7 พฤศจิกายน 2553 01:45 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
ผิงที่นี่ ต่างจากที่นั่น
เดือนสิบสองคราวบ้านนาหาผ้าห่ม
เมื่อสายลมเริ่มหนาวเนาว์ค่ำใหม่
เมื่อต่อสู้หมอกน้ำค้างข้างกองไฟ
บนขอนไม้รองนั่งอังอุ่นอิง
ฟ้าแรมมืดคืนหนาวแม้ดาวดับ
เปิดผืนรับอุ่นไอควันไฟผิง
แตกเปราะเปราะเชื้อไม้ไหวไฟติง
กลบเสียงหริ่งสั่นหนาวคราวครวญคราง
จากเสียงลมหัวค่ำแกล้งร่ำไห้
ล้อดงไผ่หยอกเอินแล้วเมินหมาง
จนเศษหนาวหน่อยหน่อยมาคอยทาง
ก่อน้ำค้างลงค่ำย้ำหนาวมา
ป่านนี้แม่คงเบิ่งทางนั่งผิงไฟ
ข้าวเหนียวใหม่เอามาจี่บ่แม่จ๋า
ซำบายดีบ่แม่แต่ลูกมา
ทั้งเฮือนนาหัวไร่จั่งได๋นอ
ทางสวนหม่อนสวนฝ้ายไหมหละแม่
อีพ่อแก่ลงไป่ส่ำได๋หนอ
ตายายเพิ่นจ่ายผญาว่ายังรอ
ยังคึดต่ออยู่เดอแม่นำบ้านเฮา
ค่อนคืนค่ำไฟร้างมอดบางส่วน
ฟังลมครวญหม่นซมระบมเหงา
คล้ายเฮือนนาฝากตามถามข่าวเรา
ห่างเฮือนเนาว์ห่างไกลเท่าใดสู!
มีข้าวเหนียวร้านไก่ย่างข้างหอพัก
ทบทวนรักข้าวจี่ที่เหลืออยู่
ได้กลิ่นหอมน้ำตาคลอก็ร่วงพรู
ด้วยรับรู้สามัญของบ้านนา
ในคืนดึกมืดค่ำย้ำใจคิด
กลิ่นข้าวจี่ยังติดใจคิดหา
ผิงกองไฟดายเดียวเปลี่ยวกายา
รอเวลาคอยนับวันกลับไป
หนาวหนนี้ฟ้าเหงาไร้ดาวกอด
คนคิดฮอดหนาวนี้สิกอดไผ
ก่อไฟผิงคอยทางในครั้งใด
ให้จี่ข้าวรอไว้....สิไปกิน
_________________________
กองไฟต่างที่ ถูกก่อขึ้นมาเพื่อไล่ลมความหนาว
แม้จะเป็นกองไฟกองเล็กๆ ในหอพักนักศึกษา
ข้าวเหนียวที่ซื้อจากร้านไก่ย่างส้มตำ
เอามาปั้นย่างไฟเป็นข้าวจี๋ แบ่งกันกับเพื่อนๆ
ท่ามกลางความหนาวเย็นของคืนฟ้าไร้ดวงดาว
สิ่งเล็กๆง่ายๆ ดิบเดิมแบบนี้
สามารถทำให้น้ำตาของเด็นหนุ่มกลุ่มนั้น
ไหลอาบสองข้างแก้ม คลุกข้าวจี่
เคล้ากลิ่นควันอุ่นไฟได้อย่างงายดาย
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ