9 ตุลาคม 2545 10:22 น.
ม้าก้านกล้วย
วันสิบสามเดือนสิบเอ็ดเกร็ดประวัติ
ข่าวสะพัดถาโถมประโลมไล่
ฝูงขบวนต่อต้านฤาทานไหว
จึงเรื่อยไหลเคลื่อนขบวนชวนกันมา
จะขอพึ่งพระราชบารมี
เพราะเกรงกลัวฤทธีพายุกล้า
จึงชักชวนไปสวนจิตรลดา
ใจกลางของพารา- ประชาชน
แต่เหมือนคราวฟ้าร้องคะนองครืน
กระสุนปืนร้อนฉ่าเหมือนห่าฝน
สาดกระหน่ำกลางกรีดร้องของผู้คน
ใบไม้หล่นร่วงแล้วแผ่วพลัง
ด้านหน้าหนีไม่ได้ไม่เดินหน้า
ด้านหลังร่นมาเพราะล้าหลัง
กระจุกถูกกวาดต้อนกร่อนกระทั่ง
เสียงชิงชังสาปแช่งแข่งเสียงปืน
ความหวาดกลัวกลับเหือดเป็นเดือดดาล
สู้ต่อต้านร่วมแรงแบ่งกันฝืน
ไม่มีอาวุธปะทะจุสู้ปืน
ฉวยไม้ฟืนกระถางอิฐและจิตใจ
วันที่ ๑๑ ตค.
นร. นักศึกษาทั่วประเทศหลั่งไหลมาจากทุกทิศทางเข้าสมทบกับพลังที่มาชุมนุมกันอยู่ก่อนแล้วไม่ขาดสาย จากพันเป็นหมื่น จากหมื่นเป็นแสน การอภิปรายโจมตีเผด็จการทั้งสามคนกระหึ่มไปทั่ว ดนตรีจากคณะคาราวาน ดังปลุกเร้า พวกที่มีโทรโข่งจะเน้นแต่คำว่า ต้องสามัคคีกัน อย่าทอดทิ้งกันเป็นอันขาด ไม่ว่าจะถูกปราบปรามอย่างโหดร้ายแค่ไหนก็ตาม ประโยคที่เน้นนี้ ก็เพราะเหล่าผู้นำนักศึกษารู้แล้วว่า อาจเกิดการเข่นฆ่าประชาชนขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ ขณะเดียวกัน ก็พยายามบอกกับตำรวจทหารที่มารักษาการว่า ศัตรูของพวกเขามีเฉพาะเหล่าทรชนทั้งสามเท่านั้น ไม่ได้รวมถึงเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ
ต้องการให้ ๓ ทรชนนั้นสำนึกบาปและมอบอำนาจการปกครองให้กับประชาชนเสียที เพราะตลอดเวลา เหล่า ๓ ทรชนได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมกดขี่ประชาชน ทหาร ตำรวจ และผู้สุจริตเสมอมา จะเห็นได้ว่า พยายามกัน ๓ คนนั้นออกจากพวกทหารตำรวจชั้นผู้น้อยคนอื่น ๆ และข้อเรียกร้องก็เพียงเพื่อขอประชาธิปไตยของประชาชน ยังไม่มีข้อเรียกร้องให้ขับออกนอกประเทศ หรือลงโทษตามกฎหมาย
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถหยุดพลังมวลชนที่มาจากทุกสารทิศได้แล้ว คณะผู้ปกครองก็เริ่มวิตกแล้วว่า ..แผนการเข่นฆ่านั้น สายเกินกระทำเสียแล้ว กระแสคลื่นชนกระหน่ำมาเร็วกว่าที่คิด ดังนั้น จอมพลประภาสจึงยอมให้ตัวแทนนักศึกษาเข้าพบเป็นครั้งแรก แต่การเจรจาล้มเหลว! เพียงข้อเรียกร้องให้ปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข กับให้คืนรัฐธรรมนูญกับประชาชน ถูกปฏิเสธ
นักเรียนไทยในต่างประเทศออกแถลงการณ์ส่งมาที่ศูนย์นิสิต มีข้อความเรียกร้องให้ต่อสู้ โดยจะให้กำลังใจช่วย รวมทั้งบริจาคเงินส่งมาสมทบด้วย น้ำใจเหล่านี้ส่งมาจากอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมันนี ฯลฯ
พลังจากนักศึกษาเชียงใหม่ถูกสกัดกั้นไม่ให้เข้ากรุงเทพฯ แต่นร.อาชีวะทั้งมวลประกาศขออยู่แนวหน้าหากเกิดการปะทะ แหละพวกเขาเหล่านี้แหละที่ต้องจบชีวิตมากกว่าคนอื่น ด้วยความบ้าบิ่นมุทะลุ
โรงเรียนและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ปิดการเรียนการสอนไม่มีกำหนด เพื่อให้นร.และครูอาจารย์สามารถไปร่วมชุมนุมได้
วันที่ ๑๒ ตค.
ความหลงมัวเมาในอำนาจแท้ ๆ ของ ๒ จอมพลไทยที่ทำให้เกิดวีรชน
ในเมื่อเห็นว่าจวนตัว จอมพลทั้งสองก็เริ่มคลายความแข็งกร้าวลงทีละน้อย เริ่มจาก ยอมให้ประกันตัวผู้ถูกกล่าวหาทั้ง ๑๓ คน แต่คนทั้งหมดไม่ยอมออกจากห้องขัง เพราะเห็นว่าตัวเองไม่ผิด หากจะปล่อยต้องปล่อยโดยไม่มีเงื่อนไข นายประกันที่มาประกันก็คือคนของรัฐบาลนั่นเองทำหน้าที่เป็นหน้าม้า รัฐบาลคิดว่า เมื่อคนทั้งหมดเป็นอิสระแล้ว ปัญหาการชุมนุมจะยุติลง ..พวกเขาคิดผิด..
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกาศหยุดการสอบทั้งหมดในวันนี้ (ช้าจัง) และเดินขบวนไปสมทบกับนักศึกษาอื่นที่ธรรมศาตร์ มีนักเรียนจากโรงเรียนบุตรทัพบกเดินขบวนเข้าร่วมการประท้วงนี้ด้วย พวกเขาประกาศว่า แม้ว่าพวกเราเป็นลูกทหาร แต่ก็รู้ว่าอะไรถูกหรือไม่ถูกอย่างไร และเราก็พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม (แม้แต่ลูกทหารยังรู้เรื่อง..นับถือ)
วันที่ ๑๓ ตค.
ข้อเรียกร้องที่เป็นทางการของผู้ประท้วงทั้งหมดยังยืนยันว่า.. พวกเขาต้องการเพียง
-ให้ปล่อยผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไข
-ใหัรัฐบาลกำหนดเวลาการออกรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แน่นอน
ง่าย ๆ สองข้อแค่นี้..ทำไมทำไม่ได้ แสดงว่าหวงอำนาจจนหน้ามืดตามัว
พลังของผู้ประท้วงทั้งหมดได้เตรียมจะเดินขบวนออกจากธรรมศาสตร์และสนามหลวงเลยไปถึงราชดำเนินจำนวนนับแสน ๆ คน เพื่อไปพบผู้นำรัฐบาลเพื่อเปิดการเจรจา โดยกำหนดนัดเวลาเที่ยงตรง การเคลื่อนขบวนเป็นไปอย่างช้า ๆ เป็นระเบียบภายใต้การควบคุมดูแลของเหล่าผู้นำนักศึกษาคนสำคัญ ทุกคนท่องขึ้นใจตลอดทาง คือ สามัคคีกันเป็นใจเดียว ยึดชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทัพหน้าเป็นสตรี อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ของสองพระองค์ และธงไตรรงค์นำขบวน
ตัวแทนนิสิตส่วนหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกส่วนหนึ่งเข้าพบจอมพลประภาสอีกครั้ง ซึ่งการเจรจาในครั้งนี้จอมพลประภาสยอมปล่อยผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดอย่างไม่มีเงื่อนไขและเรื่องรัฐธรรมนูญรับปากว่าจะจัดการให้ภายในตุลาคมปีหน้า ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว พลังมวลชนส่วนหนึ่งยังไม่รู้เรื่องการเจรจา ยังเคลื่อนขบวนต่อไปเรื่อย ๆ ..จนกระทั่งถึงเวลาสี่ทุ่ม..ห้าทุ่ม.. ก็มีข่าวว่า..นักศึกษาที่เข้าพบจอมพลประภาสโดนฆ่าตายหมดแล้ว การสลายตัวจึงทำไม่ได้ต้องเกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น มุ่งหน้าไปยังสวนจิตร เพื่อขอพระบารมีคุ้มครอง
9 ตุลาคม 2545 09:20 น.
ม้าก้านกล้วย
เมื่อไร้คำตอบจากอำนาจรัฐ
ไร้การจัดแนวร่วมตามความถูกต้อง
ตั้งตัวแทนสนองขอข้อต่อรอง
จนสิบสองตุลาคมจึงสมใจ
เจ้าพายุเรียกใบไม้ให้ไปพบ
ราวประสบช่องทางสว่างไสว
นักโทษนั้นให้ประกันตัวออกไป
แล้วไม่ให้ชุมนุมใหญ่ในกรุงนี้
จุดพลิกผันสถานการณนั้นอยู่ตรง
สิบสามตรวนยังคงอยู่ตรงที่
ไม่ยอนประกันตนพ้นราคี
ด้วยเพราะมิอหังการ์ว่าไม่ผิด
จะไม่ยอมออกจากคุกทุกโอกาส
จะไม่พลาดตามกลฉ้ออสรพิษ
ด้วยตั้งใจไร้พิรุธพิสุทธิจิต
มิได้กระทำผิดในสิ่งใด
ท่านต้องคืนอำนาจจากพวกพ้อง
ท่านต้องตรองวิถีนี้เสียใหม่
ท่านต้องลดปลดปล่อยพวกเราไป
แล้วประชาธิปไตยต้องก่อการ
ระหว่างที่ตัวแทนเจรจา
กลับมีข่าวบอกว่าโดนประหาร
จะกวาดล้างกลุ่มกอผู้ก่อการ
เพื่อจะต้านพลังร้ายให้หายไป
๑๐ ตค.
การประท้วงแบบอสิงหาของนร. นศ. ปชช. เริ่มต้นขึ้น เริ่มจากประสานมิตร วิทยาลัยครู ๘ แห่งในกรุงเทพฯ ประกาศหยุดการเรียนการสอนและทยอยเข้ามาสมทบกับนศ.ธรรมศาสตร์ ที่ม.เกษตรศาสตร์ เริ่มอภิปรายการกระทำที่ชั่วร้ายของ ๓ ที่ม.เชียงใหม่ (เพื่อนเฮาทางปู้น) เริ่มเคลื่อนไหว ที่พิษณุโลกนักศึกษาส่วนหนึ่งมุ่งหน้ามากรุงเทพฯ ไปทางอิสาน จุดรวมพลอยู่ที่นครราชสีมาก่อนมุ่งเข้ากรุงเทพฯ
ทางด้านกรุงเทพฯ ศูนย์กลางอยู่ที่ลานโพธิ์ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พวกเด็กอาชีวะที่เคยยกพวกตีกันนั่นแหละ รวมพลสนับสนุนอย่างพร้อมเพรียง ไม่แยกสถาบันที่เคยรบรากัน ไม่น่าเชื่อว่าพวกช่างกลต่างสถาบันจะมานั่งฟังการอภิปรายติดกันเช่นนี้ มีคำปฏิญาณของเหล่านร.อาชีวะในครานั้นว่า เราจะสมัครสมานสามัคคีกัน กอดคอกันตาย เพื่อไล่ทรชนออกไปจากผืนแผ่นดินไทย แล้วทั้งหมดก็ก้มลงกราบไปทางที่พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่
9 ตุลาคม 2545 08:43 น.
ม้าก้านกล้วย
หกตุลา
สิบสามแกนแกร่งกล้าท้าไปทั่ว
แจกจ่ายอุดมการณ์อันน่ากลัว
จะล้มล้างทางชั่วด้วยพลัง
สมุนมารสืบสาวกุข่าวขึ้น
เหมือนเติมฟืนเชื้อไฟจับไปขัง
ยัดเยียดข้อหาละล้าละลัง
ว่าทำตนเหมือนดังคอมมิวนิสต์
มวลใบไม้มาเอาอย่างกระด้างกระเดื่อง
สร้างแรงขุ่นแค้นเคืองเรื่องผิดผิด
เกิดกระแสต่อต้านประสานมิตร
จากนิสิตนักศึกษาประชาชน
รวมส่งข้อร้องเรียนเขียนด้วยเลือด
ด้วยแรงเดือดดาลดั่งเกินหวังผล
รวบรวมข้อต่อรองของทุกคน
ให้ปลดปล่อยวีรชนพ้นจองจำ
จากเกษตรศาตร์จุฬามาร่วมสู้
จากอีสานรับรู้มาร่วมร่ำ
เหนือใต้ออกตกตามหยามผู้นำ
ที่กระทำย่ำใจใบทั้งมวล
แสนใบไม้จากพันแคว้นแสนสถาน
รวมต่อต้านตอบโต้โวหารถ้วน
ปราศรัยใหญ่ทายทักและชักชวน
ซึ่งล้วนอหิงสามาเรียกร้อง
รายชื่อ ๑๓ กบฏผู้ยิ่งใหญ่ ได้แก่..
๑ ธีรยุทธ บุญมี
๒ มนตรี จึงศิริอาลักษณ์
๓ ชัยวัฒน์ สุรวิชัย
๔ นพพร สุวรรณพาณิช
๕ ทวี หมื่นนิกร
๖ ธัญญา ชุนชฎาธาร
๗ ก้องเกียรติ คงคา
๘ บุญส่ง ชโลธร
๙ วิสา คัญทัพ
๑๐ บัณฑิต เฮงนิลรัตน์
๑๑ ปรีดี บุญชื่อ
๑๒ ประพันธ์ศักดิ์ กมลเพชร
๑๓ ไขแสง สุกใส
วันที่ ๖ ตค.
เวลา ๑๓.๐๐น. กลุ่มนักเรียน นักศึกษา นักหนังสือพิมพ์และประชาชน เดินติดโปสเตอร์และแจกใบปลิวเรียกร้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ถูกตำรวจสันติบาลจับข้อหา กบฎ และยุยงให้ประชาชนกระด้างกระเดื่องต่อรัฐบาล ทั้งหมดถูกนำตัวไปไว้ที่โรงเรียนฝึกตำรวจบางเขน
วันที่ ๗ ตค.
ตำรวจสันติบาลไปค้นบ้านพักของผู้ถูกกล่าวหา รายงานให้อธิบดีกรมตำรวจทราบว่า พบเอกสารเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์มากมาย ซึ่งแท้ที่จริงเอกสารเหล่านั้นความจริงแล้วมีขายและมีอยู่ที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วย
วันที่ ๘ ตค.
นักเรียน นักศึกษา และ สื่อสารมวลชนประเภทหนังสือพิมพ์ เริ่มมีปฏิกริยา เพราะเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า การจับกุมกระทำอย่างไม่เป็นธรรม โดยชี้ให้เห็นว่า เป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนในโลกเสรี ที่จะแจกใบปลิว ประท้วงในสิ่งที่ประชาชนยังไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาลได้
วันที่ ๙ ตค.
ปฏิกริยาต่อต้านรัฐบาลรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักศึกษาทั้งหมดประกาศงดการสอบทุก แล้วเปิดการอภิปราย แฉเบื้องหลังอันเลวร้ายของรัฐบาล รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหาโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะถือว่าทุกคนบริสุทธิ์ วันเดียวกันนี้นายไขแสง ได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมผู้ต้องหาเป็น ๑๓ คน ที่ธรรมศาสตร์ มีการชักธงดำขึ้นเหนือโดมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การก่อตั้งมหาวิทยาลัย
จอมพลประภาส เรียกประชุมด่วนที่กระทรวงมหาดไทย แล้วจุดชนวน**สำคัญที่สุดขึ้น โดยประกาศว่า ต้องใช้มาตรา ๑๗ กับผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด ไม่ให้มีการประกันตัว และต่อมาภายหลังได้มีการเปิดเผยแผนการอุบาทก์ว่า**(จากเอกสารที่ไม่ยืนยัน) จะสังหารหมู่นักศึกษาที่มาชุมนุมต่อต้านทั้งหมด คะเนว่าจะสังหารราว ๒% ของผู้มาชุมนุม เพื่อยุติพลังที่จะขยายลุกลาม
9 ตุลาคม 2545 08:34 น.
ม้าก้านกล้วย
กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานที่ผ่านมา
เดือนตุลาเปลี่ยนฝนเป็นต้นหนาว
ใบไม้ร้อยพันใบในเรื่องราว
แกร่งก้าวร้าวเรียกร้องความต้องการ
เพราะผืนป่าปกครองโดยผองผี
พายุพัดอัสุนีสีทหาร
ควบคุมราษฎร์ด้วยอำนาจเผด็จการ
กระทำการอย่างลำพองของใจตน
เจ้าร่วมล่ารายชื่อถือส่วนรวม
ให้เข้าร่วมพลิกฟ้าพายุหม่น
ให้ปกครองด้วยฤทธาประชาชน
ให้ตั้งต้นอย่างอาณาอารยะ
ร้อยใบไม้ล่ารายนามหยามอำนาจ
จึงถูกกวาดต้อนล้างอย่างกักขฬะ
กักขังไว้หมายใจชัยชนะ
เพียงเพื่อจะกลืนกินให้สิ้นลง
หกตุลาวันพายุทุรราช
เก็บและกวาดใบไม้กล้ามาลุ่มหลง
มาตรการที่สิบเจ็ดเด็ดเจ้าลง
อย่าผยองพององค์จงนบน้อม
ร้อยใบไม้ปราบแล้วยังหลงเหลือ
มาต่อเชื้อหมื่นใบไม้ได้หล่อหลอม
แสนใบไม้ดาหน้าใส่ไม่ยินยอม
แห่ห้อมล้อมวังราชาจนน่ากลัว
(ม้าก้านกล้วย)
รายชื่อของผองใบไม้ทั้งร้อยใบ
๑ พลตต.สง่า กิตติขจร
๒ ประพันธ์ศักดิ์ กมลเพชร
๓ ไขแสง สุกใส
๔ ธีรยุทธ บุญมี
๕ สุเทพ วงศ์กำแหง
๖ ดร.อภิชัย พันธเสน
๗ วิสา คัญทัพ
๘ ชัยวัฒน์ สุรวิชัย
๙ ชูศรี มณีพฤกษ์
๑๐ นพ.วิชัย โชควัฒนา
๑๑ พตต.อนันต์ เสนาขันธ์
๑๒ วันรักษ์ มิ่งมณีนาคิน
๑๓ อัจฉรา สภัสอังกูร
๑๔ สุมาลย์ คงมานุสรณ์
๑๕ อรรณพ พงษ์วาท
๑๖ ภาสกร เตชะสุรังกูล
๑๗ วีรศักดิ์ สุนทรศรี
๑๘ เทอดศักดิ์ จันทร์สุระแก้ว
๑๙ สมพล ฆารสไว
๒๐ ณรงค์ เกตุทัต
๒๑ สถาพร ศรีสัจจัง
๒๒ ธวัชชัย ณ ลำพูน
๒๓ ชวชาติ นันทแพทย์
๒๔ เทพ โชตินุชิต
๒๕ ดำรง ลัทธพิพัฒน์
๒๖ วิบูลย์ อิงคากุล
๒๗ ประยูร พูนบำเพ็ญ
๒๘ พนม ทินกร ณ อยุธยา
๒๙ เลียง ไชยกาล
๓๐ จุฬา แก้วมงคล
๓๑ วิชัย บำรุงฤทธิ์
๓๒ ทศพล ยศรักษา
๓๓ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน
๓๔ อรุณ วัชรสวัสดิ์
๓๕ มนตรี จงศิริอาลักษณ์
๓๖ ศิริยุภา พูลสุวรรณ
๓๗ ปรีดี บุญชื่อ
๓๘ พิภพ ธงไชย
๓๙ สมเกียรติ อ่อนวิมล
๔๐ ประสาร มฤคพิทักษ์
๔๑ แล ดิลกวิทยรัตน์
๔๒ เดชา อุบลวรรณา
๔๓ นพพร ไพรัตน์
๔๔ รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์
๔๕ จินตนา เชิญศิริ
๔๖ ชัยศิริ สมุทรวณิช
๔๗ สุชาติ สวัสดิ์ศรี
๔๘ พิทักษ์ ธวัชชัยนันท์
๔๙ รท.รณชัย ศรีสุวรนันท์
๕๐ ดร.เสริม ปุณณหิตานนท์
๕๑ สุชาดา กาญจนพังคะ
๕๒ สุธน สุนทราภา
๕๓ ดร.เขียน ธีรวิทย์
๕๔ วัชรี วงศ์หาญเชาว์
๕๕ ฟัก ณ สงขลา
๕๖ ไชยวัฒน์ ยนเปี่ยม
๕๗ ฉายศิลป์ เชี่ยวชาญพิพัฒน์
๕๘ เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์
๕๙ พงษ์ศักดิ์ พยัคฆ์วิเชียร
๖๐ พินัย อนันตพงศ์
๖๑ นพพร สุวรรณพานิช
๖๒ ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวณิช
๖๓ ทวี หมื่นนิกร
๖๔ ธัญญา ชุนชฎาธาร
๖๕ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
๖๖ ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ
๖๗ นิวัติ กองเพียร
๖๘ ดร.ศักดา สายบัว
๖๙ สุมิตรา เต็งอำนวย
๗๐ ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์
๗๑ สุวัฒน์ ทองธนากุล
๗๒ สุรชัย จันทิมาธร
๗๓ คำสิงห์ ศรีนอก
๗๔ เสนีย์ ด้านมงคล
๗๕ ปรีชา แสงอุทัย
๗๖ อุดร ทองน้อย
๗๗ สมคิด สิงสง
๗๘ ถวัลย์ วงศ์สุเทพ
๗๙ ประยงค์ มูลสาร
๘๐ พรชัย วีรณรงค์
๘๑ สุดาทิพย์ อินทร
๘๒ ไพบูลย์ วงศ์เทศ
๘๓ ไพสันต์ พรหมน้อย
๘๔ สุรพล วัฒนกุล
๘๕ ประกอบ สงัดศัพท์
๘๖ รต.ประทีป ศิริขันธ์
๘๗ ธรรมเกรียรติ กันอริ
๘๘ ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ
๘๙ เหม ศรีวัฒนธรรม
๙๐ ดร.วารินทร์ วงศ์หาญเชาว์
๙๑ ดาราวัลย์ เกษทอง
๙๒ ชนินทร์ ดีวิโรจน์
๙๓ เสถียร จันทิมาธร
๙๔ สุภชัย มนัสไพบูลย์
๙๕ กมล จันทรสร
๙๖ พิชัย รัตตกุล
๙๗ เจริญ คันธวงศ์
๙๘ สมเกียรติ โอสถสภา
๙๙ ประทุมพร วัชรเสถียร
๑๐๐ วีรพงษ์ รามางกูร
9 ตุลาคม 2545 08:29 น.
ม้าก้านกล้วย
โหมลมหนาวร้าวรานผ่านมาโหม
แล้งโพยมพยับรับกับแสงกล้า
ระลิ่วปลิวปล่อยล่องละอองระอา
คลุ้งพนาผนึกตรึกรู้สึกเกรง
โหมสะบัดปัดไปในทุ่งทอง
กล้าผยองเผลอไผลไล่ข่มเหง
อากาศกดดันดักลักลอบเร่ง
เกรงแดดเปล่งแรงร้อนกร้อนอุดม
ทองทุ่งข้าวเหลืองพราวน้าวรวงเหนี่ยว
ข่มเหงเชี่ยวชาญเชียวเที่ยวเกี่ยวก้ม
เร่งเวลากระชั้นชันนั้นน่าชม
กร้อนอุดมคมเคียวเก็บเกี่ยวรวง
เหนี่ยวเถิดหนา ช้า ช้า หนาแม่เกี่ยว
ก้มกลมเกลียวเก็บก้อนฟ่อนเจ้าหวง
น่าชมชิดคิดบรรเลงเพลงเคียวควง
รวงเอ๋ยรวงราบลงคงต้องลา
เกี่ยวเอวกลึงตรึงตามารำด้วย
หวงอยู่ใยใสสวยช่วยเถิดหนา
เคียวควงใส่เชิงชม้ายมาชายตา
ลาเอ๋ยลามะลิลามาฟ้อนรำ
ด้วยลมหนาวร้าวรานผ่านมาโหม
เถิดหนาโฉมเฉยช้าข้าชอกช้ำ
ชายตามองมาหาพาชื่นฉ่ำ
มาฟ้อนรำทำนองนำกำฟ่อนฟาง
(ม้าก้านกล้วย)
กลอนกลนี้ เป็นกลอนซ้อนกล หลายกลเลยเทียว
กลแรก ชื่อว่า ก้านต่อดอก คือจะใช้อักษรเดียวกันซ้ำสัมผัสใน หนึ่งท่อน จะซ้ำหนึ่งชุด ทุกวรรค เช่น ร้าวราน ตรึงตา ฟ่อนฟาง เป็นอาทิ
กลที่สอง ชื่อว่า ชุมนุมเทวา หรือเทพชุมนุม คือจะสัมผัสสระและเสียงพยัญชนะ หนึ่งคู่ในทุกท่อน ท่อน จะซ้ำหนึ่งชุด ทุกวรรค เช่น มาหาพา (ฟ้อน)รำทำ(นอง) ช้าข้า(ชอกช้ำ) (ชม)ชิดคิด. เป็นต้น
กลที่สาม ชื่อว่า ม้าเทียมรถ คือจะใช้คำท้าย ของบทต้น มาเป็นคำหน้าของบทถัดมา ซึ่ง ถ้านำมาใช้เพียงคำเดียว จะเรียกว่า เมขลาโยนแก้ว แต่ถ้าใช้มากกว่าหนึ่งคำ จึงจะเรียก ม้าเทียมรถ
นับไปนับมา ได้ตั้ง 4 กลบทแน่ะ