2 ธันวาคม 2545 14:55 น.
ม้าก้านกล้วย
ตะวันรอนกำลังดับลาลับล่วง
เหมือนกับดวงใจดับลาลับหวัง
ฟ้าหม่นแดงแฝงแสดเศร้าเผาภวังค์
เหมือนพลังจะทรงกายมลายไป
ฟ้าอีกฟากยังมีจันทร์อันกระจ่าง
แต่ใจว่างอ้างว้างกลางแขไข
เมื่อวันนี้ทั้งชีวีไม่มีใคร
จึงเหมือนใจสลายไปไร้รุ้งราง
ราวว่าแสงแห่งรักกำลังหรี่
ราวว่ามีม่านมืดขึงพืดขวาง
ราวโหยหาแสงมณีสุรีย์สล้าง
ราวอยู่กลางอเวจีที่ทุกข์ทน
เฝ้าอาลัยสนธยาอย่าคล้อยค่ำ
อย่าตอกย้ำโชคชะตาว่าหมองหม่น
อย่าหลอกหลอนให้อาลัยในมืดมน
อย่าปล่อยคนเหงาหัวใจไว้เดียวดาย
จะมีไฟไหนหนอรอแสงสาง
ส่องใจว่างสร่างเศร้าเงาสลาย
รับฟังถ้อยอัดอั้นพลันผ่อนคลาย
ค้นหาสายปลายรุ้งสวยด้วยแสงทอง
ไฉนเลยตะวันรอนอ่อนแสงลง
เจ้ายังคงเฉยชาข้ายังหมอง
ฟ้าเมื่อสิ้นสุริยาไม่น่ามอง
ใจเมื่อไร้รักครองต้องรวดร้าว
(ม้าก้านกล้วย)
2 ธันวาคม 2545 08:41 น.
ม้าก้านกล้วย
ค่ำแล้ว นางไพรของพี่เอย
เชิญเจ้าเคียงครองเขนยข้างข้างพี่
หลับตาเถิดหนาเจ้าคนดี
พี่นี้จะกล่อมไกวให้เจ้านอน
โน่นแน่ะเขียวแขกเต้าเข้ารังแล้ว
นั่นแน่ะแก้วกกชู้ดูเหนื่อยอ่อน
ทั้งไก่ป่ากาดงลงจับคอน
ยังนิ่งนอนหลับไหลให้คลายล้า
เจ้าเองก็เหน็ดเหนื่อยมิใช่หรือ
ด้วยสองมือตรากตรำระกำกล้า
มิแม้พร่ำบ่นพ่ายคลายศรัทธา
ด้วยหมายว่าจะมั่งคั่งดั่งใจคิด
ยามงานนั้นแม้หนักสักเพียงไหน
ยามพักใจจงหลับไหลให้สนิท
เพื่อตื่นมาโต้ชะตาพาชีวิต
ด้วยลิขิต ด้วยสองเรา เข้าใจกัน
จะกล่อมขลุ่ยเชิญขวัญเจ้าเข้านิทรา
จงหลับตาเชิญขวัญเจ้าเข้าสู่ฝัน
จะคลอขลุ่ยล้อสกาวดาวนับพัน
เพื่อให้วันพรุ่งพร่างสว่างไสว
เพื่อเราสองหาญกล้าเพื่อฝ่าฟัน
เพื่อเรานั้นคงมั่นในวันใหม่
เพื่อพร้อมพาย่างเท้าให้ก้าวไกล
เพื่อเคียงข้างอย่างใจจะให้เป็น
(ม้าก้านกล้วย)
2 ธันวาคม 2545 08:27 น.
ม้าก้านกล้วย
โอ้เจ้ากาเหว่าเอย กระไรเลย
เจ้าไม่เคยกกไข่
จากอุทรมารดา แต่เดิมมา
ไม่รู้ว่า เป็นใคร
เจ้าเป็นสาวสวยงาม ขนดำ
เจ้าจะทำ ฉันใด
เจ้ากรีดกรายยั่วยวน ชักชวน
ล้วนเสน่ห์ หลงไหล
ปฏิพัทธ์จัดจ้าน หยาบกร้าน
รานราคะ ลุกไหม้
ปฏิวาตพัดพา เจ้ามา
วัฏจักรหมุนเปลี่ยน เวียนใหม่
เจ้าเป็นแม่กาเหว่า อุ้มครรภ์
มิรู้จะหัน หาใคร
เอ๋ย เจ้ากาเหว่าเอย มิรู้จะหัน หาใคร
จึงลอบลง รังกา เขี่ยไข่กาทิ้งไป
แล้วลอบลงรังกา ไข่ลูกยาเอาไว้
เอ๋ย เจ้ากาเหว่าเอย มิรู้จะหัน หาใคร
(ม้าก้านกล้วย)
กลอนราชเกริง นี้ มีบันทึกไว้ว่า เล่นมาแต่ อาณาจักร เชี๊ยะโท้ว - ตั้ม หม่า หลิง (น่าจะเป็น ศรีโพธิ ตามพรลิงค์ ประมาณ พุทธศักราช 1100 - 1600 ) ซึ่ง บันทึกจีนกล่าวว่า การละเล่น หลัก กัง หรือ เล่า- เก็ง จะเป็นการร้องเพลงที่มี การซ้ำเสียงท้าย ให้ใช้สระสะกดเดียวกันทั้งเพลง ปัจจุบัน ยังมีเล่นกันอยู่ ประปราย ส่วนมากใช้ในเพลงดอกสร้อย เพลงปรบไก่ และที่ นิยมมาก ก็คือ เพลงลิเก
จะขอยกตัวอย่างกลอนราชเกริง ที่ทุกคนต้องร้อง อ๋อ เพราะ เชื่อว่า ทุกคนต้องเคยเล่น
ก็ เพลงมะลิลา ยังไงล่ะ ที่ร้องว่า ลา มะลิ ลา ขึ้นต้น อะไรก็ได้ ขอให้ลงท้ายด้วยสระ อา
หาก ร้องกลอนราชเกริงในวงมโหรี จะเรียกว่า หน้าพาทย์ ราชเกริง แต่ ถ้าเล่นโดด ๆ หรือเล่นแบบกลอนสด มักนิยมเรียกว่า เล่าเกริง( เล่าเก็ง ?)
27 พฤศจิกายน 2545 08:19 น.
ม้าก้านกล้วย
ไม่ได้เจอะเจอกันนั้นเนิ่นนาน
เหมือนเส้นทางพบพานแล้วแยกย้าย
ร่วมสร้างฝันก่อนสัมพันธ์อันสลาย
ต้องกลับกลายเป็นศตรูรู้แก่ใจ
เกลอรักหล่อนหล่อนก็ใช่ดวงใจฉัน
รักพัวพันสามเส้าเข้าใจใหม
ลังเลแล้วหล่อนมิรู้จะคู่ใคร
ต้องฟาดฟันกันบรรลัยไปข้างนึง
จับมือกันอย่างมาตรชาตินักสู้
หล่อนจะอยู่คู่เคียงเพียงที่หนึ่ง
ผู้แพ้พ่ายต้องหลีกไปไม่ดันดึง
ผู้ที่ซึ่งสมใจได้สมปอง
แบทั้งสองมือเกลอมาเปิดเผย
มาได้เลยพร้อมไต่ถามความถูกต้อง
วัดชะตาชีวิตคิดประลอง
หวังรักเดียวเกี่ยวข้องลองวัดดวง
ยืนซึมยอมสยบหลบเลียแผล
เพราะพ่ายแพ้ด้อยกว่าไม่กล้าหวง
แตกกระจายตายทั้งยืนฝีนทั้งทรวง
เหมือโดนล้วงควักไส้ไปต้มยำ
คิดว่าเกลอต้องยื่นเป็นผืนผ้า
จึงทำท่าเป็นกรรไกรหมายขย้ำ
พลาดไปแล้วแพ้หมดท่าช่างน่าขำ
เกลอดันกำ มือเป็นค้อน อ่อนแรงเลย.
(ม้าก้านกล้วย)
27 พฤศจิกายน 2545 08:18 น.
ม้าก้านกล้วย
รวงทองข้าวตั้งท้องต้องรั้งรวง
เมล็ดหน่วงรวงหนักจักต้องเหนี่ยว
ลู่ลมหนาวเหน็บนามากราวเกรียว
รอแรงเคียวเกี่ยวตวัดและฝัดฟาง
ยามนี้ข้าวโค้มอ่อนลงรอนราบ
คำนับกราบแดดดลปรนเปรอสร้าง
ระลึกคุณน้ำบ่ามาเจือจาง
ดินก็ช่างกูลเกื้อช่วยเหลือกัน
เคารพส่งส่วยพระคุณพิรุณเทพ
โพสพเสพย์ฝนฝากจากสวรรค์
จนได้ธัญญาหารตระการนั้น
ได้แพร่พันธุ์ภาคภูมิใจได้รวงทอง
อ่อนน้อมเหมือนดังว่าจะลาล่วง
ถนอมรวงทำนุราวข้าวตั้งท้อง
ก็ก้านใบหลุบรกมาปกป้อง
เพื่อเผ่าผองพันธุ์ข้าวเจ้าสุกงาม
เมื่อนาโน้มก้มสาคารวะ
สุริยะยังมิพักชักรถข้าม
ตะวันยอมอ้อมข้าวราวเกรงขาม
มิคุกคามอร่ามให้ระคายเคือง
บัดนี้ก็คงได้แต่รอคอย
จะปลดปล่อยเมล็ดพันธุ์อันหรูเหลือง
ไปหล่อเลี้ยงผู้ไผทในหมู่เมือง
ให้รุ่งเรืองรุดโรจน์โภชนา
ยามนี้ข้าวโค้มอ่อนลงรอนราบ
ข้าวยังกราบอ่อนอุกทุกทิศา
แล้วมีใครใดไหมในพารา
ที่บูชาเมล็ดข้าวที่เจ้ากิน
(ม้าก้านกล้วย)