8 เมษายน 2546 22:08 น.

รอยทราย สมิหรา

ม้าก้านกล้วย

...ทุกครั้งที่มีโอกาสได้เยี่ยมเยียนหาดทรายและฟองคลื่น 
...อดไม่ได้ที่จะต้องจารึกชื่อ ใครคนหนึ่ง ไว้บนผืนทราย 
...ที่สมิหลานี้ก็เช่นกัน บรรจงเขียนแล้วยืนดูสายน้ำ 
...ค่อยๆซัด ค่อยๆสาด ค่อยๆลบ
...ให้ชื่อนั้นค่อยๆเลือนหายไปต่อหน้า...หายไปจากผืนทราย 
...แต่ก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ ไม่เคยเลือน 

...แล้วจู่ๆก็ฉุกคิดถึงอีกชื่อหนึ่งขึ้นมา... 
...ทว่า...เพียงเริ่มต้นจรดนิ้วลงบนผืนทรายอันราบเรียบ
...แล้วขีดเขียนเป็นลายเส้น หักคด ลดเลี้ยวเป็นตัวอักษรได้เพียงไม่กี่ตัว 
...ประหนึ่งเกลียวคลื่นไม่เป็นใจ...ก็มีอันต้องซัดสาดมากลบเกลื่อน 
...ให้จางหายไปต่อหน้าในทันที 
...พยายามขีด...พยายามเขียน...กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง.... 
...ผืนทรายก็ยังคงเป็นผืนทรายอันราบเรียบ...เช่นเดิม 

...ฤาเพราะคืนนี้..เป็นคืนที่...สมิหลาไร้จันทร์ 
...ทุกอย่างจึงเงียบงัน สงบนิ่ง และอึมครึม! 

...สมิหลา ยามไร้จันทร์...มันช่างอ้างว้าง มืดมิด และเงียบสงัด 

                                        

                                                      อัลมิตรา 


วันนี้ ที่ชายน้ำจรดชายฟ้า
ริมหาดสมิหราสงขลาสวย
ทิวสนยาวสุดตาระอาระทวย
ตังกวนช่วยบดบังลมระทมระทด
เขาเล่าว่าแหลมสนบนชายหาด
มีคนวาดชื่อชายลายสลด
แต่น้ำเค็มไม่เต็มใจไม่ชื่นชด
แม้น้ำลดยังลามลบจนกลบเลือน
หน้าเขาแดงโกรธาจนหน้าแดง
คงหน่ายแหนงใจนางช่างกลบเกลื่อน
รักมีหนึ่งพึงใจใช่แชเชือน
แต่ยังเพื่อนใจอีกหนึ่งซึ่งซ่อนไว้
เกาะยอที่ขอบฟ้าน่าจะรู้
รักก็อยู่รักก็หวานปานแสงไข
รักก็มอบรักก็หวังทั้งหัวใจ
แล้วทำไมซ่อนรักไว้ ทำไมหนอ
วันนี้ ที่ชายน้ำ หน้าเกาะหนู
มายืนอยู่ฟังบรรยายทรายตัดพ้อ
ทั้งเกาะแมว ทั้งเงือกสาว เฝ้าแต่รอ
เรื่องย่อย่อ ฟ้องพลาง บ้างปลอบใจ
เก้าเส้งเข้าข้างอย่างออกหน้า
วชิรา นิ่งฟังยังสงสัย
แหลมทรายแหลมสน ก็จนใจ
เพราะอย่างไร ยังมั่นใจ ในรักเธอ
เถอะถึงแม้ใจเธอนั้นปันไปบ้าง
อดีตกลางฝันเก่าเหงาเสมอ
ไม่เรียกร้องลบเลือนลางล้างละเมอ
วันนี้เธอ ยังยืนยัน มีฉันคนเดียว 

(ม้าก้านกล้วย)				
7 เมษายน 2546 15:01 น.

สเลเต

ม้าก้านกล้วย

รอบรอบรั้วเรียงรายขจายกลิ่น
ดอกบางบิ่นบอบเบาเจ้าขาวสวย
ชันช่อชูชวนชมสมสำรวย
ลางสลวยแฝงเสน่ห์ให้เหหัน
สเลเต ชาติเกิดก้ำเจ้าต่ำต้อย
แต่มิด้อยค่าควรสวนสวรรค์
โดดเด่นกว่า มาลา นานา พรรณ
 ขาวเจ้านั้นขาวสะอาดปราศมลทิน
หอมมิใช่แปรงเปล่งเก่งเกินกว่า
ผองผกาทั้งมวลชวนถวิล
หอมแค่หอมปรายโปรยโรยระริน
เพียงได้กลิ่นสุนทรีดังวิมาน
สัมผัสนั้นพลันวาบกำซาบซึ้ง
เมื่อครั้งหนึ่งในห้วงไหวหัวใจหวาน
สเลเตข้างรั้วยั่วเบิกบาน
พร้อมตำนานรักจริงใจเธอให้ฉัน
สเลเตโรยกลิ่นเตือนเหมือนสักขี
ดอกเจ้าสีขาวย้ำให้จำมั่น
วันที่มอบหัวใจให้ต่อกัน
วันที่ฉันเข้าใจเราเข้าใจรัก
แล้วคราใดที่หัวใจสงสัยเธอ
อาจจะเผลอยามห่างไปให้ห่วงหนัก
สเลเตเจ้าจะบาน พยานรัก
ให้ตระหนักว่าสองเราจะเข้าใจ

(ม้าก้านกล้วย)				
5 เมษายน 2546 09:19 น.

ออกเดิน (บทเรียนเขียนกลอน 5 ภาคเสียง กลอนกราว)

ม้าก้านกล้วย

ออกเดินด้วยหัวใจไม่อาจหวัง
สุ่มเดินด้วยพลังที่แกร่งกร้าว
เค้นหาสาระสุขทุกเรื่องราว
มาบอกกล่าวไว้ในกลอนเพื่อสอนคน
อยากมีหัวสมองที่ผ่องใส
อยากไปใช้ภวังค์เพื่อตั้งต้น
เก็บตวงวิชาการผสานชน
ขุดค้นภูมิปัญญาที่ว่า ดี
หากจำจะต้องจรทั้งบ่อนเหนือ
มิเบื่อทุกละหานสถานที่
ตักตวงสรรค์สาระประดามี
เผื่อมีมุกมังกรซุกซ่อนชม
ออกเดินด้วยพลังตั้งมุ่งหวัง
พลาดพลั้งหรือยังไงใช่โลกล่ม
กวาดปูทุกเส้นทางอย่างชื่นชม
บ้างล้มก็ลุกยืนฝืนก้าวไป
ไม่เคยหวังให้ใครจะได้เห็น
จิตใจนั้นร่มเย็นเช่นหาได้
เพียงพอสมถะชนะภัย
หากใครเห็นดีดั่งชี้ทาง
โปรดเดินมาด้วยช่วยสร้างสรรค์
จุดยืนนั้นมิไกลใช่เวิ้งว่าง
โปรดเดินก้าวมาหาหนทาง
ท่ามกลางผองประชาก้าวหน้าเดิน


(ม้าก้านกล้วย)

กลอนทางเสียงนี้ เรียกว่า กลอนกราว ใช้ในการเดินทัพ แบบเดินพาเหรด ในสมัยโบราณ นัยว่า เป็นทำนองของมอญ ซึ่ง ทางเสียง จะเป็น จัตวา โท สามัญ เต้น เต้น แล้ว ร้อง ตามแบบโบราณ ที่เรียกว่า ร้อง เย้ว เย้ว (เอ  ร้องยังไงนะ อ้อ นึกได้แล้ว ) ร้องแบบ เพลงกราว กีฬา ท่อนแรก ดังนี้
พวกเรานักกีฬา ใจกล้าหาญ
เชี่ยวชาญชิงชัย ไม่ย่นย่อ
คราวชนะรุกไล่ไม่รีรอ
คราวแพ้ก็ไม่ท้อ กัดฟัน ทน 
( ฮึม ตะ ลึม หึ่ม ฮึม)
ทางเสียง คือ
1. ท้ายวรรคสดับ ให้ขึ้นเสียงสูง คือเสียงจัตวา
2. ท้ายวรรครับ เป็นเสียงโท
3. ท้ายวรรครอง เป็นเสียงสามัญ
4. ท้ายวรรคส่ง จะเป็นเสียง เต้น เต้น (เสียงที่ผันวรรณยุกต์) แต่ไม่นิยมเสียงสูง เพราะ จะต่อท่อนลำบาก				
5 เมษายน 2546 03:06 น.

ขอรัก จากดาว (บทเรียนเขียนกลอน 4 เสียงกลอนเดินดง)

ม้าก้านกล้วย

ล้านหมู่ดาวล่องลอยคล้อยเดือนแจ่ม
คล้ายจะแต้มเติมฟ้าจักรราศรี
เป็นสัญญาณแจ่มใสให้ราตรี
ดุจมณีเปล่งงามอร่ามตา
ล้านเรื่องราวผูกเจือเหนือดาวเกลื่อน
ครั้งไร้เพื่อนว้าเหว่เสน่หา
ก็ร่ายร้อยลำนำเพลงร่ำลา
จะฝากฟ้าฝากดาวว่าเข้าใจ
ดาวกระพริบลิบเลือนเหมือนเตือนบอก
ว่าช้ำชอกพลัดพรากมากแค่ไหน
ดาวเจ้าคลอหยอกล้อใครต่อใคร
จะเห็นใจบ้างไหมนะใจดาว
ฉันต้องมาโอดโอยโหยใจอ่อน
จะว่าอ้อนก็ใช่เมื่อใจหนาว
ต้องตรมกับโลกมืดที่ยืดยาว
ต้องปวดร้าวอดสูอยู่เรื่อยมา
เห็นหมู่ดาวมากมายในผืนแผ่น
ใจจะเล่นโลดคิดใจอิจฉา
ดาวหนอดาวฉาดฉานละลานตา
ใยไม่มาเอ่ยรักเราสักดวง
ดาวดวงไหนมีใจให้เพียงหนึ่ง
ดวงที่ซึ่งมอบใจอันใหญ่หลวง
มอบไมตรีมั่นไว้ไม่คิดลวง
จะห่วงหวงเด่นฟ้ากว่าดวงใด

(ม้าก้านกล้วย)

กลอนที่มีทางเสียงแบบนี้ เรียกว่า กลอนลำ หรือกลอนลาวเดินดง นิยมเล่นกันมาก ในสมัย รัชกาลที่ 4 โดยเฉพาะ พระปิ่นเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงนิยมมาก  จนสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ต้องตรากฎหมาย สามดวง ห้ามมิให้ มีการ แอ่วลาว (ร้องเพลงกลอนลำ หยอกกัน) ในราชสำนัก
ทางเสียง มีเป็น เอก จัตวา สามัญ สามัญ คือ
1. ท้ายวรรคสดับ จะต้องลงด้วยเสียงเอก
2. ท้ายวรรครับ จะต้องลงด้วยเสียง จัตวา
3. ท้ายวรรครอง จะต้องเป็นเสียง สามัญ
4. ท้ายวรรคส่ง จะต้องเป็นเสียง สามัญ
และ ในท่อนหน้า กับท่อนหลัง ทั้งสามพยางค์ ห้ามใช้เสียงเดียวกัน จะต้องแปรเสียงไปให้ได่ สอง  สามเสียง เช่นวรรคแรกของกลอน คือ ล้านหมู่ดาวล่องลอยคล้อยเดือนแจ่ม   ท่อน ล้านหมู่ดาว จะมี สามเสียง คือ ตรี เอก สามัญ คล้อยเดือนแจ่ม ก็เป็น ตรี สามัญ เอก เช่นนี้ เป็นต้น				
4 เมษายน 2546 20:31 น.

ผู้ก่อ (กลอนเสภา บทเรียนเขียนกลอน 3 ว่าด้วยเรื่องเสียง)

ม้าก้านกล้วย

เมื่อนั้น
เมื่อต้องดั้นต้องด้นต้องค้นหา
เพื่อคืนความคมคิดชิดประชา
เพื่อค้นคว้าถึงหนทางวางชีวี
เหตุเพราะเกรงหวาดว่าอนาคต 
ถ้วนทั้งหมดยิ่งยากจน บนวิถี
กระแสทุนนิยมย้ำมันย่ำยี
ทุนวิธีสร้างนี้ช่างชี้นำ
โฆษณาชวนชักเหมือนดักลอบ
เฝ้ากรุ้มรุมคลุมครอบลอบถลำ
หากยังหนึ่งกลุ่มต้านการกระทำ
และก้าวนำชาวบ้านอย่างชาญชัย
ลุงอัมพร ด้วงปาน คนบ้านป่า
เป็นผู้พาต้านกระแสเพื่อแก้ไข
สร้างกองทุนชุมชนผลกำไร
เพื่อช่วยชาวบ้านให้ใช้เป็นทุน
จนเมื่อรัฐเห็นเป็นสิ่งใหม่
ขอใช้แนวทางพลางเกื้อหนุน
สานต่อนโยบายขยายทุน
เพื่อค้ำจุนหมู่บ้านละล้านนึง
หากจะถามความภูมใจในวันนี้
ลุงผู้ที่สร้างรากจากสลึง
เสียงสรรเสริญร้องแซ่แผ่อื้ออึง
ฉะนั้นจึงขอยกย่องต้องสดุดี

(ม้าก้านกล้วย)

กลอนในทางกำหนดนี้ เป็นกลอนแปด ที่เรียกว่า กลอน เสภา ใช้บทสัมผัสเช่นเดียวกับกลอนแปด ทุกประการ แต่ บังคับเสียงเพิ่ม คือ บัญญัติที่โบราณเรียกว่า เต้น เต้น จัตวา สามัญ สามัญ นั่นคือ 
ท้ายวรรคที่หนึ่ง (วรรคสดับ) ให้ใช้เสียงเต้น เต้น มี เสียงวรรณยุกต์ (เอก โท ตรี จัตวา) หมายความว่า วรรคนี้ ห้ามสดับด้วยเสียงสามัญ
ท้ายวรรคที่สอง (วรรครับ) จะต้องเป็นเสียงจัตวาเท่านั้น ห้ามเสียงอื่น เพราะ จะต้องผันเสียงให้สูง ในเวลาอ่านทำนองเสนาะ
ท้ายวรรคที่สาม(วรรครอง)และท้ายวรรคที่สี่ (วรรคส่ง)  จะต้องเป็นเสียงสามัญ เพราะจะต้องผันเสียงลงใช้เสียงกลาง เวลาอ่านทำนองเสนาะ หรือ ส่งเพลง
และ เมื่อเริ่มบท จะใช้คำเริ่ม ว่า เมื่อนั้น บัดนั้น กล่าวฝ่าย จะกล่าวถึง หรือ คำเริ่มอื่น ๆ ที่ไม่เกิน สี่ พยางค์				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟม้าก้านกล้วย
Lovings  ม้าก้านกล้วย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟม้าก้านกล้วย
Lovings  ม้าก้านกล้วย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟม้าก้านกล้วย
Lovings  ม้าก้านกล้วย เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงม้าก้านกล้วย