13 กรกฎาคม 2553 09:29 น.
พ.จินดา
ตอนที่ 6 น้ำตาเทียน
.........ดึกแล้ว แสงดาวส่องประกายระยิยระยับพร่างพราวอยู่บนท้องฟ้า เหมือนหนึ่งถูกแต้มไว้ด้วยเกล็ดเพชรที่ล้ำค่า คละเคล้ากับเสียงลมที่พัดหอบเอาคลื่นน้ำทะเลพัดกระแทกฝั่ง ฟังดูเหมือนบางครั้งประหนึ่งโกรธใครมา เสียงดังครืนๆไม่ขาดตอน หากชีวิตคนเราหมุนเวียนเช่นดังเกลียวคลื่นไม่มีวันสิ้นสุด ก็คงจะดีไม่น้อย จริงสิน่ะ คลื่นทะเลมันไม่เคยลืมฝั่ง แม้อยู่ห่างไกลแค่ไหน คลื่นมันยังหวนกลับเข้าซบฝั่งที่เป็นหาดทรายสีขาวส่องประกายสว่างโพลงอยู่ท่มกลางความมืด ในยามนี้ แม้บางครั้งจะหอบทรายที่สกปรกดำด่างปานใดคลื่นน้ำทะเลก็จะโอบกอดชะล้างให้ทรายขาวใสดังเดิม ไม่มีวันทอดทิ้งหรือปล่อยให้ทรายดำด่างอยู่เช่นนั้น เสียงถอนหายใจออกจากกร หนุ่มหน้าใสร่างสูงโปร่งบาง ผิวขาว เคยมีคนชมว่าเขาหล่อไม่แพ้ดาราเกาหลีที่วัยรุ่นคลั่งไคล้ หลงไหล แต่ท่วานัยน์ตาแทนที่จะสุกใสส่องประกายน่ารักเฉกเช่นวัย 20 ต้นๆของเขา กลับดูหม่นเศร้าอย่างเห็นได้ชัด เคยมีคนถามว่าทำไมแววตาของเขาจึงดูเศร้า ชอบกล กรได้แต่ยิ้มบางๆเท่านั้น
กร ค่อยๆทรุดกายลงนั่งบนขอนไม้ใต้ต้นมะพร้าว ที่ทอดเงาทะมึนลงทับหาดทรายที่ส่องประกายขาวโพลนอยู่เบื้องหน้าท่ามกลางความมืดในยามวิกาล แต่กลับไม่มืดสนิท ทำไมหนอความรัก ความสมหวังจึงไม่จิรังเหมือนกับหาดทรายและทะเล มันคงเป็นธรรมชาติที่เลือกแต่งสรรมาให้กระมัง
ก่อนนี้กรมีความสุขในชีวิต มีเพื่อนสนิทที่สนิทกันมากจนเวลาที่ผ่านไปแสนนานเปลี่ยนแปลงความเป็นเพื่อนสนิทเป็นคนรักที่รักกันมาก จนคิดว่าจะใช้ชีวิตรักร่วมกัน มีบุตรที่น่ารักสัก 2 คน ใช้ชีวิตเหมือนชีวิตคู่ของคนทั่วไป แต่ความคิดความหวังกลับกลายเป็นแค่ความฝันจะเป็นความจริงไปไม่ได้ เพราะธรรมชาติสาปให้เขาต้องกลายเป็นคนที่เก็บตัว ใช้ชีวิตแบบโดดเดี่ยวเช่นนี้
"ทำไมถึงทำตัวเหินห่างกับเรา ล่ะ เจน" กรเคยถามเมื่อครั้งเรียนจบจาก นศ.แพทย์ใหม่ๆ (แพทย์ชนบท)
"ก็เราเบื่อกร กรคิดถึงแต่คนอื่น คิดถึงแต่งาน หายใจเข้าออกคนไข้ คนไข้ เราเบื่อ เราอยากมีคนรักคอยเอาใจดูแลเดินเคียงข้าง แต่กรไม่ นี่พอเรียนจบมากรก็จะขอย้ายลงทำงานในท้องที่กันดาร เราเบื่อ"
"ลาก่อน น่ะ ขอให้โชคดี" เป็นประโยคสุดท้าย ที่เธอบอกลาพร้อมชายหนุ่มนักธุรกิจคนรักใหม่ ก่อนที่เขาทั้งคู่จะใช้ชีวิตร่วมกันในเวลาไม่นานนักหลังจากบอกลากับกร
กรยังได้ไปในงานวิวาห์ของทั้งคู่เป็นงานที่ใหญ่โตหรูหราพอสมควร สมกับเป็นงานวิวาห์ของนักธุรกิจหนุ่มและแพทย์สาวสังคมไฮโซ ของขวัญวันแต่งงานที่กรนำมามอบให้ในงาน ยังจำได้เป็นภาพวันวานสมัยเป็น นศ.แพทย์ด้วยกัน เป็นรูปถ่ายหมู่
แต่ทุกอย่างนั้น ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว เหลือเพียงภาพแห่งความทรงจำที่เจ็บปวดและเป็นบทเรียน ที่กรต้องยอมแลก ยอมเสียเพื่อความสุขกับการได้มาทำงานในชุมชนที่กันดารแห่งนี้ บางครั้งกรคิด มันไม่ยุติธรรมเลย ที่คนเช่นเขาต้องเสียสละกับเรื่องส่วนตัวถึงเพียงนี้ ทำไมธรรมชาติจึงไม่ให้ทุกสิ่งแก่เขา ทำไมต้องให้เขาเลือกได้อย่าง เสียอย่างนั้นเล่า
......ดวงดาวยังคู่ท้องฟ้า แต่จริงสิน่ะ ยามเมื่อมีดวงจันทร์ส่องประกายสุกพราว ยามนั้นประกายของแสงจันทร์จะบดบังประกายสุกใสของดวงดาว แต่ยามมีประกายสุกใสของดวงดาวเช่นยามนี้เราจะไม่พบแสงเหลืองนวลสวยงามของดวงจันทร์เลย แต่เมื่อใดที่มีทั้งดวงจันทร์และดวงดาว เมื่อนั้นความสวยงามของทั้งสองสิ่งจะลดลงเพราะธรรมชาติไม่ยอมวร้างสิ่งที่ดีมาคู่กันเสมอ
.......ปูลมต่างวิ่งไล่ลงรูกันสับสนไปหมดเหมือนมันหยอกล้อกับชะตาชีวิตของกรหรือเพื่อต้องการให้กรเลิกคิดถึงสิ่งที่บั่นทอนจิตใจ ให้ดูปูอย่างมันเป็นตัวอย่าง บางครั้งพวกมันยังสับสนวิ่งลงผิดรูเลย ยามที่มีคนนำปิ๊บมาฝังล่อใส่อาหารลงไปข้างในปิ๊บนั้นเช่นกะปิ เพื่อให้มันไต่ลงไปแล้วออกไม่ได้จนกลายเป็นอาหารทอดกรอบอันโอชะนั้น มันก็ยังมีความสุขที่ได้เป็นปูลมวิ่งเล่นรับแสงดาวกับแสงเดือนอยู่บนชายหาดนี้ ความทุกข์นั้นคู่กับความสุขเสมอ อยู่ที่เราจะเลือกเอาสิ่งที่เป็นทุกข์หรือสิ่งที่เป็นสุขต่างหากนั้นเล่า แต่สำหรับปูลมตัวน้อยนี้ มันหยุดอยู่ที่ข้างตัวกร พลางกลอกนัยน์ตาสีดำที่โปนออกมาเหมือนจะบอกให้กรรู้ว่ามันเลือกเอาความสุข แม้ว่าอีกไม่นานปูลมตัวน้อยนี้ ซึ่งวิ่งเล่นไปมาอย่างมีความสุขอาจจะตกลงไปในปิ๊บและกลายเป็นอาหารที่ว่าไปในที่สุด
มนุษย์ที่ฉลาดเลือกครองตนบนสังคมนี้ได้ ด้วยการมองโลกให้เป็นสุขแล้วชีวิตเราจะเป็นสุขหากเลือกเอาสิ่งที่เป็นทุกข์ ชีวิตทั้งชีวิตเราก็จะมีแต่ความทุกข์
สุขกับทุกข์เป็นของคู่กัน อยู่ที่เราต่างหากว่าจะเลือกอยู่กับอะไร
เสียงลูกมะพร้าวแห้งหล่นตุบอยู่ห่างเบื้องหน้ากรไปไม่ไกล ตามแรงเหวี่ยงของขาชายหนุ่มที่เหวี่งเอาลูกมะพร้าวแห้งนั้นออกไป
..........คงจบสิ้นกันที กับความรักที่จอมปลอม ความรักที่หลอกลวง ความหลังที่ขมขื่น ให้สิ่งเหล่านี้ จงถูกลมที่พัดดึงเอาเกลียวคลื่นของทะเลที่กระทบฝั่งเมื่อครู่ ออกสู่กลางทะเลโพ้นและอย่าได้นำมันกลับมาอีกเลย ถ้าธรรมชาติต้องการให้เขามาอยู่ที่นี่ มาสร้างสิ่งเจริญ มารักษาชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน หากจะเป็นที่กันดารแห่งนี้หรือแห่งไหน เขาก็ยอมทั้งนั้น กร บอกกับตนเองว่า คนเราฝืนอะไรฝืนได้แต่ฝืนธรรมชาตฝืนโชคชะตาไม่ได้ ชะตาคนเราถูกกำหนดมา ถูกขีดเส้นมาตั้งแต่เกิดแล้ว....................
12 กรกฎาคม 2553 22:53 น.
พ.จินดา
ตอนที่ 5 ความลำบากก่อความสามัคคี
...........เช้าวันใหม่ของต้นเดือน ในวันนี้ ชาวบ้านต่างทยอยกันมายังศูนย์สภาตำบลที่ตั้งอยู่บริเวณชายทะเลห่างจากบ้านกำนันไม่มากนัก ที่เกาะแห่งนี้มีด้วยกัน 2 หมู่บ้าน คือหมู่บ้านหน้าเกาะ หมู่ที่ 1 และหมู่บ้านหลังเกาะ หมู่ที่ 2 จำนวนหลังคาเรือนรวมกัน 138 หลังคาเรือน ประชากรร่วม 1000 คน มีวัด 1 แห่ง พระ 1 รูป โรงเรียน 1 แห่ง มีครูประจำ 3 คน สถานีอนามัย 1 แห่ง มีหมอ 1 คน
.........ศูนย์สภาตำบล เป็นอาคารโล่งเทพื้นปูนหลังคากระเบื้อง รับลมทะเลทุกด้านจึงทำให้อากาศถ่ายเทได้ดีไม่ร้อน ทั้งที่ช่วงนี้ย่างเข้าสู่ฤดูร้อน ประธานในที่ประชุม หรือประธานสภาตำบลก็คือกำนัน เริ่มกล่าวเปิดการประชุมด้วยวาระด่วนเรื่องคนไข้ที่เสียชีวิตที่อนามัยเมื่อคืนที่ผ่านมา
"เขาว่า หมอไม่ดูแลคนไข้ ปล่อยให้คนไข้เสียชีวิต"
"เขาว่า หมอฉีดยาผิด ลูกเขาเลยตาย"
และอีกหลายประโยคที่พรั่งพรูออกมาจากปากของคนในที่ประชุม บางประโยคเหมือนมีดหรือเข็มที่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจในความรู้สึกของคนเป็นหมอผู้ที่มีหน้าที่รักษาชีวิตคนไข้ ไม่มีหมอคนไหนหรอกที่คิดฆ่าคนไข้ที่มาขอความช่วยเหลือหรือมาขอชีวิตขณะที่เขาบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย
"แล้วพวกคุณ คิดเช่นนั้นหรือครับ"
"พวกคุณคิดว่าผมทำเช่นนั้นหรือครับ ตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ผมทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตเพื่องาน เพื่อคนบนเกาะแห่งนี้ จนผมไม่เหลือใครแม้แต่คนที่เคยรัก"
หมอกรกล่าว ด้วยใบหน้าที่นิ่งเรียบ นำเสียงบ่งบอกถึงความน้อยใจ เขาเลือกที่กล่าวว่าคนที่เคยรักแทนคำว่าคนรัก
ครูแดง ครูใหญ่ของโรงเรียน ขยับแว่นตาที่หนา ก่อนจะเงยหน้ามองดูหมอกรพลางเอื้อมมือมาบีบมือหมอเพื่อเป็นการให้กำลังใจแก่กัน หัวอกของข้าราชการที่ต้องมาเผชิญกับสังคมบนเกาะที่เต็มไปด้วยผู้คนหลายกลุ่มหลายพวก จำเป็นที่ต้องรักเป็นห่วงช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะบนเกาะแห่งนี้หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดีจะไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจให้พึ่งได้ เพราะที่นี่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ความดีเท่านั้นจะคุ้มครองตนเอง
"เอาล่ะ พวกเราเข้าใจและเห็นใจหมอ ในสถานการณ์เช่นนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ" กำนันกล่าวอย่างให้กำลังใจหมอ
"เราจะทำอย่างไรดี" พระอาจารย์ ที่ชาวบ้านเรียกกล่าวขึ้น
"ชาวบ้านอยากให้ทำบุญอนามัย เพราะกลัวผี นังแก้วเมียไอ้ผัน มันไม่กล้าเดินลงชายทะเลผ่านอนามัย มันกลัว อุตส่าห์เดินอ้อมผ่านโรงเรียน"
ลุงชัยผู้ช่วยกำนันกล่าว เรียกเสียงหัวเราะจากที่ประชุมได้
"ก็ทำซิ อนามัยเราก่อสร้างมาด้วยบารมีของสมเด็จย่าในโครงการ พอ.สว.มาร่วม 5 ปี แล้วไม่เคยทำบุญซักที นี่แม่คนตายก็ร่วมทำบุณกับผม 500 บาท"
กำนันกล่าว แล้วขอความเห็นจาก กร "หมอกรมีความเห็นยังไง"
"เห็นด้วยครับ"
"แล้วครูแดง ล่ะ" "ก็ ครับเห็นด้วย" ครูแดงกล่าว เพราะถ้าดูตามอารมณ์ของชาวบ้านขณะนี้แล้ว อย่าขัดเชียว เป็นเรื่องแน่
"แล้วเมื่อไหร่ ละ อาตมามีรูปเดียวด้วย เดี๋ยวอาตมาขึ้นฝั่งแล้วจะลำบากนะ หาพระสวดไม่ได้ "
"ไม่ยากครับพระอาจารย์ ถ้าพระอาจารย์ไม่อยู่เราก็เอาพระพุทธรูปแทนแล้วเปิดเทปเอา เงินทำบุญก็ไม่ต้องจ่าย ประหยัดกว่ากันเยอะ"
ไอ้สันหนุ่มชาวเรือบนเกาะกล่าวอย่างคะนองเรียกเสียงฮาได้ดี ลั่นห้องประชุมทีเดียว
"เอ้า พอ พอ ไอ้สันก็พูดดีไป เดี๋ยวเถอะบาปจะกินหัวเอ็ง" กำนันปราม
หลังจากนั้นที่ประชุมก็ปรึกษาถึงข้อราชการอื่นที่กำนันไปรับนโยบายมาจากอำเภอ ใช้เวลาไม่นานนัก เกือบเที่ยงวันก็ปิดประชุม ต่างทยอยแยกย้ายกันกลับ
"หมอเป็นไงบ้าง หมู่นี้ไม่ค่อยได้เจอกัน ผมต้องขึ้นประชุมอยู่บ่อย"
ครูแดงเอ่ยขึ้นขณะที่เดินคู่กับหมอกร ริมชายทะเล
"ดีครับ ผมเองก็ไม่เครียดอะไร ในเมื่อตัดสินใจมาทำงานอยู่ที่นี่แล้ว อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด"
"หมอคิดได้เช่นนี้ผมก็เบาใจ"
"มีอะไรหรือครับ ครู" กรถาม เพราะจับน้ำเสียงของครูที่ดูแปลกๆ
"อ๋อ เปล่าครับ ที่ถามเพราะไม่เคยมีหมอคนไหน อยากจะมาอยู่ที่นี่ เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นทุกคนก็จะอ้างเหตุผลขอย้ายตัวเองขึ้นฝั่งทันที ยากนะครับหมอที่จะมีใครสักคนที่ตั้งใจมาทำงานเพื่อคนที่นี่จริงๆ"
"ครับ ครูไม่มีจริงๆ นอกจากคนที่โดดเดี่ยว เช่นผม" กรพูด ครูแดงมองหน้าด้วยความสงสัย ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกกันกลับบ้านพัก
.........บนอนามัย หมอกรนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้า ลมทะเลพัดกรรโชกผ่านเข้าออกในตัวอาคาร เป็นระยะระยะ สายตาของหมอหนุ่ม เพ่งมองไปที่เตียงพยาบาลที่วางตั้งอยู่ใกล้กันกับโต๊ะทำงาน
ภาพของคนไข้ คนนั้นปรากฏขึ้นในมโนภาพ จริงหรือที่เขาเป็นต้นเหตุทำให้คนไข้รายนี้ตาย ไม่ใช่ซิ เขาช่วยจนถึงนาทีสุดท้ายนี่นา ทำไมหลายคนจึงคิดเช่นนั้น
ตอนที่ 6 น้ำตาเทียน
11 กรกฎาคม 2553 22:09 น.
พ.จินดา
ตอนที่ 4 ความรักของแม่
...........ตอนสาย กลางทะเลที่เพ่งสุดสายตาออกไป มองเห็นเป็นจุดเล็กของเรือลำหนึ่งที่พยายามแล่นฝ่าเปลวแดดของยามสาย บ่ายหน้าเข้าหาฝั่งเกาะสวรรค์
กร หวลนึกถึงวันวานที่เขานั่งเรือกลับจากฝั่งในเมือง ดูเหมือนมันแล่นมาอย่างเชื่องช้าเหมือนเรือนำมันใกล้หมด อาจเป็นอุปาทานที่จิตใจว้าวุ่น หม่นหมองจากการบอกลาของคนรัก แต่เหตุการณ์ที่เห็นเบื้องหน้า กรแน่ใจว่า จิตใจความผูกพันของผู้เป็นแม่ คงเคลื่อนขับมาพร้อมกับเครื่องยนต์เพื่อให้เรือลำนั้น รีบแล่นถึงที่หมายเพื่อให้เห็นลูกอันเป็นที่รักอย่างแน่นอน
คิดแล้ว กรก็ส่ายหน้า เดินกอดคอเจ้าน้อย บอกลากำนัน กลับอนามัย ก่อนกลับบอกกำนันว่า "ช่วยนำแม่ของเขามาอนามัย ด้วยน่ะครับ ผมจะไปรอที่อนามัย"
"ครับ หมอ"
ความรีบร้อน กระหืดกระหอบ ระยะทางประมาณ 500 เมตร จากชายทะเลถึงอนามัย ไม่ทำให้ผู้เป็นแม่เหนื่อยอ่อน หากแต่เมื่อพบลูกอยู่ในสภาพที่ร่างไร้วิญญาน นอนแข็ง ตัวซีดไม่ไหวติง ใต้ผืนผ้าห่มสีเทา บนเตียงพยาบาล ร่างที่นอนไม่แสดงอาการดีใจ ไม่โผลุกมากอดแม่ เหมือนกับที่กล่าวไว้ก่อนหน้านั้น แต่ร่างของผู้เป็นแม่กลับยืนนิ่ง ไม่มีเสียงใดๆรอดออกจากปาก มีเพียงนำใสๆที่ไหลออกจากนัยน์ตาทั้งสองข้าง เป็นทางยาวอาบสองแก้มหล่อน
ด้วยวัยเพียง 40 ดูอ่อนล้า โรยลาอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อสิ่งที่เป็นอันสุดที่รักดั่งดวงตาดวงใจได้ถูกกระชากไปจากอ้อมอก ย่อมมีสภาพไม่ต่างจากหญิงผู้นี้ "เอก แม่มารับลูกกลับบ้าน น่ะ"
"ลูกไปวัดถำกระบอก กลับมาเมื่อไหร่ทำไมไม่มานอนที่บ้านเรา มานอนที่นี่ทำไม"
"แม่รักลูกนะ ตื่นเถอะลูกเอก"
อีกหลายประโยค ไหลพรั่งพรูออกมา หลังจากที่หล่อนยืนนิ่งไปนาน
ทุกคนในที่นั้นดูเงียบและสะเทือนใจต่อภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ภาพที่แม่ยืนโอบกอดลูกชายแนบอก พลางสะอื้นรำไห้ ปริ่มใจแทบขาด
ลมเย็นพัดกรรโชกเข้ามาในอนามัยเหมือนจะรับรู้อะไรบางอย่าง ลมเย็นนั้นปะทะใบหน้าของผู้เป็นแม่ เส้นผมที่ยาวประบ่าปลิวไสวตามแรงลม ปะทะกับนำตาบนข้างแก้มหล่อน
"กลับบ้านเราเถอะ" หล่อนกล่าวพร้อมมองหน้ากร เหมือนจะบอก แต่กรเข้าใจรีบบอกให้ชาวบ้านช่วยหามร่างอันไร้วิญญานนั้นลงสู่เรือที่จอดรอริมชายฝั่ง
ตะวันคล้อยบ่ายลงมากแล้ว แต่กรก็ยังคงนั่งทำงานต่อที่อนามัย แม้คนไข้ในวันนี้จะน้อยเพราะต่างก็หวาดกลัว ไม่กล้ามาที่อนามัยกลัวจะกลายเป้นผีเฝ้าอนามัยตามความเชื่อถือเก่าๆ ที่ว่าผีจะมาหักคอเอาคนใหม่แล้วผีเก่าจะได้ไปเกิด
ส่วนเจ้าน้อย นั้นไม่ต้องพูดถึง หมออยู่ที่ไหนเจ้าน้อยก็อยู่ที่นั่น มันไม่กลัว กลัวอย่างเดียวคือไม่มีหมอกร
"น้อย เหนื่อยไหม"
"ไม่ครับ อาหมอ"
"น้อย รักแม่คิดถึงแม่ไหม"
น้อยมองหน้า กร ก่อนกล่าว
"หากเป็นน้อย แม่จะรักน้อยแบบแม่คนนั้นไหม อาหมอ"
"รักซิ แม่ทุกคนรักลูกเสมอ แต่ลูกซิจะรักแม่หรือเปล่า ลูกทุกคนแม่เลี้ยงได้ แต่แม่คนเดียวน้อยคนที่ลูกจะเลี้ยง "
ตอนที่ 5 ความลำบากก่อสามัคคี
11 กรกฎาคม 2553 19:57 น.
พ.จินดา
ดึกมากแล้ว ขณะที่ทุกคนกำลังมีความสุขกับการพักผ่อน แต่กรหมออนามัยกลับต้องลุกมาเพื่อดูแลชีวิตคนอื่น คนแปลกหน้าจริงๆ
เมื่อกร ลงมาเปิดประตูอนามัย หลังจากกลุ่มคนที่กุลีกุจอนำคนไข้มาทิ้งไว้บนเตียงพยาบาล ท่ามกลางความสว่างไสวที่พึงมีของแสงตะเกียงนั้น ลมที่พัดไหววูบไล้เปลวแสงตะเกียงดวงน้อยนิดนั้น ก็พัดเอากลุ่มคนที่กรูกันมาเมื่อสักครู่หายวับไปด้วย เหลือเพียงกรและคนไข้เท่านั้น
"หมอครับผมหายใจไม่ออก แน่นหน้าอกครับ"
"แม่ครับผมขอโทษด้วยที่ไปไม่ถึงถำกระบอก"
เพียงคำพูดของคนไข้หนุ่ม อายุโดยประมาณคงรุ่นเดียวกับกร เขาคิดเช่นนั้น
ไวกว่าความคิดที่จะคิดเป็นอย่างอื่น เขารีบชูตะเกียงที่ก่อนนี้วางบนโต๊ะทำงานเพื่อมองดูให้แน่ใจว่าคราบบนผนังอนามัย นั้นคือคราบเลือดของคนไข้หรือไม่
ชัด คนไข้ลงแดง อาการของการขาดยา ผงขาวนั่นเอง
กร รีบคว้าแอดดรินาลินฉีดเข้าที่ต้นแขนคนไข้ สักพักคนไข้พูดคุยเล่ารายละเอียดได้เพียงบางส่วน
"เพื่อนมันหลอกพาผมมาเสพยาที่นี่ จนเงินที่แม่ให้มาเป็นค่าเดินทางไปรักษาที่วัดถำกระบอกหมด มันเลยทิ้งผม แม่ครับผมขอโทษ หมอช่วยผมด้วย ผมอยากกอดแม่"
ทุกคนไหม ที่วันสุดท้ายของชีวิตจะนึกถึงแม่ ทำไมวันที่ผ่านมาถึงปล่อยให้มันไร้ค่า มีประโยชน์อะไรกับการที่จะมาอาลัยอาวรณ์ในวาระสุดท้ายของชีวิต ในเมื่อเวลาที่มีก่อนหน้านี้เราเป็นคนทำลายมันเอง ใช่หรือไม่
กร นั่งมองและฟังคนไข้เพ้อ คนไข้มักเพ้อเมื่อวาระสุดท้ายมาถึงเสมอ
เขาจากไปอย่างสงบ ทันทีที่กรเอาฝ่ามือลูบหนังตาของคนไข้ที่เบิกโพลงด้วยแววตาที่แฝงความกังวลบางอย่าง ร่างของเจ้าน้อยก็ปรากฏที่ประตูอนามัย
"เขาเป็นอะไรครับ อาหมอ"
กร นิ่งแทนคำตอบเขากอดเจ้าน้อยไว้แน่น เพื่อไม่ให้เจ้าน้อยหวาดกลัว
"เราไปบ้านลุงกำนัน กันเถอะ"
สถานีอนามัยยามวิกาล ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งแต่ทว่าคืนนี้มีร่างของชายหน่มต่างแดนที่ไร้วิญญานนอนทอดร่างอยู่ด้วย
ใครว่าธรรมชสาติบนโลกนี้สวยงาม แต่แฝงไว้ด้วยความโหดร้ายต่างหาก สามารถแย่งความรักไปจากทุกคนได้ จริงไหม
ตอนที่ 4 ความรักของแม่
11 กรกฎาคม 2553 19:26 น.
พ.จินดา
ต่อ ตอนที่ 2
เย็นมากแล้ว บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดมีเพียงเสียงลมทะเลที่พัดลู่ต้นสนริมหาดเสียงหวีดหวิวชวนโหยหวนสลับกับเสียงคลื่นที่ดังกระทบฝั่งเป็นระยะ
"คุณหมอครับ กลับบ้านพักกันเถอะครับผมเตรียมอาหารมื้อเย็นไว้ให้แล้ว"
เจ้าน้อย เด็กผู้ชายที่กรรับมาอยู่เป็นเพื่อน ชีวิตของเจ้าน้อยดูช่างอาภัพ พ่อเสียชีวิตแม่มีครอบครัวใหม่ ตัวเจ้าน้อยเองอายุก็เพิ่งย่าง 14 ปี ดูเป็นเด็กน่ารัก ใสซื่อ กรรับอุปการระเลี้ยงดูและนำมาเรียนหนังสือที่บนเกาะแห่งนี้ ความรัก ความเอ็นดู เอื้ออาทรที่เขามีต่อเด็กชายผู้นี้ จึงเป็นต้นเหตุที่มาของการบอกเลิกลาของคนรัก เพียงเพราะเข้าใจว่ากรรักชอบกับเด็กคนนี้มากกว่าผู้อุปการะ
"ไปซิ น้อย" กรคว้ากระเป๋าเป้เดินเกาะบ่าเจ้าน้อย ไปตามเส้นทางหาดทรายที่ขาวโพลนทอดสู่เบื้องหน้า
บนเกาะแห่งนี้ไร้ไฟฟ้า เหมือนบนฝั่ง จะมีก็เพียงแสงไฟนีออนจากแบตเตอรี่หรือจากบ้านที่มีเครื่องปั่นไฟ สำหรับบ้านพักหมออนามัยแสงสว่างมีเพียงตะเกียงนำมันก๊าดเท่านั้น
คืนนี้ก็เช่นกันเหมือนกับทุกคืนที่ผ่านมาร่วม 1 ปี แล้วที่กรมาทำงานที่นี่ แสงสว่างจากตะเกียงดวงน้อยบนบ้านพักหลังอนามัย ทีเจ้าน้อยจุดขึ้น ได้ขับไล่ความมืดที่เริ่มโรยตัวเข้ามา
"เป็นอะไร ครับอาหมอ น้อยเห็นอาหมอดูเงียบๆพิกล ไม่หัวเราะสนุกสนานเหมือนเดิมเลย " น้อยเป็นเด็กช่างสังเกตและฉลาดเกินตัว วันก่อนแม่ของเจ้าน้อยให้สามีใหม่ขับเรือหางยาวมารับลูก เจ้าน้อยวิ่งแอบหนีไปหลบซ่อนอยู่บนเขาหลังเกาะวันกับคืน กว่ากรจะรู้เรื่องก็แม่เจ้าน้อยมาบอกฝากฝังเลี้ยงดูให้ดี มันรัก เป็นห่วงหมอมากกว่าแม่ของมัน แม่เจ้าน้อยพูดก่อนจะกลับเข้าฝั่งพร้อมกับสามีใหม่
เกือบเที่ยงคืน แล้วที่กร ชำระสะสางเรื่องส่วนตัวจนเสร็จก็ออกมานั่งหน้าระเบียงบนบ้านพัก สักครู่เจ้าน้อยก็ตามออกมาไม่นานก็นอนหลับหนุนตักอาหมอที่มันรัก
ความเงียบยามกลางคืน ที่มีแสงสว่างจากดวงจันทร์ทอประกายแสงเหลืองนวลอ่อนๆกระทบกับพื้นทราย หากคนเคยมาเที่ยวหรือพักผ่อนใช้ชีวิตกลางธรรมชาติเช่นนี้ คงชอบและมีความสุข แต่สำหรับกร นั้น เวลาที่อยู่มา 1 ปี ทำให้สิ่งต่างๆที่ผ่านมาแม้ดูสวยงามแต่ก็ธรรมดา ทว่าสำหรับคืนนี้นอกจากเจ้าน้อยแล้ว สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือเพื่อนในยามเหงา
ค่อนรุ่ง กรต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียงเรียกจากกลุ่มคนแปลกหน้า ทางด้างล่างบ้านพัก
"หมอครับหมอ ช่วยเพื่อนผมหน่อย"
กรลุกงัวเงีย จากที่นอนในห้องมือควานหากลักไม้ขีดเพื่อจุดตะเกียง ไม่นานนักเขาก็ก้าวลงบันไดมาเพื่อดูแหล่งที่มาของเสียงเรียก
ตอนที่ 3 แขกยามวิกาล