16 กรกฎาคม 2555 09:34 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
ฤามนต์สายรกสิ้น?
โอม...วันเดือนไหนปีไหนให้ฮำฮอน
โคกดินดอกฮูกกี่ที่นาไร่
สืบเทือกท้าวข้าวเหลืองมาเรืองใจ
เต็มยุ้งใหญ่ทั้งปีกสิกรรม
อดีตกาล...
ย่ำบาดาลดินชุ่มนาลุ่มต่ำ
กลิ่นไอกล้าทายทักทุกปักดำ
มือเท้าย่ำในตมโลมวิญญา
ครัวไม้ไผ่เตาตั้งควันรันเตา
ต้ำน้ำร้อนตอนเช้าหนาวพฤษา
เตรียมผ้าอ้อมรับขวัญหลานเกิดมา
ตามประสาความรักฮักแพงกัน
ฝังสายรกกลบไว้ใต้กระได
ฝากแผ่นดินผืนใหญ่ไว้รับขวัญ
เป็นมนต์คล้องสายใยใจผูกพัน
หมายสำคัญสำนึกบุญคุณแผ่นดิน
แม้นพลัดพรากจากไปไกลลิบลิ่ว
ร้างทุ่งทิวไร่นาธารพลาญหิน
หวนคิดถึงถิ่นที่มีทำกิน
ด้วยมนต์ดินกลบรกปกสายแนน
สำนึกรักมรดกแม่ยกให้
ทุ่งนาใหญ่ไรกว้างเฝ้าหวงแหน
สืบเทือกท้าวข้าวเหลืองเรืองดินแดน
หุงทดแทนบุญถนอมกล่อมเลี้ยงมา
ปัจจุบันกาล...
สาวไทบ้านหนีทุ่งไปมุ่งหา
อยู่เมืองหลวงเย็นฉ่ำน้ำประปา
ล้างไอกล้าหอมจางลางเลือนไป
ประเพณีสู่ขอก็เป็นหมัน
ส่งลูกหลานคือคนผลผลิตใหม่
ฝากถนอมเลี้ยงจักจากตายาย
ลูกเลยได้พ่อแม่แก่ชรา
ทิ้งท้องทุ่งนาไรให้รุงรก
ทุ่งโสโครกมูลมังร้างหนักหนา
โอ้ละหนอพระคุณบุญท้องนา
ปลูกหญ้าคางามเรียวเขียวขจี
ทั้งเสื้อผ้าค่านมขนมหลาน
มือเหี่ยวนั้นควานหาตามหน้าที่
ไร่นาขาดข้าวร้างอยู่ค้างปี
ข้าวเคยมีลดน้อยคอยเศร้าใจ
โอม...วันเดือนไหนปีไหนให้ฮำฮอน
โคกดินดอนฮูกกี่ที่นาไร่
ดูปลูกหญ้าแทนเข้าลูกเต้าใคร?
หรือมนต์รกใต้กระไดคลายเสียแล้ว!?
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
13 กรกฎาคม 2555 10:29 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
ธรรมฤดู
หริ่งเรไรย่ำรุ่งกล่อมทุ่งนา
พิรุณฟ้าอุ้มสรวงปวงสรรค์
พร้อมหล่อเลี้ยงนาข้าวคราวตั้งครรภ์
ลมจำนรรจ์ผ่านทุ่งปรุงท้องนา
ริ้วเมฆฝนค้างฟ้าเวลารุ่ง
สลัวทุ่งครองทางหว่างอุษา
แผ่วเสียงเพลงโพระดกโฮกป๊กมา
ปลุกนิทรางัวเงียเพลียอรุณ
ค่อยค่อยลืมเปลือกตาลอดคาแฝก
เค้าฝนแรกครองฟ้าตั้งท่าหนุน
เบียดเรือนกายกอดหมอนอ่อนละมุน
เสพสมดุลบุญวสันต์รับขวัญไพร
ลุกขึ้นห่มแพรไสบลายดอกขิด
มาจุ่มพิตดวงหน้าแววตาใส
หอมหมอกซึมลอดด้ายสายแพรไพร
ชื่นหัวใจชื่นเช้าพอหนาวเจือ
กระบวยน้อยจ้วงน้ำล้างใบหน้า
ซึ้งฝนฟ้าพระพิรุณเป็นบุญเหลือ
หนาวหน่วงร่างซ่านขวัญจนสั่นเครือ
หนาวนวลเนื้อลมลูบจูบเรือนกาย
ให้หวั่นยิ่งกริ่งกมลองค์สมภาร
ผู้สร้างทานผ่านยุคทุกสมัย
เมื่อลมฝนตั้งท่ามาโปรยปราย
ทำฉันใดกันเล่าเหล่าพุทธชน
จักรั้งรอไหมนั้นธรรมทายาท
ฤาเพียรทานใส่บาตรกลางหยาดฝน
วงกระเพื้อมเลื่อมน้ำทั้งลำชล
กระแซะเซ็นกระเด็นโจนฝนลงไพร
แม้นข้าวขาวสุขสวยนองด้วยน้ำ
สมภารธรรมตักฉันไม่หวั่นไหว
มิหมายลิ้มชิมซดในรสใด
หมายแรงกายปฏิบัติเพรียขัดเกลา
กระแสฝนหล่นหลั่งอยู่พรั่งพราย
กระแสธรรมอวลอายอุ่นในหนาว
เติมธาราห้วยหานลำธารยาว
เติมธาราสุขสกาวพราวนิพาน
หอมแสนหอมกลิ่นบุหงาระดาไม้
คราวลมไล้ลมลิ่วลอยผิวผ่าน
หลังเค้าฝนเผยฟ้ามาตระกาน
ธรรมชาติไขลานเผยกาลบุญ
ฝนเกิดก่อสะกิจใจให้ได้คิด
เฉกชีวิตเกิดนับและดับสูญ
ผู้สดับรับค่าพุทธาคุณ
เห็นต้นทุนธรรมสร้างหว่างฤดู
พบสัจธรรมธรรมชาติวาดวางไว้
มิเลือกเผยแก่ใครให้ทุกผู้
ซ่อนความหมายในยุคทุกฤดู
ล้วนเป็นอยู่เช่นนั้นนานมาแล้ว
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
6 กรกฎาคม 2555 13:32 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
หุงตำนาน
งามพรรษาฟ้ารุ่งลุกหุงข้าว
ผมดำยาวตัดสีขี้เถ้าหอม
เรียงเศษฟืนหลั่นแถวเป็นแนวดอม
บิดกระลอมตอกเก่าเผาเชื้อไฟ
จิบน้ำข้าวซาวเกลือเจือรองท้อง
หวานน้ำรองชายคาแฝกแรกฝนใหม่
โอ้ละหนอบุญฟ้ามาจากใด
โพสพใยเลี้ยงคนแต่บุราณ
สืบครองสงฆ์องค์ล้ำธรรมสาวก
อุปถัมภกหุงหาภัตตาหาร
ใส่บาตรเอื้อเกื้อหนุนสืบบุญทาน
สืบวิญญาณธรรมพุทธวิมุติไกล
อุษาโยคย่ำรุ่งปรุงวสันต์
ห้วยเถื่อนหนองคลองธารยังซ่านไหล
เปรียบเวลาผ่านเคลื่อนเลื่อนครรไล
คู่กันไปกับสัทธรรมพระสัมมาฯ
ชื้นละอองเรือนกายไสบบาง
เย็นบ่สร่างกายนักตรึงหนักหนา
เย็นน้ำค้างวางดอกยอดใบคา
น้ำค้างนาวางดอกข้าวยอดนั้น
เจ้าพายุดับแล้วแก้วตะเกียง
ห้อยเสาเอียงเถียงนาดูน่าขัน
ผ่านหลายฝนเติมต่อทอตำนาน
เหงื่อแรงงานเติมยุ้งจากทุ่งทอง
เติมเต็มเม็ดทุกเม็ดของเม็ดข้าว
ทุกคำคราวรวยจนคนทั้งผอง
อิ่มพระคุณบุญแม่โพสพทอง
อิ่มเอมท้องอิ่มหนำทุกคำเคี้ยว
ความอุดมห่มโลกวิโยคอุษา
สายคันนารายทางยังแน่นเหนียว
ตราบท้องนาทั่วถิ่นแผ่นดินเดียว
จะยังเขียวความขจีตราบตรีกาล
งามพรรษาฟ้ารุ่งลุกหุงข้าว
ผมหงอกขาวเท่าสีขี้เถ้าถ่าน
หุงชีวิตหุงข้าวหุงตำนาน
ล้วนสืบสานต่อยุคทุกรุ่นไป
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
5 มิถุนายน 2555 20:46 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
ฝน-คลื่นกวี
พลบแล้วโพล้โอ้เพล้เห่เมฆใหม่
หอมอวลไอไรละอองของวรรษา
เหนื่อยไหมหนอพระพิรุณบุญเทวา
โปรยน้ำฟ้าจากแมนสู่แผ่นดิน
เบิกวิญญาณจิตรกรรมอันล้ำลึก
ส่งรู้สึกบทกลอนอักษรศิลป์
โดดทะยานทัพกวีรี้กวิน
ส่งต่อจินต์รุ่นกล้าระย้าใบ
ฝนจะไหลพาวิญญาหาทะเล
ลงทุ่มเทปลอบปลุกคลื่นลูกใหม่
สู่ฟากฝั่งดินแดนอันแสนไกล
ดอกกวีร่วงรายในดงดอน
ไหลลูบรอยเท้าย่างกลางป่าไพร
เลาะผ่านไปทุกตรอกซอกสิงขร
เห็นรอยเท้าซกเหงือเหลือขจร
อีกรอยก่อนเลือนลางอย่างบางตา
ดูสินั่นนั่นไงเห็นไหมเล่า?
ทุกรอยเท้าก้าวย่างอย่างมีค่า
ใช่ย่ำเหยียบทิ้งรอยคอยเวลา
มีนัยยะซ่อนหาทุกฝ่าทาง
แล้วไหลเลาะเลียบรั้วทั่วหมู่บ้าน
ย่านสู่ย่านคืนค่ำสู่ย่ำสาง
เห็นกวีในเมืองแจ่มหรือจาง
เห็นในชนบทห่างเป็นอย่างไร
ให้เรียนรู้จิตวิญญาณชนรุ่นก่อน
ทุกอักษรศาสตร์กวีที่ร่ายไหว
แล้วจำนงฝากฝันให้มั่นใจ
เรียนรู้ในโลกชีวิตที่พานพบ
คลื่นลูกใหม่จะหยุดลงตรงกลางย่าน
หรือจะครืนซัดทะยานอย่างไม่จบ
เบิกกวีแนวตนที่ค้นพบ
หรือได้ทบต่อแนวแถวที่เทียว
ระหว่างทางเก็บกลอนในรอยดิน
ที่ถูกถมทิ้งสิ้นให้เปล่าเปลียว
มีนัยยะอยู่ท่ามความดายเดียว
ให้สะสมคมเขี้ยวหว่างเทียวไป
มาแล้วหนอเมฆฝนหล่นโลมริน
เกิดแล้วหนอแนวจินต์ของคลื่นใหม่
ดุ่มเดินทางเก็บฝันตามบ้านไพร
ตามท้องทุ่งเมืองใหญ่ภูไกลตา
พลบแล้วโพล้โอ้เพล้เห่เมฆใหม่
หอมอวลไอไรละอองของวรรษา
เหนื่อยไหมหนอพระพิรุณบุญเทวา
พาวิญญากวีใหม่ไปปลุกฝัน!
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
6 เมษายน 2555 09:00 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
กลับไปหาพลังใจ
หนอคิมหันต์วันระวีที่สายฝน
หอมละมุนกรุ่นกลมมาหล่นหลง
หลงฤดูกาลงานวันฝนลง
ประหวัดโค้งคุ้งนาป่านาทาม
มทส. ปิดเทอมเสร็จสิ้นสอน
จะกลับคอนสู่เฮือนเอื้อนปากถาม
"คิดฮอดข่อยบ่พ่อแม่แต่ละยาม"
"ข่อยมาตามหัวใจในหมู่เจ้า"
จะได้กลับสู่บ้านเฮือนซานเก่า
เงาหัวเล้าส่องทางอย่างเงียบเหงา
ยามลมร้อนหดหู่อยู่เคียงเรา
โศกเร็งเร้าเคล้าฝนหลงฤดู
ไปเติมรักฮักแพงเติมแรงใจ
หาคนไกลเฮือนซานบ้านเคยอยู่
กลับไปแปงไปตำคำหมากพลู
หยิบยื่นสู่ผู้เฒ่าเนาว์ดงดอน
แล้วจะฟังเสียงนกผกจากรัง
เลไล่หลังไก่ป่าอุษาอ่อน
คงเซ็งแซ่แห่ศัพท์สดับคอน
ปลุกคนนอนสู่เช้าหนาวไอเย็น
จะล้างหน้าแปรงฟันด้วนน้ำฝน
ทักทายคนนอกซานที่ผ่านเห็น
เคาะกระดิ่งกริ่งควายไล่ลำเค็ญ
กลับไปเป็นบักหล่าของตายาย
ได้ตักบาตรสู่สงฆ์องค์สมภาร
เหยียบดินลานเท้าเปล่าเล่าความหมาย
เสียงสัพพีสวดกล่อมลอมหัวใจ
ถ่มทลายใจตระหนี่หนียับเยิน
แล้วเอาข้าวก้นบาตรให้หลานน้อย
ที่ยืนคอยตั้งตาด้วยท่าเขิน
คงหอมข้าวสุกสมลมหยอกเอิน
จะเพลิดเพลินยิ่งเหลือเมื่อกลับคืน
คงได้ฟังเพลงฝนหลงฤดู
กล่อมเกลียวกรูสังกะสีทุกที่ผืน
เมื่อเล็กอยู่เอื้อมเก็บคูนสุดยืน
เราโตยืนสูงกว่าแล้วแก้วดอกคูน
บุญสงกรานต์จะได้สรงลงน้ำพระ
สักการะดำรงศีลบ่สิ้นสูญ
รดน้ำแม่และพ่อขอใบบุญ
สำนึกคุณเคยเลี้ยงกล่อมถนอมมา
จะนั่งอยู่บนเตียงตั่งข้างๆเสา
ฟังผู้เฒ่าสอนสั่งวางผญา
จี่ข้าวเหนียวหมกไข่ห่อใบคา
แกล้มปลาร้าสับบองของเคยรัก
สำเร็จแล้วการเรียนสิบแปดปี
สมควรที่ปลดบ่าภาระหนัก
จะหาบคอนครอบครัวที่ตัวรัก
ให้พ่อแก่แม่พักสักเสียที
ลูกจะหาลูกจะเลี้ยงเคียงชีวิต
เนรมิตสุขสร้างทางวิถี
ด้วยสองมือหยัดกล้าปริญญามี
ดินก้อนนี้จะโชติช่วงเป็นดวงดาว
ป่านนี้นั้นคงมีคนนั่งคอยทาง
แต่ฟ้าสางฝนรินไอดินหนาว
จะแอบย่องเข้าใกล้ไปเบาเบา
หอมแก้มเจ้าพ่อแม่จ๋าลูกมาแล้ว
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ