6 กันยายน 2548 20:46 น.
ฟ้าใส, ราตรีผีเสื้อ
ในเรื่องการนั่งประทับทรงเกี่ยวกับพญานาคนี้ ท่านพ่อเคยกล่าวว่า ฉันเป็นคนชอบค้นคว้า และพิสูจน์เรื่องลึกลับต่าง ๆ อยู่เสมอ ไม่ค่อยจะเชื่ออะไรง่าย ๆ แต่เรื่องพญานาคทั้งเจ็ดองค์เข้าทรงที่วัดนี้นะ เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากอยู่ทีเดียว ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น เป็นเรื่องของส่วนบุคคล สำหรับเรื่องพญานาคนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากที่ท่านพ่อฯ ได้ตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นได้ ๑ ปี เหตุเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณตี ๒ เดือน ๑๑ ขึ้น ๕ ค่ำ พ.ศ. ๒๕๐๐ คืนนั้นฝนตกหนักครึ่งชั่วโมง แล้วตกพรำ ๆ มาอีกกว่า ๒๐ นาที ขณะที่ฝนตกฟ้าร้องดังสนั่นแผ่นดินสะเทือน นายไกฮวด ชาวธาตุพนมได้ออกมารองน้ำฝนที่หน้าร้านของตน เห็นแสงประหลาดเป็นลำงามโตเท่าลำต้นตาลขนาดใหญ่มีสีต่าง ๆ กันถึงเจ็ดสี พุ่งแหวกอากาศแข่งกันเป็นลำยาวหลายเส้น จากทางด้านทิศเหนือ มองเห็นได้แต่ไกล จึงได้ร้องเอะอะเรียกภรรยามาดูแสงสีงามประหลาด หน้าสะพรึงกลัวขนหัวลุกนั่น พอมาถึงหน้าซุ้มประตูแสงนั้นก็หายเข้าไปในองค์พระธาตุพนม โดยที่ไม่ได้ตาฝาดไปเอง ต่อมาอีกสองวัน คือวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือนเดียวกัน ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร ได้ให้สามเณรทรัพย์ นั่งทางในตรวจดูเหตุการณ์ว่า แสงประหลาดเจ็ดสีเท่าลำต้นตาล ที่นายไกฮวดเห็นเข้ามาในวัดนี้มีความจริงเท็จแค่ไหน สามเณรทรัพย์เจ้าฌานสมาธิอยู่คู่หนึ่ง ก็เข้าไปพบพญานาคราชทั้งเจ็ดเรียงกันเป็นแถวอยู่บริเวณลานพระธาตุพนม ลำตัวโตใหญ่เท่าลำต้นตาล มีหงอนแดงน่าสะพรึงกลัวสยองพองหัวเหลือที่จะกล่าว สามเณรทรัพย์ยืนงงงันอยู่ด้วยความประหลาดใจ พลันประเดี๋ยวเดียวพญานาคทั้ง ๗ ได้กลับกลายเป็นมาณพ ๗ ชาย ทรงเครื่องขาวเรียงกันเป็นแถวอยู่ที่เดิม จะว่าก้มมิใช่ ยืนก็มิใช่ อากัปกิริยาอยู่ระหว่างยืนกับก้ม สามเณรทรัพย์สนเท่ห์ใจงงจนพูดอะไรไม่ออก ทันใดมาณพผู้เป็นหัวหน้าได้ร้องถามว่า พ่อเณรมีธุระอะไร อย่ากลัวจงบอกมา สามเณรยืนงงอยู่มิได้ตอบว่ากะไร ตั้งใจจะกลับกุฏิ พญานาคผู้เป็นหัวหน้าได้พูดขึ้นอีกว่า พ่อเณรจะกลับแล้วหรือยัง ขอไปด้วย จะไปสนทนากับท่านเจ้าคุณ พอขาดคำก็เข้าประทับร่างสามเณรทรัพย์ ทันทีด้วยจิตอำนาจที่เหนือกว่า สามเณรทรัพย์พลันหมดความรู้สึกวูบไปทันที สักครู่ก็หันมายกมือไหว้ ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร พร้อมกับพูดว่า สวัสดีท่านเจ้าคุณ หม่อมฉันมาสองคืนแล้วมิรู้หรือ ท่านพ่อฯ รู้สึกแปลกใจและสงสัยจึงถามว่า ท่านเป็นใคร ? มาจากไหน ? เสียงประทับทรงตอบว่า พวกหม่อมฉันเป็นพญานาคราช มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัย มีนามตามลำดับเป็นมงคลตามอริยทรัพย์อันประเสริฐ คือ ๑. พญาสัทโทนาคราชเจ้า เป็นประธาน ๒. พญาศีลวุฒินาโค ๓. พญาหิริวุฒนาดโค ๔. พญาโอตตัปปะวุฒนาโค ๕. พญาสัจจะวุฒินาโค ๖. พญาจาคะวุฒนาโค ๗. พญาปัญญาเตชะวุฒนาโค
หม่อมฉันทั้งเจ็ดได้รับบัญชาจากพระอินทราธิราชเจ้าให้มารักษาพระอุรังคธาตุ พวกเทพยดาที่รักษาองค์พระธาตุอยู่ก่อนนิสัยไม่ดีอาศัยกินสินบนและเครื่องเซ่นสรวงของชาวบ้าน พวกหม่อมฉันไม่ต้องการอามิสสินจ้างรางวัลของเซ่นสรวงใดๆ ทั้งนั้นขอแต่น้ำบูชาถวายเดียวก็พอใจแล้วจะอยู่รักษาองค์พระธาตุไปจนกว่าจะหมดสิ้นศาสนาพระสมณโคดม
ท่านพ่อฯ ได้ซักถามเรื่องราวต่าง ๆ อีกหลายประการ แต่ยังไม่ปลงใจเชื่อแต่อย่างใด ต่อมาพญานาคก็เข้าประทับทรงสามเณรทรัพย์เรื่อย ๆ เป็นต้นว่า แสดงธรรมสั่งสอนเมื่อทางวัดมีเรื่องเดือดร้อนก็บอกได้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำ และแนะแนวทางแก้ไข ท่านพ่อฯ เริ่มเอาใจใส่อยากจะพิสูจน์หเห็นแจ้งจึงได้ให้พระวิปัสสนาธุระในวัดนั่งทางในตรวจสอบด้วย ตาญาณ ในขณะที่พญานาคเข้าประทับทรงร่างของสามเณรทรัพย์ ครั้นแล้วก็ได้พบมาณพรูปงามแต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายเจ้าฟ้ามหากษัตรย์จำนวน ๗ องค์ ปรากฏร่างทิพย์ มีรัศมีกายสีสันสวยงามต่าง ๆ กันเช่น สีน้ำเงิน สีเขียวนิล สีเขียวอ่อน สีเหลือง สีชมพู สีแสด และสีขาว องค์ที่กำลังเข้าประทับทรงสามเณรทรัพย์เป็นสง่าหาได้แทรกซ้อนอยู่ในร่างคนทรงแต่อย่างใดไม่
พระวิปัสสนาผู้มีตาฌาณ หรือทิพยจักษุรู้สึกประหลาดใจ ได้ไต่ถามทักทายทางในโดยไม่ผ่านทางร่างของสามเณรทรัพย์ ท่านทั้งเจ็ดองค์เป็นใคร ? มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?
ร่างทิพย์ที่มีกายสีน้ำเงินตอบไพเราะเปี่ยมเมตตาว่า หม่อมฉันมีนามว่าพญาสัทโทนาคราชเจ้า เป็นหัวหน้า หรือประธานหมู่คณะ องค์ถัดไปที่มีสีเขียวนิลคือพญาศีลวุฒินาโค องค์สีเขียวอ่อนคือพญาหิริวุฒินาโค องค์สีเหลืองคือพญาโอตตัปปะวุฒินาโค องค์สีชมพูคือพญาพาหุสัจจะวุฒินาโค องค์สีแสดคือพญาจาคะวุฒินาโค องค์สีขาวคือพญาปัญญาเตชะวุฒินาโค มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัย พระอินทราธิราชเจ้าบนสวรรค์ทรงมีบัญชาให้มาเฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมด้วยว่าพวกเทพยดาที่เคยรักษาที่นี่อยู่ก่อนมีนิสัยไม่ดี อาศัยแต่อามิสของชาวบ้าน เครื่องเซ่นสรวง หมูเห็ดเป็ดไก่ เหล้ายาปลาปิ้ง เป็นที่อับอายขายหน้าแก่คนต่างศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนาหมอง หม่อมฉันจึงได้ ขับไล่พวกเทพยดาชั่วช้าเหล่านั้นให้หนีไปแล้วเข้ารักษาองค์พระธาตุพนม
พระวิปัสสนาธุระผู้มีทิพยจักษุพอใจในคำตอบมากจึงออกจากฌาณสมาธิ แล้วคลานเข้ามากระซิบที่หูท่านพ่อฯ แล้วบอกว่าลองสอบถามสามเณรทรัพย์ดัง ๆ เพื่อให้ได้ยินกันทั่ว ๆ ในหมู่ผู้เข้าสังเกตการณ์ในวันนั้นจำนวนมากว่า ท่านเป็นใคร? มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?
ปรากฏว่าสามเณรทรัพย์ที่ถูกประทับทรงตอบได้ถูกต้องตรงกันกับที่พระวิปัสสนาจารย์ได้ไต่ถามทางตาในหรือทิพยจักษุ ทุกประการ เป็นที่น่าพอใจของท่านพ่อฯ มาก และเริ่มจะเชื่อมาบ้างแล้ว จึงได้สอบถามต่อไปอีกว่า
พระองค์เป็นพญานาคราชเจ้ามาปรากฏในที่นี้เหตุไฉนจึงแปลงร่างเป็นเทพบุตรมา จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าเป็นพญานาคราชจริง
ร่างสามเณรที่ประทับทรงหัวเราะน้อย ๆ ก่อนตอบอย่างไพเราะว่า
ที่ไม่ปรากฏกายเป็นพญานาคมาก็เปรียบเสมือนคนเราได้เห็นผ้าขาดย่อมจะไม่สวยงามตา อันว่าสภาพร่างกายของพญานาคนั้น ย่อมจะเป็นที่น่าสะพรึงกลัวไม่งามตาสำหรับมนุษย์มิใช่หรือท่านเจ้าคุณ ท่านพ่อฯ พอใจในคำตอบอันคมคายนี้ แล้วได้ถามต่อไปว่า
พระองค์เฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมนี้ เฝ้าอย่างไร?
พญานาคราชตอบว่า
หม่อมฉันพญาสัทโทนาคราชเจ้า รักษาองค์พระธาตุพนมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ พญาศีลวุฒินาโคและพญาหิริวุฒินาโค รักษาด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ พญาโอตตัปปะวุฒินาโคและพญาพาหุสัจจะวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ พญาจาคะวุฒินาโคและพญาปัญญาเตชะวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
พระองค์ทรงอยู่กินหลับนอนอย่างไร ท่านพ่อถามต่ออีก
พวกหม่อมฉันมีทิพยวิมานอยู่ใต้องค์พระธาตุนี้เอง จะเรียกว่าอยู่ใต้บาดาลก็ได้เป็นทิพยวิมานที่สวยงามมาก มีสระน้ำ มีสวนดอกไม้ มีภูเขาเงิน ภูเขาทอง ว่าง ๆ นิมนต์ท่านเจ้าคุณลงไปชะมดูก็ได้ ผู้ใกสมาธิทางสมถวิปัสสนาได้สมาธิแก่กล้าดับพละได้แม้เพียงห้านาทีก็สามารถจะเห็นพวกหม่อมฉันได้ทางฌาณ ท่านเจ้าคุณก็ดับพละได้มิใช่หรือ ? ร่างทรงสามเณรตอบ
ท่านพ่อ ถามต่อไปอีกว่า
พระองค์จะให้หม่อมฉันเข้าใจว่า ที่พระธาตุพนมนี้เป็นสวรรค์ชั้นฟ้าชั้นจาตุมหาราชิกากระนั้นหรือ
ถูกต้องแล้ว เมื่อสร้างองค์พระธาตุพนมเสร็จพญาทั้ง ๕ นครผู้สร้างได้กลับบ้านกลับเมืองและพระมหากัสสปะเถระเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งห้าร้อยองค์ ได้เสด็จกลับชมพูทวีปด้วยอธิษฐานจิตวิญญาณแล้ว พระอินทราธิราชเจ้า ได้ทรงแต่งตั้งให้เทวดามีชื่อเป็นหัวหน้าพากันอยู่ปกปักรักษาองค์พระธาตุพนมพร้อมบริวารจำนวนสี่พันหกพระองค์ และมเหศักดิ์หลักเมืองอีกสามพระองค์ เมื่อที่ไหนมีเทพยดามาสิงสถิตอยู่ ที่นั่นจะต้องมีสวรรค์วิมานสำหรับให้เทพยดาอยู่เป็นธรรมดา เมื่อพวกหม่อมฉันมาถึงที่นี่เพื่อรับหน้าที่แทน ได้ขับเทพยาดาเหล่านั้นไปหมดแล้ว สภาวะทิพย์หรือประสาทวิมานสวรรค์ชั้นฟ้าของพวกเทพยดาก็สลายไปโดยอัตโนมัติ คือ ว่าสภาวะทิพย์ของเทพยดาทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นด้วยบุพฤทธิ์ ไม่ใช่มีขึ้นอยู่ก่อนแล้ว อย่างพวกหม่อมฉันนี้ พอมาถึงที่นี่สภาวะทิพย์ด้วยบุพฤทธิ์ก็เนรมิตทิพย์วิมานใต้บาดาลอยู่ภายใต้องค์พระธาตุพนมให้เลยทีเดียว
พญาสัทโทนาคราชเจ้า ทรงให้อรรถาธิบายผ่านร่างทรง ท่านพ่อฯ พอใจมากจึงถามต่อไปอีกว่า
พระองค์เป็นพญานาคราชเจ้าอยู่ในบาดาลหรือใต้ดินนี้หายใจได้อย่างไร?
ทารกในครรภ์มารดาหายใจได้ ตัวด้วงในไม้หายใจได้ ไส้เดือนในดินหายใจได้อย่างไร หม่อมฉันก็หายใจได้อย่างนั้นดุจเดียวกัน ร่างทรงตอบ ท่านพ่อถามต่อไปว่า สามเณรทรัพย์ผู้นี้มีศีลบริสุทธิ์ มีฌาณสมาธิแก่กล้า ขณะเข้าฌานตรวจสอบในวันแรก ได้พบพระองค์ที่ลานพระธาตุนั้น เหตุไฉนพระองค์จึงเข้าประทับทรงร่างสามเณรผู้กำลังอยู่ในฌาณได้ หม่อมฉันสงสัย
ผู้มีฌานแก่กล้า มีศีลบริสุทธิ์อย่างสามเณรน้อยรูปนี้ วิญญาณผีปิศาจเข้าสิงเข้าทรงไม่ได้หรอก แต่สำหรับวิญญาณชั้นสูงคือ เทพพรหมแล้วละก็ สามารถจะเข้าประทับทรงได้ด้วยสาเหตุสองประการ คือ หนึ่งเข้าเพราะมีกรรมเก่าพัวพันมาก่อนในอดีตชาติ สองเข้าเพื่อเจตนาจะมาสร้างกุศลผลบุญ ทำความดีไว้ในโลกมนุษย์ หม่อมฉันเข้าประทับทรงสามเณรน้อยรูปนี้ก็ด้วยเหตุประการหลัง คือ ต้องการติดต่อกับท่านเจ้าคุณ เพื่อแจ้งประสงค์ให้ทราบว่า พวกหม่อมฉันทั้ง ๗ นี้ นอกจากจะมีหน้าที่รักษาองค์พระธาตุพนมแล้ว ยังมีจิตเมตตาใคร่ที่จะช่วยบำบัดทุกข์ทั้งกายและทางใจให้แก่มนุษย์ทุกเพศทุกวัยไม่เลือกชาติไม่เลือกศาสนา ร่างทรงกล่าว
พระองค์จะให้หม่อมฉันช่วยอะไรบ้าง ทนพ่อฯ ถาม
ท่านเจ้าคุณจะต้องเป็นประธานในการประทับทรงทุกครั้งไป ผู้ที่จะเป็นร่างทรงคือสามเณรหรือแม่ชีผู้มีศีลบริสุทธิ์เท่านั้น ฆราวาสไม่เอา ประชาชนที่จะมาบำบัดทุกข์ทั้งกายและใจนี้จะต้องทำบัญชีรายชื่อไว้เป็นหลักฐาน เหมือนทะเบียนประวัติคนไข้ตามโรงพยาบาล แล้วจากนั้นนำคนมีทุกข์ที่ได้ลงชื่อเสียงเรียงนามแล้วมาให้หม่อมฉันตรวจสอบอาการดูว่า เขาเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรกันแน่ ถ้าเป็นโรคภัยไข้เจ็บทางกาย ก็จะได้สั่งยาให้กินเช่นยาไทย ยาจิต ยาฝรั่ง หรือสมุนไพรที่มีอยู่ตามเรือกสวนไร่นา แต่ถ้าเป็นประเภทโรคจิตฟั่นเฟือน มึนซึมกระทือ เป็นบ้าใบ้ เสียจริต มึนงงหลงใหล หวาดกลัวร้องไห้ หัวเราะ ใจคอหงุดหงิด จิตไม่เที่ยง ฝันร้ายนอนสะดุ้งคิดมาก ปวดหัวมัวตานาน ๆ ต้องคุณผี คุณคนทำ ผีเข้าเจ้าสิง เป็นโรคลมต่าง ๆ ไข้หนาว ๆ ร้อน ๆ เจ็บท้อง เจ็บหน้าอก ง่อยเปลี้ยเสียขา ตามืดบอด ปวดหลังปวดเอว สัตว์พิษกัดต่อย อะไรเหล่านี้ จะต้องรักษากันด้วยน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์และจิตอำนาจเทวฤทธิ์ พญานาคราช กล่าว
สาธุ เป็นพระมหากรุณาของพระองค์ยิ่งล้นพ้นที่ทรงมีจิตคิดเมตตาต่อมนุษย์ผู้มีทุกข์ทั้งหลายในโลกนี้ หม่อมฉันพร้อมแล้วที่จะปฏิบัติตามประสงค์ทุกประการ
ท่านพ่อฯ กล่าวด้วยบังเกิดความเชื่อมั่นแน่แล้วว่าวิญญาณที่ประทับทรงร่างสามเณรทรัพย์นี้ คือ พญานาคราชเจ้าผู้มีอิทธิฤทธิ์บารมีในทางสัมมาทิฎฐิ เป็นเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ รับบัญชาการจากพระอินทราธิราช
พระองค์ต้องการจะให้มีเครื่องเซ่นสรวงบูชาอะไรบ้างหรือเปล่า
เครื่องเซ่นสรวงบูชาไม่เอา ขายหน้าชาวต่างชาติต่างศาสนาเขา ทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง หม่อมฉันขอน้ำเปล่าสักถ้วยหนึ่งก็พอแล้ว ด้วยว่าน้ำนี้เป็นสภาวะของพวกนาคราช คือ ต้องอาศัยน้ำเป็นสื่อปัจจัยถ้าใครผู้ใดมีจิตรำลึกถึงต้องการจะติดต่อด้วยกับหม่อมฉันก็ขอให้ตั้งถ้วยน้ำขึ้น แล้วลอยด้วยดอกมะลิหอม จุดธูปเจ็ดดอก กล่าวอัญเชิญก็จะสามารถส่งกระแสจิตติดต่อกันได้ทันที พญาสัทโทนาคราชเจ้ากล่าว
นี้คือค้นเหตุความเป็นมาแรกเริ่มเดิมที่จะจัดให้มีการประทับร่างทรงพญานาคทั้ง ๗ องค์ขึ้นที่วัดพระธาตุพนม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร ได้กล่าวอยู่เสมอว่า พระมหาเจดีย์พระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์ เก่าแก่อายุกว่า ๒๕๐๐ ปี องค์นี้เป็นที่รวมชีวิตจิตใจของชาวภาคอีสานและพี่น้องฝั่งลาวทั่วประเทศ เวลามีงานเทศกาลประจำปีจะมีพุทธศาสนิกชนทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำโขงมานมัสการเป็นแสน ๆ มีจำนวนไม่น้อยที่มาขอน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของพญานาคทั้ง ๗ ไปกิน ไปทารักษาโรคภัยไข้เจ็บจนหายเป็นปกติดีเป็นที่เรื่องลือในเรื่องความมหัศจรรย์ บ้างก็มาขอหยูกยา บ้างก็มาขออาบน้ำมนต์ บ้างก็มาขอบูชาพระเครื่องที่พญานาคทั้ง ๗ ปลุกเสก
ให้เอาน้ำใสสะอาดใส่ เอาผ้าขาวสะอาดหุ้มปากให้แน่นแล้วยกเข้าไปตั้งไว้ติดโคนฐานองค์พระธาตุพนมภายในกำแพงแก้ว เก็บไว้ในที่นั้นอย่างน้อยหนึ่งคืน เพื่อให้ท่านเสกคาถาเทวฤทธิ์ วันรุ่งขึ้นก็เอาออกมาใส่หม้อน้ำมนต์ที่อยู่ในกุฏิของท่าน เมื่อใครเป็นอะไรให้มาขอก็ให้ไป สำหรับไหพระธาตุนี้ เมื่อคราวพระธาตุพนมพังทลายปี ๒๕๑๘ ไหน้ำมนต์พระธาตุตั้งอยู่ในบริเวณกำแพงแก้วชั้นที่ ๒ ห่างจากองค์พระธาตุพนมประมาณ ๓ เมตร อยู่ในท่ามกลางอิฐซึ่งพังลงมาทับถมอยู่รอบ ๆ ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย ยังคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์เช่นเดิม
นอกจากการเสกน้ำมนต์รักษาคนไข้แล้ว พญานาคราชเจ้าที่ประทับทรงสามเณรยังรักษาคนที่ป่วยเป็นนิ่วให้ด้วยโดยการใช้พลังเทวอำนาจสูบนิ่วออกมาให้เห็นกับตา คนป่วยเป็นพันรายหายจากการทรมานจากโรคนิ่วโดยวิธีนี้
วิธีการรักษาก็คือ ขั้นแรกจะต้องทำพิธีอัญเชิญพญานาคราชเจ้าทั้ง ๗ องค์มาชุมชนเสียก่อน ต่อจากนั้นสามเณรก็จะเข้าสมาธิจิตติดต่อเข้าเฝ้าพญานาคราชเจ้าทั้งเจ็ด ตอนนี้เองพญานาคราชองค์ใดองค์หนึ่งจะเข้าประทับทรงร่างสามเณร ท่านพ่อฯ ซึ่งเป็นประธานในการประทับทรงนี้ จะให้คนไข้ที่เป็นนิ่วเข้ามานั่งหน้าแท่นพุทธบูชาห่างจากสามเณรประมาณ ๑ วา โดยมีพระผู้เชี่ยวชาญวิปัสสนาธุระอีกรูปหนึ่งนั่งอยู่ห่าง ๆ หลับตาทำสมาธิคอยตรวจสอบเหตุการณ์ เมื่อพญานาคเข้าประทับทรงสามเณรแล้ว พญานาคจะบอกให้คนไข้นั่งตามสบาย เพื่อให้ท่านตรวจหาก้อนนิ่วในท้อง และโรคภัยอื่น ๆ ที่อาจมีแอบแฝงอยู่ ใช้เวลาตรวจสอบประมาณ ๑ นาที ก็สามารถจะบอกได้ว่า ในท้องมีนิ่วกี่ก้อน จากนั้นก็ให้คนไข้อ้าปากขึ้น สักครู่เดียวพญานาคราชเจ้าจะดูดเอาก้อนนิ่วในท้องออกมา แล้วพ่นออกจากปาก (ปากของสามเณร โดยก้อนนิ่วนี้จะมาเข้าปากสามเณรที่ถูกประทับทรงก่อนแล้วจึงพ่นออกมาอีกที)
พระผู้เชียวชาญวิปัสสนาธุระ หลับตาทำสมาธิ จิตคอยตรวจสอบเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาบอกว่า ขณะที่คนไข้เป็นนิ่วอ้าปากอยู่นั้น มองเห็นกายทิพย์ของมนุษย์ร่างหนึ่งมีขนาดโตเท่านิ้วก้อยมีรัศมีสุกปลั่ง เหมือนประกายดาวบนฟ้าได้ลอยพุ่งออกจากร่างสามเณร เลื่อนไหลเข้าไปในปากคนไข้ แล้วก็กลับออกมาเข้าร่างสามเณรอย่างเดิม จากนั้นก็เห็นสามเณรพ่อนก้อนนิ่วออกจากปาก
ต่อมาพญานาคราชเจ้าได้เข้าประทับทรงทำการักษาโรคใช้ชาวบ้านอย่างพิสดารมหัศจรรย์ นั่น คือ รักษาโรคมะเร็งขแงเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย ด้วยการสูบเลือดให้ออกจากร่างคนไข้ พ่นออกมาทางร่างประทับทรง ลงกระโถนแล้วเต็มเลือดบริสุทธิ์ให้ด้วยสภาวะทิพย์ ปรากฏว่ารักษาคนไข้ที่เป็นโรคมะเร็งของเม็ดเลือดขาวด้วยวิธีนี้ หายเป็นปกติมีอายุยืนยาวต่อไปหลายรายเป็นที่เลื่องลือ
พญานาคราชเจ้าที่เข้าประทับทรงสามเณรเพื่อรักษาโรคนั้น นอกจากรักษาโดยการสูบนิ่วออกจากคนไข้แล้ว ยังสามารถรักษาคนที่ถูกผีกระทำ คนมีวิชาอาคมกระทำอีกด้วย เช่น สูบตะปูขนาด ๓ นิ้ว ๓ ดอก ออกจากคนไข้รายหนึ่ง อีกรายหนึ่งได้สูบเอากระดูกผียาวประมาณคืบศอกออก บางรายก็สูบเอาเส้นผมผีตายท้องกลมบ้าง ก้อนกรวดบ้าง ด้วยมัตตาสังข์ คางคกตายซาก เศษกระดูก ของมีคมและอะไรต่อมิอะไร อีกหลายอย่างซึ่งสิ่งของ ท่านพ่อฯ ได้เก็บไว้ให้คนที่รักษาเป็นบางส่วน ที่เก็บไว้ก็มีไม่ได้มาก เช่น เนื้อควายสด ๆ เปลวหมูดิบ ๆ หนังควาย คุณไสยสด ๆ ประเภทนี้เมื่อสูบออกจากท้องจะมีขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น แต่สักประเดี๋ยวก็จะเกิดอาการสั่นกระดุกกระดิกคล้ายสิ่งมีชีวิตและขยายตัวโตขึ้น ๆ เอาไปชั่งดูปรากฏว่าน้ำหนัก ๓-๔ กิโลกรัมก็มี ต้องให้ศิษย์วัดเอาไปฝังในป่าช้า
ท่านพ่อฯ บอกว่าพวกคุณไสยนี้เป็นวิชาลึกลับร้ายกาจของพวกเขมรและอิสลาม พญานาคราชเจ้าท่านบอกว่าตรวจเห็นได้ง่ายกว่าอย่างอื่น เพราะเป็นวัตถุที่มีอยู่ในโลก แต่ถ้าเป็นวิญญาณผีร้ายประเภทต่าง ๆ เข้าสิงในร่างแล้ว จะมองเห็นเป็นจุดดำ ๆ หลบซ่อนอยู่ในร่างกายคนไข้ที่โน่นที่นี่ ต้องสำทับสั่งให้ปรากฏร่างมันถึงจะแสดงตัวเป็นรูปร่างให้เห็น พญานาคจะสั่งให้มันออกจากร่างคนไข้ ผีบางตัวก็ยอมโดยดีด้วยความกลัว แต่ผีบางตัวดุร้ายมีฤทธิ์ไม่ยอมออกง่าย ๆ ผีประเภทนี้พญานาคราชเจ้าท่านเพียงแต่คอยยืนกำกับสั่งการให้ร่างทรงปราบเองโดยบอกคาถาปราบให้บ้าง ซึ่งคนไข้เหล่านี้เมื่อวิญญาณผีออกจากร่างไป ก็จะหายเป็นปกติ
การรักษาคนไข้ของพญานาคราชเจ้า ด้วยการเข้าประทับทรงนี้ส่วนมากหายขาดจากโรงภัยได้อย่างมหัศจรรย์ แต่ก็มีหลายรายเหมือนกันที่ไม่รอด เพราะถึงคราวที่ต้องตายไปตามวิบากกรรมของตน รายไหนจะไม่รอด พญานาคราชเจ้าจะตรัสผ่านทางร่างประทับทรงว่า คนไข้รายนี้อาการหนักนะท่านเจ้าคุณ ถ้าท่านบอกอย่างนี้ก็แปลว่าแย่ ไม่มีทางรักษาได้นอกจากจะผ่อนหนักเป็นเบา เช่นกำหนดคงจะตายภายในสามวันหรือเจ็ดวัน แต่พ่อแม่หรือลูกหลานอยู่ไกลยังมาไม่ถึงอยากเห็นหน้าอยากจะสั่งเสียอะไรเหล่านี้ พญานาคราชเจ้าก็พอจะช่วยต่ออายุให้ได้บ้างตามสมควรแก่กรณี
7 เมษายน 2548 20:00 น.
ฟ้าใส, ราตรีผีเสื้อ
มีชายตาบอดคนหนึ่งกำลังจะออกจากบ้านเพื่อนเพื่อเดินทางกลับบ้าน ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน เพื่อนผู้หวังดีของเขาแนะนำให้ชายตาบอดนำโคมไฟติดตัวไปด้วย แต่ ยังไม่ทันที่เพื่อนของเขาจะพูดจบ ชายตาบอดกลับหัวเราะออกมาและพูดสวนกลับมาว่า
ทำไมฉันต้องเอาโคมไฟนี่ไปด้วยล่ะ ฉันน่ะรู้ทางไปบ้านของฉันดี ไม่จำเป็นหรอก
แต่เพื่อสนองความหวังดีของเพื่อนเขาจึงจำต้องเอาโคมไฟนั้นมาด้วย และเมื่อเขาเดินทางไปได้สักพัก ก็มีคนเดินมาชนเขาเข้า ทำให้เขาตกใจ และรู้สึกโกรธขึ้นมาตงิดๆ แล้วเขาก็ตะโกนขึ้นมาว่า
เฮ้ย !!! นี่คุณไม่ได้ตาบอดซะหน่อย ช่วยหลีกทางให้คนตาบอดเดินหน่อยไม่ได้รึไงกัน
แล้วชายตาบอกก็เดินทางต่อไป แต่แล้วก็มีคนอื่นเดินมาชนเขาอีกครั้ง คราวนี้ความโกรธของเขาทวีความรุนแรงขึ้น เขาตะโกนถามคนที่เพิ่งเดินชนเขาว่า
นี่ คุณตาบอดรึไงกัน ไม่เห็นแสงโคมไฟของผมหรอ ผมอุตส่าห์ถือมันมาเพื่อให้คุณมองเห็นผมนะเนี่ย
ชายแปลกหน้าตอบชายตาบอดว่า นี่คุณตาบอดหรือนี่ คุณไม่เห็นหรอว่าโคมไฟของคุณน่ะมันดับไปแล้ว
ชายตาบอดชะงักกับคำตอบที่ได้ไปครู่หนึ่ง แล้วชายแปลกหน้าคนนั้นก็ขอโทษชายตาบอด
ขอโทษทีครับ ผมก็เป็นคนตาบอดเหมือนกัน ผมมองไม่เห็นว่าคุณก็ตาบอดเหมือนกับผม
ไม่หรอกครับ ผมต่างหากเป็นฝ่ายที่ต้องขอโทษที่ผมหยาบคายกับคุณ
ชายตาบอดทั้งสองรู้สึกอายเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นชายตาบอดยังคงเดินทางต่อไป และแล้วเขาก็ถูกชนอีกครั้ง ครั้งนี้เขาระวังมากขึ้น เขาถามคนที่เดินชนเขาอย่างสุภาพว่า
ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าโคมไฟของผมดับรึเปล่าครับ
ชายแปลกหน้าคนที่สองตอบว่า
เอ้ !! แปลกจริงๆ นั่นมันเป็นคำถามที่ผมต้องถามคุณนี่นา โคมไฟผมดับหรือครับ
ชายทั้งสองหยุดเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถามกันและกันว่า
คุณตาบอดรึเปล่า ?
ใช่ !!!
ชายทั้งสองคนตอบพร้อมกัน แล้วชายตาบอดทั้งสองคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะคำตอบของพวกเขาเอง จากนั้นชายตาบอดทั้งสองก็คลำไปที่โคมไฟเพื่อพยายามจะจุดมันขึ้นมาใหม่ ขณะนั้นเองก็มีคนเดินผ่านมา เขาเห็นชายทั้งสองยืนอยู่จึงเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่งเพื่อจได้ไม่เดินชนกัน เขาคนนั้นไม่ทราบหรอกว่าชายทั้งที่ยืนอยู่นั้นเป็นคนตาบอด และเมื่อเขาเดินผ่านไปเขายังนึกในใจว่า
บางที ถ้าเราเอาโคมไฟมาด้วยก็คงจะดี จะได้เห็นทางได้ชัดขึ้น และคนอื่นก็จะได้พลอยเห็นทางไปด้วย
โดยไม่มีใครทราบเพื่อนผู้หวังดีของชายตาบอดคนแรกได้ถือโคมไฟเดินทางตามมาอย่างเงียบๆ เพื่อเขาจะได้แน่ใจว่าชายตาบอดเพื่อนของเขาจะเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย เขายิ้มกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น และเขาก็หวังว่าเพื่อนของเขาคงได้รับบทเรียนจากเหตุการณ์ที่ชายตาบอดได้เจอในครั้งนี้ด้วยตัวของเขาเอง
หากท่านอ่านนิทานเรื่องนี้แล้วเข้าใจ กรุณาบอกหน่อยเถอะครับ ว่านิทานเรื่องนี้สอนใจเราว่าอย่างไร
7 เมษายน 2548 19:50 น.
ฟ้าใส, ราตรีผีเสื้อ
พระเซนชรารูปหนึ่งในประเทศจีนซึ่งปฏิบัติภาวนาอยู่นานหลายปี ท่านมีจิตดีและกลายเป็นคนสงบเงียบมาก แต่ก็ยังไม่เคยสัมผัสการสิ้นสุดแห่ง "ฉัน" และ "ผู้อื่น" ภายในใจได้อย่างแท้จริง ท่านไม่เคยบรรลุถึงต้นธารความนิ่งหรือศานติที่สมบูรณ์ซึ่งเป็นบ่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้ง ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไปขออนุญาตอาจารย์ว่า
"ผมขอออกไปปฏิบัติบนเทือกเขาได้ไหมครับ ผมถือบวชและฝึกฝนมานานหลายปี ไม่ต้องการอื่นใดนอกจากการเข้าใจธรรมชาติแท้ของตนเองและโลก"
อาจารย์รู้ว่าจิตของพระรูปนี้สุกงอมแล้วจึงอนุญาตให้ไปได้ ท่านออกจากวัดโดยมีบาตรและบริขารเพียงเล็กน้อยติดตัว ระหว่างทางได้เดินผ่านเมืองต่าง ๆ หลายเมือง ครั้นออกจากหมู่บ้านสุดท้ายก่อนขึ้นเขา ปรากฎว่ามีชายชราคนหนึ่งเดินสวนทางลงมา ชายคนนั้นมีห่อใหญ่มากเป้ติดหลังมาด้วย (ชายชราผู้นี้แท้จริงแล้วคือพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ซึ่งพุทธศาสนิกชาวจีนเชื่อกันว่าจะมาปรากฎแก่คนที่มีจิตสุกงอมในจังหวะที่เขาจะบรรลุธรรม ภาพของพระมัญชุศรีที่มีการบรรยายไว้มาก มักเป็นภาพพระองค์ถือดาบแห่งปรีชาญาณคมกริบที่สามารถตัดความยึดมั่น มายาคติ และความรู้สึกแบ่งแยกได้หมดสิ้น) ชายชราเอ่ยทักพระว่า
"สหาย ท่านกำลังจะไปไหนหรือ"
พระจึงเล่าเรื่องของตนว่า
"เราปฏิบัติมานานหลายปีแล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่ต้องการคือการได้สัมผัสจุดศูนย์กลางนั้น คือการรู้สิ่งที่เป็นแก่นแท้แห่งชีวิต บอกเราเถิดผู้เฒ่า ท่านทราบอะไรเกี่ยวกับความรู้แจ้งนี้บ้างไหม"
จังหวะนั้นชายชราเพียงแต่ปลดของที่แบกมาปล่อยให้หล่นลงพื้น แล้วพระก็บรรลุธรรมตามแบบฉบับนิทานเซนที่ดี ความหมายก็คือ เราต้องรู้จักปล่อยวางความทะเยอทะยานและสิ่งที่ยึดมั่นว่าเป็นภารกิจ ปล่อยวางอดีต อนาคต อัตลักษณ์ ความกลัว ทัศนคติ ความรู้สึกแห่งความเป็น "ตัวฉัน" และ "ของฉัน" เสียให้สิ้น
มาถึงจุดนี้ พระเพิ่งบรรลุธรรมมองชายชราอย่างสับสนเล็กน้อยว่าควรทำอย่างไรต่อไป ท่านถามว่า
"แล้วต่อไปล่ะ"
ชายชรายิ้มก่อนก้มลงหยิบห่อของมา เป้ใส่หลังอีกครั้งแล้วเดินเข้าเมืองไป
การจะวางแอกหนักลงได้นั้น ก่อนอื่นเราต้องรับรู้ทุกอย่างที่แบกอยู่ กล่าวคือ เราต้องเห็นความทุกข์โศกของตนเอง เห็นความยึดมั่นและความเจ็บปวด เห็นความที่เราทั้งหลายต่างก็อยู่ในวังวนนี้ และยอมรับการเกิดและการตาย หากเราไม่เผชิญหน้า ถ้าเรากลัวตาย กลัวการยอมระวางและไม่อยากมอง เราไม่อาจเปลื้องความทุกข์โศกไปได้ มีแต่จะผลักไสมันแล้วก็หวนมายึดจับกลับไปกลับมาอยู่เท่านั้นเอง เราจะปลงภาระได้ก็ต่อเมื่อได้เห็นธรรมชาติของชีวิตอย่างตรงไปตรงมาแล้วเท่านั้น ครั้นแล้วด้วยปัญญากรุณา เราก็สามารถหยิบมันขึ้นมาใหม่ เมื่อปล่อยวางแล้ว เราย่อมกระทำการต่าง ๆ ในโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือกระทั่งอย่างน่าทึ่ง โดยไม่รู้สึกขมขื่นหรือเกิดความสำคัญตนแต่อย่างใด.
4 เมษายน 2548 14:00 น.
ฟ้าใส, ราตรีผีเสื้อ
มสกชาดก ชาดกว่าด้วยความบ้องตื้น
สถานที่ตรัสชาดก หมู่บ้านแห่งหนึ่งในแคว้นมคธ
เนื้อหาชาดกชาดก
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในแคว้นกาสี ชายชาวบ้านทุกคนที่มีฝีมือในการก่อสร้างทำเครื่องเขียนแกะสลักไม้เป็นอย่างมาก วันหนึ่งขณะที่ช่างไม้คนหนึ่ง กำลังถากไม้อยู่นั้น ยุงตัวหนึ่งได้บินมาแกะที่กลางหัวล้าน แล้วมันก็ใช้ปากอันแหลมคมของมันแทงลงไปกลางหัวนั้นทันที ช่างไม้นั้นก็สะดุ้งตกใจบวกกับความโกรธ ใน ขณะนั้นทำให้เขารู้สึกว่า ความเจ็บปวดนั้นแสนสาหัสราวกับถูกหอกแหลม ๆ ปักลงมาเต็มที่เข้าจึงทนนั่งคอแข็ง ไม่ขยับตัว เพราะกลัวยุงจะบินหนีไปเสีย พรางร้องสั่งลูกชายซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ว่า ลูกเอ๋ย อ้าย ยุงวายร้ายมันกำลังเจาะกระบาลพ่ออยู่ เจ็บยังกะถูกหอกแทง เองรีบมา จ๊วกมันให้ตายทีเถอะ
ลูกชายได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่า พ่อนั่งนิ่ง ๆนะ เดี๋ยวฉันจะจ๊วกมันให้ขาดสองท่อนเลย ว่าแล้วลูกชายก็คว้าขวานที่วางอยู่แถว ๆ นั้นแล้วย่องเข้ามาทางด้านหลัง ตาก็จ้องเขม็งไปที่ยุง ที่แกะนิ่งอยู่บนหัวล้านพ่อ แล้วเงื้อขวานฟันฉัวะลงไปเต็มแรง พอสิ้นเสียฉัวะ หัวล้านของช่างไม้ก็แบะออกเป็นสองเสี่ยง ทั้งเลือดทั้งมันสมองแตกกระจาย ช่างไม้ก็ตายคาที่ตรงนั้นเอง
ในขณะนั้นมีพ่อค้าผู้หนึ่งกำลังหาซื้อของอยู่แถวนั้น บังเอิญแวะเข้าไปพักอยู่ในโรงช่างของช่างไม้พอดี เมื่อเห็นลูกช่างไม้เงื้อขวานขึ้นฟันหัวพ่อก็รีบร้องห้ามแต่ก็ไม่ทันการ จึงได้แต่ยืนดูศพของช่างไม้ด้วยความสลดใจ แล้วก็รำพึงว่า มีศัตรูที่มีปัญญา ยังดีเสียกว่ามีมิตรที่โง่เขล่า ลูกโง่ของช่างไม้คิดว่าจะฆ่ายุง กลับฟันหัวพ่อเสียเป็นสองเสี่ยง
ประชุมชาดก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่า
พ่อค้าที่เห็นเหตุการณ์ ได้มาเป็นพระองค์เอง
ข้อคิดจากชาดก
1. การที่คนเราคิดจะฆ่าผู้อื่น แต่แล้วกลับกลายเป็นการฆ่าตัวเอง แม้ในปัจจุบันก็มีเช่น การที่เราใช้ยาฆ่าแมลงฉีดพ้นเพื่อฆ่ามด ยุง แมลงสาบ ตั๊กแตน เป็นต้น แม้จะฆ่าได้บ้างแต่พิษของยาฆ่าแมลงที่ตกค้างอยู่ตามเสื้อผ้า บ้านเรือน ผักผลไม้ และยังคงส่งผลร้ายให้ตนได้รับสารพิษนั้นทีละเล็กทีละน้อย เป็นการฆ่าตัวตายผ่อนส่งโดยไม่รู้ตัว
2. แม้ในการหาเงินตราเข้าประเทศ นักการเมืองบาบงท่านเสนอให้นำอบายมุข เป็นต้นว่า บ่อนการพนัน การบันเทิงเริงรมย์ มาเป็นเครื่องล่อชาวต่างชาติ โดยไม่คำนึงถึงว่าจะทำให้คุณธรรมความดี ของคนหายไปอย่างไรบ้าง นับว่าเป็นความบ้องตื่นไร้ปัญญาอย่างยิ่ง
3. ผู้ที่จะใช้ปัญญาน้อยทำงาน ควรระมัดระวังให้ดีเพราะเขาอาจจะทำความเสียหายร้ายแรงให้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้
4. คนที่มีศัตรูเป็นบัณฑิตนั้น ยังดีเสียกว่ามีคนโง่เป็นมิตร เพราะเขายังเกรงอาญาแผ่นดินไม่ถึงกับฆ่าคนได้
พระคาถาประจำชาดก
เสยโย อมิโต มติยา อุเปโต
น เตวว มิตโต มจติวิปปหีโน
กมสํ วธิสสนติ หิ เอลมูโค
ปุตโต ปิตา อพภิทา อุตตมงคํ
มีศัตรูที่มีปัญญา ดีกว่ามีมิตรที่โง่เฃลา
ความโง่เขลาของลูกช่างไม้ที่คิดจะฆ่ายุง
กลับผ่าหัวพ่อตนเสีย ดังนี้