19 มิถุนายน 2546 21:20 น.
ม้าก้านกล้วย
ฝนพรำพรำ น้ำตาฟ้า หล่นมาหลอน
ใจรอนรอน น้ำตาเหงา เคล้าผสม
หวีดหวิวหวิว ยินอยู่เพียง แค่เสียงลม
ฟ้าครืนครืน ขื่นแล้วขม ชมแล้วครวญ
เมฆม่านหม่น มัวมัว กลัวใจนัก
ถอนหายใจ หนักหนัก สักกี่หวน
กระพริบตา ถี่ถี่ ฤดีรวน
ฝนนั้นชวน ซึมซึม ไม่ลืมเธอ
สะบัดหน้า สำนึก ระลึกถึง
ใยจึงตรึง ตราแค้น แน่นเสมอ
ทั้งที่ช้ำ ร่ำลา มาพ่ายเพ้อ
ยังละเมอ ว่าฝัน มันไม่จริง
หยิกแขนซ้าย ย้ายแขนขวา เหมือนบ้าคลั่ง
ตื่นหรือยัง หวังหรือไร ใยคงนิ่ง
สะท้อนอก สะทกใจ ใครนะทิ้ง
ให้จมดิ่ง อยู่ในโลก ที่โศกศัลย์
ฝนรินริน กินน้ำตา เหมือนอาหาร
หวังหวานหวาน ว่ารักยัง เช่นดั่งฝัน
เพ้อลมลม จะชมชื่น ทุกคืนวัน
คิดสั้นสั้น คำลานั้น มันเรื่องลวง
จากกันแล้ว ใช่หรือไม่ ใครจะตอบ
ก็เคยชอบ ก็เคยง้อ ก็เคยหวง
กลับมาหา ได้หรือไม่ ใจทักท้วง
มาเก็บดวง ใจที่รอ ขอรักคืน
(ม้าก้านกล้วย)
17 มิถุนายน 2546 16:51 น.
ม้าก้านกล้วย
ลำนำแห่งวังเวง . . บรรเลงอย่างเงียบงัน
เดียวดายใต้เงาจันทร์ . . รำพันแค่รักลา
เหม่อมองต้องข่มใจ . .คนไกลใยไม่มา
โอดครวญป่วนอุรา . .เหลียวหา ทว่าหาย
จะมีดนตรีใด . .กล่อมใจให้เหงาคลาย
โศกาน้ำตาสาย . .หล่นรายในคืนนี้
เคยเหงาเข้าใจว่า . . เขามาปลอบฤดี
ไฉนจึงไม่มี . . กอดที่อ่อนละมุน
แผ่นไหล่ไหนจะรอง . . เมื่อต้องการเอนหนุน
อยู่ไหนล่ะไออุ่น . . ว้าวุ่นและวังเวง
ลำนำแห่งโหดร้าย . . กรีดกรายร่ายบรรเลง
แปร่งปร่ากว่าบทเพลง . . คิดเองหรือเป็นจริง
เขาไปไม่แม้ลา . . ห่วงหาประสาหญิง
ย้ำหนักว่ารักยิ่ง . . ใยทิ้ง ไม่จริงใจ
บทเพลงก็ลาลับ . . สดับ วิเวกไหว
ฟูมฟายร้ายร่ำไห้ . . หาใคร เข้าใจเรา
ค่อนคืนฝืนคอยครวญ . . เจียนจวน จะขลาดเขลา
เดียวดายไร้แม้เงา . . ใครเล่า จะเข้าใจ
(ม้าก้านกล้วย)
16 มิถุนายน 2546 23:03 น.
ม้าก้านกล้วย
แม้จะยากลำเค็ญเป็นชนชั้น
ที่สามัญอดมื้อหรือจะสน
เพราะผู้หนึ่งซึ่งสำคัญ ฉันก็คน
แม้ฉันจน แต่ร่ำรวยด้วยความดี
มิได้มากเงินทองมากองตั้ง
ถึงจะหวังมีเงินบ้างอย่างศักดิ์ศรี
ซื้อสุขพอทำเนาพอเข้าที
ไม่ต้องมีมากมายเป็นก่ายกอง
แค่สมองและสองขาท้าทายโลก
เผชิญโชคในโลกกว้างอย่างกึกก้อง
ไม่ยโสโอหังอย่างลำพอง
และไม่หมองหม่นชะตาว่าโหดร้าย
ในน้ำเน่าเหม็นดำต่ำต้อยค่า
แต่ทว่าเงาพระจันทร์ยังฉันท์ฉาย
ในดงหญ้าต่ำเตี้ยเรี่ยเรียงราย
ยังมีพรายหิ่งห้อยปล่อยแสงเย็น
ฉะนั้นใจจึงสุขทุกโอกาส
เพราะองอาจสุขใจไม่ทุกข์เข็ญ
แม้ร่างกายตรากตรำและลำเค็ญ
แต่ใจนั้น ร่มเย็นเป็นสุขนัก
ไม่ได้ดิ้นรนรวยด้วยเล่ห์กล
ไม่ต้องค้นต้องหาว่าตวงตัก
แสวงหาอย่างฉ้อฉลล้นทะลัก
เพื่อสูงศักดิ์ แต่ร่ำรวยด้วยความเลว
(ม้าก้านกล้วย)
12 มิถุนายน 2546 01:22 น.
ม้าก้านกล้วย
หนึ่งใจเหงาโหยหาเวลาหม่น
หนึ่งกมลเดียวดายมิถ่ายถอน
หนึ่งรวดร้าวราวอนาถจะขาดรอน
หนึ่งเว้าวอนโหยหาว่าห่างหาย
สองเราเริ่มเยื่อใยในวันก่อน
สองอาทรสอดย่านผสานสาย
สองไมตรีต่อเนื่องประเทืองกาย
สองเราได้สร้างความจริงสิ่งงดงาม
มีคำพูดมากมาย จะถ่ายทอด
มีหลายกอดอันอบอุ่นมาครุ่นถาม
อีกมากเพ้อละเมอถึงจึงติดตาม
หลากความงามที่รับรู้อยู่เป็นนิตย์
เสมอเพื่อเสมือนผู้รู้ใจแล้ว
สมานแน่วในสัมพันธ์ประสานติด
สนองเนื่องประเทืองท่ามความเป็นมิตร
สนมสนิทสนุกสนานสราญรมณ์
ร้อยหมื่นถ้อยสนทนาจะมาบอก
แสนช้ำชอกจะปรึกษามาคลายขม
ล้านเรื่องราวยาวนานผ่านระทม
หนึ่งชิดชมหนึ่งคู่คิดหนึ่งมิตรเดียว
ร้อยสัมพันธ์นั้นเป็นหนึ่งจึงแน่วแน่
หนึ่งมิตรแท้มิผันแปรแม้หน่วงเหนี่ยว
ร้อยทุกข์ร้อนผ่อนแผ่นะจะแลเหลียว
หนึ่งใจเดียวมอบต่อกันวันเข้าใจ
(ม้าก้านกล้วย)
12 มิถุนายน 2546 00:29 น.
ม้าก้านกล้วย
ดึกดื่นดาวเด่นด้วย. . . .พัชรี
แสงสวยสลับสี . . . . . . . .หยาดย้อม
ยิบยิบกระพริบถี่ . . . . . พราวพร่าง
ดุจมีมณีล้อม . . . . . . . . .อาบฟ้า เรื่อเรือง
ใจนั้นภิรมณ์รื่น . . . . . . รอมชอม
เตลิดตื่นจะยินยอม . . . . รับรัก
เหลิงราวให้ดาวหลอม . . .โอบกอด ใจจูง
มโนนั้นสนานนัก . . . . . . หลงรัก ดารา
ถอดใจให้ล่องล้อ . . . . . . ทรวงปัก
หยอกยอพอรู้จัก . . . . . . .ร่วมฝัน
ยินดีที่ทายทัก . . . . . . . . .สนิท เสมือนญาติ
แย้มพักตร์สานสัมพันธ์ . . รังสรรค์ ไมตรี
คืนนี้ที่เดียวดาย . . . . . . กระนั้น ยังรื่น
ข้างกายได้ใฝ่ฝัน . . . . . .เกี่ยวก้อย
ดารานานานั้น . . . . . . .อ่อนโยน เอื้อนเอ่ย
ชวนฉันขึ้นล่องลอย . . . เยี่ยมฟ้า ณ ราตรี
ถอดใจไปเยี่ยมฟ้า . . . . ปลดปล่อย
สูงว่ากว่าดาวน้อย . . . . เลิศล้ำ
รับรองประคองค่อย . . . เกรงว่า
ดาวลอยจะหม่นดำ . . . .จากฟ้า สู่ดิน
จากลาด้วยด้อยศักดิ์ . . .เกินกล้ำ
หวาดนักจักท่วงทำ . . . .หวั่นไหว
ดาวลอยเจ้าคล้อยต่ำ . . เสื่อมสิ้น ราศรี
ระกำจำตัดใจ . . . . . . . จากฟ้า ลาดาว
(ม้าก้านกล้วย)
อันกลอนแปลง แสร้งว่าโคลงนี้ เคยเขียนไปแล้ว ในบท แมกไม้ สายมูล ซึ่งเอากลอนหก มาฉีกท่อน วางให้ได้ อย่าง โคลง
แต่ กลอนแปลงแสร้งว่า โคลง อีกทางหนึ่ง จะแต่งเป็นกลอนห้า หรือ กาพย์ยานี 11 แล้ว จับมาวาง แบดคลง จากนั้น จึงแต่ง ต่อให้ครบโคลง ด้วยการเติม ท่อนโคลง หลังกลอน
ฉะนั้น การอ่าน จึงอ่านได้ สองใจความ คือ อ่านเฉพาะ ท่อนหน้า ไล่เรียงกันลงมา แบบกลอน หรือกาพย์ ก็ได้ และ อ่านแบบโคลง ก็ได้ เช่นกัน
แต่ โคลง ในบทแสร้งว่า นี้ มักไม่นิยมบังคับ เอก 7 โท 4