5 เมษายน 2545 23:16 น.
ม้าก้านกล้วย
แด่เธอ ผู้ซึ่งเป็น ทุกทุกสิ่ง
คือผู้หญิง คืออ่อนหวาน คือหาญหัก
คือดอกไม้ คือคมมีด กรีดแรงนัก
คือแท่งหลัก เหล็กกล้า คราจะแข็ง
คือเหตุผล ในยาม จะถามหา
หรือบางครา คืองอนเง้า กระเซ้าแสร้ง
ลมอาจพัด พายุโถม ถั่งโหมแรง
หรือเปลี่ยนแปลง เป็นลมอ่อน ชะรอนถอย
เป็นหมดจรด สดชื่น ของยามเช้า
เป็นร่มเงา บังแดดร้าย ยามบ่ายคล้อย
เป็นเดือนจ้า โฉมฉันท์ ดั่งจันทร์ลอย
ละอองน้อย ใสหยด ดูงดงาม
ยามเธอ ระเริงรื่น สดชื่นจิต
ราวกับดวง อาทิตย์ พิศแววหวาม
แต่พลันอาจ เข้าคราส ปราศแสงทราม
ส่งให้สาม โลกมืดมิด ดังนิทรา
จะอย่างไร เธอยังเป็นผู้หญิง
ที่ทุกสิ่ง สรรค์สร้าง อย่างเลอค่า
เป็นอีกหนึ่ง ที่ชีวิต ลิขิตมา
คือมารดา คือผู้ก่อ กำเนิดการ
แด่เธอ ผู้เป็น ผู้หญิงคนหนึ่ง
คงรู้ซึ้ง ถึงคุณค่า ของคำขาน
ยกและย่อง กัลยา มาเนิ่นนาน
ขออย่าปราณ แปรงปลาย เป็นร้ายเลย
1 เมษายน 2545 18:14 น.
ม้าก้านกล้วย
สาวยโสธร อรชร ช่างโสภา
ใช้ชีวา บนแว่นแคว้น แดนอีสาน
เรียบและง่าย ไม่แผลงฤทธิ์ พิศดาร
งามชวนชม สมสถาน บ้านพงไพร
ใช่จะสวย กรีดกราย กว่าพรายน้ำ
ใช่จะล้ำ เลิศราว ชาวเมืองใหญ่
แต่น้องนาง สวยสง่า เกินกว่าใคร
จนดวงใจ พี่ลุ่มหลง พะวงวอน
แรกพบ เพียงพักตร์ ก็รักแล้ว
นางแก้ว มาเซิ้ง บั้งไฟฟ้อน
เอวองค์ อนงค์นาง ช่างโอนอ่อน
แววตาอ้อน เชิญชวน ให้หวนหา
เจ้าพาพี่ ชมสวน พญาแถน
โลดแล่น ไร้จริต พิศเพ้อว่า
นางอัปสร จากสวรรค์ นั้นลอยมา
เริงร่า กลางหิม - พานต์วัน
ขออยู่ ขอตาย ที่เมืองยศ
แม้จะอด แม้จะยาก จะบากบั่น
จะถากถาง นาสวน กับนวลขวัญ
แม้ข้าวนั้น ก่องจะน้อย ไม่ถอยเลย
เพียงน้อง นางโปรด เมตตาพี่
รับไมตรี นี้ไป อย่าได้เฉย
เพียงยิ้ม ให้พี่นิด ขอชิดเชย
แม้ชีพวาย ตายไปเลย ก็ยินยอม
(ม้าก้านกล้วย)