20 มิถุนายน 2554 09:03 น.

ปริญญาลูกตาสีตาสา

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

ปริญญาลูกตาสีตาสา

หนาววิญญาหวั่นหวั่นวันโลกไหว
ชีวิตใหม่เติบท่ามความเงียบเหงา
เสียงกระซิบแร้นแค้นแสนแผ่วเบา
เหมือนเย้ยเย้าอนิจา...ชะตากรรม

ตลกโลกนะครับ"รับประทานเส้น"
แข่งล้อเล่นแข่งบ้าช่างน่าขำ
กักของดีมีอยู่เข้าตรุจำ
เพชรน้ำงามเลยหม่นหนอจนใจ

อนาคตซ้ำซากต่อจากนี้
เหตุเคยมีจะหวนกลับมานับใหม่
น้ำมือโลกงั้นหรือน้ำมือใคร
รังสรรค์ให้การณ์อุบาทว์อุบัติจริง

ผีผู้ใหญ่ทุรชนป่นปี้โลก
ครอบงำโศกเสื่อมเศร้ามาเข้าสิง
สร้างสำนวนน้ำเน่าเจ้าหลอกลิง
เด็กคนจริงถูกมัดสะกัดกั้น

เชิญทางนี้ ทางนี้มีของขาย
คุณผู้หญิงท่านผู้ชายจ้าละหวั่น
มีก๋วยจั๊บก๋วยเตี๋ยวให้เคี้ยวกัน
เกาเหลาฉันไม่สนโยนทิ้งไป

เกิดขึ้นแล้ววิปโยคโลกลูกขุน
อนาคตก็คือคุณขุนนางใหม่
พ่อขุนนาง ลูกขุนนาง อย่างอย่างนั้นไป
นังขี้ข้าหน้าไพร่อย่าหมายครอง

พออ้าปากเสนอคิดในสิทธิ์มี
ก็ถูกชี้พวกขี้ข้าอย่าจองหอง
ดูถูกความรู้ใหม่ไม่ตรึกตรอง
จ้องสิจ้อง! เห็นหรือไม่? ฉันมีใบปริญญา

เขาบอกว่านั่นไงไอ้ลูกตาสี
เขาชี้หน้านั่นอีลูกตาสา
จะวางใจไม่ได้ไร้ศักดา
ด้วยเกิดมาต่ำต้อยน้อยใจจัง

อีกเมื่อไหร่จะมีโชคโลกเปลี่ยนขั่ว
เปลี่ยนความชั่วให้ความดีมีสิทธิ์บ้าง
ให้น้ำแกงขายดีมีสตางค์
ข้าวตามสั่งไร้เส้นมาเป็นไท

แล้วเกียรตินิยมลูกตาสา
ก็จะมีคุณค่ากลับมาใหม่
ปริญญาลูกตาสีมีหลายใบ
จะได้ใช้สมรู้มีอยู่จริง

งามความรู้สาดเทมาเกทับ
คุณธรรมยึดจับเป็นหลักนิ่ง
ว่ากันตามเนื้อผ้ามาอ้างอิง
..........................................
ถ้าเก่งจริงคุณก็ได้ใช้สิทธิ์นั้น
ถ้าเก่งจริงลูกตาสาไม่ว่ากัน

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
28 มีนาคม 2554 08:16 น.

เราคือโลกใบเดียว

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

เราคือโลกใบเดียว

สักกี่เสี้ยววินาทีที่ผ่านผัน
สักกี่วันกี่เดือนจะเลือนหาย
สักกี่ปีซากปรักหักทลาย
จะคืนไว้โดดเด่นเช่นเคยมี

ชะตากรรมรานรอนซ้ำซ้อนโศก
วิปโยคบ่ซาสร่างสิห่างหนี
ท่ามเกาะแก่งแหล่งโลกโศกฤดี
ทะเลรี่ถาโถมถล่มพลัง

เราก็ชาวเอเซีย...
เรามีเบี้ยเพียงนี้ก็มีบ้าง
มีหรือเราจะนิ่งเฉยเมยละวาง
เราแบ่งปันสรรค์สร้างทางน้ำใจ

ธรรมชาติโหด...
มันมิอาจสะกดเมตตาได้
อ่านออกเสียงเพียงคำว่าทำลาย
หยุดร่ำไห้เถิดถิ่นดินแจนแปน

เอียงแก้มมาครับ... เอียงมาครับ...
เอียงมารับมือนี้ที่ห่วงแหน
ซับน้ำตาอาจจะไม่ได้ทดแทน
ความแร้นแค้นที่จะผุดทรุดแผ่นดิน

ที่นี่นะ คือประเทศไทย....
ภัยนี้ภัยไหนไม่เคยหมิ่น
มีน้ำใจไหลรี่ปรี่แผ่นดิน
ล้างชีวินผู้เศร้าร้าวระบม

เถิดเพื่อนญี่ปุ่น...
อย่าอาดูรตอกย้ำความขื่นขม
อีกไม่นานวิฤกตร้ายจะคลายปม
ความโสมมจะหมดหายไปจากบ้าน

วันนี้เท่านั้นแหละ ก็เพียงวันนี้
อาจจะมีเพลงน้ำตามาขับขาน
แต่เชื่อว่าวันใหม่อีกไม่นาน
เพลงร้อยยิ้มจะผลิบานทั้งแผ่นดิน

ที่นี่ประเทศไทย และคนไทย...
ที่นี่ส่งแรงใจอย่างไม่สิ้น
ในวันที่น้ำตามาบ่าริน
มีหรือเราจะเมินหมิ่นไม่เหลียวมอง

"แดนอาทิตย์อุทัย"ไม่หายไปจากโลก
ชื่อ"ปลาดิบ"ยังโบกเมื่อโลกหมอง
สนอะไรเพียงว่าน้ำตานอง
มีเรา พี่น้อง ก็พอแล้ว...

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
4 มกราคม 2554 01:08 น.

ผู้ลางคน

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

ผู้ลางคน
สิมายลฟ้าย่ำค่ำไหมหนอ
สู่การรอ
สู้อ้อมอกแม่พ่ออยู่เฮือนเฮา

ผู้ลางคน
สิมาโตดมาโตนบ่ยามหนาว
มาแห่เต้นผ้าป่าบุญบ้านเฮา
มาออยเว้าพี่น้องข้างกองไฟ

ผู้ลางคน
สิหลูโตนหมาน้อยจักหน่อยไหม
หมาน้อยตื่นเหลือหมกมันตกใจ
ตื่นพลุไฟปีใหม่เพิ่นเสียงดัง

ผู้ลางคน
สิได้กินไหมป่นดังใจหวัง
แจ๋วแตงต้มนึ่งฟักลวกผักปัง
สะเดายังทอดยอดตลอดต้น

คล้อยค่ำคืนนี้
ในฟ้ามีจันทร์ใสไร้ความหม่น
อยากนั่งอยู่ข้างๆผู้ลางคน
ถามไถ่ทุกข์สุขจนซำบายใจ

ให้ลาความรุ่งเรื่อง
เลิกรินเหงื่อสิ้นเปลืองอยู่เมืองใหญ่
กลับคอนสู่คืนขึ้นรถไฟ
ตื่นเช้าวันใหม่ที่บ้านนอก

ซื้อหมากนำแน
ย้อนว่าอีแม่เพิ่นฝากบอก
ทั้งครีมลูบทาแข้งขาลอก
หลานน้อยเว้าหยอกเอามานำ

ผู้ลางคน
รู้ไหมรอจวบจนฟ้าจะค่ำ
อาบควันผิงอิงไฟต่างสายน้ำ
คึดฮอดคึดนำจนข้ามปี

ผู้ลางคน
ที่อดทนทำงานการหน้าที่
สิ้นแล้วเวียนแล้วแนวสิ้นปี
เฮือกสวนไฮ่มีสิหวนหา

ผู้ลางคน
แม้หม่นน้ำตาไหลอาบไบหน้า
เสียสิ้นยับเยินทั้งเงินตรา
หันหลังกลับมาหาบ้านสู

ผู้ลางคน
เกินทุกข์สุดทนอย่าทนสู้
พ่อแม่รักเจ้ายังเฝ้ารู้
อยากให้เจ้าอยู่กับเฮือนเฮา

ผู้ลางคน
พอเถอะการสู้ทนอย่างวันเก่า
ล้างแก้มน้ำตาบ่าหน้าเศร้า
มีข่อยมีเจ้า ก็พอแล้ว

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
7 พฤศจิกายน 2553 01:45 น.

ผิงที่นี่ ต่างจากที่นั่น

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

ผิงที่นี่ ต่างจากที่นั่น

เดือนสิบสองคราวบ้านนาหาผ้าห่ม
เมื่อสายลมเริ่มหนาวเนาว์ค่ำใหม่
เมื่อต่อสู้หมอกน้ำค้างข้างกองไฟ
บนขอนไม้รองนั่งอังอุ่นอิง

ฟ้าแรมมืดคืนหนาวแม้ดาวดับ
เปิดผืนรับอุ่นไอควันไฟผิง
แตกเปราะเปราะเชื้อไม้ไหวไฟติง
กลบเสียงหริ่งสั่นหนาวคราวครวญคราง

จากเสียงลมหัวค่ำแกล้งร่ำไห้
ล้อดงไผ่หยอกเอินแล้วเมินหมาง
จนเศษหนาวหน่อยหน่อยมาคอยทาง
ก่อน้ำค้างลงค่ำย้ำหนาวมา

ป่านนี้แม่คงเบิ่งทางนั่งผิงไฟ
ข้าวเหนียวใหม่เอามาจี่บ่แม่จ๋า
ซำบายดีบ่แม่แต่ลูกมา
ทั้งเฮือนนาหัวไร่จั่งได๋นอ

ทางสวนหม่อนสวนฝ้ายไหมหละแม่
อีพ่อแก่ลงไป่ส่ำได๋หนอ
ตายายเพิ่นจ่ายผญาว่ายังรอ
ยังคึดต่ออยู่เดอแม่นำบ้านเฮา

ค่อนคืนค่ำไฟร้างมอดบางส่วน
ฟังลมครวญหม่นซมระบมเหงา
คล้ายเฮือนนาฝากตามถามข่าวเรา
ห่างเฮือนเนาว์ห่างไกลเท่าใดสู!

มีข้าวเหนียวร้านไก่ย่างข้างหอพัก
ทบทวนรักข้าวจี่ที่เหลืออยู่
ได้กลิ่นหอมน้ำตาคลอก็ร่วงพรู
ด้วยรับรู้สามัญของบ้านนา

ในคืนดึกมืดค่ำย้ำใจคิด
กลิ่นข้าวจี่ยังติดใจคิดหา
ผิงกองไฟดายเดียวเปลี่ยวกายา
รอเวลาคอยนับวันกลับไป

หนาวหนนี้ฟ้าเหงาไร้ดาวกอด
คนคิดฮอดหนาวนี้สิกอดไผ
ก่อไฟผิงคอยทางในครั้งใด
ให้จี่ข้าวรอไว้....สิไปกิน

_________________________

กองไฟต่างที่ ถูกก่อขึ้นมาเพื่อไล่ลมความหนาว
แม้จะเป็นกองไฟกองเล็กๆ ในหอพักนักศึกษา

ข้าวเหนียวที่ซื้อจากร้านไก่ย่างส้มตำ
เอามาปั้นย่างไฟเป็นข้าวจี๋ แบ่งกันกับเพื่อนๆ
ท่ามกลางความหนาวเย็นของคืนฟ้าไร้ดวงดาว

สิ่งเล็กๆง่ายๆ ดิบเดิมแบบนี้
สามารถทำให้น้ำตาของเด็นหนุ่มกลุ่มนั้น
ไหลอาบสองข้างแก้ม คลุกข้าวจี่
เคล้ากลิ่นควันอุ่นไฟได้อย่างงายดาย

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
15 ตุลาคม 2553 15:49 น.

คือเสียงเอิ้นสั่ง คือสามัญปลายฤดู

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

คือเสียงเอิ้นสั่ง คือสามัญปลายฤดู

ฝนฮวยหนองคลองนาฟ้าสะอื้น
ห้วยลานหินดินชื้นน้ำรื่นไหล
ข้าวโอบกอก่อรวงโน้มหน่วงไกว
สุดนาไกลเขตข้างหว่างตำบล

เปียกลมหอบดอกน้ำฉ่ำอีกรอบ
ข้าวลู่หมอบยืนได้ไกวอีกหน
เขียดได้น้ำเริ่งร่าโดดมาปน
ปลาอดทนเบียดบืนขึ้นคันนา

โคกจอมปลวกดินตั้งทางฝั่งโน้น
ป่าเห็ดโคนจูมใหม่ดอกใหญ่หนา
เก็บเห็ดอ่อนช้อนวางหลังใบคา
ใส่ตะกร้าอิ่มหนึ่งจึงจากไป

ยามไซปลาลอบวางข้างหนองน้ำ
ปลาดุกดำดิ้นโผนจนไซไหว
เปิดย่ามเก่าสะพายหลังก็วางไว้
เลือกปลาใหญ่หากเล็กนักปล่อยกลับคืน

เบียดน้ำค้างเปียกพุงสะดุ้งโหยง
คันนาโคลงเขียดผวาปลาเต้นตื่น
อ่อนแล้วหนอดินนากว่าตนยืน
คงฉ่ำชื้นฝนสุดท้ายจะคล้ายโคลน

ยกรวงข้าวขวางทางให้ตั้งยืน
หนักรวงชื้นน้ำค้างหนึ่งยังดึงโหน
ค่อยเลาะเลียบเหยียบย่างข้างข้างโพน
ฝากรอยเท้าปูดโปนไว้โพนดิน

เสียงน้ำนาโตนตกซกซกไหล
สาดเสไปเลียบเลาะเซาะกรวดหิน
นกกระยางยืนทุ่งมุ่งจากบิน
จ่อจิกกินปลาเขียดเคียงข้างกัน

คือสามัญฝนสุดท้ายปลายฤดู
คือสามัญฝันรู้อยู่เคียงขวัญ
มาปูทางทุ่งทองของทุกวัน
รอเหมันต์แล้งหลงสู่ดงดอน

เอิ้นฟ้าร้องคำสุดท้ายอ้ายลาแล้ว
หนอนาแนวข้าวจ๋าขอลาก่อน
ให้ตะเกียงไต้ตั้งวางคบคอน
จุดไฟฟอนไล่หนาวอีกยาวไกล

วันสุดท้ายปลายแล้งแจ้งคิมหันต์
จะพบกันอีกครั้งนามฝนใหม่
หากคิมหันต์บอกลานาตอนใด
จะหอบให้ฝนสวยมาฮวยนา
__________________

ในวันที่ฝนพรำๆ ตกทั้งวัน
ชาวอีสานจะเรียกว่า ฝนฮินหรือฝนฮวย
วัฏจักรของสายฝนนั้น 
มาตั้งแต่เม็ดกล้าที่ยังเป็นเม็ดข้าว
สู่การเติบต้นกกกอ และอุ้มท้องออกรวง
ในเวลาเดียวกัน 
ฝนไม่เพียงแต่นำการเติบโตของข้าว
แต่ฝนยังนำสิ่งมีชีวิตหลายพันธุ์มาด้วย
ไม่ว่าจะเป็นปลา กบ เขียด กุ้ง หอย
เห็ดนานาชนิด หน่อไม้ และสิ่งอื่น
มาให้เด็กๆชาวชนบท ได้รู้ปรับรู้เปลี่ยน
และเรียนรู้วิถีชีวิตในการอยู่กินกับฤดูฝน

ท้ายที่สุดแล้วสัจธรรมของธรรมชาติ
ได้ชี้ให้เห็นว่า สรรพสิ่งล้วนมีการเกิด 
การอยู่อย่างนั้น และดับสิ้นไป
สำหรับฤดูฝนเองก็เป็นเช่นกัน
เมื่อวาระแห่งเหมันตฤดูมาถึง
รอยต่อของสองฤดูอันงดงาม
ก็ถึงเวลาแสดงความสามัญได้อย่างเต็มที่
ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเวลาใด
ในช่วงเวลานั้น การเล่นล้อ
ระหว่างปลากับเบ็ด เห็ดกับโพนปลวก
กบกับเขียด คันนากับหลุมรอยเท้า
ก็ได้มีให้เห็นตลอดช่วงฤดูฝน
ราวกับว่าธรรมชาติได้ให้รางวัลกับชาวนา
ที่ล้าอ่อนจากการสืบสาวข้าวงาม
ด้วยการเล่นล้อของสิ่งเหล้านั้น

ในความสามัญ ในปลายฤดูฝนเช่นนี้
ผู้เทียวทาง ผู้เป็นไทในท้องนา 
และผู้เสาะแสวงสายฝน
จะได้รับฟังเสียงฟ้าร้องก้องดัง
หรีดหริ่งคร่ำครวญ
เสียงกบเขียดระงมทุ่ง และเสียงฝนฮวย
แต่รุ้งสางจวบจนฟ้าสนธยา
ในช่วงของวันหนึ่ง
ผิวเผินก็คือเสียงของสัตว์และธรรมชาติ
แต่สำหรับชาวชนบทอย่างเราแล้ว
มันคือเสียงเอิ้นสั่งลากันนั่นเอง


ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
วันเอิ้นสั่งลา ปลายฤดูฝนสู่ต้นฤดูหนาว				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฟ้าฟื้า ธรรมชาติ