17 กรกฎาคม 2553 23:09 น.
พ.จินดา
.....ตอนที่ 8 โจรกลับใจ
....."ตอนนี้ห้ามหมอกับครูไปไหนโดยลำพัง น่ะครับ"
"ทำไมหรือกำนัน" หมอกรถาม ขณะที่เลิกประชุมประจำเดือน ณ ศูนย์สภาตำบลบนเกาะ ในบ่ายวันหนึ่ง
"ก็ ตำรวจกำลังไล่จับลูกน้องเสือขิน น่ะซิและทราบว่าตอนนี้กำลังหนีมาหลบซ่อนตัวอยู่บนเกาะนี้ด้วย" กำนันบอก
"หรือครับ" "จับตายด้วยนหมอ"
เขาทราบเพียงเท่านั้น
อนามัยเป็นทั้งที่ทำงานและที่พักอาศัย เขาทำงานแบบไม่มีเวลาหยุดเหมือนสถานที่ราชการที่อยู่บนฝั่ง เพราะบนเกาะแห่งนี้ ไม่มีที่ที่เขาจะไปหรือพักผ่อนได้ หากมีคนไข้ชาวบ้านจะต้องตามเขาเจอ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่จะเห็นเขาทำงานแทบไม่มีเวลาหยุด วันนี้ก็เช่นกัน หลังจากที่เขาแยกตัวจากกำนันมา เจ้าน้อยก็ยังไม่กลับจากโรงเรียน พบว่ามีแขกรออยู่ที่หน้าอนามัยแล้ว เป็นชายหนุ่มร่างกำยำวัยฉกรรจ์จำนวน 3 คน
"ใช่หมอกรหรือเปล่า" 1 ใน 3 กล่าว เมื่อพบหน้าเขา
"ครับ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ผมช่วยหรือปล่าว"
"มีซิ เพื่อนผมไม่สบาย ต้องการหมอให้รีบไปรักษาด่วน"
"ได้ครับที่ไหน" "หลังเขา บ้านตาชำ"
"ครับ รอเดี๋ยวน่ะ ให้ผมเตรียมเครื่องมือก่อน เอ่อ คนไข้มีอาการอย่างไรครับ"
"ถูกยิง กระสุนฝังใน"
นิ่ง เหมือนถูกสาป เพียงชั่วครู่สติกลับคืน อยู่ในอากัปกิริยาที่ปกติ หมอกรรีบเตรียมเครื่องมือและยาเท่าที่จำป็น ในใจพยายามคิดแต่ในสิ่งที่ดี
เย็นมากแล้วที่เขาเดินอยู่กลางกลุ่มชายฉกรรจ์ มุ่งหน้าลัดข้ามเขากลางเกาะไปด้านหลังที่เรียกว่าอ่าวใหญ่ บนบ่ามีกระเป๋าพยาบาลสะพายไหล่อยู่ เกือบมืดจึงถึงที่หมาย ร่างที่เห็นอยู่เบื้องหน้า เป็นร่างของชายวัยกลางคนอายุประมาณไม่ต่ำกว่า 45 ปี นอนอยู่กลางลานบนระเบียงหน้าบ้าน มีแผลถูกยิงที่บริเวณไหล่ด้านซ้าย แสงส่วางที่พอมองเห็นจากเปลวไฟตะเกียง พอมองเห็นว่าไม่ใช่แผลฉกรรจ์ หมอกรไม่รอช้า รีบจับคนไข้ให้นอนอยู่ในท่าที่พร้อมจะทำการรักษา เขานำใบมีดที่นำมาเช็ดกับแอลกอฮอล์เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อ บนเกาะแห่งนี้จะเอาอะไรมากนักกับเรื่องความปลอดเชื้อของเครื่องมือ ก่อนลงมือกรีดลงไปบนบาดแผลเพื่อนำหัวกระสุนที่ฝังอยู่ออกมา หลังจากนั้นก็ทำความสะอาดแผลก่อนที่จะปิดแผลและให้ยาแก้ปวด แก้อักเสบ
"ขอบคุณมากหมอ" ชายกลุ่มเดิมกล่าว
"ไม่เป็นไรครับ หน้าที่ของผม"
"งั้นเดี๋ยวผมไปส่งหมอ แล้วกัน"
"พรุ่งนี้ ไปดูแผลที่อนามัยหน่อยน่ะครับ" หมอกร บอก คนไข้เพียงพยักหน้า ไม่พูดแต่มองหน้าหมอด้วยความระแวง
"เฮ้ย เอิบ เอ็งไม่ต้องกลัว หมอกรเขาดี ไม่เป็นอันตรายสำหรับแกหรอก"
ตาชำเจ้าของบ้าน บอก
หรือว่าจะเป็นคนร้ายที่กำนันบอก กรคิดในใจ แต่ไม่กล้าถามเพราะไม่ใช่หน้าที่ของเขา หน้าที่ของเขาคือรักษาไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม
ความมืดเริ่มโรยตัว มีเพียงกระบอกไฟฉาย ที่ให้ความสว่างในการนำทาง ตอนกลับมีเพียงหมอกรและชายฉกรรจ์ 1 คนเท่านั้น
"หมอ รู้ไหม ว่าคนที่หมอรักษาเป็นใคร" "ไม่ทราบ ครับ"
"นั่นแหละเสือเอิบ ล่ะ ลูกน้องเสือขินที่ตำรวจกำลังต้องการตัวอยู่"
"แล้วทำไม....." "ถูกตำรวจยิงน่ะซิ ตอนอยู่กลางทะเล แต่ลูกพี่แกอึดกระโดดลงทะเลหนีลอยคอเอาตัวรอดมาขึ้นเกาะจนได้ รอดตายดั่งปาฏิหารย์"
"แต่ หมอไม่ต้องกลัว เราต้องพึ่งหมออีกนาน" ดูมันพูดเป็นนัย กรนึกในใจ
"ยังไงพรุ่งนี้ พาแกมาทำแผลที่อนามัยด้วยน่ะครับ"
"หมอรู้ไหม ว่าทำไมคนบนเกาะถึงไม่แจ้งตำรวจหรือนำพวกมาจับ พวกเรา ก็เพราะพวกเราช่วยเหลือชาวบ้านนะซิ"
17 กรกฎาคม 2553 22:25 น.
พ.จินดา
ตอนที่ 7 ความรัก
.........กระดาษแผ่นน้อย ร่วงหลุดลงจากมือของครูอเมอรหรือครูอ้อยที่เด็กนักเรียนเรียกกัน พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลเคลียแก้มที่ขาวผ่องในวัยสาว 25 ปี
"เราเลิกกัน น่ะอ้อย ภาพถ่ายที่เพื่อนผมส่งมาให้มันฟ้อง ผมรับไม่ได้ที่อ้อยเป็นแบบนี้"
ประโยคนี้ต่างหากในจดหมายพร้อมภาพถ่ายที่แฟนหนุ่มส่งกลับมาให้ดู เป็นภาพที่เธอและครูราตรีนอนหนุนตักอยู่ในเรือหางยาวลำนั้น ที่ทำให้เธอต้องสะเทือนใจ ความรักที่เธอและเขาได้ฟูมฟักมาสมัยเรียนที่วิทยาลัยครูภูเก็ต ชั่วระยะเวลาเกือบ 5 ปี ต้องจบลงด้วยความที่ไม่เข้าใจ ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ด้วยเรื่องที่มาจากความเข้าใจในแง่ที่ไม่ดีของคนในสังคมที่มักมองเห็นหรือตีค่าราคาคนด้วยความคิดของตนเองเท่านั้น
"อ้อยจะไปภูเก็ต จะไปพบเขาพูดกับเขาให้เข้าใจ"
"ไม่มีประโยชน์หรอกอ้อย ถ้าเขาจะเข้าใจอย่างนั้น ปล่อยเขาไป ไอ้ผู้ชายที่เอาแต่ได้เห็นแก่ตัว ถ้ามันรักอ้อยจริงมันไม่ปล่อยให้อ้อยมาเผชิญชะตากรรมอยู่บนเกาะแห่งนี้ ยั่วเสือยั่วตะเข้พวกตังเกหรอก" ครูราตรีอ่านเนื้อความในกระดาษแผ่นนั้นพลางโอบไหล่ครูสาวเพื่อนรักเพื่อเป็นการปลอบใจ เธอทั้งสองเป็นครูสาวอยู่ 2 คน ที่ต้องพักร่วมชะตากรรมสอนบุตรหลานของคนชาวเกาะให้มีความรู้แต่เพียงลำพัง ครูใหญ่หรือครูแดงนั้นแทบไม่ได้อยู่ร่วมบนเกาะกับพวกเธอเลย ขึ้นฝั่งแต่ละครั้งก็รว่มเดือน
"ภาพนี้ วันนั้น เราไปฝั่งกัน อาศัยเรือของพี่ณรงค์ แล้วเธอเกิดเป็นลมชักขึ้นมา พวกเราบนเรือช่วยกันปฐมพยาบาลจนเธอฟื้น แต่ยังอ่อนเพลียอยู่เราก็เลยให้เธอนอนหนุนตัก โดยมีหมอกรนั่งกางร่มให้ อยู่กันหลายคน เอใครถ่ายภาพนี้น่ะ หรือว่า" ครูราตรีกล่าวพึมพำ ครูราตรีมีอายุมากกว่าครูอ้อยเกือบ 4 ปี มีความห้าวอยู่ในตัวทะมัดทะแมงเยี่ยงชาย เพราะเธอคิดว่าการที่ต้องลงมาใช้ชีวิตอยู่บนเกาะแห่งนี้ คนที่ฉลาดและแข็งแรงเท่านั้นที่จะเอาตัวรอดได้ยามเกิดภาวะคับขัน
"คงไม่น่า" ..."พี่ราตรีคิดว่าใครหรือ" ..."ไม่รู้ซิ ช่างเถอะใครจะคิดหรือมองอย่างไรก็ช่าง เรารู้ตัวเราดี ไม่ใช่หรือ"
ครูอ้อย มองหน้าครูราตรีด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักฉันพี่น้อง ยามลำบากเดือดร้อนเธอก็มีครูราตรีนี่แหละเป็นที่พึ่งไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ อีกคนอ่อนหวานอย่างกุลสตรีอีกคนแข็งแกร่ง ห้าวดุจบุรุษ แต่มีความเป็นเพศเดียวกันเมื่อต้องมาอยู่ร่วมชะตากรรมเดียวกัน ทำงานร่วมกัน พักที่เดียวกัน กินนอนด้วยกัน มันสมควรแล้วใช่ไหม คำว่าเพื่อนแท้ย่อมมีค่าแก่ตัวมันเมื่อยามทุกข์นี่เอง
ครูอ้อย มองกระดาษที่ร่วงลงสู่พื้นนั้น ด้วยสายตาที่เย็นชา พร้อมภาพถ่ายที่แฟนหนุ่มส่งมาให้ดูภาพที่เธอและครูราตรีประคองกันอยู่บนเรือ เธอมอบให้แก่เด็กนักเรียนชายคนหนึ่งที่อาสามาอยู่เป็นเพื่อนยามที่ครูราตรีไม่อยู่
"หนุ่ม ช่วยเอาไปทิ้งให้ครูด้วย" "ครับครู" เด็กนักเรียนรับคำ แต่ไม่กล้าถามอะไรต่อ ด้วยเห็นสีหน้าของครูอ้อยที่เคร่งขรึม ซึ่งปกติจะหัวเราะและดูอ่อนโยนเสมอกับพวกเขา
"เราลงไปชายทะเล กันดีกว่า อ้อย ตอนนี้ก็บ่าย 3 แล้ว ปล่อยเด็กกลับบ้านกันเถอะ"
แดดยามบ่ายยังร้อนอยู่แต่ไม่มากนัก ครูทั้งสองเดินลัดเลาะผ่านต้นกาหยูหรือต้นมะม่วงหิมพานต์ที่ชาวบ้านบนเกาะปลูกเป็นอาชีพ ซึงยามนี้ต่างทยอยออกลูกกันเป็นแถวอีกไม่นานก็ถึงฤดูเก็บ
"สวัสดีครับครู จะไปไหนกันหรือครับ" กรทัก เมื่อเห็นครูทั้งสองเดินผ่านสวนกาหยูหลังอนามัย มันเป็นสวนกาหยูที่เขาระดมชาวบ้านมาลงแรงช่วยกันปลูกเพื่อนำผลผลิตที่ได้มาพัฒนาสถานีอนามัย ซึ่งก็ได้ผลเพราะผลผลิตจากความคิดของเขาและความร่วมมือของชาวบ้านทำให้ได้เงินซื้อเครื่องปั่นไฟมาใช้ที่อนามัยเพื่อให้บริการผู้ป่วยในยามค่ำคืน
"น้อยกลับมาแล้ว หรือหมอ" ครูราตรีไม่ตอบ แต่ถามถึงลูกศิษย์
"ครับ แกอยู่บนบ้านพักครับ ครูมีธุระกับน้อยหรือปล่าว เดี๋ยวผมจะตามให้"
"เปล่าหรอก เออหมอ จำวันที่เราไปฝั่งแล้วอ้อยเป็นลมได้ไหม วันที่เราอาศัยเรือพี่ณรงค์ไปน่ะ"
ครูอ้อยเขย่าแขนครูราตรีเป็นการติง ไม่ให้พูดเรื่องนี้กับหมอ
"อ๋อ จำได้ ทำไมหรือครับ" จากนั้นครูราตรก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างแฟนหนุ่มกับครูอ้อยให้ฟัง
ทำไมหนอ ในสังคมทุกวันนี้คนเรามักทำลายค่าของความรักด้วยเพียงเห็นในสิ่งที่เห็นและคิดว่าใช่ในสิ่งที่ได้ยิน นั่นหรือ ทำไมไม่เอาค่าของกาลเวลาที่กว่าจะสร้างความรักความเข้าใจมาได้มาเป็นเครื่องถ่วงดุลถ่วงความคิดแบบมีเหตุผลก่อนที่ทุกอย่างจะจบด้วยการเจ็บของทุกฝ่ายละ
เสียงคลื่นทะเลที่กระทบฝั่งดังไม่ขาดสายอยู่ตลอดเวลา แม้บางครั้งทรายจะถูกเหยียบจนเป็นรอยน้ำทะเลก็ยังโอบจูบลูบไล้ทรายให้อยู่ในสภาพเดิมลบรอยเท้าบนพื้นทรายนั้นได้ แต่ใจคนถ้าถูกย่ำยี ถูกเหยียดหยามความรู้สึก อะไรล่ะที่จะมาลบล้างได้ ถ้าปราศจากความรัก
กรไม่พูดอะไร เพียงเดินมาจับบ่าทั้งสองข้างของครูอ้อย และมองด้วยสายตาที่ให้กำลังใจ และบอกผ่านสายตาไปยังครูอ้อยที่มองมาเช่นกันว่า
"ผมเองก็เช่นกัน เจ็บมาแล้วไม่ต่างอะไรกับครู"
13 กรกฎาคม 2553 09:29 น.
พ.จินดา
ตอนที่ 6 น้ำตาเทียน
.........ดึกแล้ว แสงดาวส่องประกายระยิยระยับพร่างพราวอยู่บนท้องฟ้า เหมือนหนึ่งถูกแต้มไว้ด้วยเกล็ดเพชรที่ล้ำค่า คละเคล้ากับเสียงลมที่พัดหอบเอาคลื่นน้ำทะเลพัดกระแทกฝั่ง ฟังดูเหมือนบางครั้งประหนึ่งโกรธใครมา เสียงดังครืนๆไม่ขาดตอน หากชีวิตคนเราหมุนเวียนเช่นดังเกลียวคลื่นไม่มีวันสิ้นสุด ก็คงจะดีไม่น้อย จริงสิน่ะ คลื่นทะเลมันไม่เคยลืมฝั่ง แม้อยู่ห่างไกลแค่ไหน คลื่นมันยังหวนกลับเข้าซบฝั่งที่เป็นหาดทรายสีขาวส่องประกายสว่างโพลงอยู่ท่มกลางความมืด ในยามนี้ แม้บางครั้งจะหอบทรายที่สกปรกดำด่างปานใดคลื่นน้ำทะเลก็จะโอบกอดชะล้างให้ทรายขาวใสดังเดิม ไม่มีวันทอดทิ้งหรือปล่อยให้ทรายดำด่างอยู่เช่นนั้น เสียงถอนหายใจออกจากกร หนุ่มหน้าใสร่างสูงโปร่งบาง ผิวขาว เคยมีคนชมว่าเขาหล่อไม่แพ้ดาราเกาหลีที่วัยรุ่นคลั่งไคล้ หลงไหล แต่ท่วานัยน์ตาแทนที่จะสุกใสส่องประกายน่ารักเฉกเช่นวัย 20 ต้นๆของเขา กลับดูหม่นเศร้าอย่างเห็นได้ชัด เคยมีคนถามว่าทำไมแววตาของเขาจึงดูเศร้า ชอบกล กรได้แต่ยิ้มบางๆเท่านั้น
กร ค่อยๆทรุดกายลงนั่งบนขอนไม้ใต้ต้นมะพร้าว ที่ทอดเงาทะมึนลงทับหาดทรายที่ส่องประกายขาวโพลนอยู่เบื้องหน้าท่ามกลางความมืดในยามวิกาล แต่กลับไม่มืดสนิท ทำไมหนอความรัก ความสมหวังจึงไม่จิรังเหมือนกับหาดทรายและทะเล มันคงเป็นธรรมชาติที่เลือกแต่งสรรมาให้กระมัง
ก่อนนี้กรมีความสุขในชีวิต มีเพื่อนสนิทที่สนิทกันมากจนเวลาที่ผ่านไปแสนนานเปลี่ยนแปลงความเป็นเพื่อนสนิทเป็นคนรักที่รักกันมาก จนคิดว่าจะใช้ชีวิตรักร่วมกัน มีบุตรที่น่ารักสัก 2 คน ใช้ชีวิตเหมือนชีวิตคู่ของคนทั่วไป แต่ความคิดความหวังกลับกลายเป็นแค่ความฝันจะเป็นความจริงไปไม่ได้ เพราะธรรมชาติสาปให้เขาต้องกลายเป็นคนที่เก็บตัว ใช้ชีวิตแบบโดดเดี่ยวเช่นนี้
"ทำไมถึงทำตัวเหินห่างกับเรา ล่ะ เจน" กรเคยถามเมื่อครั้งเรียนจบจาก นศ.แพทย์ใหม่ๆ (แพทย์ชนบท)
"ก็เราเบื่อกร กรคิดถึงแต่คนอื่น คิดถึงแต่งาน หายใจเข้าออกคนไข้ คนไข้ เราเบื่อ เราอยากมีคนรักคอยเอาใจดูแลเดินเคียงข้าง แต่กรไม่ นี่พอเรียนจบมากรก็จะขอย้ายลงทำงานในท้องที่กันดาร เราเบื่อ"
"ลาก่อน น่ะ ขอให้โชคดี" เป็นประโยคสุดท้าย ที่เธอบอกลาพร้อมชายหนุ่มนักธุรกิจคนรักใหม่ ก่อนที่เขาทั้งคู่จะใช้ชีวิตร่วมกันในเวลาไม่นานนักหลังจากบอกลากับกร
กรยังได้ไปในงานวิวาห์ของทั้งคู่เป็นงานที่ใหญ่โตหรูหราพอสมควร สมกับเป็นงานวิวาห์ของนักธุรกิจหนุ่มและแพทย์สาวสังคมไฮโซ ของขวัญวันแต่งงานที่กรนำมามอบให้ในงาน ยังจำได้เป็นภาพวันวานสมัยเป็น นศ.แพทย์ด้วยกัน เป็นรูปถ่ายหมู่
แต่ทุกอย่างนั้น ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว เหลือเพียงภาพแห่งความทรงจำที่เจ็บปวดและเป็นบทเรียน ที่กรต้องยอมแลก ยอมเสียเพื่อความสุขกับการได้มาทำงานในชุมชนที่กันดารแห่งนี้ บางครั้งกรคิด มันไม่ยุติธรรมเลย ที่คนเช่นเขาต้องเสียสละกับเรื่องส่วนตัวถึงเพียงนี้ ทำไมธรรมชาติจึงไม่ให้ทุกสิ่งแก่เขา ทำไมต้องให้เขาเลือกได้อย่าง เสียอย่างนั้นเล่า
......ดวงดาวยังคู่ท้องฟ้า แต่จริงสิน่ะ ยามเมื่อมีดวงจันทร์ส่องประกายสุกพราว ยามนั้นประกายของแสงจันทร์จะบดบังประกายสุกใสของดวงดาว แต่ยามมีประกายสุกใสของดวงดาวเช่นยามนี้เราจะไม่พบแสงเหลืองนวลสวยงามของดวงจันทร์เลย แต่เมื่อใดที่มีทั้งดวงจันทร์และดวงดาว เมื่อนั้นความสวยงามของทั้งสองสิ่งจะลดลงเพราะธรรมชาติไม่ยอมวร้างสิ่งที่ดีมาคู่กันเสมอ
.......ปูลมต่างวิ่งไล่ลงรูกันสับสนไปหมดเหมือนมันหยอกล้อกับชะตาชีวิตของกรหรือเพื่อต้องการให้กรเลิกคิดถึงสิ่งที่บั่นทอนจิตใจ ให้ดูปูอย่างมันเป็นตัวอย่าง บางครั้งพวกมันยังสับสนวิ่งลงผิดรูเลย ยามที่มีคนนำปิ๊บมาฝังล่อใส่อาหารลงไปข้างในปิ๊บนั้นเช่นกะปิ เพื่อให้มันไต่ลงไปแล้วออกไม่ได้จนกลายเป็นอาหารทอดกรอบอันโอชะนั้น มันก็ยังมีความสุขที่ได้เป็นปูลมวิ่งเล่นรับแสงดาวกับแสงเดือนอยู่บนชายหาดนี้ ความทุกข์นั้นคู่กับความสุขเสมอ อยู่ที่เราจะเลือกเอาสิ่งที่เป็นทุกข์หรือสิ่งที่เป็นสุขต่างหากนั้นเล่า แต่สำหรับปูลมตัวน้อยนี้ มันหยุดอยู่ที่ข้างตัวกร พลางกลอกนัยน์ตาสีดำที่โปนออกมาเหมือนจะบอกให้กรรู้ว่ามันเลือกเอาความสุข แม้ว่าอีกไม่นานปูลมตัวน้อยนี้ ซึ่งวิ่งเล่นไปมาอย่างมีความสุขอาจจะตกลงไปในปิ๊บและกลายเป็นอาหารที่ว่าไปในที่สุด
มนุษย์ที่ฉลาดเลือกครองตนบนสังคมนี้ได้ ด้วยการมองโลกให้เป็นสุขแล้วชีวิตเราจะเป็นสุขหากเลือกเอาสิ่งที่เป็นทุกข์ ชีวิตทั้งชีวิตเราก็จะมีแต่ความทุกข์
สุขกับทุกข์เป็นของคู่กัน อยู่ที่เราต่างหากว่าจะเลือกอยู่กับอะไร
เสียงลูกมะพร้าวแห้งหล่นตุบอยู่ห่างเบื้องหน้ากรไปไม่ไกล ตามแรงเหวี่ยงของขาชายหนุ่มที่เหวี่งเอาลูกมะพร้าวแห้งนั้นออกไป
..........คงจบสิ้นกันที กับความรักที่จอมปลอม ความรักที่หลอกลวง ความหลังที่ขมขื่น ให้สิ่งเหล่านี้ จงถูกลมที่พัดดึงเอาเกลียวคลื่นของทะเลที่กระทบฝั่งเมื่อครู่ ออกสู่กลางทะเลโพ้นและอย่าได้นำมันกลับมาอีกเลย ถ้าธรรมชาติต้องการให้เขามาอยู่ที่นี่ มาสร้างสิ่งเจริญ มารักษาชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน หากจะเป็นที่กันดารแห่งนี้หรือแห่งไหน เขาก็ยอมทั้งนั้น กร บอกกับตนเองว่า คนเราฝืนอะไรฝืนได้แต่ฝืนธรรมชาตฝืนโชคชะตาไม่ได้ ชะตาคนเราถูกกำหนดมา ถูกขีดเส้นมาตั้งแต่เกิดแล้ว....................
12 กรกฎาคม 2553 22:53 น.
พ.จินดา
ตอนที่ 5 ความลำบากก่อความสามัคคี
...........เช้าวันใหม่ของต้นเดือน ในวันนี้ ชาวบ้านต่างทยอยกันมายังศูนย์สภาตำบลที่ตั้งอยู่บริเวณชายทะเลห่างจากบ้านกำนันไม่มากนัก ที่เกาะแห่งนี้มีด้วยกัน 2 หมู่บ้าน คือหมู่บ้านหน้าเกาะ หมู่ที่ 1 และหมู่บ้านหลังเกาะ หมู่ที่ 2 จำนวนหลังคาเรือนรวมกัน 138 หลังคาเรือน ประชากรร่วม 1000 คน มีวัด 1 แห่ง พระ 1 รูป โรงเรียน 1 แห่ง มีครูประจำ 3 คน สถานีอนามัย 1 แห่ง มีหมอ 1 คน
.........ศูนย์สภาตำบล เป็นอาคารโล่งเทพื้นปูนหลังคากระเบื้อง รับลมทะเลทุกด้านจึงทำให้อากาศถ่ายเทได้ดีไม่ร้อน ทั้งที่ช่วงนี้ย่างเข้าสู่ฤดูร้อน ประธานในที่ประชุม หรือประธานสภาตำบลก็คือกำนัน เริ่มกล่าวเปิดการประชุมด้วยวาระด่วนเรื่องคนไข้ที่เสียชีวิตที่อนามัยเมื่อคืนที่ผ่านมา
"เขาว่า หมอไม่ดูแลคนไข้ ปล่อยให้คนไข้เสียชีวิต"
"เขาว่า หมอฉีดยาผิด ลูกเขาเลยตาย"
และอีกหลายประโยคที่พรั่งพรูออกมาจากปากของคนในที่ประชุม บางประโยคเหมือนมีดหรือเข็มที่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจในความรู้สึกของคนเป็นหมอผู้ที่มีหน้าที่รักษาชีวิตคนไข้ ไม่มีหมอคนไหนหรอกที่คิดฆ่าคนไข้ที่มาขอความช่วยเหลือหรือมาขอชีวิตขณะที่เขาบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย
"แล้วพวกคุณ คิดเช่นนั้นหรือครับ"
"พวกคุณคิดว่าผมทำเช่นนั้นหรือครับ ตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ผมทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตเพื่องาน เพื่อคนบนเกาะแห่งนี้ จนผมไม่เหลือใครแม้แต่คนที่เคยรัก"
หมอกรกล่าว ด้วยใบหน้าที่นิ่งเรียบ นำเสียงบ่งบอกถึงความน้อยใจ เขาเลือกที่กล่าวว่าคนที่เคยรักแทนคำว่าคนรัก
ครูแดง ครูใหญ่ของโรงเรียน ขยับแว่นตาที่หนา ก่อนจะเงยหน้ามองดูหมอกรพลางเอื้อมมือมาบีบมือหมอเพื่อเป็นการให้กำลังใจแก่กัน หัวอกของข้าราชการที่ต้องมาเผชิญกับสังคมบนเกาะที่เต็มไปด้วยผู้คนหลายกลุ่มหลายพวก จำเป็นที่ต้องรักเป็นห่วงช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะบนเกาะแห่งนี้หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดีจะไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจให้พึ่งได้ เพราะที่นี่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ความดีเท่านั้นจะคุ้มครองตนเอง
"เอาล่ะ พวกเราเข้าใจและเห็นใจหมอ ในสถานการณ์เช่นนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ" กำนันกล่าวอย่างให้กำลังใจหมอ
"เราจะทำอย่างไรดี" พระอาจารย์ ที่ชาวบ้านเรียกกล่าวขึ้น
"ชาวบ้านอยากให้ทำบุญอนามัย เพราะกลัวผี นังแก้วเมียไอ้ผัน มันไม่กล้าเดินลงชายทะเลผ่านอนามัย มันกลัว อุตส่าห์เดินอ้อมผ่านโรงเรียน"
ลุงชัยผู้ช่วยกำนันกล่าว เรียกเสียงหัวเราะจากที่ประชุมได้
"ก็ทำซิ อนามัยเราก่อสร้างมาด้วยบารมีของสมเด็จย่าในโครงการ พอ.สว.มาร่วม 5 ปี แล้วไม่เคยทำบุญซักที นี่แม่คนตายก็ร่วมทำบุณกับผม 500 บาท"
กำนันกล่าว แล้วขอความเห็นจาก กร "หมอกรมีความเห็นยังไง"
"เห็นด้วยครับ"
"แล้วครูแดง ล่ะ" "ก็ ครับเห็นด้วย" ครูแดงกล่าว เพราะถ้าดูตามอารมณ์ของชาวบ้านขณะนี้แล้ว อย่าขัดเชียว เป็นเรื่องแน่
"แล้วเมื่อไหร่ ละ อาตมามีรูปเดียวด้วย เดี๋ยวอาตมาขึ้นฝั่งแล้วจะลำบากนะ หาพระสวดไม่ได้ "
"ไม่ยากครับพระอาจารย์ ถ้าพระอาจารย์ไม่อยู่เราก็เอาพระพุทธรูปแทนแล้วเปิดเทปเอา เงินทำบุญก็ไม่ต้องจ่าย ประหยัดกว่ากันเยอะ"
ไอ้สันหนุ่มชาวเรือบนเกาะกล่าวอย่างคะนองเรียกเสียงฮาได้ดี ลั่นห้องประชุมทีเดียว
"เอ้า พอ พอ ไอ้สันก็พูดดีไป เดี๋ยวเถอะบาปจะกินหัวเอ็ง" กำนันปราม
หลังจากนั้นที่ประชุมก็ปรึกษาถึงข้อราชการอื่นที่กำนันไปรับนโยบายมาจากอำเภอ ใช้เวลาไม่นานนัก เกือบเที่ยงวันก็ปิดประชุม ต่างทยอยแยกย้ายกันกลับ
"หมอเป็นไงบ้าง หมู่นี้ไม่ค่อยได้เจอกัน ผมต้องขึ้นประชุมอยู่บ่อย"
ครูแดงเอ่ยขึ้นขณะที่เดินคู่กับหมอกร ริมชายทะเล
"ดีครับ ผมเองก็ไม่เครียดอะไร ในเมื่อตัดสินใจมาทำงานอยู่ที่นี่แล้ว อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด"
"หมอคิดได้เช่นนี้ผมก็เบาใจ"
"มีอะไรหรือครับ ครู" กรถาม เพราะจับน้ำเสียงของครูที่ดูแปลกๆ
"อ๋อ เปล่าครับ ที่ถามเพราะไม่เคยมีหมอคนไหน อยากจะมาอยู่ที่นี่ เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นทุกคนก็จะอ้างเหตุผลขอย้ายตัวเองขึ้นฝั่งทันที ยากนะครับหมอที่จะมีใครสักคนที่ตั้งใจมาทำงานเพื่อคนที่นี่จริงๆ"
"ครับ ครูไม่มีจริงๆ นอกจากคนที่โดดเดี่ยว เช่นผม" กรพูด ครูแดงมองหน้าด้วยความสงสัย ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกกันกลับบ้านพัก
.........บนอนามัย หมอกรนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้า ลมทะเลพัดกรรโชกผ่านเข้าออกในตัวอาคาร เป็นระยะระยะ สายตาของหมอหนุ่ม เพ่งมองไปที่เตียงพยาบาลที่วางตั้งอยู่ใกล้กันกับโต๊ะทำงาน
ภาพของคนไข้ คนนั้นปรากฏขึ้นในมโนภาพ จริงหรือที่เขาเป็นต้นเหตุทำให้คนไข้รายนี้ตาย ไม่ใช่ซิ เขาช่วยจนถึงนาทีสุดท้ายนี่นา ทำไมหลายคนจึงคิดเช่นนั้น
ตอนที่ 6 น้ำตาเทียน
11 กรกฎาคม 2553 22:09 น.
พ.จินดา
ตอนที่ 4 ความรักของแม่
...........ตอนสาย กลางทะเลที่เพ่งสุดสายตาออกไป มองเห็นเป็นจุดเล็กของเรือลำหนึ่งที่พยายามแล่นฝ่าเปลวแดดของยามสาย บ่ายหน้าเข้าหาฝั่งเกาะสวรรค์
กร หวลนึกถึงวันวานที่เขานั่งเรือกลับจากฝั่งในเมือง ดูเหมือนมันแล่นมาอย่างเชื่องช้าเหมือนเรือนำมันใกล้หมด อาจเป็นอุปาทานที่จิตใจว้าวุ่น หม่นหมองจากการบอกลาของคนรัก แต่เหตุการณ์ที่เห็นเบื้องหน้า กรแน่ใจว่า จิตใจความผูกพันของผู้เป็นแม่ คงเคลื่อนขับมาพร้อมกับเครื่องยนต์เพื่อให้เรือลำนั้น รีบแล่นถึงที่หมายเพื่อให้เห็นลูกอันเป็นที่รักอย่างแน่นอน
คิดแล้ว กรก็ส่ายหน้า เดินกอดคอเจ้าน้อย บอกลากำนัน กลับอนามัย ก่อนกลับบอกกำนันว่า "ช่วยนำแม่ของเขามาอนามัย ด้วยน่ะครับ ผมจะไปรอที่อนามัย"
"ครับ หมอ"
ความรีบร้อน กระหืดกระหอบ ระยะทางประมาณ 500 เมตร จากชายทะเลถึงอนามัย ไม่ทำให้ผู้เป็นแม่เหนื่อยอ่อน หากแต่เมื่อพบลูกอยู่ในสภาพที่ร่างไร้วิญญาน นอนแข็ง ตัวซีดไม่ไหวติง ใต้ผืนผ้าห่มสีเทา บนเตียงพยาบาล ร่างที่นอนไม่แสดงอาการดีใจ ไม่โผลุกมากอดแม่ เหมือนกับที่กล่าวไว้ก่อนหน้านั้น แต่ร่างของผู้เป็นแม่กลับยืนนิ่ง ไม่มีเสียงใดๆรอดออกจากปาก มีเพียงนำใสๆที่ไหลออกจากนัยน์ตาทั้งสองข้าง เป็นทางยาวอาบสองแก้มหล่อน
ด้วยวัยเพียง 40 ดูอ่อนล้า โรยลาอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อสิ่งที่เป็นอันสุดที่รักดั่งดวงตาดวงใจได้ถูกกระชากไปจากอ้อมอก ย่อมมีสภาพไม่ต่างจากหญิงผู้นี้ "เอก แม่มารับลูกกลับบ้าน น่ะ"
"ลูกไปวัดถำกระบอก กลับมาเมื่อไหร่ทำไมไม่มานอนที่บ้านเรา มานอนที่นี่ทำไม"
"แม่รักลูกนะ ตื่นเถอะลูกเอก"
อีกหลายประโยค ไหลพรั่งพรูออกมา หลังจากที่หล่อนยืนนิ่งไปนาน
ทุกคนในที่นั้นดูเงียบและสะเทือนใจต่อภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ภาพที่แม่ยืนโอบกอดลูกชายแนบอก พลางสะอื้นรำไห้ ปริ่มใจแทบขาด
ลมเย็นพัดกรรโชกเข้ามาในอนามัยเหมือนจะรับรู้อะไรบางอย่าง ลมเย็นนั้นปะทะใบหน้าของผู้เป็นแม่ เส้นผมที่ยาวประบ่าปลิวไสวตามแรงลม ปะทะกับนำตาบนข้างแก้มหล่อน
"กลับบ้านเราเถอะ" หล่อนกล่าวพร้อมมองหน้ากร เหมือนจะบอก แต่กรเข้าใจรีบบอกให้ชาวบ้านช่วยหามร่างอันไร้วิญญานนั้นลงสู่เรือที่จอดรอริมชายฝั่ง
ตะวันคล้อยบ่ายลงมากแล้ว แต่กรก็ยังคงนั่งทำงานต่อที่อนามัย แม้คนไข้ในวันนี้จะน้อยเพราะต่างก็หวาดกลัว ไม่กล้ามาที่อนามัยกลัวจะกลายเป้นผีเฝ้าอนามัยตามความเชื่อถือเก่าๆ ที่ว่าผีจะมาหักคอเอาคนใหม่แล้วผีเก่าจะได้ไปเกิด
ส่วนเจ้าน้อย นั้นไม่ต้องพูดถึง หมออยู่ที่ไหนเจ้าน้อยก็อยู่ที่นั่น มันไม่กลัว กลัวอย่างเดียวคือไม่มีหมอกร
"น้อย เหนื่อยไหม"
"ไม่ครับ อาหมอ"
"น้อย รักแม่คิดถึงแม่ไหม"
น้อยมองหน้า กร ก่อนกล่าว
"หากเป็นน้อย แม่จะรักน้อยแบบแม่คนนั้นไหม อาหมอ"
"รักซิ แม่ทุกคนรักลูกเสมอ แต่ลูกซิจะรักแม่หรือเปล่า ลูกทุกคนแม่เลี้ยงได้ แต่แม่คนเดียวน้อยคนที่ลูกจะเลี้ยง "
ตอนที่ 5 ความลำบากก่อสามัคคี