป๊อดเลย วันนั้นนัดกูก็ไม่ไป"การเริ่มต้นบทสนทนาทำให้ฉัน และคุณลุงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างหน้าหันไปมองหน้าเขาแว๊บหนึ่ง แต่เขาไม่ได้สนใจนักหรอก..
"กูว่ากูจะคุยกะพี่ปี 3 เรื่องปืนว่ะ..."เขายังคงดำเนินบทสนทนาต่อไปโดยไม่สนใจคนรอบข้าง...ฉันละสายตาจากเขา อดกลัวไม่ได้ว่า หากอยู่ๆบุคคลที่เขาเรียกว่า"คู่อริ"ของเขาเกิดเดินขึ้นมาบนรถคันนี้...ฉันอาจได้ไปอยู่บนหน้า 1 หนังสือพิมพ์ก็เป็นได้...

ฉันดีใจมากที่ไม่นานนักเขาก็เดินลงจากรถไป..ดูคุณลุงคนข้างหน้าก็โล่งใจไม่ต่างจากฉัน..ฉันจึงเปลี่ยนเป้าหมายมามองคุณลุงกระเป๋ารถเมล์อีกครั้ง...แล้วมันก็ทำให้ฉันยิ้มได้เหมือนเดิม...

รถจอดที่ป้ายๆหนึ่ง...ผู้ชายวัยรุ่น แต่งตัวแบบมที่ในสายตาฉันว่า"น่ากลัว" นั่นคืด เจาะหู เจาะจมูก ใส่หมวกไหมพรมเดินขึ้นมาอย่างมาดมั่น..มานั่งอยู่ข้างหน้าฉัน...ฉันมองด้วยความรู้สึกอคติ.."รถเมล์คันนี้มันอะไรกันนักนะ"...ฉันคิด..

แต่แล้วฉันก็รู้ว่า ฉันคิดผิด...และฉันก็ทำผิดด้วย เมื่อมีผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่งเดินขึ้นมา..ผู้ชายคนนั้นแหล่ะที่เป็นคนลุกให้เขานั่งเป็นคนแรก ผู้ชายที่น่ากลัวคนนั้นแหล่ะที่มีรอยยิ้มและแววตาที่อ่อนโยน...

ฉันว่า...ฉันต่างหากล่ะที่น่ากลัว...ไม่ใช่เขาหรอก...

อีกป้ายเดียวก็สุดสาย.. เป็นธรรมดาที่คนจะเริ่มน้อยลง...จนสุดท้ายเหลือฉัน..กับผู้หญิงอีกคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง...คุณลุงกระเป๋ารถเมล์เดินมานั่งตรงแถวหน้าฉัน แล้วหันมาคุยกับฉัน..
"ไปลงสุดสายหรือลูก" ลุงยิ้ม
"ค่ะลุง"ฉันยิ้มตอบ และยังคงประทับใจกับคำว่า"ลุก"จากลุงอยู่เสมอ...มันทำให้ฉันรู้สึกว่า ลุงเอ็นดูฉัน และฉันก็รู้สึกเคารพลุงขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น...

ฉันกับลุงพูดคุยกันมาเรื่อยๆจนกระทั่งสุดสาย และถึงเวลาที่ฉันจะต้องลง...ฉันยกมือไหว้ลุง...ในฐานะที่ลุง กลายเป็นบุคคลที่ฉันนับถือ..ทั้งที่เจอกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น...

ฉันเดินลงจากรถด้วยความรู้สึกว่า...ดีนะ ที่ฉันไม่ได้หลับ และดีนะ ที่ฉันบังเอิญได้เจอรถคันนี้...การเสียเวลาสำหรับรถติด การเบียดเสียด ร้อน และวุ่นวายครั้งนี้ มีค่า...

บางทีมันก็ดีกว่า..การนั่งรถส่วนตัวตั้งเป็นกอง...

				
13 กรกฎาคม 2545 01:01 น.

เพื่อเธอ..เพื่อนของฉัน

ยังแคร์

ฉันเขียนเรื่องๆนี้ขึ้นมาทันที หลังจากได้คุยกับเธอ เธอที่ฉันเป็นได้แค่เพื่อนคนหนึ่งซึ่งตั้งใจรับฟังปัญหาของเธอ แต่สำหรับฉันไม่เป็นไรหรอก ฉันชินชากับบางความรู้สึกจนไม่กลัวที่จะต้องชิมความขมของมันเสียแล้ว...แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเศร้าใจ เมื่อรู้ว่าเธอกำลังเจ็บปวดอยู่กับความทรงจำบางอย่างที่มันฝังแน่นอยู่ในหัวใจของเธอ...

คนเรามักชอบหลอกตัวเองนะ...หลอกว่าลืมใครบางคนได้แล้ว...หลอกว่าลืมใครบางคนยังไม่ได้...หลอกว่าไม่รักใครซักคน...หรือบางทีก็หลอกตัวเองว่าเรารักเค้า..ทั้งที่บางทีมันก็ไม่ใช่...ฉันเองก็เคยรู้สึกว่ารักใครคนหนึ่งมากๆ มากเสียจนไม่อาจลืมเค้าได้

1 ปีผ่านไป ความรู้สึกนั้นก็ยังอยู่ ฉันร้องไห้เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านไป

2 ปีผ่านไป ความรู้สึกนั้นก็ยังอยู่ ฉันน้ำตาซึมเมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านไป

3 ปีผ่านไป ความรู้สึกนั้นก็ยังอยู่ ฉันเจ็บอยู่ลึกๆเมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านไป

จนกระทั้งวันหนึ่ง...ความรู้สึกนั้นก็ยังอยู่ แต่ฉันก็คิดถึงมันด้วยรอยยิ้ม

....ใช่...ฉันไม่มีเค้าอยู่ข้างๆ แต่ฉันก็ได้รู้ว่าเค้ามีความสุข เค้ามีคนที่เค้ารัก เค้ามีวิถีชีวิตที่งดงาม และเค้าก็เคยมีความทรงจำที่มีฉันเป็นเสี้ยวหนึ่งในนั้น...มันเพียงพอแล้วไม่ใช่หรอ ที่เราจะยิ้มเพื่อคนที่เรารักสักคนหนึ่ง ฉันไม่อยากค้นหาเหตุผลหรอกว่าทำไมวันนั้นเค้าถึงไม่เลือกฉัน เพราะมันคงไม่ทำให้อะไรๆดีขึ้น แต่ฉันอยากค้นหาคำตอบให้กับตัวเองมากกว่าว่า 3 ปีที่ผ่านมา ทำไมฉันต้องเศร้าบนความสุขของเค้า...ฉันทำอย่างนั้นได้อย่างไร...

ฉันว่าความรักมันเกิดขึ้นได้หลายครั้งนะ...คนที่บอกว่ารักใครสักคนมากๆจนไม่อาจรักใครได้อีก...ฉันว่าเค้าใจแคบเกินไป...ถ้าโลกนี้มีความรักที่มอบให้ได้กับคนๆเดียว เพียงครั้งเดียว...ฉันว่ามันไม่ต้องมีเสียคงดีกว่า...คุณว่าไหม?

อดีตมีไว้เพื่อให้เรานึกถึง...แต่นึกถึงเพื่อเป็นบทเรียน ไม่ใช่นึกถึงเพื่อฝังใจเจ็บ และใช้ปัจจุบันเพื่ออดีต...อนาคตมีไว้เพื่อให้เราก้าวเข้าไปหา โดยใช้อดีตเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการก้าวเดิน...ไม่ใช่ใช้อดีตเพื่อกำหนดอนาคต

สำหรับเธอ...ฉันคงไม่กล้าจะพูดอะไรมากนอกจาจะบอกให้เธอสู้...เหมือนที่เธอเคยบอกกับฉัน เพราะฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่เดินอยู่บนเรื่องราวซึ่งฉันกำหนดไม่ได้ ไม่อย่างงั้นฉันคงไม่ต้องมาเขียนบทความนี้ด้วยความเจ็บปวดที่ไม่ต่างจากเธอ...แต่ฉันก็อยากให้เธอรู้ว่า ฉันเขียนมันด้วยความรู้สึกที่ฉันมีให้เธอ...				
12 กรกฎาคม 2545 17:51 น.

ทำไมเธอถึงอยากตาย

ยังแคร์

กลางดึกคืนหนึ่ง โทรศัพท์ในห้องของฉันดังขึ้น ฉันลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความหงุดหงิด ใครกันนะที่โทรมาดึกๆดื่นๆแบบนี้ นี่มันตีสองกว่าแล้วนะ แต่แล้วเมื่อฉันได้ยินเสียงจากปลายสาย ความหงุดหงิดที่มีก็หายไป กลายเป็นความตกใจเข้ามาแทนที่ เมื่อคนที่อยู่ปลายสายคือเพื่อนของฉันที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายจนพูดเกือบไม่เป็นภาษา

หลังจากที่คุยกันสักพักฉันก็รู้ว่า สาเหตุที่ทำให้เพื่อนของฉันร้องไห้ก็คือผู้ชายเพียงคนเดียวที่กำลังเดินออกไปจากชีวิตของเธออย่างไม่แยแส ผู้ชายที่ได้ทุกอย่างไปจากเธอแม้แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผู้หญิง เพื่อนของฉันเล่าให้ฉันฟังอย่างยากลำบาก ทุกครั้งที่ก้อนสะอื้นมันมาจุกที่คอคือทุกครั้งที่ความเจ็บปวดมันมาจุกอยู่ที่ใจ แล้วมันก็กลายเป็นความเศร้าใจที่ติดตามมาที่หัวใจของฉัน และคำพูดคำหนึ่งที่ทำให้ฉันไม่นึกว่าเธอจะพูดออกมาก็คือ เธออยากตาย

สำหรับฉันแล้ว ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ หากเพื่อนฉันอยากจะตายเพื่อลบลืมความเจ็บปวดทุกอย่าง เพียงแต่ฉันคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ที่สุดหากเธอจะทำลายชีวิตตัวเองในขณะที่มีคนอีกหลายล้านคนกำลังดิ้นรนเพื่อที่จะมีชีวิตรอด และมันก็เป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดถ้าเธอจะทำลายหัวใจพ่อแม่เพียงเพราะผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นเพียงคนแปลกหน้า ผู้ชายที่ไม่ได้เป็นคนยิ้มยินดีในวันที่เธอเกิด ผู้ชายที่ไม่เคยอดตาหลับขับตานอนเลี้ยงดูเธอจนเติบโต หรือแม้กระทั่งกอดเธอด้วยความรักที่แท้จริงแม้สักครั้ง...

ไม่ใช่ฉันไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกเหล่านี้ ฉันก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องการความรัก และเคยแสวงหาความรัก 

แน่นอน...ฉันต้องเคยเจ็บปวดกับความรักด้วย

แต่ฉันจะบอกกับตัวเองเสมอว่า ความรักต้องตั้งอยู่บนสติ และหากครั้งใดที่เรารู้สึกเจ็บปวดเพราะความรัก นั่นเป็นเพราะรักของเราไม่ใช่รักที่แท้จริงต่างหาก ความรักที่แท้จริงนั้นจะต้องสร้างความสุขให้เราได้เสมอถ้าคนที่เรารักมีความสุข...แม้เราจะต้องสูญเสียก็ตาม...

คืนนั้น...ฉันวางโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มันเหมือนกับฉันได้ฟังโศกนาฏกรรมเรื่องหนึ่งที่มันเกิดขึ้นจากความพลาดพลั้งและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ฉันก็ดีใจที่เธอเลือกจะโทรมาหาฉันก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร อย่างน้อยน้ำเสียงสุดท้ายขอเธอก็ทำให้ฉันสบายใจขึ้นว่าเธอจะไม่ทำอะไรโง่ๆอีก...

ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานนักหรอกที่ชีวิตของเธอจะกลับมาสู่ความสดใสอีกครั้ง แม้มันจะเปื้อนรอยมลทินจากอดีต แต่ทุกครั้งที่เธอมองเห็นรอยนั้นเธอจะรู้ว่า เธอได้ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายนั้นมาแล้ว และมันจะไม่เกิดอีกเป็นหนที่สอง และฉันก็หวังว่าสักวันเธอจะรู้ว่า ความรักที่โลกใบนี้สร้างขึ้นมานั้นมันมีให้เธอตั้งแต่เธอเกิดแล้ว เพียงแต่มันไม่ได้เป็นของผู้ชายมักง่ายคนหนึ่งเท่านั้น...
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟยังแคร์
Lovings  ยังแคร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟยังแคร์
Lovings  ยังแคร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟยังแคร์
Lovings  ยังแคร์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงยังแคร์