5 กันยายน 2546 17:31 น.
ม้าก้านกล้วย
ร่ำร่ำน้ำตามาหยาดหยด
รดรดใจร้าวราวแพ้พ่าย
รอนรอนเพ้อหาผวากาย
ร่ายร่ายลมลมตรมแล้วเรา
โหยโหยห่อนหามาเชยชิด
หวนหวนครวญจิตคิดถึงเขา
ห่างห่างลาหายหน่ายรักเรา
หวงหวงห่วงเขาเฝ้าแต่รอ
กรีดกรีดน้ำนัยนาน้อย
กร่อนกร่อนใจลอยคอยร้องขอ
เกลียดเกลียดเรื่องไรไม่รั้งรอ
ก็ก็รักกันปานจะกลืน
ซึมซึมขลาดขลาดอนาถหลง
ทรงทรงทรุดทรุดสุดจะฝืน
ซวนซวนเซซังยังหยัดยืน
ซมซมสะอื้นฝืนใจฝัน
เพ้อเพ้อเผลอขอรอคำขาน
พาลพาลไปใยใจยังมั่น
พ้อพ้อขอโทษอย่าโกรธกัน
พร่ำพร่ำรำพันฉันยังรัก
ร่ำร่ำน้ำตามางอนง้อ
รอรอคนไกลให้ตระหนัก
รู้รู้ใจนี้ยังมีรัก
ร้องร้องท้วงทัก ขอรักคืน
(ม้าก้านกล้วย)
28 สิงหาคม 2546 18:56 น.
ม้าก้านกล้วย
ยามเมื่อแสงสุดท้ายจะคลายขาบ
แดดที่อาบขอบฟ้าจะลาร้อน
ยามเมื่อเย็นสายัณห์ตะวันรอน
แดดที่อ่อนแสงลงคงเลือนหาย
เหมือนเป็นสิ่งฉุกใจให้กระจ่าง
แดดสว่างจ้าใสในยามสาย
พลังร้อนแรงนั้นอันตราย
ยังวับวายยามอัสดงเยือน
ศักดิเดชเขตสว่างนั้นจางจืด
มีม่านมืดแห่งราตรีนี้กลบเกลื่อน
โพยมแดงแสงสางเริ่มรางเลือน
ซึ่งดูเหมือนเพลงมนต์สนธยา
นั่งใจลอยรำพึงถึงมนุษย์
เมื่อที่สุดแห่งวัยวันอันแกร่งกล้า
เรี่ยวแรงโรยเริ่มลุล่วงห้วงชรา
หลังฟันฝ่าอดีตกาลนานลำนำ
ประกายกล้ากลางเที่ยงเยี่ยงแดดแรง
ประกาศแกร่งรุกระดมโหมกระหน่ำ
ประกอบภารกิจคิดกระทำ
ประกวดงานประการงำนำหน้าไป
โถมทุกปัจจัยให้เต็มที่
ยอมพลีเพื่องานสถานใหญ่
หนัก เหนื่อย เมื่อย เมา ไม่เท่าไร
ตั้งใจ ตั้งตน จนล่วงกาล
บัดนี้ ยามสนธยาเยือน
เปรียบเหมือนเตือนตนว่าพ้นผ่าน
บำเหน็จของความเพียร เกษียณงาน
ไปเลี้ยงลูก ปลูกว่าน อยู่บ้านนะ
(ม้าก้านกล้วย)
19 สิงหาคม 2546 23:25 น.
ม้าก้านกล้วย
ฉันยังจำวันแรกที่สองเรา
เริ่มรับเอากันและกันมั่นในรัก
จากสองตาประสานกันวันรู้จัก
มากมายนักห่วงใยยิ่งและจริงใจ
ไม่มีหมื่นแสนสัญญามาอวดอ้าง
เหมือนก้าวย่างบนเส้นทางสว่างใส
จุดศูนย์รวมทั้งชีวิตและจิตใจ
ยึดมั่นในสายสัมพันธ์ฉันและเธอ
มือฉันอบอุ่นละมุนมือ
ได้กุมถือมืออันมั่นเสมอ
เรื่องแรกรับรู้ใหม่เพิ่งได้เจอ
ลอยละเมอกลางฝันกลางวันหวาม
ไม่มีหมื่นแสนคำมารำพัน
เหมือนรักนั้นหนักหน่วงเหมือนหวงห้าม
เกาะกุมกล่อมย้อมใจให้คล้อยตาม
ช่างงดงามหอมหวลชวนลุ่มหลง
ยืนยันจะประคองสองรักเรา
นานเนาจะชักจูงอย่างสูงส่ง
ค่อยค่อยถนอมพร้อมบรรจง
มั่นคงมั่นใจไม่เปลี่ยนแปร
ไม่มีหมื่นแสนถ้อยมาคอยกล่อม
เพราะฉันพร้อมรักแล้วและแน่วแน่
จะหมื่นแสนอื่นใดไม่เหลียวแล
จะรักแค่ตลอดกาลตราบนานนัก
(ม้าก้านกล้วย)
19 สิงหาคม 2546 15:34 น.
ม้าก้านกล้วย
ยามเมื่อลมเย็นโชยโรยระบาย
เหมือนมีสายแพรบางกางกั้นร้อน
พรมละอองของอณูหมู่เกสร
ที่ปลิวว่อนลอยตามยามลมแรง
ยืนอยู่กลางทุ่งกว้างกลางวิเวก
มีมนต์เสกให้จิตจับสดับแจ้ง
รู้สำนึกตรึกสำเนียงเพียงสำแดง
ลมผ่อนแรงร้ายร้าวผ่าวผ่อนคลาย
ย่ำย่างเท่าเปล่าเปลือยไปเรื่อยล่อง
น้ำเหนือนองในนาธาราสาย
พืดพุ่มแพแพงพวยช่วยพัดพาย
ลอยละลานสานสาหร่ายเป็นสายสวย
แดดจะแรงเพียงไรไม่แรงร้อน
ลมจะผ่อนไออ่อนเพื่อผ่อนช่วย
ได้แต่แสงแรงหรูดูสำรวย
สะท้อนคลื่นอื่นอำนวยไปด้วยกัน
จึงราวหว่านเกล็ดเพ็ชรเกล็ดมณี
ลงบนน่านนทีหลากสีสัน
วะวับวามตามจังหวะระลอกหลั่น
ธารสวรรค์ใดหนอชลอมา
ยามเมื่อเย็นลมแผ่วแล้วเพลิดเพลิน
ยามเมื่อเดินลุยคลื่นชื่นหนักหนา
ยามเมื่อมองไปได้ไกลสุดสายตา
ยามอุราล้าอ่อนได้ผ่อนคลาย
(ม้าก้านกล้วย)
13 สิงหาคม 2546 20:30 น.
ม้าก้านกล้วย
ลูกเอ๋ย แม่จะเล่าอะไรให้ฟัง
เมื่อแม่ยังเป็นเด็กยังเล็กอยู่
ต้องอาศัยผืนนาหาปลาปู
อดสูกินก้อนเกลือเจือข้าวแดง
ทนเรียนทนระกำทำงานหนัก
ด้วยใจรักไม่เชื่อว่าชะตาแกล้ง
สักวันโชคจะช่วยด้วยพลิกแพลง
ลงน้ำพักน้ำแรงแข่งขันเอา
แม่เรียนหนักทำงานหนักพักผ่อนน้อย
จึงค่อยค่อยก้าวพ้นคนอื่นเขา
สร้างครอบครัวสุขล้นจนมีเจ้า
มีบางวันที่เศร้าก็เข้าใจ
เจ้าคือศูนย์รวมรักจากพ่อแม่
ไม่เคยแม้แชเชือนเลือนเหลวไหล
ทุกคืนวันฟูมฟักรักเพียงใด
ปานดวงตาดวงใจไม่เปรียบปาน
ถึงวันนี้ที่แม่แก่ชรา
ไม่หวังเจ้าเวทนามาสงสาร
ไม้ใกล้ฝั่งยังรอตามความต้องการ
ลูกหลานที่สืบสายจะได้ดี
จะเอนอ่อนนอนตายได้ตาหลับ
จะลาลับล่วงแล้วแผ่ววิถี
จะฝากเจ้าเติบใหญ่ในโลกนี้
แค่เจ้ามีบุญสบายก็ตายเย็น
(ม้าก้านกล้วย)