27 เมษายน 2552 10:36 น.
ภัทราภา
(ญ) ยามสบตาเร่งเร้น วางเฉย
ใจสั่นตามรักเปรย แน่แท้
มิอยากปล่อยนานเลย กลัวแต่ ใจพี่
มิใช่ความรักนี้ ใช่ให้ฝ่ายเดียว
อยากจะถามเอ่ยร้อง สักนิด พี่เอย
เพียงอย่าทำเฉยเมย ว่าให้
หากรักพี่มีเฉลย จงกล่าว ฤาพี่
จะเร่งสานรักใกล้ อยู่ให้ยืนยาว
(ช) ยามสบตาต่อต้อง วาบหวาม
แอบเหม่อมองคนงาม ไม่กล้า
ด้วยรักใคร่ทุกยาม ตัวพี่ อยากเอ่ย
ขัดแต่ฐานะนี้ ต่ำต้อย เกินควร
หากนวลนางไม่สิ้น ความรัก
แลไม่สนประจักษ์ ต่ำต้อย
จะสานส่งความรัก เต็มแน่ ต่อนาง
จะเคียงคู่เรียงร้อย อยู่สิ้นนิรันดร์
23 เมษายน 2552 19:38 น.
ภัทราภา
ถึงยามเย็นม่านฟ้า มืดมิด
ดำคลี่คลายปกปิด แหล่งหล้า
อาทิตย์เด่นหลบลิด จันทร์ส่อง มาเอย
เหมือนดั่งเคยเร่งเร้า ปรี่เข้าลงดิน
รอนรอนบินเร่งเข้า รังฟาง
โผบินขวางปีกบาง ป่ายป้อง
นกกลับถิ่นบินผาง ณ ที่จากมา
ยามเหม่อมองไกลต้อง ใคร่รู้สกุลใด
หอมยังหอมกลิ่นเจ้า ตามลม
หอมน่าดมชื่นชม กลิ่นเจ้า
มืดมีกลิ่นหอมสม คืนค่ำ นี้แล
หอมกลิ่นโมกข์หอมแล้ว ชื่นล้ำ เต็มสรวง
21 เมษายน 2552 21:47 น.
ภัทราภา
ยามเหือดแห้งห่างไกล ในรัก
ปวดฤทัยแน่นหนัก สุดอั้น
ความคิดถึงประจักษ์ ล่วงแล้ว มาเลย
สุดจะเอ่ยคำร้อง มากนัก ฝากลม
กายใจต้องลมหนาว พัดโบก
เจ็บวิโยคดั่งโบย ด้วยแซ่
ดั่งดอกไม้ล่วงโรย ช่อดอก ลงดิน
ด้วยยุพิณขวัญพี่ ลืมแล้ว เลือนราง
ธำมรงค์ ที่สวม วงนี้
รัตนมณี แต่งแต้ม
เจ้าเคยสวมมือนี้ ของพี่ แผ่วเบา
ยังจำกลิ่นกายเจ้า บัดนี้ หายสูญ
10 เมษายน 2552 20:57 น.
ภัทราภา
หยิบปากกา กับสมุด มาหน้าหนึ่ง
นั่งตะลึง มองกระดาษ สะอาดขาว
จับปากกา แนบแน่น คิดเรื่องราว
วันนี้เรา จะเขียนเรื่อง อะไรดี
นั่งครุ่นคิด คิดเท่าไร ก็ไม่ออก
มองไปนอก หน้าต่าง ปล่อยใจหนี
หรือจะแต่ง เรื่องธรรมชาติดี
ไม่รอรี รีบออก จากบ้านมา
นั่งอยู่บน คันนา และฟ้ากว้าง
ปล่อยใจคว้าง ล่องลอย สู่เวหา
หวังจะใช้ ธรรมชาติ ช่วยนำพา
หยิบปากกา สมุดมา เขียนลงไป
บรรจงใส่ ความคิด ทีละน้อย
รีบประดอย ตัวอักษร ร้อยเรียงใส่
เงยหน้าขึ้น มองฟ้า ที่กว้างไกล
แต่ทำไม มันเขียนไป วกวนมา
ตัดสินใจ ขีดปากกา กลางกระดาษ
ข้อผิดพลาด อยู่ที่ใจ ใช่เนื้อหา
หรือวันนี้ สมองฉัน มันมึนชา
เก็บปากกา เก็บสมุด ลุกเดินไป
ตัดสินใจ เปิดทีวี ดูดีกว่า
หวังเพื่อว่า จะได้มี ความคิดใหม่
หยิบรีโมท กดมัน ทุกช่องไป
สุดท้อใจ มีแต่ข่าว การชุมนุม
เมื่อไหร่หนอ คนเรา ถึงจะคิด
เลิกทำผิด ให้ประเทศ ต้องร้อนรุ่ม
ปิดถนน ในเมือง เพื่อชุมนุม
มันไม่คุ้ม ความเสียหาย ในบ้านเรา
ทุกวันนี้ เศรษฐกิจ ไทยก็ทรุด
เหมือนยิ่งฉุด ให้แย่ ยิ่งกว่าเก่า
มีประชุม อาเซียน ในบ้านเรา
ขายหน้าเขา คนไทยเรา ทะเลาะกัน
เบื่อแสนเบื่อ ปิดทีวี หนีดีกว่า
จึงหันมา เขียนกลอน ระบายฝัน
แต่ไม่รู้ จะเขียนเรื่อง อะไรกัน
นึกไม่ทัน ฉันจึงบ่น เป็นกลอนมา
10 เมษายน 2552 10:00 น.
ภัทราภา
ท่ามกลาง แสงแดดเผา
ร้อนระเร่า เคล้าเปลวไฟ
ผู้คน เดินฝักใฝ่
มุ่งหน้าไป ดั่งใจปอง
หน้าตา ล้วนหลากหลาย
เหล่าหญิงชาย เพื่อนทั้งผอง
แต่งตัว พอทำนอง
แต่ลองมอง ดูตัวเรา
ผมเพล่า ดูยุ่งเหยิง
เซอะกระเซิง เหลือจะเศร้า
ใส่เสื้อ ขาดเก่าเก่า
สีเทาเทา เคล้าซีดจาง
เดินอยู่ ข้างถนน
มีแต่คน เดินออกห่าง
สายตา ไม่ไว้วาง
มองขวางขวาง บ้าหรือดี
กางเกง ยีนต์ขาดขาด
ซักจนปราศ จากสี
รองเท้า ไร้ดีกรี
อีแตะนี้ ที่นำทาง
นั่งพัก ข้างถนน
หลบแดดฝน พอให้ซ่าง
นั่งร้องเพลง พลางพลาง
เหรียญบางบาง ก็ลอยมา
ผมนี้ แปลกใจนัก
ยากจะหัก ใจให้หา
มองคนเพียง หน้าตา
ไร้ราคา เหมือนขอทาน
ผมนี้ เงินเดือนน้อย
จึงค่อยค่อย สร้างถิ่นฐาน
ไม่ใช่ คนขอทาน
อย่ามองผ่าน เพียงภาพคน
ผมนี้ จิตใจดี
ชอบทำบุญ ทำกุศล
ชอบช่วย เหลือผู้คน
เพียงแค่จน เท่านั้นเอง
ไม่เคย ผูกเน็คไท
ใส่สูทใหม่ ดูมาดเด่น
ไม่เคย ใส่แบรนด์เนม
อย่างอิ่มเอม ภาคภูมิใจ
คนเรา แต่งตัวดี
ใช่จะดี เหมือนนิสัย
ต้องมอง ที่จิตใจ
ที่ไม่ใช่ ความรวยจน