23 สิงหาคม 2547 20:52 น.

*.*.* เค้าคนนี้...คนที่ฉันรัก *.*.*

มะปรางหวาน5

เป็นเรื่องราวที่ผ่านมานานกว่า 5 ปีแล้วที่ฉันเคยรักผู้ชายคนนี้
หากจะถามเหตุผลว่าเพราะอะไร ฉันคงตอบไม่ได้
และยังคงสงสัยว่าอะไรในตัวเค้านะที่มัดใจคนอย่างฉันได้นานขนาดนี้
เค้าคนนี้...คนที่ไม่เคยมีแม้แต่การ์ดสักใบในโอกาสพิเศษต่าง ๆ ของเราสองคน
แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันจะได้รับเสมอคือ เค้าจะแอบมากระซิบข้างหูว่า
 เค้ารักตัวเองนะ  เมื่อยามที่เค้าคิดว่าฉันหลับแล้ว
เค้าคนนี้....คนที่บอกว่าไม่ใช่คนขี้หึงนะ
แต่ทุกทีที่มีผู้ชายแปลกหน้ามานั่งที่โต๊ะกินข้าวของฉันกับเพื่อน
เค้าคนนี้....แหละจะรีบแจ้นมานั่งข้างฉัน  มาแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของฉันนะใครก็ห้ามจีบ
เค้าคนนี้....คนที่ไม่ค่อยจะสนใจเมื่อฉันเล่าเรื่องราวหน้าแตกให้ฟัง
แต่ก็แปลกนะที่เพื่อนสนิทของเค้ากลับมีเรื่องราวหน้าแตกของฉันมาแซวฉันได้ทุกครั้งที่เจอกัน
เค้าคนนี้....คนที่บอกกับฉันเสมอว่าไม่ชอบคุยโทรศัพท์นะ
แต่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเค้าโทรหาฉันทุกวันเลย
เค้าคนนี้....คนที่ไม่เคยมีคำหวาน ๆ 
แสดงความเป็นห่วงเป็นใยในยามที่ฉันต้องขับรถกลับบ้านคนเดียว
แต่สิ่งที่ฉันได้ยินมาตลอด 5 ปี คือคำพูดสั้น ๆ ห้วน ๆ ที่คอยพร่ำบอกกับฉันเสมอว่า
 ขับรถดี ๆ นะ ห้ามขับรถเร็ว รู้นะว่าขับรถเร็วจะโกรธ เป็นอะไรขึ้นมาจะไม่ไปดูดำดูดี 
แต่ฉันรู่ว่าเค้าซ่อนคำเป็นห่วงมากับคำพูดเหล่านั้น....อิอิ
เค้าคนนี้....คนที่บอกว่าฉันทำกับข้าวไม่ได้เรื่องที่สุด
แต่แปลกนะพอฉันเข้าครัวทีไรเค้านั้นแหละที่ทานซะเกลี้ยงทุกทีเลยสิน่า
เค้าคนนี้....คนที่รีบบึ่งรถกลับมาดูฉัน เมื่อรู่ว่าฉันไม่สบายมาก
แต่กลับมาเจอฉันยิ้มร่าเริงคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่ม ( เป็นแผนแกล้งเค้านะ )
เค้าคนนี้....คนที่พยายามทำให้ฉันมีส่วนร่วมในกิจกรรมทุกอย่างของครอบครัวเค้า
ทั้งที่ไม่เคยพูดว่าอยากให้เข้ากับครอบครัวของเค้าให้ได้นะ
เค้าคนนี้....คนที่ไม่เคยพูดถึงอนาคตของสองเราในวันข้างหน้าเลย
แต่กลับพยายามตั้งหน้าตั้งตาหางานทำในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ
และคนตกงานก็เติมบ้านเติมเมืองไปหมด 
เค้าคนนี้....คนที่ไม่เคยพูดว่า  คิดถึง  เมื่อยามที่เราอยู่ไกลกัน
แต่พอกลับมาเจอกันอีกที
เค้าคนนี้....แหละที่กอดฉันซะแน่นไม่ยอมปล่อยเลย
เค้าคนนี้....คนที่เข้าใจฉัน
เค้าคนนี้....คนที่ให้อภัยในทุกเรื่องที่ฉันทำผิด...เสมอมา
เค้าคนนี้....คนที่มีอะไรที่น่ารัก ๆ อีกมากมายที่ฉันคงบรรยายไม่หมด
เค้าคนนี้....คนที่ฉันจะรักตลอดไป...ในตอนนี้ฉันยังไม่อยากจะเรียกร้องให้ตอนจบระหว่างฉันกับเค้าเป็นอยางนั้นอย่างนี้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมักไม่แน่นอนเสมอ
ตอนจบระหว่างฉันกับเค้าอาจจะไม่ใช่ความสุขความสมหวัง
และการครองคู่อยู่ร่วมกัน ใช้ชีวิตครอบครัวอย่างมีความสุข
แต่ระหว่างเราไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแสนนานเท่าใด
มันจะมีแต่ความผูกพันที่ตัดกันไม่ขาด
วันหนึ่งข้างหน้าเราอาจจะเป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่ว่ายังไงก็คงไม่มีวันที่จะได้มาบรรจบกัน
แต่เส้นขนานคู่นั้นก็ยังคงได้มองเห็นความเป็นไปของกันและกันได้รับรู้เรื่องราวของกันและกัน
และได้เดินเคียงคู่กันตลอดไป  
ฉันรักเค้า.....ผู้ชายของฉัน				
23 สิงหาคม 2547 20:48 น.

*.*.* กระจอกน้อยเจ้าสำราญ *.*.*

มะปรางหวาน5

กาลครั้งหนึ่ง ยังมีนกกระจอกตัวหนึ่งเป็นนกกระจอกเจ้าสำราญ
เที่ยวกินเที่ยวเล่นไปวัน ๆ สนุกสนาน เมื่อฤดูหนาวใกล้เข้ามา
นกกระจอกตัวอื่น ๆ ก็พากันเตรียมตัวออกบินลงไปหลบหนาว
แต่พระเอกของเราก็ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
มันว่าเอาไว้ให้จนตัวจริง ๆ ค่อยออกเดินทางก็ยังไม่สาย
เพื่อน ๆ พากันเกาะกลุ่มบินไปเป็นกลุ่ม จนในที่สุดเหลือมันตัวเดียว
และประจวบกับอากาศที่หนาวเย็นลงทุกวันมันจึงได้สำนึก
เช้าวันหนึ่งที่อากาศหนาวเหน็บนกกระจอกเจ้าสำราญก็ออกบินเดี่ยวเดินทางลงไป
ขณะมาได้ไม่ไกล ฝนก็เทลงมาทำให้ขนของมันเปียกปอนไปหมด
และเพราะอากาศที่เย็นยะเยือกก็ทำให้น้ำที่เกาะปีกของมันกลายเป็นน้ำแข็งหนัก
มันบินต่อไปไม่ไหว ทั้งหนาวจนเกือบแข็งตายและหมดแรง
จึงตกแอ๊กลงมานอนหอบรอความตายอยู่บนพื้นดิน
เผอิญตรงนั้นจำเพาะเป็นลานบ้านชาวนามีวัวตัวหนึ่งเดินผ่านมา
และขี้ออกมากองเบ้อเริ่มหล่นแผละลงมาทับเจ้านกกระจอกพอดีจนมิดหัวมิดหู
เจ้านกกระจอกนึกในใจว่า   ซวยจริงตู ตายไม่มีศักดิ์ศรีเลย จมกองขี้วัวตาย  
มันปลงได้แล้วว่าคงตายแน่ แต่แล้วกองขี้วัวนั้นแหละที่ช่วยชีวิตมัน
เพราะความอุ่นทำให้น้ำแข็งละลาย และทำให้นกกระจอกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
มันดีใจมากที่รอดชีวิตจนร้องเพลงออกมาดัง ๆ 
เจ้ากรรมมีแมวตัวหนึ่งเดินผ่านมา
มันได้ยินเสียงนกร้องจึงเอียงหูฟังและเดินย่องตามมา
จนมาพบว่าเสียยงร้องออกมาจากกองขี้วัวนี้เอง
แมวจัดแจงเขี่ยขี้วัวออกด้วยความสงสัย
จนไปเจอะเจ้านกกระจอกที่กำลังแหกปากร้องเพลงเพลินอยู่
จึงจับกินเป็นอาหารอันโอชะเสียในทันที
 
ข้อความข้างต้นสอนให้รู้ว่า
1 ) คนที่ขี้รดหัวเราไม่แน่ว่าจะเป็นศัตรูเสมอไป
2 ) คนที่ช่วยโกยขี้ให้พ้นหัวเราไม่แน่ว่าจะเป็นมิตรไปเสียทุกคน				
13 สิงหาคม 2547 17:56 น.

*.*.* ตำนานนิทานของใบไม้ *.*.*

มะปรางหวาน5

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
ดอกไม้และใบไม้ยังไม่ได้รวมอยู่ต้นเดียวกันอย่างเช่นทุกวันนี้
มันต่างก็แยกกันอยู่  อีกทั้งเหล่าใบไม้ก็ไม่ได้มีสีเขียว
หากแต่มีหลากหลายสีสันงดงามนัก แต่ดอกไม้กลับมีเพียงสีขาวเท่านั้น
ใบไม้รวมอยู่กับหมู่ใบไม้ด้วยกัน มีแต่ความร่าเริง มีนิสัยรักสนุก
ต่างจากดอกไม้ที่อยู่อย่างเงียบเหงาเดียวดาย
แม้จะอยู่รวมกันคุยกันกับหมู่ดอกไม้ด้วยกัน
แต่ดอกไม้แต่ละดอกต่างมีความคิด และวาดฝันเป็นของตัวเอง
เธอเฝ้ารอบางสิ่งบางอย่างที่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
บ่อยครั้งที่เธอมองไปที่ใบไม้แล้วนึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของสีสันสวยงามนั้นบ้าง
แต่ดอกไม้ ดอกเล็กและเสียงเบากว่าที่จะเรียกใบไม้ให้หันมา
กระทั่งวันหนึ่ง ใบไม้เกิดรู้สึกเบื่อสีสันของตัวเองขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นดอกไม้น้อยสีขาวบริสุทธิ์ดอกหนึ่งเข้า
ใบไม้ไม่รู้จักสีขาวมาก่อน เขาไม่รู้ว่าสีขาวเป็นอย่างไร
เพราะใบไม้ต่างก็มีสีสันกันทุกใบ
ใบไม้เกิดหลงใหลในความอ่อนหวานละมุนละไมของดอกไม้น้อยในทันที
แต่ในความอ่อนหวานนั้นดุเหมือนจะมีความเหงาแฝงอยู่ด้วย
ใบไม้จึงเข้าไปถามดอกไม้ว่า
ดอกไม้ เธอช่างมีสีขาวสวยเหลือเกิน
แต่ทำไมเธอจึงดูเงียบเหงาอย่างนี้เล่า
ดอกไม้น้อยแหงนมองใบไม้กิ่งใหญ่แข็งแรงก่อนจะตอบกลับไปว่า
สีขาวซีดอย่างนี้หรอสวย ฉันอยากจะมีสีสันอย่างเธอบ้างจัง
มันคงจะทำให้ฉันมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
ใบไม้ได้ฟังแค่นั้นก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นหน้าที่ของเขา
ที่จะต้องช่วยเหลือดูแล และปกป้องดอกไม้น้อยดอกนี้
เขาจึงบอกเธอไปว่า มาซิดอกไม้ฉันช่วยเธอได้นะ
ถ้าเพียงเธอมาอยู่กับฉัน ฉันจะทำให้เธอมีชีวิตชีวาขึ้นเอง
ดอกไม้น้อยไม่รอช้ารีบตอบตกลงในทันที
เมื่อดอกไม้ไปอยู่กับใบไม้แล้ว ใบไม้ก็ให้การดูแลเธออย่างดี
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเพื่อเธอ
ถ่ายทอดออกมาเป็นสีสันสวยงามให้กันดอกไม้
แล้ววันหนึ่งดอกไม้น้อยมองลงไปในลำธาร
เธอก็เห็นเงาตัวเองเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีสวยที่มีชีวิตชีวา
แต่เมื่อหันไปมองที่ใบไม้ เขากลับกลายเป็นสีเขียวที่ดูอบอุ่นนัก
ดอกไม้น้อยถามใบไม้ว่า ใบไม้ นี่ฉันแย่งสีสันในชีวิตเธอมาหรือเปล่านะ
ใบไม้ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า ไม่หรอก ทุกวันนี้เธอคือสีสันในชีวิตฉัน
ฉันไม่ต้องการสีสันอะไรอีกแล้ว ฉันมีเพียงความสบายใจที่ได้เห็นเธอมีความสุข
จากนั้นมา ดอกไม้กับใบไม้ก็อยู่รวมกันเป็นต้นไม้ที่อบอุ่น
บนรากของความรัก ที่หยั่งลึกลงไปในผืนดินของหัวใจ
ด้วยเหตุนี้ใบไม้จึงมีสีเขียว
สีเขียวที่มองแล้วให้ความรู้สึกสบายตา เพราะเมื่อเรามองดูสีเขียวเมื่อไร
เราจะรับรู้ได้ถึงความสบายใจของใบไม้ที่เห็นดอกไม้น้อยของเขามีความสุข
ส่วนดอกไม้ ขาวที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ อ่อนหวาน ละมุนละไมนั้น
ดอกไม้คงไม่อยากให้ความรู้สึกเหล่านี้หายไป
จึงยังคงมีดอกไม้สีขาวให้เราเห็นมาจนทุกวันนี้ด้วยเช่นกัน				
13 สิงหาคม 2547 17:53 น.

*.*.* มองโลกในแง่ดี...มีความสุข *.*.*

มะปรางหวาน5

การมองโลกในแง่ดีเป็นศิลปะสำคัญของการดำรงชีวิตให้มีความสุข
เป็นอุบายกล่อมใจ ให้ยอมรับสภาพปัญหาที่กำลังปรากฏ
เพื่อให้มีกำลังใจ และความเข้มแข็งในการต่อสู้กับชีวิตต่อไป
ฉันเคยอ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ล พบคำสอนของพระเยซูที่ประทับใจทับหนึ่ง
ท่านสอนว่า ร่างกายสำคัญกว่าเสื้อผ้า  ชีวิตสำคัญกว่าอาหาร 
เป็นการสอนให้คนขาดเสื้อผ้าให้ทราบว่า เขามีสิ่งที่สำคัญกว่าเสื้อผ้าคือร่างกายของตนเอง
และสอนคนที่ขาดอาหาร ให้พอใจแล้วที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้
ฉันได้อ่านขำขัน  ที่เด็กคนหนึ่งถูกเพื่อนขโมยขนมไปครึ่งหนึ่ง
เด็กนั้นรำพึงรำพันว่า แกต้องเสียขนมไปตั้งครึ่งหนึ่ง
แล้วเพื่อนก็ปลอบว่า ให้มองโลกในแง่ดีสิ แกยังเหลือขนมอีกตั้งครึ่งหนึ่ง
การเปลี่ยนมุมมองสักนิด บางทีก็ทำให้อะไร ๆ ดีขึ้นได้หลายอย่าง
ในช่วงวิกฤต I M F นั้น หลายคนเดือดร้อนมาก
บางคนล้มละลาย บางคนท้อแท้ใจในชีวิต
แต่บางคนมองโลกในแง่ดี
ในวันที่เขาเกิดมานั้น เขาไม่มีอะไรมาเลย ไม่มีทรัพย์สิน กำลังกาย กำลังความรู้ 
ตอนนี้ถึงจะไม่มีทรัพย์สิน แต่ก็ยังมีกำลังกาย มีความรู้ และประสบการณ์
นับว่ายังดีกว่าจุดเริ่มต้นอีกมากนัก
การมองโลกในแง่ดีเพื่อสร้างความพอใจในสิ่งที่ตนมี ยอมรับในสิ่งที่ตนได้
เป็นคำสอนของปราชญ์ทั่วไป รวมทั้งพระศาสดาของเราชาวพุทธด้วย
เช่นทรงสอนให้เรามองโลกด้วยความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกและสรรพสัตว์
แต่คำสอนทางพระพุทธศาสนา ยังก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง
เหนือการมองโลกในแง่ดี คือการมองโลกตามความจริง
การมองโลกตามความเป็นจริงของพระพุทธศาสนานั้นมีความลึกซึ้งและละเอียดอ่อนมาก
คือท่านสอนตั้งแต่วิธีการมองโลกตามความจริง
ให้ปรากฏการณ์ทั้งปวงที่สัมผัสได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจตามที่มันเป็น
โดยไม่นำประสบการณ์ หรือความคิด เข้าไปเบี่ยงเบนการเรียนรู้นั้น
ท่านชี้บอกกระทั่งว่า เมื่องมองโลกตามความเป็นจริงแล้ว
เราจะเห็นอะไรคือเราจะเห็นว่า สิ่งที่ถูกเห็นทั้งปวงนั้น
มีความเกิดขึ้นด้วยเหตุ และดับไปเมื่อเหตุดับ
ยังมีอีกคำสอนที่ลึกซึ้งและอัศจรรย์ยิ่งกว่านี้อีก
คือท่านสอนให้มองย้อนเข้ามาที่ตัวเองด้วย ไม่ใช่เพียงรู้โลกตามความจริงเท่านั้น
หากแต่ยังไม่รู้จักมองตัวเอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของประสบการณ์ทั้งปวงด้วย
ความรู้ทางพระพุทธศาสนาจึงเป็นความรู้ที่แจ่มแจ้ง
คือรู้ตามความเป็นจริงถึงสิ่งภายนอก อันได้แก่ปรากฏการณ์ทั้งปวง
และรู้ชัดถึงสิ่งภายใน อันได้แก่สิ่งที่เรียกว่า เรา เรา เรา ด้วย
เมื่อมองทุกอย่างตามความเป็นจริงจนถึงขั้นปราศจากตัวเราแล้ว
สิ่งภายนอกทั้งปวงจะมีความหมายอะไร
ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ต้องคอยนั่งปลอบใจตนเอง
หรือพยายามมองโลกในแง่ดีเป็นคราว ๆ ไป
การแก้ปัญหาความทุกข์ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาจึงมีจุดสิ้นสุด


หากสรุปรวบย่อ ก็อาจกล่าวได้ว่า
มองโลกในแง่ดี มีความสุข
มองโลกตามความเป็นจริง พ้นทุกข์				
13 สิงหาคม 2547 17:45 น.

*.*.* การประคองความรัก *.*.*

มะปรางหวาน5

ยิ่งนานยิ่งรัก เกิดขึ้นได้พอ ๆ กับ ยิ่งนานยิ่งไม่รัก
การดูแลความสัมพันธ์ เหมือนการกำทราย
กำแน่นไป ทรายก็ร่วงออกจากมือหมด
กำเบาไปทรายก็ไม่อยู่ในมืออยู่ดี
เวลาผ่านไป ใช้ชีวิตอย่างธรรมชาติให้มากขึ้น
เมื่อไหร่รู้สึกเหนื่อย ดีใจเถอะที่เหนื่อยเป็น
แสดงว่าเราใช้ร่างกายมากเกินไปแล้ว ถ้าไม่ป่วยซะบ้างเลย
เราจะไม่รู้ว่าควรถนอมร่างกายได้หรือยัง
การรักคนอื่นก็คือ การรักตัวเองอีกแบบหนึ่ง
อยู่คนเดียวเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรารักตัวเองหรือเปล่า
พอเริ่มรักใครสักคน
สิ่งที่ไม่เคยทำก็ทำ ไม่เคยหวานขนาดนี้ก็หวาน
ทำทุกอย่างที่จะรักษาคนที่เรารัก ให้อยู่กับเรานาน ๆ 
เพราะอะไร  เพราะว่ารักตัวเองและกลัวตัวเองเสียใจ
ความรักเป็นเรื่องของคน 2 คน มีความสุขทั้ง 2 คน
อย่าให้คนหนึ่งมีความสุข ในขณะที่อีกคนหนึ่งพยายาม
อย่าให้คนหนึ่งเสียใจ  ในขณะที่อีกคนไม่รู้ตัว
อย่าให้คนหนึ่งรู้สึกดี  ในขณะที่อีกคนเฉย ๆ 
อย่าให้คนหนึ่งอยากพูด  แต่อีกคนไม่อยากฟัง
อย่าเหนื่อยใจที่จะถามกัน 
อย่ากังวลกลัวเสียใจก่อนที่จะคุยกัน
เธอคือเธอ
ฉันก็เป็นฉัน
 คน 2 คนที่รักกัน
ต่างคนต่างยังมีหัวใจของตนเอง				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟมะปรางหวาน5
Lovings  มะปรางหวาน5 เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟมะปรางหวาน5
Lovings  มะปรางหวาน5 เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟมะปรางหวาน5
Lovings  มะปรางหวาน5 เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงมะปรางหวาน5