18 ตุลาคม 2550 22:30 น.
มัสลิน
๏ ดั่งแก้วร้าวคราวร้างเส้นทางฝัน
มุมเก่านั้นลางเลือนเหมือนสูญหาย
แสนอาดูรพูนเทวษเปรียบเศษทราย
ลมเฉียดกรายปลิวเกลื่อนอย่างเลื่อนลอย
หวาดหวั่นไหวในหวังครั้งคราใหม่
ความตั้งใจเริ่มลดจนถดถอย
เหนื่อยหน่ายคล้ายสะท้านต่อการคอย
สะท้อนรอยรุกเร้าเร่งเศร้าใจ
ผ่านเงียบงันขวัญหายมาหลายฝน
เหน็บหนาวจนหม่นหมองมองทางไหน
แสงตะวันหันแซมแต้มทิศใด
องศาใจกลับไม่รับกับสุรีย์
ในสำนึกรู้สึกแล้วแผ่วแผ่วโหย
ม่านตาโรยล้าแรงพร่องแสงสี
ท่ามสายลมพรมพร่าฝ่าราตรี
จันทร์คืนนี้หม่นวูบเป็นรูปเคียว
หนึ่งชีวิตคิดพร่ำท่ามลมโบก
เกลื่อนดาวโศกเย้าแหย่ไม่แลเหลียว
ใจเว้าแหว่งแบ่งฝันกับจันทร์เรียว
เหลือเพียงเสี้ยวปันเหงากับเงาจันทร์
คิดวาดหวังยังหวั่นในวันพรุ่ง
แนวโค้งรุ้งไกลไหม?หากใจฝัน
ทาบทอดผ่านเวลามาสักวัน
ปลุกตัวฉันตื่นรับกับความจริง ๏
30 กันยายน 2550 20:06 น.
มัสลิน
๏นั่งกอดกายวาบวูบลูบไล้ร่าง
หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมแผ่วผิว
ร้าววิญญาณบีบบิดราวปลิดปลิว
เห็นรอยริ้วร่ำร้องทุกห้องใจ
ไยอ่อนแอไหวหวั่นถึงปานนี้
หลายคราที่ย่ำแย่มาแค่ไหน
อาบความเศร้าร้าวรานมากปานใด
ยังอยู่ได้ยืนยงไม่หลงทาง
เพียงความรักหักหาญผลาญใจสิ้น
ถึงกับดิ้นร้อนรนหมองหม่นหมาง
ไม่ซึมซับห่างหายทางสายกลาง
ทุกก้าวย่างลืมแลแพ้ชะตา
มัวร้องร่ำพร่ำเพรียกเรียกใครเล่า
ในเมื่อเราดึงดันใฝ่ฝันหา
รู้ว่าอาจด่าวดิ้นสิ้นชีวา
ยังรั้นฝ่าฟาดฟันนั่นคือกรรม
เมื่อใจโปรดโลดแล่นไยแสนเศร้า
หรือเปลี่ยวเหงาหวั่นไหวยังไม่หนำ
เก็บร่องรอยตักเตือนอย่าเลือนจำ
คราวชอกช้ำเกลียดโกรธจะโทษใคร?
คิดพะวงลุ่มหลงปลงไม่ตก
ร้าวรานอกร้อนรุ่มเกินคุมไหว
ความผูกพันลางเลือนเพียงเพื่อนใจ
ไม่โทษใครเกลียดโกรธโทษตัวเอง๏
24 มิถุนายน 2550 21:21 น.
มัสลิน
๏ น้ำตารินหยดรอตัดพ้อเศร้า
เหลือเพียงเงาวูบดับเลือนลับหาย
หากสิ้นสูญเสน่หาพาเสื่อมคลาย
จิตยังว่ายวนเวียนเพียรติดตาม
แค่เพียงใจไขว่คว้าว่าช้าก่อน
อย่าจากจรลาไกลยังไหวหวาม
ความละมุนอุ่นไอในโมงยาม
แม้จะปรามห้ามเท่าไหร่ใยมิฟัง
กลั่นน้ำตาใสใสไหลหยาดหยด
ยังไม่หมดรอยหมองของความหลัง
อีกไม่นานทำนบใจคงใกล้พัง
อาจกลบฝังเรือนกายใต้ตะวัน
เมื่อเหม่อมองปองหมายมิคลายเศร้า
เหมือนสิ่งเร้ารุกรบกลบภาพฝัน
สะบัดใจให้หยัดยืนข้ามคืนวัน
เลิกดึงดันเป็นคนท้อพอกันที
มาเถิดมาความอ่อนล้าขอท้าเจ้า
ความหมองเศร้าพ่นพิษอย่าคิดหนี
ใจกล้าแกร่งทนคมเขี้ยวเรี่ยวแรงมี
อยากราวีขอเชิญมากล้าท้าทาย
ยอมหยัดยืนกลืนกล้ำค้ำความโศก
ตราบเมื่อโลกยังไม่ดับลี้ลับหาย
หนาวหรือร้อนขอนไฟใส่เรือนกาย
เถอะ..ทนได้ทุกเรื่องราวแกร่งกร้าวพอ
แม้สิ้นใจเพราะปากกล้ามาท้ารบ
รู้จุดจบแห่งความหมองมิร้องขอ
กลั่นน้ำตาเพื่อรินรดกี่หยดรอ
ไม่มีท้อยังร้องท้า....ว่าไม่กลัว๏
16 พฤษภาคม 2550 22:17 น.
มัสลิน
๏ น้ำพราวพร่างกลางฟ้าร่วงหาพื้น
ชุ่มดินชื้นฉ่ำไปในทุกหน
คือฝนรินหยาดพรายเป็นสายชล
หลั่งท่วมท้นล้นไร่นาบ่านที
หันทิศไหนรอบกายคล้ายกันหมด
ฟ้าเคยสดงดงามยามเปล่งสี
แต่คราฝนหล่นมาในธานี
กลับไม่มีความสดใสให้แลมอง
ละอองฝนสาดสายพรมปลายหญ้า
คล้ายน้ำตาสั่งลายามฟ้าหมอง
แผ่นดินอุ่นแผ่ไอรักจักประคอง
ดับขุ่นข้องร้องร่ำตอนคร่ำครวญ
ดินรองรับซับน้ำตาคราฟ้าหลั่ง
ดินช่วยฝังคราบน้ำตาฟ้ากำศรวล
ดินคู่ฟ้าทุกเวลาถ้าทบทวน
ฟ้าเรรวนหรือคำรามดินตามใจ
ดินไม่เคยทำร้ายกล้ำกรายฟ้า
ถึงแม้ว่าบางตอนอาจอ่อนไหว
พร่างน้ำตามาเถอะฟ้าถ้าอาลัย
ดินรอให้ฟ้านอนหลับไปกับดิน
ดินสัญญาจะกอดฟ้าถ้าร้องไห้
ดินคงไม่ครวญคร่ำร่ำถวิล
ฟ้ารีบนอนอ่อนละมุนกรุ่นไอดิน
ก่ อ น ร อ ริ น พ ร่ า ง น้ำ ต า ค ร า ต่ อ ไ ป ๏
9 พฤษภาคม 2550 20:37 น.
มัสลิน
๑ลมหายใจแผ่วรินราวสิ้นเสียง
ร่างกายเพียงเลี้ยงไว้มิให้สูญ
ดวงตาเผลอเหม่อนิ่งยิ่งอาดูร
เพิ่มพอกพูนความล้าเข้ามาครอง
เดินโดดเดี่ยวเดียวดายในความเงียบ
มิอาจเปรียบเทียบได้ในความหมอง
วิญญาณร้าวยับเยินเกินประคอง
ราวเริ่มมองชีวิตถูกปลิดไป
เสียงภายนอกกึกก้องผ่านร่องหู
ไม่รับรู้รับฟังดังแค่ไหน
ยินเพียงเสียงพร่ำร้องของห้องใจ
เมื่อหม่นไหม้อาวรณ์ตอนระทม
วันเดือนปีผ่านพ้นคนท้อทุกข์
ลื่นล้มลุกคลุกคลานกร้านความขม
เลี้ยงชีวิตเพื่อทดสอบปลอบอารมณ์
จักต้องตรมนานไหมกว่าใจพัง?
อยากข้ามผ่านลานโศกลาโลกเศร้า
ไขว่คว้าเข้าเปิดประตูสู่ความหวัง
แต่เหมือนกรรมเมื่อปางก่อนย้อนมาบัง
สุดท้ายยังติดวังวนจนชาชิน ๑
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑