11 มกราคม 2550 12:12 น.

รับสายปีใหม่

ยังเยาว์

ช่วงราวๆ ตีสอง (เห็นต้องเรียกเช้า) ของวันรับปีใหม่
มีรุ่นน้องคนหนึ่งโทรมาหา...
รู้สึกแปลกใจมากๆ เพราะเสียงไม่คุ้นเลย (หรืออาจจะลืมก็ไม่รู้)
แล้วยังส่งภาษาอีสานมาอีก.... ยิ่งงง
เพราะมีคนที่เรียก พี่ ที่มอ แต่มีเด็กหนุ่มอีสานอยู่คนเดียว
แล้วเสียงนี้ก็ เออ... ไม่ใช่แฮะ 

พี่ครับ... น้องเรียกชื่อมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ 
อ่ะจ้า ไปตามเรื่อง ไม่รู้เลยว่าใคร
จำผมได้เหรอครับ นั่นสิ ใครวะ?
เอ่อ อึ้งไปนิดนึง เพราะไม่นึกว่าจะเจอคำถามนี้ 
จ้ะ น่าน ผิดศีลห้ารับปีใหม่ไปข้อละ 
สวัสดีปีใหม่นะครับ
จ้า ไม่รู้จะพูดอะไรดี นึกไม่ออก
ทำอะไรอยู่ครับ อุตส่าห์ถามเนาะน้อง
พี่ทวนบัญชีอยู่จ้ะ อันนี้ตอบตามจริง
โห ขยันจัง ไม่หยุดพักเลยเหรอฮะ คนอื่นเขาฉลองกันอยู่นะ
เสียงอ่อนเสียงหวานสะท้านใจเจ๊จริงเล๊ย !
ทำไงได้ล่ะ ก็พี่มีสอบนี่นา เราต้องทำเสียงอ้อนกลับไปมั่ง
น้องชวนคุยอยู่พักใหญ่
เป็นสายระทึกใจทีเดียว เพราะกลัวเขาถามกลับว่าเขาเป็นใคร
นี่เกิดตอบไม่ได้ล่ะแย่เลย
ก็น้องเขายังจำเราได้ เฮ้อ... เริ่มแก่แล้วเหรอเนี่ย
งั้นไม่กวนพี่ดีกว่า สุขสันต์วันปีใหม่นะครับ
จ้า

สายด้านนู้นวางไปเรียบร้อย
แต่ฉันยังอึ้ง ทึ่ง เสี... เว้ย ไม่ใช่ ยัง...งง
นึกยังไงก็นึกไม่ออก
ก็...นะ มีหนุ่ม (น้อย) โทรมาหาทั้งทีต้องขอหน้าบานหน่อยเหอะ
ปลื้มเลยล่ะ ที่น้องยังอุตส่าห์นึกถึง และโทรมา
แต่พี่สิน้องเอ๊ย ...จนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าน้องเป็นใคร... !!!
				
26 ธันวาคม 2549 13:40 น.

หม้อดินใบร้าว

ยังเยาว์

เรื่อง: หม้อดินใบร้าว 
ส่งมาโดย: Vachiraporn Surathanaskul


ชายชาวอินเดียคนหนึ่ง ห้วงสองปีที่ผ่านมา 
ผู้คนจะพบเห็นจนชินตาว่า บนบ่าของเขามีหม้อดินใบใหญ่วางอยู่ข้างละใบ.. 

หม้อดินใบหนึ่งมีรอยร้าว ขณะอีกใบสมบูรณ์สวยงามไร้ที่ติ 
หม้อใบสวยสามารถบรรจุน้ำไว้เต็มเปี่ยม นับจากลำธารจนถึงบ้านเจ้านาย.. 
ขณะที่อีกใบหนึ่งนั้น เมื่อมาถึงปลายทาง กลับเหลือน้ำแค่ครึ่งเดียว 
เท่ากับว่าชายผู้นี้ขนน้ำได้เที่ยวละหม้อครึ่งอยู่ทุกครั้ง แน่ล่ะ.. 
หม้อดินใบสวยย่อมภาคภูมิใจในตนเอง ที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน 
ส่วนหม้อดินใบร้าว นอกจากอดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ 
ในความไม่สมประกอบของตนเองแล้ว 
มันยังรู้สึกผิดกับการทำหน้าที่ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกด้วย.. 

หลังจากสองปีเต็ม ที่แบกความทุกข์ระทมขมขื่นนั้นเอาไว้ แล้ววันหนึ่ง 
มันจึงตัดสินใจเอ่ยกับคนหาบน้ำตรงลำธารว่า.. 
"ฉันรู้สึกละอายใจเหลือเกิน ฉันอยากขอโทษท่าน.. ตลอดสองปีมานี้ 
ฉันทำงานให้ท่านได้ เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น 
เนื่องจากเจ้ารอยร้าวบนตัวฉัน มันทำให้น้ำรั่วไหลไปตลอดทาง" 

เมื่อฟังเช่นนั้นแล้ว คนขนน้ำก็พลอยรู้สึกเสียใจไปด้วย 
และแล้วเขาก็พูดว่า "เอาล่ะ.. 
ระหว่างทางที่เราจะเดินกลับไปบ้านเจ้านาย 
ฉันอยากให้เธอสังเกตดอกไม้สวยข้างทางเดินสักหน่อย 
เธอไม่ได้สังเกตหรอกหรือว่า ทำไมดอกไม้ป่าเหล่านั้น 
ถึงได้งอกงามเฉพาะฝั่งที่ฉันแบกเธอเท่านั้น 
ทำไมมันไม่ขึ้นอีกฟากหนึ่งด้วยล่ะ นั่นเป็นเพราะฉันได้ 
ตระหนักในข้อจำกัดของเธอ จึงอาศัยเงื่อนไขนี้ 
เพาะเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ป่าตรงทางเดินฝั่งที่ฉันแบกเธอเสมอมา และทุกๆวัน 
ขณะที่เราเดินกลับบ้าน เธอเองก็ได้ช่วยฉันรดน้ำต้นไม้ให้มัน 
แล้วตลอดสองปีมานี้ ฉันก็ได้เด็ดดอกไม้สวยๆพวกนี้ 
ไปปักแจกันให้เจ้านายของเราด้วย.. นี่ถ้าหากไม่มีเธอแล้วล่ะก็ 
เจ้านายของเราคงไม่มีโอกาสได้ดอกไม้ป่าอันแสนสวยงาม 
ที่ผลิสะพรั่งอยู่ระหว่างทางมาประดับบ้านเป็นแน่..." 

"เราเองมีคุณค่าดีพอ ถ้าไม่เปรียบเทียบคนอื่นมากเกินไป 
ถ้าคิดว่าสิ่งไหนมันไม่ดี ก็พยายามแก้ไข ทำให้มันดีขึ้น 
ผลลัพธ์ของการกระทำ ไม่ใช่คำตอบแห่งชัยชนะของชีวิต 
จุดมุ่งหมายและความตั้งใจจริงของเราต่างหาก.. คือคำตอบที่แท้จริง" 

As good as it gets 
				
29 ตุลาคม 2549 09:01 น.

ไอ้จกจูเนียร์

ยังเยาว์

อพาร์ตเมนต์ที่ฉันพักมีกฎห้ามเรื่องสัตว์เลี้ยง 
พูดง่ายๆ คือภายในตึกนอกจากมนุษย์แล้ว 
สิ่งมีชีวิตที่เข้ามาได้ก็มีแค่พวกแมลงตัวเล็กกับสิ่งมีชิวิตขนาดเล็กที่ตามองไม่เห็นเท่านั้น 
แต่พักอยู่ไม่ถึงอาทิตย์ฉันถึงรู้ว่าฉันคิดผิด 
เพราะยังมีสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่เสนอหน้ามาทักทายฉันได้ถึงในห้อง 
ใช่...จิ้งจก... 
ฉันไม่กลัวจิ้งจก แต่ก็ไม่ได้ใจดีขนาดคิดจะแบ่งปันพื้นที่เพดานห้องซึ่งฉันเสียค่าเช่าอยู่ทุกเดือนกับมัน (ที่ไม่มีส่วนช่วยจ่ายเลยซักนิด) 
แต่อาจจะด้วยจิดเมตตาอันน้อยนิดเลยปล่อยๆ มันไว้ 
ฉันเรียกมันสั้นๆ ว่า ...ไอ้จก... ฉันเดา (เอาเอง) ว่ามันเป็นจิ้งจกตัวผู้ 
(ฉันไม่พิสมัยการมีสัตว์เลี้ยงตัวเมีย เพราะมันหมายถึง อนาคตอันใกล้ฉันต้องรับเลี้ยงลูกๆ ของมันอีกขโยงใหญ่) 
เอาเถอะ อย่างน้อยมันไม่เคยส่งเสียงดังกวนใจ 
ไม่เคยวิ่งเพ่นพ่านกวนตา 
แล้วก็อยู่เป็นเพื่อนคืนที่นั่งพิมพ์รายงานจนดึกดื่น 
และสำคัญที่สุด ...มันไม่เคยชักชวนพรรคพวกมาอาศัย... 


คืนนั้นฉันกลับถึงบ้านราวสี่ทุ่ม 
เปิดไฟในห้องแล้วกำลังจะก้าวเท้าเข้าห้อง 
แต่ต้องยกเท้าค้างเมื่อสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋ววิ่งตัดหน้าฉันไปอย่างไม่คิดชีวิต 
ดีที่ฉันยั้งเท้าไว้ทัน 
ให้ตาย!! นั่นมันไอ้จิ้งจกสัตว์เลี้ยงแสนรักของฉันนี่ 
เฮ่ย...ไม่น่า ไอ้จกมันออกจะตัวขาวอ้วน (ออกจะตุ๊ต๊ะหน่อยๆ ด้วย) 
แต่ไหงมันย่อส่วนซะเหลือจิ๊ดเดียวอย่างงั้นล่ะ 
ฉันยืนงงอยู่หน้าประตูพักหนึ่ง 
ก่อนจะย่องเข้าไปดูเจ้าตัวเล็กที่หยุดวิ่งแต่นิ่งมองฉันอย่างหวาดๆ 
ด้วยความเคยชิน ฉันมองไปสำรวจทั่วเพดาน 
อ้าว ไอ้จกยังอยู่นี่นา แล้วนี่มันไอ้อะไร (???)  อีกล่ะเนี่ย 


คืนนั้นหลังจากไล่ไอ้เจ้าตัวเล็กออกจากรัศมีการเดินของฉันเรียบร้อย 
ก็มานั่งคิดเล่นๆ ว่ามันจะมาจากไหนกัน 
(ก็ฉัน...จำใจ...เลี้ยงไว้แค่ตัวเดียวนี่หว่า)  
จากข้อสันนิษฐานพอจะเดาได้ ว่า ไอ้จกตัวดีห้องฉันมันอาจจะไปทำสาวข้างห้องท้องขึ้นมา 
พอมีลูกมีเต้าก็ดั๊นเอามาเป็นภาระฉันซะนี่ เฮ้อ ทำไงได้ ไม่ใช่ลูกหลานแต่ก็ไล่มันไม่ลง 
นานวันเจ้าตัวเล็กกลายเป็นสมาชิกตัวใหม่ของห้อง ในนามของไอ้จกจูเนียร์ หรือในภาษาอีสานมันคือ ...บักจกน่อย...ฮ่าๆ
 ฉันไม่สามารถบรรยายหน้าตามันได้ว่าน่ารักน่าเอ็นดูขนาดไหน เกินความสามารถจริงๆ 
ทั้งๆ ที่จ๊ะเอ๋กับมันอยู่เป็นประจำ แล้วยังต้องเพิ่มความระวังเวลาเดินขึ้นมาอีกเท่าตัว 
เพราะเจ้าตัวเล็กมันดูจะคุ้นกับการวิ่งบนพื้นมากกว่าเพดาน 
ได้แต่หวังว่ามันคงจะฝึกเกาะเพดานในเร็ววันก่อนที่บาทาฉันจะจ๊ะเอ๋กับมันซะก่อน


ช่วงนี้ทั้งไอ้จกและลูกหายหน้าหายตาไปนาน 
อาจจะเพราะมันเบื่อเจ้าของห้องเต็มที 
หรือไม่อาจจะเจอบ้านใหม่ที่น่าอยู่กว่ารังรกๆ ของฉัน 
หรืออีกข้อหนึ่งที่ฉันยังอดหวั่นไม่ได้คือถ้าไอ้จกจูเนียร์มันกลับมาพร้อมครอบครัวอีกขโยง


 ...ฉันจะทำไง... ???

				
28 กรกฎาคม 2549 11:04 น.

วันนี้คุณรักใครรึยัง?

ยังเยาว์

วันนี้คุณรักใครหรือยัง?

28 กรกฏาคม 2549

รักมันไม่ใช่เพียงค่ำคืนที่รื่นรมย์ ไม่ใช่เทพนิยาย หรือแม้กระทั่งรักแรกพบ นั่นไม่ใช่ชีวิตจริง
(Mary Fiore: The Wedding Plannerจะปิ๊งไหม ถ้าหัวใจผิดแผน)

ฉันนั่งทวนประโยคจากหนังเก่าๆ เรื่องหนึ่งที่พึ่งดูจบไป
จริงสินะ รักมันคือเรื่องจริง...ไม่ใช่นิยาย...
..................................................................

คุณครับ หลับรึเปล่า เขาเอ่ยถามขึ้นเพราะเห็นว่าฉันนั่งเงียบในรถเกือบตลอดทาง 

ฉันยกมือขึ้นปัดมือเขาที่ยื่นมาแตะข้างแก้มฉันออกเบาๆ อย่างสุภาพ ถึงแม้ในใจจะเริ่มเดือดขึ้นปุดๆ ที่เขาถือสิทธิ์แตะเนื้อต้องตัวกันง่ายๆ

เขาหัวเราะขึ้นเบาๆ ก่อนจะยิ้มอย่างขอลุแก่โทษ ดูเหมือนเขาเองก็คงเข้าใจเรื่องวัฒนธรรมเหล่านี้ของผู้หญิงเอเชียอยู่บ้าง แต่ฉันก็เชื่อว่าเลือดตะวันตกอย่างเขาคงไม่มีวันเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ เขาอาจจะมองว่าฉันเล่นตัว หรืออาจจะมองว่าเป็นคนหัวโบราณคร่ำครึ แต่ช่างเขาปะไร ฉันไม่แคร์ 

ถึงแม้ฉันจะอยู่ในสังคมอิสระเสรีในทุกๆ ด้าน แต่ฉันก็ไม่เคยลืมความเป็น...ไทย...ที่ติดตัวมา ฉันไม่ได้ต่อต้านวัฒนธรรมตะวันตก ไม่ได้รังเกียจหรือเห็นว่าไม่เหมาะสม เพียงแต่มันควรขึ้นกับกาละเทศะ ไม่ใช่...ยังไงก็ได้... อย่างประโยคติดปากของฉัน ที่บางครั้ง (หรือหลายครั้ง) ฉันก็ไม่ได้หมายความตามนั้นจริงๆ

ฉันไม่ถือที่จะต้องจับมือเมื่อทำความรู้จัก การกอดที่ใช้กับเพื่อนหรือคนสนิทเพื่อแสดงมิตรภาพ หรือแม้แต่การชนแก้มสามครั้ง (ซึ่งคนท้องถิ่นเรียกว่า Kiss เช่นเดียวกับคำว่าจูบ) ในโอกาสพิเศษ การแสดงออกเช่นนี้ฉันซึ่งอยู่ในสังคมของเขาก็ทำ แต่ไม่ใช่กับผู้ชายที่พึ่งรู้จักกันไม่ถึงครึ่งเดือน เพียงเพราะอุบัติเหตุเล็กๆ แล้วเขายื่นมือมาช่วย 

จากเหตุการณ์คราวนั้น ฉันให้เบอร์โทรเขาไป (ตามมารยาท) และฉันยังต้องรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณยอมมาทานข้าวเย็นนอกบ้านกับเขา (ซึ่งอันที่จริงควรเป็นฉันที่เลี้ยงขอบคุณเขา) ในขณะที่เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะส่งสายตาวาววับคู่นั้นมา นับจากวันแรกที่เจอ และวันนี้นับตั้งแต่วินาทีที่เขาขับรถมารับฉันที่มหาวิทยาลัย จนออกมานั่งรถกินลมหลังอาหารมื้อค่ำ 

มันจะหมายความว่ายังไง... ฉันไม่อยากจะรับรู้ และพยายามทำตัวให้โง่ที่สุด เพื่อที่จะบอกเขาว่าฉันไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรเลย

คุณว่าบ้านหลังนั้นเป็นยังไงบ้างฮะ สวยไหม เขาละสายตาจากถนนข้างหน้า หันมาพูดคุยอย่างอารมณ์ดี

ฉันอยากจะตอบออกไปว่า ...สวยน้อยกว่ามอฉันหน่อยนึงค่ะ... แต่ก็เกรงว่าจะเสียมารยาท 

เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าฉันมาก อายุเรียกได้ว่าย่างเข้าไปวัยกลางคน มากว่าฉันเกินรอบไปหลายปี ตลอดช่วงเวลาที่โต๊ะอาหารฉันพยายามที่จะชวนเขาพูดคุยเรื่องเรียนฉันมากที่สุด และย้ำตลอดว่าฉันมาเรียน รักเรียนมาก ต้องเรียนอีกหลายปี และที่สำคัญที่สุดยังไม่คิดจะมีครอบครัว ในขณะที่เขาตั้งต้นเรื่องการมีครอบครัว บ้านและครอบครัวในอุดมคติ มันทำให้ฉันอึดอัดจนไม่อยากแตะแม้กระทั่งกาแฟ เพราะทุกหัวข้อสนทนาจะมีฉันเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่อย่างจริงจังและจริงใจแบบชาวตะวันตกเสมอ 

เฮ้ ว่าไงฮะบ้านสวยไหม คุณชอบแบบไหน เขายังไม่ลดละกับคำถามเดิมเมื่อขับรถผ่านบ้านเล็กๆ น่ารัก อีกหลายหลังสองข้างทาง

ไม่ทราบซีคะ ฉันยังไม่นึกอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ฉันฝืนยิ้มให้เขาแบบฝืดเต็มที 

ไปไหนต่อดีฮะ สวน... ดีไหม เขาเอ่ยชื่อสวนสาธารณะที่ค่อนข้างมีชื่อในเมือง และนิ่งรอคำตอบอย่างเอาอกเอาใจฉันเต็มที่

กลับดีกว่าค่ะ ฉันทำหน้าละห้อย เฮ้อ ถนนบ้านนี้ทำเอาฉันแทบจะอ้วกบนรถเขา มันวกวนเสียจนฉันนับไม่ไหวว่าผ่านวงเวียนมากี่แห่ง แต่ที่แน่ๆ ฉันกำลังเมารถ จะบอกเขาจอดก็ดูไม่ค่อยดี กลายเป็นภาระเขาไปเสียอีก

ไม่สนุกเหรอครับ เขาหน้าเสีย

...ไม่สนุกเลยค่ะ... แอบโอดครวญในใจคนเดียว

ไม่ค่ะไม่ พอดีฉันเหนื่อยน่ะค่ะ มีพรีเซนต์งานที่มอ วันนี้ไม่ได้พักเลย ฉันยิ้มให้เขาเนือยๆ และพอจะรู้สึกว่าหน้าตนเองเริ่มจะซีดๆ เพราะเมารถ เขาคงเห็นว่าฉันดูเหนื่อยจริงอย่างที่บอกจึงเลี้ยวรถกลับทันทีตามความต้องการของฉันและปล่อยให้ฉันนั่งเหม่อมองสองข้างทางเงียบๆ ฉันแสร้งทำเป็นหลับตาลง เพราะความเหนื่อยอ่อน แต่จริงๆ แล้วไม่ง่วงเลยซักนิด แต่ไม่อยากให้เขาเซ้าซี้มากไปกว่านี้ 

.....................................................................

หลับรึเปล่า คำถามคลับคล้าย ผุดแวบขึ้นมาในสมอง
เปล่าค่ะ
อืม นึกว่าหลับ อย่าเงียบนักซี เผื่อเราตกรถตกราไปพี่จะรู้ได้ไง เพื่อนพี่มีประวัติมาแล้วนะ นั่งหลับตอนซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้วตกรถน่ะ เขาตะโกนแข่งเสียงลมผ่านมาถึงฉันที่นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์โดยมีเขาเป็นคนขับ

ฉันแอบอมยิ้มในความมืดยามค่ำคืน เขาก็เป็นซะอย่างนี้ หาเรื่องมาให้ยิ้มได้เสมอซินะ

หนูไม่หลับหรอกค่ะ ก็เวลานั่งรถหนูชอบดูวิวเงียบๆ อย่างนี้แหล่ะ ไม่เคยหลับหรอก ฉันปดเขาไป จะให้บอกได้ยังไงว่าเมื่อตอนเด็กๆ นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์พ่อไปบ้านย่าทีไร ขากลับยามค่ำเป็นนั่งหลับทุกที

อย่าหลับล่ะกัน เขายังเอ่ยย้ำ ฉันรับปากเบาๆ ก่อนที่รถของพี่สาวเจ้ามือเลี้ยงส่งของฉันจะตามมาติดๆ โดยมีพนักงานขับเป็นพี่นักศึกษาฝึกงานที่ชอบพออัธยาศัยกัน 

คู่นี้ยังกะแฟนกันเลย ใช่ๆ ทั้งคู่ตะโกนคุยกันเชิงหยอกล้อเราตามหลังมา 

ฉันแอบอมยิ้มกับคำแซวนั้น ส่วนคนขับไม่รู้ว่าเขาจะทำหน้ายังไง ...ไม่รู้สิ... คงไม่รู้สึกอะไรล่ะมั้ง ก็ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเขานี่นา

แต่ทำไมฉันรู้สึกเศร้าอย่างนี้นะ พรุ่งนี้ฉันก็จะไม่ได้เจอเขาอีก ไม่ได้โทรคุยถามสารทุกข์สุกดิบ ไม่ได้ไปทานข้าวกลางวันด้วยกัน ไม่ได้ทำหน้าที่น้องสาวที่ดีที่จะคอยรับฟังความเหนื่อยล้าจากหน้าที่การงานของเขา แค่คิดก็อยากจะร้องไห้ และคืนนั้นฉันก็ร้องไห้จริงๆ ร้องจนหลับไปเมื่อไรไม่รู้

...เด็กหนอเด็ก... รำพึงกับตัวเองเบาๆ เมื่อนึกถึงความรู้สึกของตนต่อชายหนุ่มร่างสูงคนนั้น วันเลี้ยงอำลาพิเศษจากพี่ๆ ที่สนิทกันวันนั้นแค่คำพูดบางคำของเขาก็ทำเอาใจฉันเตลิดไปถึงไหนต่อไหน  แต่หลังงานเลี้ยงเลิกราก็คือการจากลา 
	
...ลา... มาพร้อมหัวใจที่อาลัยอาวรณ์เป็นที่สุด

...................................................................

ทำไมนะ ทั้งที่ฉันนั่งอยู่บนรถเก๋งคันสวยกับผู้ชายคนนี้ที่เพียบพร้อมทุกอย่างทั้งหน้าที่การงาน ฐานะความเป็นอยู่ คนที่กำลังพยายามบอกฉันว่าเขาพร้อมที่จะดูแลฉัน ทั้งตัวและหัวใจ 

แต่ฉันกลับไพล่คิดไปถึงวันที่นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คันใหม่เอี่ยมของผู้ชายอีกคน ซึ่งบอกฉันว่า 

แม่พี่ดาวน์ให้น่ะ แต่งวดต้องส่งเอง นี่ก็ยังเหลือบานเลยน้องเอ๊ย

ผู้ชายที่ได้งานชั่วคราวมาอย่างทุลักทุเลหลังเรียนจบมาแล้วถึงสองปี และผู้ชายคนเดียวกันนี้ที่บอกฉันว่า 

พ่อแม่เขาก็หาสาวให้นะ แต่คงไม่ไหว พี่เองก็ยังไม่พร้อมมีครอบครัว นี่เหลือหนี้ยืมเรียนอีกสองแสน สาวที่ไหนจะกล้ามาช่วยสะสางหนี้ คงต้องขอใช้หนี้สร้างเนื้อสร้างตัวได้ซะก่อน

ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงเชื่อมั่นว่าเขาจะมีปัญญาหาเงินสองแสนมาใช้หนี้ได้ และจะสร้างตัวได้ในเร็ววัน 

ฉันแอบดีใจลึกๆ ที่เย็นวันนั้นเขายื่นหมวกกันน็อกที่มีเพียงใบเดียวมาให้ ส่วนเขาสวมหมวกแก็ปใบพอเหมาะ เขาไม่ได้ช่วยฉันใส่หมวกอย่างที่พระเอกควรทำกับนางเอก เพราะฉันไม่ใช่นางเอก... อย่างน้อยก็ไม่ใช่นางเอกของเขา แต่ความปรารถนาดีที่เขาหยิบยื่นมากลับยังติดตรึงอยู่ข้างใน เขาไม่ใช่คนปากหวาน ไม่ช่างเอาอกเอาใจ ขี้งกก็ปานนั้น แต่หลายอย่างที่เขาทำให้ ฉันอดที่จะประทับใจไม่ได้

จนถึงวันนี้เกือบปีแล้วสินะที่เขาห่างหายไป ฉันไม่รู้ข่าวคราวความเป็นไปของเขา ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร หรือเขาอาจจะแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว ...ฉันไม่รู้... 

แต่รู้ว่าฉันยังคิดถึงเขา และคาดหวังว่าจะได้พบกันสักวันหนึ่งข้างหน้า

ผู้ชายที่ไม่พร้อมหรืออาจจะไม่เคยพร้อมที่คิดจะดูแลฉัน ทั้งตัวและหัวใจ 

......................................................................

ฉันบอกให้เขาหยุดรถเพียงทางเข้าหน้าตึก ไม่ยอมให้เขาส่งถึงห้อง ซึ่งเขาก็ไม่อิดออดอะไร เขาช่วยปลดเข็มขัดนิรภัย และรีบลงมาเปิดประตูให้ฉัน ...การเอาใจเล็กๆ น้อยๆ จนเกินควร... เหล่านี้ ทำเอาฉันรำคาญเต็มทีเหมือนกัน

เขาร่ำลาฉันอย่างอ้อยอิ่ง พร่ำคำหวานๆ เลี่ยนๆ ออกมาอีกกระบุงโกย ในขณะที่ฉันคอเอียงเตรียมจะหลับ เมื่อตอนขึ้นรถฉันยังไม่ง่วงเอาเลย แต่ตอนนี้ง่วงขึ้นมาสุดใจ อาจจะเพราะเมารถเข้าขั้น หรืออาจจะเพราะเหนื่อยใจกับนัดเดท (ที่บอดสนิทสำหรับฉันคราวนี้) ก็ไม่รู้  นึกได้แค่อยากของีบสักงีบหนึ่งแล้วนึกเสียว่าที่ไปมาค่ำนี้แค่ฝัน แค่ฝันนะ พอตื่นขึ้นมาก็ผ่านไป 

ฉันกลับถึงบ้านสองทุ่มขาดเกินเล็กน้อยซึ่งหน้าร้อนแบบนี้ยังไม่มืดสนิทนัก เพื่อนสนิทที่มาพักชั่วคราวกับฉันที่ห้องยิงคำถามเรื่องนัดเดทมากมายเมื่อฉันเดินโซเซถึงห้อง ฉันตอบอะไรไม่ได้ซักอย่าง นอกจากเกิดอาการปั่นป่วนในท้องไส้ขึ้นมากะทันหัน ห้องดูท่าจะหมุนๆ ฉันบอกเพื่อนสาวไปว่า

เมารถว่ะ เวียนหัวจะแย่ ขอนอนพักหน่อยนะ

และคลานขึ้นเตียงไปทั้งชุดเดิมโดยที่ไม่แตะต้องน้ำแม้แต่นิดเดียว

.....................................................................

อย่างนี้รึเปล่านะที่เขาเรียกว่า Puppy Love รักแบบเด็กๆ ที่ไม่ได้จริงจังอะไร รักไปตามอารมณ์อ่อนไหวในวัยที่กำลังโหยหาความผูกพัน อยากเรียนรู้ความวิเศษของคำว่า...รัก...จากใครสักคน แต่ฉันคิดว่า ...ไม่... ก็ในเมื่อฉันไม่ได้รับอะไรที่เรียกว่าพิเศษเกินกว่าคนรอบข้างอื่นๆ ของเขา และไม่เคยเรียกร้องเพื่อจะได้เป็น 

แต่ฉันเชื่อเรื่องรักแรกนะ ความเชื่อที่ว่าเมื่อได้พบกับมันเข้า ก็จะฝังตราตรึงไปในใจตราบนานแสนนาน ไม่ว่าจะเป็นเขารักเราและเรารักเขา หรือเป็นเพียงเราที่รักเขาก็ตาม 

วันคืนนี่มันก็ผ่านไปรวดเร็วนัก อีกสองวันก็จะเป็นวันครบรอบที่ฉันพบเขาครบสามปี แต่วันนี้ฉันไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ที่ส่วนไหนของโลก จะเป็นแผ่นดินผืนเดียวกับฉันไหม ไม่อาจรู้แน่ แต่ฉันระลึกถึงเขาตลอดสามปีที่ผ่านมา ทั้งในเวลาที่โดดเดี่ยว และบางเสี้ยวที่มีใครสักคนเดินอยู่เคียงข้าง และในเวลานี้ที่ฉันกลับมาเดินตามลำพังอย่างกล้าแกร่งขึ้นฉันก็ไม่เคยลืม และฉันยังรอคอยที่จะฟังข่าวคราวความเป็นไปของเขาเสมอ 

...ระลึกถึงเสมอ ...				
22 มิถุนายน 2549 16:09 น.

....................

ยังเยาว์

....................				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟยังเยาว์
Lovings  ยังเยาว์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟยังเยาว์
Lovings  ยังเยาว์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟยังเยาว์
Lovings  ยังเยาว์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงยังเยาว์