16 พฤษภาคม 2550 22:17 น.
มัสลิน
๏ น้ำพราวพร่างกลางฟ้าร่วงหาพื้น
ชุ่มดินชื้นฉ่ำไปในทุกหน
คือฝนรินหยาดพรายเป็นสายชล
หลั่งท่วมท้นล้นไร่นาบ่านที
หันทิศไหนรอบกายคล้ายกันหมด
ฟ้าเคยสดงดงามยามเปล่งสี
แต่คราฝนหล่นมาในธานี
กลับไม่มีความสดใสให้แลมอง
ละอองฝนสาดสายพรมปลายหญ้า
คล้ายน้ำตาสั่งลายามฟ้าหมอง
แผ่นดินอุ่นแผ่ไอรักจักประคอง
ดับขุ่นข้องร้องร่ำตอนคร่ำครวญ
ดินรองรับซับน้ำตาคราฟ้าหลั่ง
ดินช่วยฝังคราบน้ำตาฟ้ากำศรวล
ดินคู่ฟ้าทุกเวลาถ้าทบทวน
ฟ้าเรรวนหรือคำรามดินตามใจ
ดินไม่เคยทำร้ายกล้ำกรายฟ้า
ถึงแม้ว่าบางตอนอาจอ่อนไหว
พร่างน้ำตามาเถอะฟ้าถ้าอาลัย
ดินรอให้ฟ้านอนหลับไปกับดิน
ดินสัญญาจะกอดฟ้าถ้าร้องไห้
ดินคงไม่ครวญคร่ำร่ำถวิล
ฟ้ารีบนอนอ่อนละมุนกรุ่นไอดิน
ก่ อ น ร อ ริ น พ ร่ า ง น้ำ ต า ค ร า ต่ อ ไ ป ๏
9 พฤษภาคม 2550 20:37 น.
มัสลิน
๑ลมหายใจแผ่วรินราวสิ้นเสียง
ร่างกายเพียงเลี้ยงไว้มิให้สูญ
ดวงตาเผลอเหม่อนิ่งยิ่งอาดูร
เพิ่มพอกพูนความล้าเข้ามาครอง
เดินโดดเดี่ยวเดียวดายในความเงียบ
มิอาจเปรียบเทียบได้ในความหมอง
วิญญาณร้าวยับเยินเกินประคอง
ราวเริ่มมองชีวิตถูกปลิดไป
เสียงภายนอกกึกก้องผ่านร่องหู
ไม่รับรู้รับฟังดังแค่ไหน
ยินเพียงเสียงพร่ำร้องของห้องใจ
เมื่อหม่นไหม้อาวรณ์ตอนระทม
วันเดือนปีผ่านพ้นคนท้อทุกข์
ลื่นล้มลุกคลุกคลานกร้านความขม
เลี้ยงชีวิตเพื่อทดสอบปลอบอารมณ์
จักต้องตรมนานไหมกว่าใจพัง?
อยากข้ามผ่านลานโศกลาโลกเศร้า
ไขว่คว้าเข้าเปิดประตูสู่ความหวัง
แต่เหมือนกรรมเมื่อปางก่อนย้อนมาบัง
สุดท้ายยังติดวังวนจนชาชิน ๑
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑