16 มีนาคม 2553 01:07 น.

หนาวสุดท้าย ไฟอุ่น คนคอย

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

หนาวสุดท้าย ไฟอุ่น คนคอย

เมื่อรุ้งสางฉายแสงแห่งเหมันต์
ต้นคิมหันต์แต่เช้าหนาวอยู่
ปลายยามหนาวรอเวียนเปลี่ยนฤดู
เลยพร่างพรูหนาวสุดท้ายทักทายนา

น้ำค้างเช้าเผยวิถีเช่นสีรู้ง
สะท้อนปรุงฉาบแต่งแสงอุษา
ลมอ่อนโอยสลับหน่วงทวงสัญญา
จะกลับหาหลังวันวสันต์กราย

นกกระจิบช่วงเช้าเฝ้าป่าวร้อง
บอกห้วยหนองรับรู้ฤดูใหม่
ไม้เพียรฝืนยืนต้นจนโกร๋นใบ
จะผลิใหม่ลาแล้งแห่งวานซืน

เติมกิ่งฟืนเสริมไฟให้ความอุ่น
เมื่อหนาวหนุนเสียจนจะทนฝืน
เสพความฝันคราวนอนแต่ค่อนคืน
จนคราวตื่นเสพกรุ่นอุ่นไอไฟ

วางหัวมันเขี่ยเอาขี้เถ้ากลบ
หอมอวลอบหอมยิ่งกว่าสิ่งไหน
สะบัดไม้เกลี่ยเกลี่ยคอยเขี่ยไฟ
จะเสริมใส่บนขี้เถ้าอบเอามัน

เขี่ยมันเผาแบ่งกินชิมคำหนึ่ง
เพียงคำแรกก็ลึกซึ้งถึงความหวาน
กลิ่นบ้านนอกหอมเหลือในเนื้อมัน
รสแผ่นดินยังซ่านผ่านซึมผ่านลิ้น

หนาวสุดท้ายปลายแล้งหนแห่งนี้
ยังดำรงและคงมีวิถีถิ่น
ต้นคิมหันต์เติบตื่นฟื้นชีวิน
ฟื้นแดนดินเมืองผญาฟ้าหมอลำ

หนาวมีเกิดและดำรงจนดับไป
ทั้งกองไฟอับแสงเคยแดงก่ำ
ผู้แสวงธรรมชาติสัจธรรม
ล้วงเห็นความรู้นี้ทุกที่ทาง

หนาวสุดท้ายหนาวนักหนาวหนักหน่วง
คนเมืองหลวงคงมีวิถีต่าง
น้ำค้างเต่งหมอกขาวเพียงเบาบาง
ปลุกทรงจำอันลางได้อย่างไร

คงงดงามยามหนีกลิ่นขี้เถ้า
หัวมันร้อนต้อนเช้าเกินก้าวก่าย
มันฝรั่งทอดกรอบคงชอบใจ
หนาวสุดท้ายคงกรุ่นอุ่นผ้านวม

ไฟอ่อนอ่อนกองหนึ่งถึงคราวร้าง
แต่ควันลาฟ้าหวังว่ายังห่วง
ฟื้นไม้ดับมอดหมางไปทั้งปวง
บ่ดับห่วงสัมพันธ์เคยสัญญา

เมื่อรุ้งสางฉายเช้าให้หนาวนัก
ไฟเคยผิงอิงพักคอยรักษา
คอยคนคอนคืนเคียงคนเถียงนา
แม้หนาวลาไฟร้างยังคงคอย

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
14 มีนาคม 2553 20:08 น.

สุขที่เกินกว่า

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

สุขที่เกินกว่า

ภาวนาสมาธิ
เจริญสติลมหายใจ
รับรู้อนูกาย
จดจ่อหมายไว้มั่นคง

จิตห่มลมหายใจ
สังเกตุได้ใดดำรง
เรือนร่างที่วางปลง
สำหรับรู้ลมหายใจ

เกิดว่างยิ่งกว่าว่าง
จิตตกค้างค่อยห่างหาย
ล้วนมีล้วนหนีไป
กายและจิตอนิจจัง

ทุกขะเวทนา
กับกายามีมาบ้าง
เกิดขึ้นจนฝืนคราง
ขณะหนึ่งจึงดับลง

เห็นงามกามโศก
บริโภคกิเลสหลง
วันวานกามดำรง
วันนี้ปลงจึงสุขจริง

สังเกตุกิเลสนับ
ที่จดจับสรรพสิ่ง
สงบสงบนิ่ง
จิตกิเลสก็อ่อนแรง

เหมื่อนนั่งอย่างโดดเดี่ยว
ในโลกเปลี่ยวอันสวยแสง
รสธรรมล้ำแสดง
ก็เป็นสุขทุกอนู

พุทโธละรึกพุทธ
บริสุทธิ์กำหนดอยู่
หายใจหมายใจดู
ใจและจิตคิดอะไร

อาณาปานสติ
ที่ใช้คิดวินิจฉัย
ฝุ้งซ่านอยู่ด้านใน
พลันสงบพบเยือกเย็น

ปฏิบัติธรรมยามนี้
ได้ใดดีกว่าที่เห็น
สติที่แฝงเร้น
ก็เฉลยจนเผยปม

สุขจากสมาธิ
ที่วิถีที่เสพสม
สุขนามกามรมณ์
ไม่อาจเทียบเปรียบได้เลย

"ผมได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรม
"วัดป่าภูผาสุง" สถานที่ก่อกำเนิดบุญกุศล
ทั้งภายในวัดนั้นล้อมรอบไปด้วยไม้ป่า
อันมีอายุหลายสิบปี ตั้งยืนต้านแรงลม
ที่คอยพัดอยู่อย่างไม่เคยหยุด
แม้แต่สัตว์ป่า เฉกนกยุง กระรอกขาวสะอาด
นกนานาพันธุ์ ที่แม้แต่ก้าวแรกที่ได้เดิน
เข้ามายังสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้
รับรู้ถึงความเป็นธรรมชาติ ธรรมดา
ที่งดงาม สงบ และเป็นแรงใจให้
ได้วิปัสนากรรมฐานยิ่ง"

"ผมขึ้นไปนั่งบนหน้าผาสูง
ที่ร่มรื่น เสียงลมที่กระทบโสตฯ
ไม่ต่างจากเสียงสายน้ำยามฤดูฝนใหม่
ใบไม้แห้งโรยร่วงแซมนุ่นสัตบรรณ
เมฆสีขาวคลุ่มราวกับอยู่บนวิมาน
หินระดาระดาษสลับซับซ้อน
วางเรียงรายทั้งก้อนเล็กก้อนใหญ่
ราวกับธรรมชาติแต่งเตรียมไว้
สำหรับการวิปัสนาโดยแท้
เบื้องล่างเป็นทิวป่าแห้งแล้ง
หมู่บ้านที่อยู่เป็นหย่อม ไร่นา หลังคาบ้าน
ซึ่งเล็กราวหัวไม้ขีดไฟ
แต่ ณ ที่แผ่นลานผานั้นแสนจะร่มเย็น
คงเป็นอานิสงค์แห่งบุญ"

"ผมได้นั่งสงบจิตสงบใจ
ดูลมหายใจเข้าออก
เพียงไม่กี่นาทีก็พบกับความว่าง
ความสุขที่ลึกซึ้งอันสงบงดงาม
ราวกับอยุ่เพียงผู้เดียวในโลกเงียบ
ที่ประดับแต่งไปด้วยธรรมชาติ
ความฟุ้งซ่าน นิวรณ์ต่างๆบางลง
เป็นความสุขที่เหนือกว่าสิ่งใด
"วัดป่าผูผาสูง" คือลานธรรมโดยแท้"

"ด้นผูผาไต่หินดมกลิ่นลม
เหยียบพื้นพรมใบไม้แห้งแห่งป่าใหญ่
สูงยอดผาสูงยิ่งเกินสิ่งใด
ดำรงในธรรมชาติสัจจะธรรม

ลมครางครืนครวญไหลราวสายชล
เฉกเสียงมนต์สวดกล่าวทุกเช้าค่ำ
เอนป่าไหวไม้โอนทุกโมงยาม
ไม่ต่างความเวียนว่ายในวักฏะ

งามองค์พระล้วนงามความสงบ
พนมนบยิ้มอยู่บนผูผา
ไสบอ่อนจีวรไหวในแววตา
เผยศรัทธาพุทธชนล้นหัวใจ

ธรรมะงามงดงามยามเสพธรรม
ภูผางามหินระดาลมป่าไหว
สัตบรรณโปรยนุ่นอ่อนว่อนพงไพร
ต่างอะไรกับสวรรค์วิมานมนต์"

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
9 มีนาคม 2553 22:15 น.

แต่ปางหลัง...ยังมีรัก

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

แต่ปางหลัง...ยังมีรัก

แว่วเสียงแคนมาแล้วแผ่วแผ่วเสียง
ฟังสำเนียงลายแคนสุดแสนหวาน
คลอเสียงลำคำร้องอีกกลอนกาน
ผญาหว่านสร้อยเสียงร้อยเรียงคำ

ทั้งเสียงลมครางครืนก็รื่นไหล
ตะเกียงไฟใส้แสงเลยแดงก่ำ
เหมือนมีใครหมายผญามาเกี้ยวลำ
ในคืนค่ำยามนี้หนอมีใคร

สาวครองไหมรอชายที่หมายมั่น
คอยครองอยู่นอกชานนั่งปั่นไหม
แว่วมาแล้วแก้วผญาตราตรึงใจ
จากปากชายเคยมั่นคำสัญญา

น้ำฝนหอมขันน้อยลอยมะลิ
น้องตักไว้ขันนี้แล้วพี่จ๋า
ทั้งคืนมืดนักหลายยังหมายมา
อยากพูดจาพบกันหรือฉันใด

สิบ่าวน้อยอ่อยแคนแล่นลำล่อง
สินางน้องปั่นหูกผูกเส้นไหม
เล่าอ้ายบ่าวต่าวผญามาแต่ไกล
ลมควันไฟก็หอมสวยด้วยคารม

วับตะเกียงแสงไต้ไฟลมลูบ
จะวางวูบครืนครางบ้างลมโถม
สำนวนว่าผญาเห็นเย็นกว่าลม
ทั้งคมชมพรอดพร่ำทั้งสำนวน

บ่าวเอื้อนว่าดวงดาวสาวอยากได้
ทั้งแพรไพรลาดวางต่างนาสวน
แสนจะยากหากจะหาว่าค่าควร
เพียงอุ่นนวลเอ๋ยมาพี่จะฟัง

ม้าก็ร้อยวัวควายช้างอย่างละร้อย
ทั้งกล้วยอ้อยข้าวสารบ้านกี่หลัง
ผ้าขาวม้าต่างพรมสมน้องนาง
สิปูวางถึงเจ้าท้าวนคร

ทั้งสองฝ่ายจ่ายผญาโยนและรับ
หนอหนุ่มนับว่าอยากแนบแอบสมร
ทางสาวปัดป้องคำคนสัญจร
จนคืนค่อนมืดไปไต้อ่อนแรง

เมื่อดึกดื่นคืนเงียบแห่งผืนฟ้า
ดาริกาดวงดาวยังพราวแสง
จรัสจ้าแจ่มเลิศเพริศแสดง
เป็นหนึ่งแห่งห้วงฟ้ายามราตรี

สมควรแล้วน้องจ๋าถึงครากลับ
ตะเกียงวับที่กระพริบก็ริบหรี่
คืนข้างแรมจันทร์ร้างห่างราตรี
ใจเรานี้ขออย่าร้างอย่างดาวเดือน

ครวญเสียงแคนลาสร้อยเหงาหงอยเศร้า
เรียมอย่าร้าวหนาวใจให้หม่นเปื้อน
หากไร่นาป่ากว้างไม่ร้างเลือน
รักไม่เบือนบ่ายหนีจากพี่ชาย

แว่วเสียงแคนลาแล้วแผ่วแผ่วเสียง
แววสำเนียงคราวหน้าจะมาใหม่
แว่วลาแล้วยังหวานเสียงปั่นไน
แววเสียงใจบ่ร้างลอยแต่น้อยเลย....

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
2 มีนาคม 2553 00:43 น.

ไผว่าเศร้า เฮาสิพาไปเบิ่ง

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

ไผว่าเศร้า เฮาสิพาไปเบิ่ง
 "เลาแลนกะแลนนำ
เอ้งามงามมาออยใส่
มวนซื่นโฮแซวหลาย
บาดฮีนี่สิมวนเฮา.."
-----------------------------------------
ลุ่มน้ำขุ่นมูลงามทุกยามยล
โอ่งน้ำฝนยามคิมหันต์ยังเย็นอยู่
ลุ่มลำชียังใสสุขทุกฤดู
แนวโขงรู้คูนำถ้ำแผ่นดิน

ลายผ้าไหมยังสว่างอยู่กลางกี่
วัวควายมี คนมีวิถีถิ่น
หูฝั่งซ้ายซร้องโสตเสียงโหวดพิณ
หูขวายินแคนลงอ้อนโปงลาง

หอมข้าวหอมมะลิหุงแต่รุ่งเช้า
งามพระเจ้าดำเนินมาแต่ฟ้าสาง
อิ่มไอบุญบาตรองค์สงฆ์บ่ลาง
เย็นโสตฟังศีลพรตอนสร้างบุญ

ปัญญาผญาแก้วแนวนำสร้าง
ละเอียดบางอ่อนคมบ่ล้มสูญ
วัดบ่ร้างองค์พระผลาบุญ
ดังโขงมูลชีหนอบ่ร้างปลา

สวนทั้งหลายไผเห็นก็เป็นสวน
นาทั้งมวลข้าวงามล้วนถามหา
ส้มผักคั้นเห็ดขาวสะเดานา
เปิดไหหาก็เห็นว่าปลาร้านอน

มนต์ทั้งหลายหมายว่าอย่าสูญเปล่า
*บุญคุณเจ้าข้าวเหนียวแดงมะพร้าวอ่อน*
ให้เชิดชูอนุรักษ์ภักดิ์นาดอน
ทั้งสวนมอนสวนไหมให้อยู่ดี

แหถักต้องข้องสานไว้งานปลา
เบ็ดคันหลาวเนาว์ฝามีหน้าที่
ตั่งโตกเตียงบ่พังใช้ยังมี
ไม่ได้หนีจากไปที่ไหนเลย

อู่ผ้าไหมลายหมี่ที่เคยนอน
และสื่อหมอนกกทอหนอพ่อเอ๋ย
ผ้าขาวม้าเจ้านุ่งผ้าถุงเอย
ยังคงเผยตัวตนคนแกร่งงาน

หนอลายรำเซิ้งฟ้อนหมอกลอนลำ
ทุกคองคำแม่นซึ่งถึงแก่นสาร
ใบตองอ่อนฝ้ายขาวหมากพลูบาน
ทั้งข้าวสารไข่ต้มล้วนทรงจำ

เมื่อมิ่งมนต์ยังงามถึงปานนี้
ยังระวีก่อขึ้นวันคืนค่ำ
ไม่หาใช้ประดับต้องด้วยทองคำ
ก็งามล้ำผลามนต์บนฮีตคอง

*บุญคุณเจ้าข้าวเหนียวแดงมะพร้าวอ่อน* จากกลอนลำ
แม่ฉวีวรรณ ดำเนิน

ฟื้าฟื้น ธรรมชาติ

ดังความอุดมสมบูรณ์
 "โจกเจกน้ำล้นต้อน 
ซิวกุ้งขึ้นใส่ไซ...
ปาดุกขึ้นเทิงภูไล่กะต่าย 
กะต่ายไห่....
ลงน้ำไล่หอย...

แนวว่าลอดฮั่วน้อย
กะบักถั่วตำตา
อ้าปากขึ้นบักสีดาหล่นใส่

อีแม่เพินไปไฮ่เอาหมกไข่มาหา
อีพ่อเพินไปนาเอาหมกปามาป้อน
อีแม่เลี้ยงม้อนได้นอนอู่สายไหม

หย่างเข้าบ้านหมูกับไก่เอิ้นหา
หย่างเข้าป่าก็กะเก้งกวงแอ่นฟ้อน
นั่งเล่นฮ้อนน้ำกะล้นอุแอง
นอนเอาแฮงข้าวกะอั่งเต็มเล้า

สมภารเจ้าเว้าอ่าวศีลพร
แม่ลูกอ่อนเว้าสอนลูกน้อย
บาวสาวน้อยเห็นฮีตนำคอง
ซุมพี่ซุมน้องอาศัยซ้วนซอยกัน

ครกมองบ่ต้อง เกวียนบ่ไซ้
บ่แมนไลลืมดอก..
ย้อนว่าแลนนำเค้าสมัยบ้านเปลี่ยนยาม
มันกะคือดังด้ามกะปอมเปลี่ยแปลงสี
ฮีตสิบสองคองสิบสี่บ่มีลืมได้
แนวของไซ้เปลี่ยนไปกะตามซ่าง
วัฒนธรรมแก่นค้ำบ่มีได้เปลี่ยนแหลว.. พี่น้องเอ๊ย"

"ในวันที่กลับไปเยี่ยมบ้าน..."

ฟื้นฟื้น ธรรมชาติ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฟ้าฟื้า ธรรมชาติ