24 มิถุนายน 2552 05:28 น.
ยักษ์ใหญ่ใจดี
เป็นประโยคสั้นๆ แต่ความหมายนั้นมากมายเหลือเกิน ถ้าแปลตรงตัวก็แปลว่า ฉันไม่สามารถเห็นวันพรุ่งนี้ได้ แต่ฉันก็จะไม่พูดถึงความโศกเศร้า เมื่อรวมกับประโยคแรกของเพลงนี้ I can think of the younger days when living of my life was everyhing a man could want to do ก็จะหมายถึง ชีวิตที่ผ่านมาไม่สามารถมองเห็นอนาคตได้เลย แต่ก็จะไม่พูดถึงความโศกเศร้าที่เคยเจอมา ฟังจนจบก็รู้สึกว่าตรงกับชีวิตตัวเองเหมือนกัน ได้ข้อคิดอันนึงคือ แม้ว่าอนาคตจะมืดมนเพียงใด เราก็ต้องลืมความโศกเศร้าที่เคยเจอมาให้ได้ เป็นเพลงที่ฟังเพราะ และได้ข้อคิดครับ ถ้าใครรู้จักชื่อเพลง รบกวนบอกด้วยนะครับ ขอขอบคุณล่วงหน้า ณ ที่นี่ด้วย
5 มิถุนายน 2552 20:47 น.
ยักษ์ใหญ่ใจดี
'ไง ปังคุง เมื่อวานเป็นดาวเด่นเลยนี่หว่า เล่นเอาฮากันทั้งหอประชุมเลย' ป้อมพูดขึ้นระหว่างเดินไปเรียนด้วยกันกับก้อย
'จะชมหรือจะด่ากูก็เอาสักอย่างสิวะ ่านี่ ตื่นเวทีเว้ย แถมเหตุการณ์พาไปอีก'ผมกลบเกลื่อนเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อวาน ใครจะไปเชื่อว่าผมรับงานผู้ช่วยยมทูต
'ไม่นานเดี๋ยวก็ดังแบบปังคุ...โอ๊ย!! เบิ๊ดหัวกูทำไมฟะ!'
'ถ้ากูเป็นปังคุง แกก็เป็นเจมส์ละวะ'
'จะเอาเรื่องเรอะ'
โชะๆ เสียงรองเท้าฟาดหน้า จะเป็นใครไม่ได้นอกจากยายก้อยจอมเฮี้ยวนี่เอง
'หนวกหู อยากตายใช่มั้ย' เรียบๆ แต่อำมหิต ทำให้สองหนุ่มเงียบอย่างจำยอม
'ว่าแต่ โทษทีนะ ไม่รู้ชั้นเป็นอะไรเป็นลมระหว่างงานซะได้ ลำบากนายแย่เลยนะปัง'
'อะไรกัน คิดมากน่า แกน่ะโหมงานมากไปน่ะสิ เหนื่อยนักก็บอกกันก็ได้'
'ปัง นายห่วงเราด้วยหรอ'
'ห่วงสิ'ผมทำหน้าตาจริงจัง จับไหล่แก้มไว้ทั้งสองข้าง
'ปัง...'ก้อยทำหน้าแบบซาบซึ้ง
'แกล้งคนอื่นไม่มันเท่าแกล้งแกแล้วละ 555' ก้อยตอบรับความจริงใจด้วยรอยรองเท้าบนหน้าผมอีกหนึ่งแห่ง
'ใช่สิ ขาดความงามของดาวมหาลัยอย่างชั้นไป งานคงจืดชืดน่าดู ป่านนี้ หนุ่มๆคงตามหาอยู่แน่ๆเลย' ไม่ทันไร ผมกับป้อมอยู่ห่างเสาไฟฟ้านึงแล้ว พูดพร้อมๆกันว่า
'ก้อย!! ดูปากชั้นนะ เหรอ.........!!!!'
'ไอ้บ้า! เรื่องเลวนี่เก่งนักนะ พวกแกนี่' ก้อยคว้ารองเท้าที่ใช้ประทับใบหน้าผมกับป้อมเป็นประจำไล่เขวี้ยง นี่ถ้าไม่ติดว่าโตแล้วกับใส่ชุดนักศึกษา เราก็เป็นเด็กกะโปโลธรรมดาที่เล่น
สนุกไปวันวันนึง เป็นอย่างนี้ทุกวันก็ดีนะ ผมคิด
'ปัง !! แย่แล้วละ ท่านอธิการบดีต้องการพบตัวเธอด่วนนะ' วิกรุ่นพี่หนุ่มสวยของเรานั่นเอง
'ทำไมหรอ หรือว่าท่านอธิการบดีต้องการชื่นชมผม'
'ต้องการไล่ออกสิไม่ว่า ท่านโกรธมากเลยนะ ที่ทำงานกีฬามหาลัยกลายเป็นงานทอล์คโชว์ไปซะงั้น(ไอ้เจ้าบ้าสามหัวเอ๊ย ทำเรื่องให้กูแล้วมั้ยล่ะ ผมคิด)'เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ยังไงๆคนอื่นก็คิดว่าเราต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ก้อยกับป้อมขอตามไปด้วย แต่ผมไล่ให้ไปขึ้นห้องก่อนเพราะไม่อยากให้เสียเวลาไปด้วย สักพักผมก็อยู่ในห้องพร้อมกับอธิการบดีซึ่งกำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่
'คุณทำได้งามหน้ามากนะ ในงานมีคนนอกเข้ามาด้วย แถมถ่ายทอดสดอีก ชื่อเสียงมหาวิทยาลัยของเราป่นปี้กันพอดี เรื่องนี้คุณจะรับผิดชอบยังไง หา!'
'เอ่อ ท่านอธิการบดีครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ เพราะตอนนั้นผมตื่นเวทีไปหน่อย แถมเผลอตัวไปด้วย เลยตามเลยน่ะครับ'ผมแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี
'ตื่นเวที? เผลอตัว? เรื่องแค่นี้น่ะเหรอที่คุณคิดว่าจะใช้อ้างเพื่อที่จะทำลายชื่อเสียงมหาวิทยาลัยของเรา ให้ตายสิ ตอนแรกผมนีกว่านายพานจะทำหน้าที่นี้ซะอีก ทำไมกลับกลายเป็นนักศึกษาไร้อันดับอย่างคุณไปได้ คุณไปทำยังไงถึงไปแทนที่ได้ หือ'
ผมเริ่มเคืองนิดหน่อย แต่ก็อดทนไว้'คือว่านายพานท้องเสีย(ฝีมือกูเอ๊ง 555)กระทันหันน่ะครับ ผมก็เลยต้องทำหน้าที่แทน'
'อ๋อ ฝีมือคุณใช่มั้ย(เดาถูกอีก) คนอย่างนายพาน ไม่สิ นักศึกษาเกียรตินิยม(ด้านหลีหญิง)อันดับหนึ่งอย่างนายพานจะมาพลาดท่าเพราะแค่ท้องเสียอย่างนี้ได้ยังไง คุณใช่มั้ย คุณคงมาจากครอบครัวยากจนสินะ พ่อแม่คงไม่ได้สั่งไม่ได้...อุ๊บ'ไม่ต้องบอกคุณผู้อ่านคงรู้ว่าผมฟิวส์ขาดไปเรียบร้อยแล้ว มือไวกว่าความคิด ผมกระชากคอเสื้ออธิการบดีขึ้นมาทันที
'มึงอยากตายเร็วมากนักใช่มั้ย เดี๋ยวกูสงเคราะห์ให้'
'ทำอะไรน่ะ! ผมเป็นอธิการบดีนะ ผมจะไล่คุณออก! เอาตำรวจมาจับคุณเข้าคุกด้วย!'
"เชิญตามสบาย ก่อนหน้านั้นมึงก็ตายไปแล้ว" ทันใดนั้นเอง ควันสีดำออกมาจากร่างผมครอบคลุมทั่วร่าง
'เหวอ!! แกเป็นตัวอะไรกันแน่เนี่ย'ท่านอธิการบดีเสียงหลง
'ข้าจะมาเอาชีวิตแกไง'ผมเริ่มเอะใจ ไม่ใช่เสียงตัวเองนี่หว่า แต่เป็นเสียงแหบฟังแล้วน่าขนลุก
'พอแค่นั้นแหละ'เจ้าบ้าสามหัวไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนพูดขึ้นมา
'หึ เซบิรุสงั้นรึ ข้าน่ะไม่ได้กระจอกอย่างเมื่อก่อนแล้วนา' ปากผมขยับโดยไม่รู้ตัว
'ได้เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของโลกปีศาจหน่อยอย่าลำพองไปหน่อยเลย'
'ลองดูมั้ยละ' พริบตาเดียวผมไปอยู่ข้างหลังเจ้าบ้าสามหัว แต่ในเวลาไม่แตกต่างกัน
ผมโดนหางของเจ้าบ้าสามหัวซัดกระเด็น แน่นอนผมคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ
'หึ อยู่ในร่างมนุษย์ยังเคลื่อนไหวได้แบบนี้สมกับเป็นคู่แข่งของข้าจริงๆ'เจ้าบ้าสามหัว
พูดขึ้น
'ขอบใจที่ชม อีกไม่นานข้าจะยึดร่างนี้แล้วเราก็จะมาสู้กันใหม่ เตรียมล้างคอได้เลย' หลังจากนั้นผมก็หมดแรงอยู่ตรงนั้น
'เกือบตายแล้วมั้ยล่ะ'เจ้าบ้าสามหัวพูดขึ้น
'เกิดอะไรขึ้นเนี่ย' ผมเพิ่งพูดด้วยเสียงตัวเองได้เป็นครั้งแรก การเคลื่อนไหวด้วย
'แกโดนสิงอยู่เมื่อกี้ ไม่รู้ตัวเลยเรอะ'
'สิงหรือ ใครละ'
'นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งโลกปีศาจ อังเดร'
'เป็นปีศาจ? ทำไมปีศาจถึงมาสิงมนุษย์ธรรมดาอย่างชั้นล่ะ'
'เพราะพลังยมทูตในตัวเจ้าไงล่ะ รวมทั้งพลังวิญญาณของเจ้าด้วย ปกติพลังทั้งสองอย่างนี้จะซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ พอถูกใช้งานเมื่อไหร่พวกปีศาจที่ต้องการพลังก็จะมาหาเจ้าซึ่งมีพลังทั้งสองอยู่มากยังไงล่ะ'
'งั้นหรือ'
'แต่ว่าท่าทางอังเดรจะรู้ตัวนายอยู่ก่อนหน้านี้แล้วก็เลยเข้าสิงตั้งแต่เมื่อวานแล้วละ'เจ้าบ้า
สามหัวพูดอย่างเคร่งเครียด
'ทำไมล่ะ'ผมเริ่มตามไม่ทัน
'เมื่อวานพวกข้าลองตรวจสอบพลังวิญญาณของเด็กที่ชื่อก้อยดู เป็นปกติธรรมดาทั่วไป แถมพลังยมทูตเป็นศูนย์ นั่นก็แสดงว่าสิ่งที่ก้อยเห็นก็คือ อังเดรนั่นแหละ ยังดีนะที่พวกข้ามาก่อน ถ้าเกิดเป็นแบบวันนี้อะไรจะเกิดขึ้นละ' ผมอึ้งสนิท ถ้าเกิดอังเดรปรากฏตัวต่อหน้า
ก้อย เธอคงโดนฆ่าอย่างไม่ต้องสงสัย
'แล้วก็นะ อังเดรใช้พลังงานวิญญาณกับยมทูตนายในการเคลื่อนไหว วันนี้เจ้าน่าจะเหนื่อยมากอยู่เฉยๆไปสักพักแล้วกัน'พอเจ้าบ้าสามหัวพูดจบ ความเมื่อยล้าจู่โจมเข้าหาทันที แถมยังง่วงด้วย
'วันนี้ทั้งวันห้ามหลับเด็ดขาดนะ ไม่งั้นเจ้าอังเดรยึดร่างเจ้าแน่ๆ พูดตรงๆก็คือได้ตายแน่ว่างั้นเถอะ ส่วนเรื่องตาลุงเหลาเหย่นั่นไว้ให้พวกข้าจัดการเอง'ง่วงด้วย เมื่อยด้วย แต่ห้ามหลับ ทำไมถึงซวยยังงี้ฟะ
วันนั้นทั้งวันผมต้องแข็งตาเรียน ซดกาแฟไปหลายถ้วย ถึงบ้านหลับเป็นตาย ความนึกคิดสุดท้ายของผมคือ จะมีอะไรแย่กว่านี้มั้ยเนี่ย เสียงสุดท้ายที่ผ่านเข้ามาในหัวผมก่อนหลับเป็นเสียงของ
เจ้าบ้าสามหัว บอกว่า 'นี่มันเพิ่งจะเริ่มเว้ย' สติผมดับวูบไปอย่างรวดเร็วเพราะความเมื่อยล้าของร่างกาย
11 มิถุนายน 2551 08:43 น.
ยักษ์ใหญ่ใจดี
เธอเห็นผมเป็นแค่น้องชาย คนที่เธอชอบก็เป็นเพื่อนที่รู้จักเธอมาก่อนผมตั้งสามปีอีก แถมผมกับเธอก็ยังต้องเจอะเจอกันบ่อยๆอีก เธอบอกความจริงกับผมแบบตรงๆโดยไม่รู้เลยว่าผมจะรู้สึกอย่างไร อยากลืมเธอ หายไปจากชีวิตของเธอและเพื่อนผมคนที่เธอชอบเหลือเกิน แต่ตอนนี้จิตใจยังอ่อนแอเกินไป สักวันผมต้องบอกความในใจให้เธอได้ฟังแม้ว่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว ตอนนี้บอกไปผมคงล้มทั้งยืน ขอเวลาสักพัก ให้ผมเข้มแข็งพอก่อน ถึงตอนนั้นคงมีไม่กี่สิ่งที่ผมอาจจะทำ คืออย่างแรก หายไปจากชีวิตของทั้งสองคนนั้น สองยอมรับสภาพแล้วใช้ชีวิตเหมือนเดิม และสาม ได้พบรักกับคนใหม่ก่อนหน้าที่จะบอก ผมเดาว่าคงเป็นอย่างแรกมากที่สุด ถ้าผมโชคดีได้อย่างที่สามยังไงก็ต้องบอกกับเธอคนนั้นก่อน ไม่ให้ติดค้างใจด้วย เฮ้อ ผมเป็นคนร้องไห้ยากด้วย แต่ถ้าได้ร้องออกมาอาจจะดีกว่าก็ได้นะเนี่ย ถ้าผมไม่สนิท ไม่ผูกพันธ์กับเธอ หรือเกลียดเธอตั้งแต่แรก ผมคงไม่ตกสภาพแบบนี้แน่นอน
8 มิถุนายน 2551 00:12 น.
ยักษ์ใหญ่ใจดี
ผมได้สติขึ้นมาอีกครั้ง แก้มยังไม่รู้สึกตัว ผมจะเข้าไปขยับตัวอีกครั้งแต่คราวนี้มือผมผ่านตัวเธอราวกับอากาศ
นี่มันอะไรกันเนี่ย ผมเริ่มสับสนไปหมด
ทำงานแบบนี้ก็ต้องอยู่ในร่างวิญญาณเป็นเรื่องธรรมดานั่นแหละ เจ้าบ้าสามหัวที่อยู่ข้างๆตอบ
แก.
หือ มีอะไร จะขัดขืนเรอะ อยากไปอยู่ในนรกใช่มั้ย
ใครอ่ะ ผมถามซื่อๆ
ง่ะ.เจ้าเด็กบ้า.จำไม่ได้เรอะ ที่เจ้าถูกรถชนจนต้องให้พ่อข้าช่วยต่อชีวิตให้น่ะ
อ๋อ นึกออกแล้ว แล้วชั้นก็ต้องทำงานช่วยนรกเป็นการตอบแทนใช่มั้ย
ใช่ เร็วๆเข้า วิญญาณเพิ่งเกิดใหม่ ปล่อยไว้ยิ่งนานยิ่งจับยาก
เดี๋ยว ชั้นเป็นร่างวิญญาณอย่างนี้แล้วร่างเนื้อล่ะ
ไม่ต้องห่วง ร่างเนื้อข้าจับแยกไว้อีกมิตินึง เสร็จงานแล้วเดี๋ยวคืนให้
ทำอย่างกับยืมตังงั้นแหละ เดี๋ยว แล้วงานกีฬามหาลัยล่ะ ออกมากลางคันอย่างนี้ไม่เป็นไรหรอ
เรื่องมากเดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยวซะนี่
เฮ่อ หวังว่าแป๊บเดียวนะ ผมตอบเซ็งๆ
ผมตามเจ้าบ้าสามหัวไปเรื่อยๆ สักพักก็พอเริ่มเข้าใจ อุบัติเหตุรถชนกันนี่เอง รถเก๋งกับแท็กซี่ คนขับซี้ไปแล้วทั้งคู่ แต่ดูท่าทางยังไม่รู้ตัวว่าตายไปแล้ว ยังเถียงกันไม่เลิก
แกนั่นแหละผิด
แกอยู่ดีๆเลี้ยวไม่เปิดไฟทำไมเล่า
กูรีบไปส่งรถเฟ้ย ข้ออ้างหลักๆของพวกขับแทกซี่
เอ่อพี่ๆคับ ช่วยฟังทางนี้หน่อยนะคับ
อย่าเสือก!!! ทั้งสองพูดพร้อมกัน ผมเริ่มมีน้ำโห
เฮ้ย พวกมึง ตายไปแล้วยังจะเถียงกันอีกเรอะ!!
ตายไปแล้ว พูดเรื่องอะไรของแกคนขับแทกซี่พูดขึ้น
ลองหันไปดูผลงานที่ตัวเองก่อขึ้นสิ ผมพูดเรียบๆ ทั้งคู่หันไปดู ซากรถที่พังยับเยิน ร่างของทั้งคู่กำลังถูกลำเลียงเข้ารถปอเต๊กตึ๊ง ท่าทางเพิ่งรู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว เลยนิ่งเงียบ
เอาละ เมื่อเข้าใจแล้วก็ตามมาซะ
ว่าแต่ แกเป็นใครน่ะ ดูท่าทางน่าจะเป็นวิญญาณเหมือนกันนี่หว่า คนขับรถเก๋งพูดขึ้นบ้าง
ผมรับจ๊อบน่ะ พาวิญญาณบนโลกไปนรก
มีงี้ด้วยหรอ ปกติต้องเป็นสุวรรณกับสุวาณไม่ใช่หรอที่เห็นตามขายหัวเราะน่ะ ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันนะ
ไม่ใช่ มันต้องเป็นแสงสว่างต่างหากแล้วก็มีมือคนยื่นมา นิยายเรื่องไหนฟะ
อย่ามั่ว ทั้งสองพูดพร้อมกัน สงสัยเป็นคู่ตลกตั้งแต่ชาติปางก่อนมั้ง ผมคิด
ใช้มือขวาของเจ้ารับวิญญาณมาซะ ในที่สุดเจ้าบ้าสามหัวพูดขึ้น ผมดูมือขวาของตัวเอง จากมือธรรมดากลายเป็นมือโครงกระดูกที่มีชายเสื้อสีดำคลุมทับ ที่มือมีเคียวอยู่
ใช้เคียวตัดโซ่กรรมของเจ้าสองตัวนั่นซะ ทั้งสองเริ่มหวาดกลัว ผมไม่รอช้า วาดเคียวตัดโซ่กรรมที่ติดตัวทั้งสอง แต่วิญญาณกลับไม่หายไปหรือมีประตูโผล่ขึ้นแบบเรื่องbleachเลย
ต้องทำยังไงต่อล่ะ ผมถาม
ก็ต้องพาไปส่งที่ประตูนรกน่ะสิ เจ้าบ้าสามหัวกำลังคุยมือถือกับใครบางคนอยู่ พอดีเลย เดี๋ยวจะพาไปแนะนำกับยมทูตตัวจริงไว้น่าจะดีกว่า ผม วิญญาณทั้งสอง และเจ้าบ้าสามตัว พาไปอีกที่นึง สักพักผมเห็นชายสวมชุดผ้าคลุมสีดำ ไม่เห็นหน้า มือมีแต่กระดูกเหมือนผมเลย ที่สำคัญวิญญาณนับร้อยถูกผู้ชายคนนั้นจูงอยู่ แต่ละดวงเงียบสงบไม่เหมือนสองดวงของผมที่เอาแต่ทะเลาะกัน
อ้าว ท่านอาเบล วันนี้มาเที่ยวบนโลกมนุษย์อีกแล้วหรอ ยมทูตพูดขึ้น ใครหว่าชื่อเชยระเบิด
ก็นะ ช่วงนี้เบื่อๆน่ะ เลยหาอะไรทำแก้เซ็ง เจ้าบ้าสามหัวตอบ เป็นแค่หมามีชื่อเรียกอย่างนี้เลยเรอะ
ไม่ใช่เป็นแค่หมาเว้ย นี่น่ะท่านอาเบล ถือเป็นผู้ใกล้ชิดกับท่านมัจจุราชเชียวนะ ยมทูตตนนั้นพูดราวกับอ่านใจผมออก
ว่าแต่ท่านอาเบล วันนี้ทำไมทำงานแทนยมทูตคนอื่นล่ะ
อ๋อ เปล่าน่ะ วันนี้แค่พาเด็กฝึกงานมาให้รู้จักเท่านั้น เอ้า นี่นาคิม ส่วนเจ้าเด็กใหม่ชื่อปังคุง
อืม แต่ดูท่าทางเจ้ายังไม่ได้เป็นวิญญาณเต็มตัวนี่นา นาคิมพูดขัดขึ้น
เรื่องมันยาวน่ะ อีกอย่างส่วนที่เป็นยมทูตก็เป็นแค่มือขวาด้วย อาเบลตอบ
แต่ว่าเจ้าเด็กนี่ก็จะใช้ชีวิตตามปกติยังไงล่ะ
อันนั้นก็ต้องใช้เวลา มนุษย์ทั่วไปทำได้แบบนี้ก็ถือว่าแปลกแล้ว
แปลกหรือ? ยังไงล่ะ. ผมพูดขัดขึ้นบ้าง
พลังยมทูตน่ะ เป็นพลังที่ใช้ควบคุมวิญญาณ ใช้โดยวิญญาณที่อยู่บนโลกนี้มาไม่น้อยกว่าร้อยปีขึ้นไปโดยไม่เปลี่ยนไปตาม กิเลส ปกติแล้ววิญญาณธรรมดาจะถูกพลังนี้ควบคุม แต่เจ้ากลับไม่เป็นอะไรเลยใช่มั้ยล่ะ
ก็จริงนะ
เอาละ ได้เวลาส่งวิญญาณซักที นาคิมพูดพลางใช้เคียวยาวที่ถืออยู่วาดเรียบๆไปในอากาศหนึ่งครั้ง ช่องว่างสีดำปรากฏขึ้นพร้อมกับดูดวิญญาณที่ผมและนาคิมจับมาได้ หลังจากนั้นช่องว่างก็หายไปอย่างรวดเร็ว
หมดเวลาทำงานแล้ว เอาละ เจ้าก็ตั้งใจฝึกกับท่านอาเบลให้ดีแล้วกัน หลังจากนั้นนาคิมก็หายไปพร้อมกับลมพัดวูบนึง
เอาละ ข้าก็ขอตัวละนะ แล้วก็ นี่ ร่างเนื้อเจ้า วันหลังข้าจะมาฝึกพลังยมทูตให้แล้วกัน อาเบลพูดจบผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองหนักอึ้งขึ้นในพริบตา ผมจับตัวเอง นี่คือเราเรอะ ตอนเป็นวิญญาณดีกว่านี้เยอะเลย ตัวเบากว่าเยอะ ผมคิดแปลกๆ เจ้าลูกหมาคลอเคลียไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อครู่เลย จริงสิ แล้วงานกีฬาล่ะ ผมนึกได้รีบกลับไปที่มหาวิทยาลัย อุ้มเจ้าหมามาด้วย ทำไงดีหว่า เล่นหายไปกลางคันแบบนั้น
คนแรกที่ผมเจอคือ วิก
เธอไปไหนมาน่ะ ทุกคนตามหาเธอแทบแย่เลยรู้มั้ย
ขอโทษครับ คือว่า
จะขอโทษทำไมล่ะ ก็เธอทำหน้าที่ได้สุดยอดเลยนี่นา
หา ผมงงเต๊ก
จะ หา ทำไมล่ะ ทุกคนรอเธออยู่นะ ทุกคนรออยู่?
งั้นแก้มล่ะครับ ผมถามด้วยความรีบร้อน
ห้องพยาบาลน่ะ ไม่รู้เป็นอะไรอยู่ๆเป็นลมกลางคันอย่างนั้น ตอนนี้อยู่ห้องพยาบาล นี่จะรีบไปไหนน่ะ ผมนึกถึงเธอคนแรกเพราะไม่รู้ว่าเธอได่เห็นภาพอะไรจนทำให้เธอหมดสติไป
แก้ม!! ภาพที่ปรากฏต่อหน้าผม ไม่จริง!!!
ซู้ดดดด แหม่ นานๆทีได้กินบะหมี่ถ้วยจนหายอยากนะเนี่ย อ้าว ปัง มากินด้วยกันมั้ย พอดีฉันเห็นใครไม่รู้ทิ้งไว้เลยจิ๊กมากินน่ะ ลืมบอกไป ยัยนี่ชอบกินบะหมี่กระป๋องมากแต่ที่บ้านไม่ให้กินเลยต้องมาหากินเอาตามมหาลัย
ยัยบ้า เพิ่งฟื้นตัวมากินแบ.บ. ก่อนพูดจบ ฉึกๆๆ ไม้จิ้มฟันปักข้างหัวผมโดยไม่รู้ตัว
หนกขู คนมันอยากกินนี่ยะ
เออช่างเหอะ ว่าแต่ไม่เป็นไรใช่มั้ย อยู่ๆเป็นลมไปแบบนั้นน่ะ
อืม ขอโทษนะ ทำให้เธอต้องเดือดร้อนไปด้วย
ไม่เป็นไรหรอกน่า ผมพูดพลางลูบหัวเธอเบาๆ ว่าแต่ถามอะไรแปลกๆหน่อยนะ จำอะไรได้บ้างมั้ยก่อนที่จะเป็นลมไปน่ะ
อืมก็แค่ทะเลาะกันเรื่องลูกหมา จากนั้นหรอ จำไม่ได้แล้วอ่ะ ทำไมหรอ แก้มพูดพลางเกาหัว
เอาเถอะ วันนี้กลับไปนอนก่อนเถอะ พักนี้คงเหนื่อยสินะ
อือ จริงด้วย ว่าแต่ขอกินหมี่ป๋องให้เสร็จก่อนนะ แก้มพูดซื่อๆ
ยัยบ้า แอบเอากลับไปกินที่บ้านก็ได้นี่นา
ตาบ้า ขืนพ่อแม่ชั้นจับได้ก็ซวยดิ ผมคุยสัพเพเหระกับแก้มไปเรื่อยจนเย็นแล้วก็กลับบ้าน คืนนั้น ก่อนนอน อาเบลอยู่กับผมในร่างวิญญาณ
อย่างเมื่อตอนกลางวันนี้ ที่มือเจ้ากลายเป็นแขนยมทูตไปส่วนนึงได้เพราะว่าข้าแบ่งพลังให้ส่วนนึง ลองมาคิดดูแล้วที่เจ้าไม่โดนพลังกลืนกินเข้าไปเจ้าก็น่าจะมีพลังยมทูตอยู่ด้วย
อย่างนั้นหรือ แล้วทำยังไงถึงจะเรียกพลังยมทูตออกมาได้ล่ะ ผมชักเริ่มตื่นเต้น
ใจเย็นก่อนเจ้าหนู เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมมันให้ได้ก่อน ก่อนอื่นข้าจะเปิด ประตู ของเจ้าก่อน จำความรู้สึกให้ดีล่ะ คราวหลังจะได้เปิดได้ด้วยตัวเอง พยายามควบคุมให้ดีด้วยล่ะ หลังจากนั้นอาเบลได้เอากรงเล็บจิ้มทะลุหน้าผากผม บางสิ่งบางอย่างกำลังไหลครอบคลุมทั่วร่าง ร่างผมจากที่เป็นร่างธรรมดาเริ่มกลายเป็นร่างยมทูตอย่างช้าๆ
เอาล่ะ ลองหยุดแค่ครึ่งบนตัวก่อนซิ อาเบลสั่ง
หยุดยังไงล่ะ
ก็แค่ใช้พลังวิญญาณหยุดมันก็พอแล้วนี่
แล้วทำยังไงล่ะ
ก็แค่ตั้งสมาธิ บังคับให้พลังวิญญาณไปหยุดพลังยมทูตก็พอแล้ว พลังจิตใจคือต้นกำเนิดพลังวิญญาณนั่นล่ะ ผมลองตั้งสมาธิพร้อมนึกว่า จงหยุดๆ สักพัก ร่างยมทูตของผมก็เริ่มหยุดตรงส่วนลำตัว
เอาล่ะ ข้าจะปิด ประตู ละนะ ทีนี้เจ้าลองใช้พลังวิญญาณเปิดมันออกมาดู ช้าๆนะ อาเบลผลักพลังยมทูตของผมพร้อมปิดประตูกลับเข้าสู่สภาพเดิม ผมบังคับพลังวิญญาณตัวเอง ค่อยๆค้นหาประตูที่ว่า เมื่อเจอแล้วจึงเริ่มเปิด แต่พลังยมทูตไหลออกมาเร็วกว่าที่คิด
เจ้าบ้า หยุดพลังไว้ก่อน ผมหยุดพลังยมทูตไว้
เอาล่ะ แล้วค่อยปล่อยมันอย่างช้าๆนะ จนทั่วร่าง พอถึงจุดนั้นแล้วค่อยหยุด
ดูแล้วเหมือนเปิดปิดก๊อกน้ำเลยแฮะ
ก็คงใช่ ผมหยุดพลังยมทูตไว้เมื่อพลังครอบคลุมร่างได้พอดี
เอาล่ะ กลับสู่สภาพเดิมซะแล้วก็วันนี้ก็แค่นี้ละ อาเบลสั่ง
แค่นี้เองหรือ น่าจะสอนอะไรมากกว่านี้นะ ผมท้วง
จะรีบร้อนไปไหน ถ้าเจ้าควบคุมพลังไม่ได้ข้าก็จะเดือดร้อนอีกน่ะสิ
เดือดร้อน? ยังไงล่ะ
อธิบายตอนนี้ยังไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาหรอก ว่าแต่เปลี่ยนเรื่องหน่อยนะ จำเด็กที่อยู่กับเจ้าที่เวทีงานกีฬามหาลัยได้มั้ย
แก้มน่ะหรอ ทำไมล่ะ
ที่เด็กคนนั้นสลบไปเพราะเห็นข้าน่ะสิ
แล้วยังไงล่ะ ผมไม่ค่อยสนใจเพราะดูเหมือนแก้มจะจำอะไรไม่ค่อยได้
มนุษย์ที่เห็นข้าที่เป็น สัตว์ปีศาจ หรือสิ่งมีชีวิตของนรกได้ด้วยตาเปล่าน่ะ ต้องมีพลังวิญญาณสูงทีเดียว ระวังไว้ด้วยล่ะ
ระวังหรือ จากอะไรล่ะ ผมถามงงๆ
ก็นะ บางทีก็มีวิญญาณที่ตกค้างในโลกมนุษย์ที่ยมทูตไม่ได้เก็บ วิญญาณเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะถูก กิเลส ครอบงำจนกลายเป็นภูตผี ยิ่งเวลาผ่านไปก็จะกลายเป็นปีศาจ แล้วพวกนี้ก็กระหายวิญญาณมีพลังสูงด้วย
หมายถึงว่า เธออาจโดนภูตผีเหล่านี้เล่นงานเมื่อไหร่ก็ได้น่ะสิ
ใช่แล้ว แต่ถ้าเจ้าเป็นยมทูตเร็วขึ้นเมื่อไหร่ เจ้าก็คงปกป้องเด็กคนนั้นได้ละนะ ไม่ต้องห่วงไป
ว่าแต่ตอนที่ชั้นอยู่ในร่างวิญญาณแล้ว ดูเหมือนร่างเนื้อจะยังไม่ได้ส่งไปอีกมิตินี่นา ผมชักสงสัย
คิดไปเองรึเปล่า ข้าส่งร่างเนื้อเจ้าไปเองกับมือเลยนา
ไม่ใช่สิ ตอนที่กลับมาที่มหาลัย ดูเหมือนชั้นจะยังอยู่ในงานนะ
อืม หรือว่า.เฮ้ย !!เจ้าสองตัวน่ะ สองหัวที่หลับมาตลอดลุกขึ้นมาแก้ตัวเขินๆ
อ้าว ก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ เจ้าก็ไม่ได้เสียงานน่ะ
อืม แต๊งกิ้วหลายๆ
บ่เป็นหยัง
คืนนั้นผมนอนไม่หลับ ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ แต่เป็นเรื่องของแก้มมากกว่า ถ้าเราเป็นยมทูตได้เราก็จะปกป้องเธอไว้ได้ แต่เราจะทำได้รึเปล่านะ ท่าทางพลังนี้ยังมีอะไรที่เรายังไม่รู้ซะด้วยซิ ผมคิดวนไปวนมาจนหลับไป
3 มิถุนายน 2551 02:18 น.
ยักษ์ใหญ่ใจดี
อาทิตย์ต่อมา นายปังได้ออกจากโรงพยาบาล เรื่องที่โดนรถชนเหมือนกับความฝัน แผลที่บาดเจ็บหายจนหมอยังแปลกใจ ทั้งปังและแก้มไม่ได้คิดอะไรมากและจดจ่อเกี่ยวกับงานกีฬามหาลัย แก้ม(versionดาวมหาลัย)คุมงานฝั่งจัดเวที ส่วนปัง(Version Die Hard4.0) รับหน้าที่General Supporter พูดง่ายๆ คือ เบ๊นั่นเอง
นายปัง ตรงนั้นอย่าระบายให้มันเข้มเกินไปนักสิ เสียงของวิทิต หรือ ที่คนอื่นเรียกติดปากว่ายัยวิก ชายร่างเล็กดูคล้ายผู้หญิง เป็นพี่บัณทิตของมหาลัย แล้วก็อย่าลืมขนกระถางต้นไม้กับเสื้อเชียร์ของน้องๆมาด้วยละ
ครับๆ ได้ข่าวว่าตูเพิ่งออกจากโรงบาล ผมคิด
เออแก้ม แล้วตกลงพิธีกรชายที่จะมาแทนคนที่เจ็บไปน่ะ หาได้รึยัง วิกถาม
แก้มถามคนอื่นแล้วค่ะพี่ ก็คงเหลือคนเดียวน่ะล่ะค่ะ ยัยก้อยชี้มาทางผม ด้วยรูปร่างหน้าตาไม่เป็นมิตรบวกกับท่าทางนักเลง ทำเอาวิกอึ้งไปครู่นึง
ว่าแต่ปัง เธอมั่นใจว่าจะทำได้เหรอ งานคราวนี้เป็นทางการไม่เหมือนที่เธอเคยพูดให้นิสิตและอาจารย์หัวเราะชอบใจแบบที่ผ่านมานะ
ถ้าไม่มีทางเลือกละก็นะ ผมถอนหายใจเบาๆ
ลืมใครไปรึเปล่าครับ ถ้าให้นักเลงนั่นเป็นหน้าตามหาลัยคงเสียหน้าแย่ เสียงคุ้นหู นายพานนั่นเอง มันยังอาฆาตผมไม่เปลี่ยน ผมเฉยๆ ขี้เกียจพูดกับมัน
เออสิ อย่างพานอาจจะเหมาะสมกับงานนี้มากกว่าก็ได้ วิกพยักหน้า ว่าไงแก้ม คิดว่าจะเป็นพิธีกรคู่กับพานได้มั้ย
เอ่อ.ถ้าพี่วิกว่ายังงั้น..ก็ได้ค่ะ..เดาว่า ยัยแก้มคงโต้แย้งอะไรไม่ได้ เพราะพานเป็นนศ.ดีเด่น หน้าตาดี พ่อรวยด้วย(เกี่ยวมั้ยนี่)
มันแน่อยู่แล้ว หนุ่มหล่อมันต้องคู่กับสาวสวย(ยัยแก้มเนี่ยนะ)เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ไอบ้านนอกอย่างแกน่ะฝันไปเถอะ ไปกันเถอะแก้ม ไอพานถากถางผม แล้วโอบไหล่แก้มจากไป ดูท่าสาวน้อยจะมองผมอย่างเศร้าๆ
เอาวะ เมื่อเพื่อนอยู่ในที่นั่งลำบาก จะไม่ให้ช่วยก็กระไรอยู่ เย็นวันนั้นผมนัดแก้ม(Version เด็กกะโปโล) พร้อมแผนพิฆาตไอพาน เอาให้มันอายจนแทรกแผ่นดินหนีเลย หึๆๆๆๆๆ แผนมีอยู่ว่าผมจะเตรียมข้าวกล่องบูดให้แก้มเอาไปให้พานกินก่อนวันเปิดงาน เอาให้มันขี้แตกกลางเวทีขายขี้หน้าประชาชี หัวเราะทีหลังดังกว่าเฟ้ย หึๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ทั่นผู้อ่านคงนึกสภาพนายปังออก เขี้ยวงอกหางโผล่แล้วละคับ ชั่วร้ายจริงๆ
แต่พอถึงวันงาน ยัยก้อยกระหืดกระหอบวิ่งมาหาผม
ปัง!! ปัง!!
อะไรวะ โหวกเหวกเชียว ผมถาม
ก็นายพานน่ะสิ สงสัยเพราะข้าวกล่องที่นายให้ทำพิษ ตอนนี้เลยท้องเสียอยู่ที่บ้านมาไม่ได้น่ะ
อะไรนะ!!? ก็ชั้นอุตส่าห์ย้ำนักย้ำหนาให้แกกะเวลาให้ดีๆไม่ใช่หรอไง
ก็เมื่อวานฉันกะจะบอกมันอย่างนั้น แต่พอเห็นปุ๊บ มันกลับไม่รอกินเดี๋ยวนั้นเลยน่ะสิ
เวนแล้วไง แล้วจะเอายังไงล่ะ แกขึ้นคนเดียวได้มั้ย
จะบ้าหรอ ข้อมูลให้จำเยอะจะตาย เพราะงั้นถึงต้องมีพิธีกรสองคนไงแก้มเสียงแหวว
งานเริ่มเมื่อไหร่ผมถาม
บ่ายโมงตรงน่ะสิ แกจะหาหรอ หาใครที่ไหนล่ะ
ชั้นเอง ผมตอบหนักแน่น
จะบ้าหรอ ข้อมูลเยอะแยะแบบนี้จำได้ภายในวันเดียวยังเป็นไปไม่ได้เลย
ชั้นคิดแผนขึ้นมาชั้นก็ต้องรับผิดชอบสิ
แล้วงานที่แกทำอยู่ล่ะจะเอายังไง
เออน่ะ ชั้นมีแผนดีๆ แกช่วยชั้นหน่อยนะ
สิบนาทีต่อมา
ทำไมกูต้องมาทำงานยังงี้ด้วยฟะ ป้อมนั่นเอง ผมให้แก้มไปขอร้อง(แกมหลอก)ว่า มีเรื่องให้ช่วยเร่งด่วน พอล่อออกมาได้ ผมก็ออกโรงบังคับให้มันช่วยงานแทนผม ไม่งั้นมันก็ต้องขึ้นเป็นพิธีกรแทน
นะจ๊ะป้อม ถึงว่าเห็นเพื่อสาวน้อยบอบบาง ความจริงเราว่าอย่างป้อมน่ะชายชาตรี.
พอเถอะยัยแก้ม เสียดายข้าว ป้อมตอบเซ็งๆ
ทำไมป้อมเป็นคนยังงี้อ่ะ ยัยแก้มทำท่านางเอกเข้าบทโศก
ไม่ต้องเลย ชั้นรู้จักไอปังมาตั้งนาน คิดว่ามันไม่เล่าเกี่ยวกับแกมั่งรึไง
ไอปัง ผัวะ!!!! เสียงรองเท้าฟาดหน้าผมเข้าให้ นี่สิยัยแก้มที่ผมรู้จัก
เออ กูขอร้องละ ทั้งกูและแก้มก็ลำบากเหมือนกันนะเฟ้ย
ช่วยไม่ได้ ไอป้อมปกติที่เหมือนไม่เอาการเอางาน แต่พอเกี่ยวกับเพื่อน มันไม่เคยปฏิเสธ ทั้งผม แก้ม และป้อมอยู่กันได้เพราะพวกเราคล้ายกันตรงจุดนี้นี่เอง
เอาละ ปัญหาต่อไปคือ จำสิ่งที่จะพูดให้ได้ทั้งหมดและซ้อมพูดให้ทันเวลางาน ตอนนี้เก้าโมงแล้ว เหลือเวลาอยู่สี่ชั่วโมง เครียดยิ่งกว่าเตรียมสอบโอเน็ตเอเน็ตอีก(เวอร์เข้าไป) ระหว่างที่ผมและแก้มกำลังเคร่งเครียดอยู่นั้น ผมไม่ได้สังเกตเลยว่า มีสิ่งแปลกประหลาดเหนือธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้อยู่ใกล้ๆตัวผมนี่เอง
ปัง เซตผมให้ดีๆหน่อยสิยะ แก้มบอกผมขณะที่ผมกำลังซ้อมท่องบทพูดพร้อมกับแต่งตัวไปด้วย ผมกังวลอย่างเดียวคือนี่เป็นครั้งแรกที่ต้องทำงานใหญ่แบบนี้ ผมต้องไปพูดท่ามกลางคนทั้งมหาลัยในหอประชุมใหญ่ ครั้งแรกด้วย เป็นใครก็ต้องปอดเป็นธรรมดา
อย่าเพิ่งขาสั่นนา เป็นผู้ชายต้องใจกล้าเข้าไว้ แก้มจับไหล่ผมให้กำลังใจ มองผู้ชมผ่านหลังม่านเวที ผมสังเกตเธอ ไหล่เธอสั่นยิ่งกว่าผมอีก ยัยนี่ทำเป็นเก็บอาการเรอะ
ยัยบ้า ห่วงตัวเองก่อนเถอะ ผมโอบหัวเธอซบไหล่ผมเบาๆ ผมทำยังงี้ประจำตั้งแต่รู้จักกับแก้มแล้ว
ตาบ้า ทำมาดพระเอกเรอะ แก้มปล่อยท่าเฮดล็อครัดคอผมจนหายใจไม่ออก เฮ้ยๆ เดี๋ยวกูก็เดี้ยงไปอีกคนหรอก
ขอบใจย่ะ แบร่ แก้มปล่อยคอผมออกแลบลิ้นใส่ เวลาเธอยิ้มเธอน่ารักเหมือนเด็กๆ ผมถอนหายใจเบาๆ
เอาละ ไปกันเถอะ
อืม
เสียงผู้คนกระหึ่มเวที เมื่อผมและแก้มก้าวออกไป เสียงฮือฮาอื้ออึงดังขึ้นมาเป็นระยะ คงเพราะคนคงไม่ค่อยรู้จักผมเท่าไหร่นั่นเอง
สวัสดีครับ/ค่ะ ขอต้อนรับเข้าสู่งานกีฬาภายในมหาวิทยาลัยไชยพฤกษ์ ซึ่งเป็นครั้งที่ 27 แล้วที่มีงานนี้ขึ้นมานะครับ
แล้วงานแข่งขันในปีนี้มีอะไรบ้างคะ
สำหรับปีนี้เราก็จะมี ฟุตบอล บาสเก็ตบอล วอลเลย์บอล..
เฮ่อ นึกว่าจะไปไม่รอดซะอีก ทำได้ดีเหมือนกันนี่นา นายปังคนนั้นน่ะ วิกนั่นเอง ในฐานะที่ตัวเองต้องรับผิดชอบทุกอย่างในงานกีฬาทุกๆปี ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวก็จะโดนเหล่าอาจารย์รุมสวดทันที
อืม แต่ผมว่าแบบนี้ไม่เหมาะกับมันเล้ย น่าเบื่อ ป้อมที่ยืนอยู่ข้างๆพูดขึ้น
ให้เป็นพิธีกรนะยะ ไม่ใช่พิง ลำพระเพลิง จะได้เล่นตลกทอล์กโชว์ได้น่ะวิกเสียงแหวว ตัดมาที่ผมกับแก้ม
คราวนี้มาแนะนำตัวนักกีฬาของแต่ละคณะกันดีกว่าค่ะ.
ครับ เริ่มจาก คณะสังคมศาสตร์.เฮ!!! คณะมนุษย์ศาสตร์.เฮ!!! คณะวิศวกรรมศาสตร์(ซึ่งเป็นคณะที่ผมเรียนอยู่) ขอมือขวาหน่อยคร้าบบ(พูดพร้อมชูไมค์) ทั้งหอเงียบกันเป็นครู่ใหญ่ ท่าทางตามมุขผมไม่ทัน
ผมมองไปรอบๆ Can you speak Kmain(เขมร) เว่าลาวได้บ่
.. วิกอ้าปากค้าง
ฮ่ะๆ อย่างนี้สิไอปังของพวกเรา ป้อมหัวเราะชอบใจ
ผัวะ!!! ยัยแก้มเอาไมค์เคาะหัวผมพร้อมดึงหูผมมาข้างหลัง ขออภัยในความผิดพลาดทางเทคนิคบางประการนะค้า ทั้งหอหัวเราะชอบใจ
ต่อไปคณะวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ บัญชี และสุดท้าย รัฐศาสตร์ครับ ผมพูดพลางกุมหัวโน
ต่อไปขอเชิญท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยขึ้นกล่าวเปิดงานด้วยค่ะ
งานนี้ เนื่องจากเป็นครั้งที่.. เอาแล้วไง ทุกงานที่เชิญท่านอธิการบดีมาพูด แกร่ายยาวไม่เคยต่ำกว่าสิบนาที แต่เพราะโดนบังคับเลยเลี่ยงไม่ได้ ผมกับแก้มไปยืนรอข้างหลังเวที
หาว ผมแอบหาวอย่างช่วยไม่ได้ เพราะผมต้องมาขนของตั้งแต่ตอนตีห้ากับรุ่นน้องไม่กี่คน แถมต้องมาเตรียมพูดในช่วงเวลาสั้นๆจนถึงบ่ายอีก ต้องเพลียเป็นธรรดา
ตาบ้า เก็บอาการหน่อยสิยะ แก้มกระซิบเบาๆ
ให้ทำไงล่ะ มันง่วงนี่ ขณะนั้นเอง เจ้าลูกหมาตัวป่วนตั้งแต่ตอนแรกไม่รู้โผล่มาจากจากไหนวิ่งเข้ามาดึงขาผม
เฮ้ย ยัยแก้ม ชั้นฝากมันกับแกไว้ก่อนไม่ใช่เรอะ
ช่วยไม่ได้นี่นา ที่บ้านชั้นไม่ยอมให้เลี้ยง เลยต้องมาเลี้ยงที่มหาลัยนี่แหละ
แล้วทำไมมันต้องมาดึงขาชั้นด้วยวะ ผมดึงมันออก
งั่ม โอ๊ย!!!ๆ เอ๋ง ผมโดนมันงับมือเข้าให้เลยเตะกระเด็นไปนอกประตูหลังหอประชุม
ปัง รุนแรงไปหน่อยแล้วนะ แก้มท้วง
ไอหมาบ้า มากัดฉันก่อนทำไม่ล่ะ
แค่ลูกหมาเองนะ
ถ้าแกเก็บมันไว้ดีๆ ก็ไม่เป็นยังงี้หรอก
ไม่รับผิดชอบเลยนะ ทำไมต้องโยนให้ชั้นคนเดียวด้วยล่ะ ไม่นึกเลยว่าแกเป็นคนแบบนี้ พอพูดจบทั้งผมกับแก้มหันหลังให้กัน ทั้งผมและแก้มทะเลาะกันมาก็เยอะ เดี๋ยวก็คืนดีกัน
ใกล้เวลาท่านอธิการพูดจบแล้ว เดี๋ยวเราต้องออกแล้วละ แก้มพูดเรียบๆ
ฮื่อ ผมตอบทั้งๆที่ยังหันหน้าอยู่
อะไรยะ แค่นี้ทำเสียงน่ากลัวเชียว ยังไม่หายโกรธอีกหรอ
เชอะ ไม่รู้ไม่ชี้
ตาบ้านี่ ไว้งานจบแล้วค่อยทะเลาะก็ได้ แก้มพูดพร้อมหันผมกลับมา ทันใดนั้นเอง แก้มถึงกับตาค้าง
กรี๊ดดดดดด..แก้มกรีดเสียงดังลั่นแล้วก็หมดสติไป ผมเขย่าตัวแก้ม
เฮ้ยเป็นไรไปน่ะ
ผมถามด้วยอาการตกใจ คนในหอประชุมและอธิการเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น มันอะไรกันฟะนี่ ขณะที่ผมยังลนลานอยู่เสียงที่คุ้นเคยลอยเข้าหูผม
งานเข้าแล้วเว้ย เจ้าเด็กบ้า
สิ้นเสียงปุ๊บสติผมดับวูบไปในทันที