3 สิงหาคม 2553 19:20 น.
พ.จินดา
......ตอนที่ 14 อนามัยกาหยู
.........ใกล้ฤดูลมว่าวแล้ว ต้นกาหยูหรือมะม่วงหิมพานต์เริ่มผลิดอกออกผล หมอกรนั่งรับลมยามบ่ายใต้ต้นกาหยูต้นหนึ่งหลังสถานีอนามัยข้างบ้านพักกับน้อย ที่ตอนนี้เริ่มเข้าวัยหนุ่ม เสียงเริ่มแตกฟังดูเพราะไปอีกแบบ ต้นกาหยูมันใหญ่พอประมาณแตกกิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาไม่น้อย เนื้อที่รอบสถานีอนามัยจำนวน 12 ไร่ หมอกรได้อาศัยแรงชาวบ้านและอาสาสมัครสาธารณสุข มาช่วยกันถากถางป่าที่รกทึบเป็นแหล่งปฏิกูลของบรรดาชาวเรือที่วิ่งกันมาปลดทุกข์จนส่งกลิ่นเหม็นน่ารำคาญไม่มีประโยชน์ ให้กลายเป็นสวนมะม่วงหิมพานต์ เพื่อให้ความร่มรื่น อีกทั้งอาศัยผลิตผลที่เป็นรายได้มาพัฒนาสถานีอนามัย
"อาหมอ ครับ อีกไม่นานเราจะได้กินเม็ดกาหยูคั่วกันอีกแล้ว น่ะ"เจ้าน้อยเอ่ย
"ชอบซิเรา" "ครับ อาหมอก็คงชอบ น้อยจะคั่วเก็บไว้ให้มากๆ"
หมอกรเขย่าศรีษะเจ้าน้อยเบาๆ พลางหัวเราะชอบใจ
ใช่อย่างเจ้าน้อยพูด อีกไม่นานชาวบ้านเกือบทุกหลังคาเรือนบนเกาะแห่งนี้ ก็คงจะง่วนอยู่กับการเก็บเม็ดกาหยู บางสวนเก็บไม่ทันเพราะปลูกมากต้องจ้างลูกจ้างมาจากที่อื่น จึงทำให้ช่วงฤดูที่ว่ามีจำนวนผู้คนมากมาย การค้าขายบนเกาะก็คึกคักและคนไข้ก็มากกว่าปกติ
.......ช่วงที่เขาย้ายมาประจำที่สถานีอนามัยแห่งนี้ใหม่ๆ ตัวอาคารดูทรุดโทรามตามกาลเวลา วัสดุอุปกรณ์มีเท่าที่งบประมาณจะมีให้ ลำพังเงินบำรุงของสถานีอนามัยนี้นก็น้อยเต็มที เพราะส่วนใหญ่ชาวบ้านซื้อบัตรสุขภาพและอีกส่วนหนึ่งก็ใช้บริการของแพทย์ พอ.สว.ความคิดส่วนหนึ่งของหมอกร มาจากที่เขามองเห็นชาวบ้านส่วนใหญ่เมื่อถึงฤดูลมว่าว ลมทะเลจะแรง คลื่นใหญ่ การออกหาปลาของชาวเรือบนเกาะไม่สะดวกมีรายได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นชาวบ้านจึงหันมาทำสวนมะม่วงหิมพานต์เนื่องจากอากาศแถบนี้เหมาะกับการปลูกต้นไม้ผลชนิดนี้และสามารถทำรายได้ให้มากพอสมควร หมอกรเห็นว่าสถานีอนามัยยังมีเนื้อที่ที่ว่างเปล่าเหลืออยู่อีก 12 ไร่ ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร จึงขอปรึกษากับกำนันและอาสาสมัครสาธารณสุข เพื่อปลูกต้นมะม่วงหิมพานต์เช่นกัน เพื่อที่จะมีรายได้นำมาพัฒนาสถานีอนามัย โดยที่เขาไม่ขอเข้าไปยุ่งก้าวก่ายกับรายได้ที่ว่านั่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการหมู่บ้าน เป็นการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ในภายหน้า
.....มาถึงวันนี้ ร่วม 10 ปีแล้ว ที่สวนกาหยูของสถานีอนามัยอันเป็นผลผลิตมาจากความคิดของเขาและความร่วมมือพร้อมเพรียงของชาวบ้าน ได้เติบโตและให้ผลผลิตที่มีรายได้พอสมควร เขามองดูอาคารด้านหลังที่ต่อเติมขยายออกมาเพื่อไว้สำหรับเป็นเรือนนอนของผู้ป่วยที่จำเป็นต้องนอนรักษาหรือดูอาการ ซึ่งแต่ก่อนนั้น เป็นเพียงอาคารเล็กๆทั่วไป ที่ไม่มีอาคารและเตียงพักฟื้น พร้อมทาสีฟ้าใหม่
ทั้งหมดที่เขาเห็นจากภายนอกล้วนเป็นรายได้จากเม็ดกาหยูทั้งสิ้น จากความเปลี่ยนแปลงที่น้อยนิดทำความพอใจและดีใจให้แก่ชาวบ้านมากมาย
.......คณะเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัดเคยลงมานิเทศงาน ต่างพอใจพูดดีตามแต่ที่ทุกคนจะสรรหามา หมอกรได้เพียงแต่ฟังเพื่อให้ผ่านไปอย่างธรรมดา ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนหรอกที่อยากจะมารับใช้ประชาชนในพื้นที่อย่างนี้ด้วยความเต็มใจ
ทุกคนเพียงพูดเพื่อให้กำลังใจเขาก็เท่านั้น
.......เสียงเจ้าน้อย กำลังเคาะกาละมังขชนาดย่อมที่ก้นด้านล่างเจาะรูไว้ สำหรับให้ยางของเม็ดกาหยู ร่วงไหลออกมาขณะที่คั่ว กลิ่นไอของมันหอมยั่วยวนใจ เป็นกลิ่นของเปลือกเมล็ดผลไม้ที่ถูกเผาไหม้ รสชาติยามขบเคี้ยวกรอบมัน ชวนให้น่ารับประทานอย่างหลงไหล หมอกรแอบกลืนน้ำลายเมื่อคิดถึงมัน ขณะที่นั่งมองดูเจ้าน้อยเตรียมเครื่องมือสำหรับคั่วเม็ดกาหยูอย่างขบขัน
.....เหมือนเจ้าน้อยจะรับรู้ได้ ในเวลาอีกไม่นานวัน เราสองคนคงได้ลิ้มรสอันหอมหวานและมัน จากเจ้าผลไม้ที่ถูกเรียกขานกันว่า เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เม็ดกาหยู เล็ดล่อ หัวครก ยาร่วง คำว่ายาร่วง วันแรกที่หมอกรมาทำงานเขาก้มหาแทบทั้งวัน เพื่อหามัน
3 สิงหาคม 2553 18:27 น.
พ.จินดา
......ตอนที่ 13 หล่อนชื่อสุรีย์
........สายฝนยังคงโปรยปรายเป็นม่านละอองไม่ขาดสายของตอนเช้า เข้าสู่วันที่ 3 แล้ว เสียงน้ำที่หลั่งไหลผ่านลำคลอง ที่ไหลผ่านหน้ากระท่อมไม้ไผ่มุงด้วยหญ้าคาของหญิงหม้ายวัยกลางคนที่ชื่อสุรีย์ ฟังดูเชี่ยวกรากมาจากต้นน้ำที่ภูเขาด้านท้ายเกาะ ท้องฟ้ายังคงดูมืดครื้มไปด้วยเมฆฝนสีเทาดำที่แผ่ปกคลุมไปทั่ว กบและเขียดต่างส่งเสียงร้องระงมขานรับเป็นช่วงๆไปทั่วท้องทุ่งเหมือนจะดีใจที่มันได้รับความชุ่มชื่นของฤดูฝน
.....แต่สุรีย์ เธอไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งรอบข้างมากนัก ร่างที่นั่งหลังพิงฝานั้นดูนิ่งเฉย แววตาที่มองฝ่าสายฝนที่อยู่เบื้องนอก ดูเลื่อนลอยเหมือนตกอยู่ในภวังค์แห่งความครุ่นคิด เส้นผมที่ดูค่อนข้างยุ่งเหยิงหล่นปรกหน้าหล่อน ยิ่งทำให้ดูแก่เกินวัยยิ่งขึ้น คำบอกเล่าของเพื่อนบ้านที่รับฝากจากบุตรสาวเพียงคนเดียวที่หล่อนมีอยู่นั่นเองที่ทำให้หญิงหม้ายสุรีย์ ต้องมานั่งครุ่นคิดอยู่นอกชานบ้านเพียงคนเดียว "น้ำ มันฝากมาบอกว่าให้เธอรีบส่งเงินไปให้มัน 3,000 บาท เร็วๆด้วย"
น้ำบุตรสาว เธอเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมาตามลำพังตั้งแต่สามีผู้เป็นพ่อของน้ำได้เสียชีวิตลงด้วยโรคไข้มาเลเรีย ขณะนั้นน้ำมีอายุได้ 5 ขวบ จากวันนั้นมาเธอเฝ้าเลี้ยงดูส่งเสียให้ลูกได้เรียนหนังสือจนจบระดับชั้นประถมที่โรงเรียนบนเกาะแห่งนี้ "น้ำเป็นเด็กที่เรียนดี มีความขยัน หากได้เรียนหนังสือต่อ อนาคตของเด็กคงจะดี" ครูคนหนึ่งที่เคยสอนบุตรสาว บอกกับสุรีย์ วันที่ลูกเรียนจบ
......เกือบ 2 ปีแล้ว ที่เธอพยายามทำงานทุกอย่างที่ให้มีรายได้มาเลี้ยงชีวิตทั้งเธอและลูกที่สำคัญรายได้นั้นต้องมากพอที่จะส่งให้ลูกเธอเรียนจบตามที่ลูกต้องการ ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็ตาม ก่อนนั้น น้ำใช้เงินไม่มากนัก น้ำยังพูดกับเธอผู้เป็นแม่เลยว่า สงสารแม่ไม่อยากให้แม่ต้องลำบาก เธอพยายามใช้จ่ายอย่างประหยัด แต่มาไม่นานนี่เอง รายจ่ายของน้ำมากขึ้นจนเธออดตกใจไม่ได้ว่า หากค่าใช้จ่ายมากมายเช่นนี้ต่อไปข้างหน้าไม่รู้เธอจะมีปัญญาหาเงินส่งให้น้ำเรียนจนจบหรือเปล่า "ทำไมหมู่นี้ ลูกใช้จ่ายมากจัง" สุรีย์เคยถามลูก
"ก็น้ำเรียนไม่เหมือนแม่นี่ สมัยแม่ เรียนที่วัด กินข้าววัด สมุดหนังสือเครื่องเรียนก็ไม่ต้องซื้อเขาแจก แต่น้ำไม่ใช่ ต้องใช้จ่ายทุกอย่าง" จากนั้นมาเธอไม่เคยถามลูกอีกเลย ครั้งหนึ่งช่วงโรงเรียนปิดเทอม สุรีย์เคยเอ่ยถามถึงลูกสาวกับต้นเพื่อนชายของลูกที่กลับมาเยี่ยมบ้านเพราะไม่เห็นน้ำกลับมา สุรีย์แอบปรายตาเห็นแม่ของเขาสะกิดที่ต้นแขนของต้น "ไม่ทราบครับ" ต้นตอบ เธอเองเริ่มคิดมากนับจากวันนั้น.....
.......เช้าของวันใหม่ ท้องฟ้าที่เคยปกคลุมไปด้วยเมฆฝนเริ่มจาง ฝนเริ่มซาและตกทิ้งช่วง สุรีย์คว้ากระเป๋าผ้าใบย่อมพาดบ่าเดินออกจากบ้านหลังใหญ่ของเจ๊วิ ที่ปลูกสร้างตระหง่านอวดความมั่งคั่งอยู่ริมชายหาด มุ่งหน้าสู่ท่าเรือที่มีเรือหางยาวลำไม่ใหญ่นักบรรทุกปิ๊บกะปิเต็มลำเรือจอดติดเครื่องรออยู่ เตรียมตัวทะยานออกจากเกาะบ่ายหน้าเข้าสู่ฝั่งในเมือง
.......บ่ายมากแล้ว แดดส่องรำไร ร่างของสุรีย์ยืนนิ่ง ตะลึงต่อภาพที่เห็น เมื่อน้ำเปิดประตูห้องพักออกมาทันที่ที่ได้ยินเสียงเคาะประตู น้ำเธออยู่ในชุดที่เกือบเปลือย ส่วนบนเตียงนอนที่อยู่ด้านในมีร่างของเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับน้ำนอนหลับท่อนบนเปลือยเปล่า พื้นห้องเกลื่อนไปด้วยก้นบุหรี่และกระป๋องเบียร์ น้ำตกใจเธอผลักร่างของสุรีย์เต็มแรงจนเกือบเซ "ใครใช้ให้แกมา ไอ้บ้าเอ้ย เขาบอกให้ส่งเงินมาอย่างเดียว ตัวน่ะไม่ต้องมา ไปออกไปให้พ้น" สิ้นเสียงกล่าวด้วยโทสะของเด็กสาว ประตูห้องก็ถูกปิดดังโครม
......ทันทีที่ทราบข่าว หมอกรและกำนัน ต่างพากันวิ่งขึ้นมาบนสถานีตำรวจภูธรตำบลปากน้ำ พร้อมซักถามเรื่องราวจากร้อยเวร ทราบว่าสุรีย์เธอถูกจับกุมในข้อหาแอบลักลอบขนส่งกัญชาอัดแท่งที่ซุกซ่อนมาในปิ๊บที่บรรจุกะปิ เธอถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในช่วงเย็นขณะที่กำลังเดินโซซัดโซเซอยู่ริมถนนหน้าหอพัก ตำรวจบอกว่าเธอไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ซักถามพูดคุยอะไรไม่ได้ เหมือนคนเหม่อลอยไม่ได้สติ จึงนำตัวมากักขังก่อน
"สุรีย์ มีญาติมาเยี่ยม" สิบเวรร้องบอก
....ร่างที่อยู่ภายในลูกกรงเหล็กนั้น นั่งพิงฝาไม่ไหวติง ไม่ยินดียินร้ายกับบุคคลที่มาเยี่ยม แววตานั้นแห้งผากไม่มีแม้แต่รอยคราบน้ำตา เธอหันมาสบตากับหมอกรและกำนัน "สุรีย์ ไม่ต้องห่วงน่ะ ฉันกับกำนันจะหาทางช่วยเธอเอง"เหมือนเธอจะยิ้ม แสงแดดสีส้มอ่อนทอแสงลอดผ่านเข้ามาอาบใบหน้าของหล่อนทำให้เห็นสีหน้านั้นสงบนิ่ง ชั่วอึดใจร่างของหญิงหม้ายที่นั่งพิงฝาค่อยๆทรุดลงนอนทาบกับพื้นห้อง ไม่ไหวติง ดวงตาค่อยๆปิดลงอย่างเชื่องช้า มือข้างซ้ายที่กำแน่นเมื่อครู่แบออกเผยให้เห็นธนบัตรใบละ 1,000 บาท จำนวน 3 ใบ ร่วงหล่นออกมา
หมอกรและกำนันมองหน้ากันเหมือนกับจะนัด ทันทีที่เห็นและรู้สึกได้
"นักโทษ สิ้นใจแล้วครับ ช่วยกันหน่อย"
.......เปลวเพลิงและควันไฟที่พวยพุ่งสู่ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นควันดำนั้น ถูกพัดโหมด้วยลมแรง เหมือนว่าร่างที่ถูกเผามอดไหม้จะรับรู้อะไรบางอย่าง หากกลุ่มควันที่พวยพุ่งเป็นดวงวิญญานของสุรีย์ เธอคงจะดีใจและขอบใจเพื่อนบ้าน หมอกรและกำนันที่ทุกคนมีน้ำใจกับเธอเสมอมาแม้เขาทุกคนเหล่านั้น จะสงสัยหรือรู้ ว่าอาชีพของเธอทำอะไรจึงมีรายได้มาส่งให้ลูกได้เรียนหนังสือและใช้จ่ายมากมายขนาดนี้ทั้งๆที่เธอไม่มีทรัพย์สินเงินทองหรือเรือกสวนไร่นาเหมือนกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ แต่ทุกคนก็ไม่พูดหรือรังเกียจทำร้ายเธอ กลับสงสารและช่วยเหลือเกื้อกูลเธอมาโดยตลอดจวบจนวันสุดท้ายที่เธอสิ้นลม
.......บัวขนาดเขื่องสีขาวลายเส้นขอบแดงที่ภายในบรรจุกระดูกของหญิงหม้ายสุรีย์ ได้วางอยู่ใกล้ๆกับกระท่อมไม้ไผ่หลังคามุงจาก ที่ตั้งอยู่ริมคลอง ซึ่งครั้งหนึ่งได้เป็นวิมานรักของครอบครัว 2 แม่ลูกที่ต่างก็กำพร้าสามีและบิดา ต่างใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข แต่วันนี้ถึงแม้ว่าความสุขและภาพของการใช้ชีวิตร่วมกันของ 2 แม่ลูก จะเหลือเป็นเพียงเงาแห่งความทรงจำของเพื่อนบ้านผู้พบเห็นก็ตาม
ลมฝนเริ่มพัดผ่านมาอีกครั้ง ลูบไล้ผิวกายหมอกรให้เย็นยะเยือก ท้องฟ้ามืดหม่นด้วยเมฆฝนอีกครา เหมือนจะมีบอกอะไรบางอย่างกับหมอกร
"ไม่ต้องห่วงน่ะ สุรีย์ หลับให้สบาย ผมจะนำลูกน้ำของสุรีย์กลับมาหาแม่ของเธอให้ได้ ผมขอสัญญา"
28 กรกฎาคม 2553 22:13 น.
พ.จินดา
.....ตอนที่ 12 งานวัด
...กลางลานวัดเต็มไปด้วยริ้วธงหลากสีที่ชาวบ้านนำมาขึงพาดอยู่ด้านบนล้อมไปมาเป็นกรอบสี่เหลี่ยม ตามยอดไม้ติดตั้งดอกลำโพงเพื่อกระจายเสียง ตรงกลางลานคณะกรรมการจัดงานจัดทำซุ้มสอยดาว มีของรางวัลตั้งเรียงรายอยู่หลายอย่างจากชิ้นเล็กไปถึงชิ้นใหญ่ เรียกให้ผู้ชอบแสวงโชคจ้องกันเพื่อมาสอยดาวเอารางวัลในคืนนี้ ห่างออกไปริมบริเวณงานมีจอหนังจอใหญ่ตั้งตระหง่าน พร้อมลำโพงยักษ์ด้านข้าง รอบจอประดับไปด้วยหลอดไฟสีที่วิ่งรอบจอเป็นราวเพื่อความสวยงาม เครื่องฉายหนังเตรียมติดตั้งม้วนฟิล์มสำหรับให้ความสำราญ
ห่างไปหน่อยมีเวทีมโนราห์และโรงลิเกอยู่ใกล้กัน มหรสพนับว่าขนาดนี้ก็เป็นงานวัดที่ใหญ่พอสมควรสำหรับคนบ้านนอกในชนบท
"นานที เราจะมีงานวัดกันสักครั้ง" กำนันกล่าวหลังจากลงมาจากศาลาวัด ปล่อยให้หลวงพ่อนั่งรับแขกในเมืองตามลำพัง
"ครับ เอแล้วใครกันละครับที่เหมาเรือลำใหญ่สวยงาม มาหาหลวงพ่อ"
กำนันมองไปบนศาลา ก่อนที่จะตอบหมอกร " อ๋อ ก็พวกเถ้าแก่ในเมืองนั่นแหละ คงมาขอหวยขอเลขเด็ดอีกตามเคย"
"ท่านคงใบ้หวยแม่นซิท่า" กำนันขยับผ้าขาวม้าที่รัดรอบเอวก่อนหัวเราะ
"คงแม่นล่ะ งวดที่แล้วบังเอิญท่านเอ่ยวันที่ที่จะมีงานที่วัด ก็งานวันนี้นี่แหละ พวกที่มาก็พากันเอาไปซื้อหวย พับผ่าดวงท่านปากพระร่วง หวยงวดนั้นดันไปออกตรงกับเลขที่ท่านพูด ทีนี้ล่ะท่าเรือของเราจึงมีเรือรับส่งแขกแปลกหน้ากันแทบทุกวัน"
หมอกรนึกถึงยายมาคนหนึ่งที่เขาเคยรู้จัก แกชอบขอหวยจากพระเพื่อนำไปเสี่ยงโชคอยู่เป็นประจำ นั่นยายมาเป็นคนจนหาเช้ากินค่ำ รายได้ก็ชักหน้าไม่ถึงหลัง อดมื้อกินมื้อ เขายังเคยให้อยู่อาศัยที่สถานีอนามัยอยู่พักหนึ่ง จนแกได้สามีใหม่จึงหอบหิ้วกันไปอยู่ที่อื่น ธรรมดาของคนเช่นยายมาต้องรอวาสนารอเสี่ยงดวง แต่นี่คนมีอันจะกิน มีฐานะดีกว่ายายมาก็ยังมีความต้องการเช่นเดียวกัน คนไทยมักมีชีวิตอยู่คู่กับการพนันหรือการเสี่ยงดวง ไม่ว่าจะจนหรือรวย มีครั้งหนึ่งเมื่อเข้าพรรษา ยายมาเคยบอกเขาว่าจะหยุดกินเหล้าและก็หยุดได้จริงๆ หยุดไปได้ประมาณเกือบเดือน ยายมาดีใจก็บอกหมอกรว่า "เห็นไหมหมอ ว่าฉันหยุดกินเหล้าได้แล้ว และจะหยุดให้ได้จนถึงวันออกพรรษา มาหมอมา มากินเหล้าแสดงความสำเร็จในการอดเหล้าของฉันหน่อย" นั่นปะไร เขายกมือเกาศรีษะก่อนจะยิ้มส่ายหน้าแล้วเดินจากยายมาไป ปล่อยให้แกยืนงง ว่าแกพูดอะไรผิด
จริงอย่างกำนันว่า หลังจากที่มีข่าวลือว่าพระที่วัดบอกหวยแม่น นับจากวันนั้นผู้คนก็มาทำบุญที่วัดกันมากมาย จนวัดมีเงินสะพัด ชาวบ้านบนเกาะก็พลอยเปลี่ยนอาชีพจากการทำประมงมาเป็นพ่อค้า แม่ขายชั่วคราว ช่วงนั้นเงินสะพัดไปทั้งเกาะ และชื่อเสียงเลื่องลือก็ดังกระฉ่อน เจ้าอาวาสหรือหลวงพี่ท่านเคยเปรยว่าหมู่นี้แทบไม่ค่อยได้จำวัดเพราะกลัวจะหลับแล้วเสียงหายใจเข้าออกจะดังจนผู้คนได้ยินจะนำไปตีเป็นเลขเด็ดได้ แต่หมอกรกระเซ้าท่านว่า
"คงไม่ใช่มั้ง ที่ไม่อยากจำวัด เพราะคอยระวังตัว คอยดูว่างวดไหนที่หวยไม่ออกตรงกับเลขที่ผู้คนเอาไปซื้อ แล้วจะโดนคนเหล่านั้นตามทวงแค้น" เท่านั้นทั้งพระ ทั้งกำนันก็ฮากันสนุก
....นี่แหละชีวิตความเป็นอยู่ของคนบ้านนอกหรือคนชนบท มักจะใกล้ชิดกับพระกับเจ้า ไปมาหาสู่ทำบุญเข้าวัดเข้าวาเป็นประจำ โดยแท้จริงแล้วคนที่นี่ไม่ได้คิดที่จะทำบุญเพื่อหวังสิ่งแลกเปลี่ยนหรือสิ่งตอบแทนอื่นจากวัดเลย เขาทำบุญด้วยความเต็มใจ ตามประเพณีที่มีมาแต่ดั้งเดิม ซึ่งไม่เหมือนกับคนบางคน บางกลุ่ม ที่ทำบุญเพื่อหวังสิ่งตอบแทนหรือโชคลาภ เช่นหวังของขลัง ของปลุกเสก หวังเลขเด็ด เป็นต้น การทำบุญไม่ใช่ธุรกิจ หรือธุรกรรมการเงิน แต่เป็นธุรกรรมใจ มากกว่า
......ตะวันคล้อยลงมากแล้ว ต้นมะพร้าวสลับกับต้นสน ที่ทอดยาวเป็นทิวแถวขนานไปกับชายหาดหน้าวัด ทำให้บริเวณลานงาน ร่มรื่นและทอดเป็นเงายาวทับลานงาน ทำให้ดูมืดลง แสงสว่างจากหลอดไฟเริ่มสว่างขึ้น เสียงเพลงจากเครื่องขยายดังสลับกับเสียงโฆษกที่เชื้อเชิญผู้คนให้รีบเข้ามาหาความสนุกสนานในงานคืนนี้
.......เสียงปี่ตะโพน เสียงมโหรี ดังแข่งกันจนฟังไม่ออกแต่ก็เพราะไปอีกแบบ หนุ่มสาว เด็ก คนชราที่หอบหิ้วกันมาบ้างก็ปูเสื่อ บ้างก็เตรียมกระดาษหนังสือพิมพ์ เพื่อมาปูนั่งบ้าง นอนบ้าง เพื่อชมมหรสพที่ตัวเองชอบ เสียงกลางลานดังครึกครื้นโห่ฮาเพราะผู้คนกำลังสนุกกับการสอยดาว ข้างๆกัน หมอกรนั่งมองยิ้มอย่างมีความสุขกับการได้เห็นและเที่ยวงานวัดคืนนี้ แต่เขาไม่ได้มาเที่ยวตัวเปล่าถือว่าได้บุญช่วยงานวัดด้วย เพราะในมือนั้นมีไฟฉาย หูฟังสำหรับตรวจโรค ที่สำคัญบนไหล่ของชายหนุ่มวัย 20 กว่าๆแบกหิ้วกระเป๋ารูปทรงสี่เหลี่ยมสีดำอยู่ตลอดเวลา เจ้าน้อยผู้คอยติดสอยห้อยตามเมื่อเห็นหมอกรคว้ากระเป๋าใบนี้เมื่อไหร่ มันก็คว้ารองเท้าสวมใส่ทันที
27 กรกฎาคม 2553 23:24 น.
พ.จินดา
.....ตอนที่ 11 ผีเสื้อราตรี
........ดวงตะวันเริ่มลับเหลี่ยมฟ้า ความมืดเริ่มโรยตัวเข้ามาแทนที่ หากเป็น ณ ที่แห่งหนึ่ง ที่ห่างไกลตัวเมืองแถบชนบท ความสว่างจากแสงไฟนีออนจะทอแสง
ขับไล่ความมืดแต่ไม่นานนักความสว่างจากดวงนีออนเหล่านี้ก็จะค่อยๆดับหายลงไปจนในที่สุดกลับกลายเป็นความมืด และเงียบสงัดเข้ามาแทนที่บ่งบอกให้รู้ว่าได้เวลาพักผ่อนของผู้คนในถิ่นนี้แล้ว แต่ หากเป็น ณ ที่หนึ่งที่ความเจริญทั้งด้านสังคมและวัตถุ กำลังเปล่งประกาย ทั่วทุกถิ่นที่จะเต็มไปด้วยแสงไฟหลากสี
สวยงามที่แย่งกันส่องแสงละลานตาแก่ผู้พบเห็น ถนนบางสายยังคลาคร่ำไปด้วยผู้คนและรถราที่วิ่งกันขวักไขว่ไปมา
......ถนนสายสะพานปลาก็เช่นกัน สองริมข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าที่นำโต๊ะ เก้าอี้ออกมาวางเพื่อต้อนรับแขกที่ชอบออกมาหาความสำราญในยามราตรี แต่ละร้านต่างประดับประดาไปด้วยหลอดไฟนีออนหลากสีพร้อมพนักงานหญิงสาวที่แต่ละนางแล้วอายุคงไม่ต่ำกว่า 16 ปี และคงไม่เกิน 25 ปี แต่งหน้าทาปากดูสวยงามอยู่ในชุดที่ค่อนข้างจะโชว์หรืออวดทรวดทรงในบางส่วนให้ดูชัดเจนยิ่งขึ้น
......คืนนี้ หมอกรและทิวาเพื่อนหนุ่ม ตั้งแต่สมัยเรียนรุ่นเดียวกัน จนจบออกมาก็มาทำงานอยู่ในจังหวัดเดียวกัน ทุกๆวันสิ้นเดือนเขาทั้งสองมักจะนัดมาพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติในการทำงานซึ่งกันและกัน จวบจนค่ำก็พากันออกท่องราตรีตามประสาของคนหนุ่มโสด เช่นนี้เป็นประจำ เสียงเพลงดังกระหึ่มมาจากตู้เพลงใบเขื่องที่วางอยู่ด้านหลังร้าน ที่ติดป้ายว่า "ร้านป้าอร"ด้วยเพลงของนักร้องหญิงยอดนิยม ดังเร้าใจ กระชากจังหวะให้เกิดความมันส์ ความสนุกสนาน บรรดาแขกที่อยู่ในร้านต่างส่งเสียงร้องบ้างก็ปรบมือตามจังหวะเพลง หมอกรมองปราดเดียวก็ทราบว่าแขกดังกล่าวเป็นพวกชาวเรือ ซึ่งชีวิตส่วนใหญ่อยู่กลางทะเล เมื่อมีโอกาสขึ้นฝั่งก็หาความสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ พวกเขาเหล่านั้นไม่มีพิษมีภัยกับใคร ไม่เอะอะโวยวายอาละวาด เหมือนแขกอื่นๆที่เมาแล้วทำตัวกร่างเกเร ดังนั้นหมอกรจึงสบายใจเมื่อแวะมาเที่ยวแถวนี้ เพลงเดิมจบแล้วแต่จะมีเพลงใหม่ดังเข้ามาแทนที่เมื่อใดที่ยินเสียงเหรียญหล่นกระทบในตู้เพลง มันจะดังสลับกัน หากดังสลับกันบ่อยๆป้าอรเจ้าของร้านมักจะยิ้ม เพราะนั่นคือส่วนแบ่งที่ไม่น้อยที่ป้าอรแกจะได้รับจากเจ้าของตู้เพลง
......หมอกรและทิวา เลือกโต๊ะนั่งด้านใน เพราะไม่เกะกะผู้คนที่สัญจรไปมาบนทางเท้าและรถราที่วิ่งกันไปมาบนท้องถนน
"ป้าอร เอาผัดเครื่องในไก่ราดข้าว 2 ที่พร้อมไข่ดาว" หมอกรร้องสั่ง เขาสนิทกับเจ้าของร้านพอสมควรเพราะอาศัยเป็นลูกค้าประจำ
"เบียร์เย็นๆสักหน่อยไหม กร" ทิวาถาม " ตามใจ"
"เบียร์เย็นๆ ด้วยป้า" ทิวาสั่ง
"ได้จ้า แตนหนูเอาเบียร์พร้อมแก้วใส่น้ำแข็งไปให้แขกหนุ่มหล่อทั้งสองคนนั่น"
ป้าอรร้องสั่งเด็กในร้าน
"แตน ต่อยเจ็บไหม" หมอกรกระเซ้าเด็ก เมื่อหล่อนนำเบียร์และแก้วมาให้
"เฮ้ยก็ขอซื้อไปเลี้ยงดู ซิว่ะ ป้าแตนขายตัวเท่าไหร่" ท้ายประโยคทิวาถามป้าอร
"ไม่ขายจ้า ให้เช่า ป้าเลี้ยงไว้เอง" ป้าอรหันมาตอบ ก่อนก้มหน้าง่วนอยู่กับกะทะทำอาหารตามที่แขกสั่ง
"นั่งลงก่อน ซิ" หมอกรบอกแตน พลางมองดูหล่อน อายุคงไม่เกิน 18 ปี ผิวค่อนข้างขาวประกอบกับแสงไฟในร้านที่ขับผิวหล่อนดูให้ขาวยิ่งขึ้น ใบหน้ากลมมน
รูปไข่ ขนตางอน ผมยาวประบ่าดำเป็นเงางามยามเมื่อลมพัดผ่านพาให้เส้นผมนั้นปลิวสยาย ดังใบสนที่ลู่ลมชวนให้น่ามอง หล่อนส่งยิ้มให้ รอยยิ้มนั้นได้รูปดังคันธนูโก่งศร ประกอบกับลักยิ้มบุ๋มสองข้างแก้มเพิ่มความเป็นเสน่ห์ในตัวหล่อนยิ่งนัก ไม่ทราบว่านานเท่าไหร่ที่หมอกรหลงไปกับรูปหน้าของสาวแตน มารู้สึกอีกครั้ง ก็ต่อเมื่อเจ้าทิวาเพื่อนรัก บอกให้แตนพาเขาเข้ามานั่งคุยข้างในส่วนตัว
.......มันเป็นอาคารไม้ด้านหลังร้านที่ซอยเป็นห้องเล็กๆหันหน้าเข้าหากันตรงกลางมีไม้กระดานวางทาบไว้ 2 แผ่นเพื่อให้เดินสวนกันไปมาได้ แตนพาหมอกรมาหยุดอยู่ที่ห้องหนึ่งเกือบในสุด ภายในห้องมีเพียงที่นอนฟูก 1 หลังวางอยู่ชิดฝา อีกด้านมีลวดเส้นเล็กขึงพาดยาวกับฝาห้องยึดกับหัวตะปูทำเป็นราวผ้า หัวนอนข้างที่นอน มีเพียงโต๊ะแป้งเล็กๆที่ด้านบนโต๊ะนอกจากขวดน้ำแล้วก็มีถุงยางอนามัยที่ยังไม่ได้ใช้วางอย่ 1 อัน ในห้องทีไม่กว้างนักมีเพียงแสงสว่างจากหลอดไฟแรงเทียนสีเหลืองนวลที่แขวนห้อยอยู่กลางเพดานห้อง
หมอกร มองดูอย่างเวทนาและสงสารก่อนที่จะเอ่ยถามแตน " ผมสงสารจัง มีอะไรให้ช่วยก็บอก"
"ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ต้องหรอก แตนจะบอกอะไรให้ ผู้ชายทุกคนที่เข้ามาในชีวิตของแตนมักจะเอ่ยเช่นนี้ แต่ท้ายสุดมันจะจบลงที่นั่น ไฟราคะหื่นตัณหาไงละค่ะ" หล่อนชี้นิ้วไปยังที่นอนฟูกผืนนั้น ด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบ
หมอกรรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก น้ำลายเหนียวหนืดกลืนค่อนข้างลำบาก
......ชั่วเวลาคืนนั้น คืนแห่งความสุขของชายหนุ่ม แต่อาจเป็นความทุกข์หรือความจำเป็นของหญิงบางคน หมอกรอาจไม่เข้าใจในชีวิตของแตน ทำไมหล่อนจึงต้องมาใช้ชีวิตอย่างนี้ทั้งที่อายุยังน้อย ชีวิตของเธอน่าจะพบแต่สิ่งที่ดีๆและมีครอบครัวที่ดี มีลูกที่น่ารัก เขาเสียดายเธอแต่ไม่ใช่เสียดายกับบางสิ่งที่เธอสูญเสียไป เขาเสียดายโอกาสที่ดีๆที่แตนควรได้รับเฉกเช่นเด็กสาวคนอื่นๆ เธอไม่ใช่หญิงรักสนุกหรือชิงสุกก่อนห่าม แต่เพราะเหตุใดเธอจึงยอมตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หญิงกลางคืน คนทุกคนย่อมมีเหตุผลส่วนตัวเสมอ ขอให้เป็นคนดีก็เพียงพอ
.......ตะวันเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าขับไล่ความมืดก่อนหน้านี้ อีกไม่นานแดดคงกล้า ผีเสื้อที่หลากสีสวยงาม ปีกงามที่บอบบางก็คงบินว่อนหากินกับอาหารที่หอมหวาน
หากอยู่ท่ามกลางดอกไม้ที่เปล่งประกายความสวยงามของพฤษชาติแล้ว ผีเสื้อเหล่านี้ก็สวยงามยิ่งนัก เปรียบเช่นเมื่อคืนที่ผ่านมา ผีเสื้อราตรี ที่งดงาม
หล่อนไม่ได้งดงามด้วยปีกหรือครีบหาง แต่หล่อนงดงามด้วยใจ ต่างหากเล่า
24 กรกฎาคม 2553 20:32 น.
พ.จินดา
ตอนที่ 10 ความเหงาที่ปลายฟ้า
.......ย่ำรุ่ง ฟ้ายังมืดอยู่ มีเพียงสายลมที่พัดหอบเอาน้ำทะเลม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นกระทบฝั่งดังก้องอยู่ท่ามกลางความเงียบ เป็นระยะๆ สายลมที่พัดแผ่วยังได้นำเอาความเย็นชุ่มชื้นของไอน้ำทะเลมากระทบผิวกาย ช่วยทำให้อากาศในยามค่อนรุ่งดูเยือกเย็น หมอกรกระชับเสื้อหนาวสีหม่นพร้อมดึงร่างของเจ้าน้อยเด็กชายที่คอยติดตามอยู่ไม่ห่าง ให้เข้ามานั่งใกล้ตัวบนเรือหางยาวของชาวบ้านที่พร้อมบ่ายหน้ามุ่งสู่ฝั่ง เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับคนอื่นที่ร่วมเดินทางไปด้วย
......เช้าวันนี้ เป็นวันหยุด เขารับคำของเจ้าน้อยว่าจะพามาเที่ยวบนฝั่งพร้อมหาซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ สร้างความดีใจให้เจ้าน้อยอยู่มากทีเดียว นานทีที่จะเห็นดวงตาของเจ้าน้อยเปล่งประกายไปด้วยความสุขตามประสาในวัยเด็ก การที่มันต้องพลัดพรากและมาอยู่กับเขา ก็เพราะความไม่พอดี ไม่ลงตัวของครอบครัว พ่อและแม่ต้องแยกทางกันหลังจากเจ้าน้อยอายุเพิ่งได้ 4 ขวบ เติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของยายที พี่ป้าน้าอาของแม่ที อาชีพเดิมของพ่อแม่ก็คือชาวเรือ ความรู้ไม่มากนักออกหากินด้วยการหาปลา หาปูด้วยเรือลำน้อย จนกระทั่งเข้าสู่วัยที่จะได้เรียนหนังสือ เจ้าน้อยก็มาอาศัยอยู่กับหลวงพ่อที่วัดปากน้ำ ยามใดที่มีเวลาว่างจากภาระกิจในวัด เจ้าน้อยจะออกมารับจ้างคัดเลือกปลาหรือลากเข็นลังปลาบนแพปลาท่าเรือเพื่อแลกกับค่าจ้าง ค่าตอบแทน เจ้าน้อยเคยบอกว่า ยามใดที่เห็นเพื่อนนักเรียนในวัดมีเสื้อผ้าใหม่ ชุดนักเรียนหรือเครื่องเรียนใหม่ๆ มันอดมีความรู้สึกอิจฉาเพื่อนคนนั้นไม่ได้ ที่มีพ่อแม่ที่รัก คอยห่วง ซึงเมื่อหวลเปรียบกับตัวมันเองมีพ่อ มีแม่ก็เหมือนไม่มี หมอกร เคยพูดให้กำลังใจอยู่เสมอว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะอยู่จะเป็นได้ อย่าโทษตัวเองหรือน้อยใจในโชคชะตาหรือน้อยใจพ่อแม่เลย เขาเป็นผู้ให้กำเนิดเรา ความจำเป็นบางอย่างหรือเหตุผลบางอย่างของท่านก็ได้ เจ้าน้อยเพิ่งจะมาอยู่กับหมอกรได้เมื่อปีที่แล้วนี่เอง พอเรียนจบ ป.4 หลวงพี่ที่วัดก็ฝากให้มาอยู่ในความอุปการะของเขา ซึงแม่ของเด็กไม่ค่อยยินยอมเท่าไหร่แต่ขัดใจเจ้าน้อยไม่ได้เพราะเจ้าน้อยไม่ยอมกลับไปอยู่กับแม่ จะด้วยเหตุผลใดก็ไม่รู้ได้ ปีนี้มันกำลังเรียนอยู่ชั้น ป.6 รูปร่างสูงโปร่ง สมวัย ผิวค่อนข้างขาว ด้วยเริ่มย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม จึงช่วยทำให้ใบหน้าดูคมคายหล่อเหลาอยู่ไม่น้อย
.......เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น ทันทีที่เจ้าของเรือผลักก้านใบพัดและหางเสือลงสู่พื้นผิวของน้ำทะเล เรือเล็กลำนั้นก็เริ่มถีบตัวออกจากฝั่ง หัวเรือที่เชิดขึ้นนั้นกระแทกกับคลื่นน้ำทะเลขึ้นลงขึ้นลงเป็นจังหวะตามความเร็วของเครื่องยนต์ พาปะทะให้เกิดเป็นละอองน้ำที่ซัดสาดกระเซ็น หมอกรยกมือปาดเอาน้ำทะเลที่ซัดปะทะเข้าใบหน้า รับรู้ถึงรสความเค็ม และความแสบในตา เขานั่งหันหลังให้หัวเรือเพื่อหนีละอองน้ำทะเล เหยียดขายาวหันหน้าเข้าหาชายหาดของเกาะสวรรค์ที่ทอดตัวออกห่างจากสายตาจนเห็นเพียงจุดเล็กๆ โดยมีเจ้าน้อยนั่งขนาบข้างอยู่ ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ขอบฟ้าเบื้องหน้าเริ่มสาดแสงสีทอง ส่องกระทบกับผิวน้ำที่แตกกระเซ็นไปตามแรงใบจักรท้ายเรือ เหมือนเกร็ดเพชรสีทองปานนั้น ลมเย็นของทะเลเริ่มพัดแรงขึ้น เขากระชับร่างเจ้าน้อยเข้ามาแนบข้างลำตัว เพื่อขับไล่ความหนาวเย็น
......ก่อนหน้านี้ ยามอากาศเย็นหรือหนาว เขามักจะมีเพื่อนสาวนั่งเคียงข้างแต่นั่นมันเป็นอดีต แต่ทุกวันนี้ ยามเกิดเหตุการณ์ใดไม่ว่าทุกข์หรือสุข ดีหรือร้าย เขาก็มีเพียงเจ้าน้อยหรือเด็กน้อยที่เขารับมาอุปการระเลี้ยงดูเท่านั้น ที่อยู่คอยช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้เขา ยามมีปัญหานอกจากกำนันก็เจ้าน้อยนี่แหละที่เป็นเพื่อนคอยปรับทุกข์หรือเป็นที่พูดระบายของเขา โดยมันไม่เคยบ่นเลย ดังนั้นยามใดที่หมอกรมีเวลาว่างเขามักจะเจียดเวลาเหล่านั้นให้กับเจ้าน้อยและกำนันอยู่เสมอ
......คนเรานี่ก็แปลก ยามที่หัวใจมีความสุขมักจะมองไม่เห็นคนที่อยู่ใกล้ตัว หรือมองไม่เห็นความจริงใจของใครบางคน ซึ่งในบางครั้งอาจต้องสูญเสียสิ่งที่มีค่าเหล่านี้ไป และลืมแม้แต่ที่จะเก็บความเจ็บปวด ความผิดหวังไว้บ้าง แต่ยามใดที่มีทุกข์ยามนั้นมักจะมองเห็นเพื่อนแท้ที่อยู่ข้างกายเสมอ
"น้อย ถ้าไม่มีอาหมอ ชีวิตเราจะเป็นยังไง"
น้อยไม่ตอบ แต่เงยมองหน้าหมอกร ก่อนที่เจ้าน้อยจะละสายตาออกสู่เบื้องหน้าที่ที่มีแต่น้ำทะเล กว้างไกลออกไปจนสุดสายตา จรดกับขอบฟ้าที่ไกลโพ้น
......เช่นกันกับหมอกร เขาคิดในใจว่ายามที่เขามาใช้ชีวิตอันโดดเดี่ยวเพียงลำพัง บนเกาะแห่งนี้ หากไม่มีเจ้าน้อยมาอยู่ร่วมชายคา เพี่ยงใต้ฟ้าเดียวกันแล้ว ชีวิตเขาคงจะดูเงียบเหงาไม่น้อย ชีวิตของคนเรา บางครั้งอาจต้องการเพียงความเงียบเพื่อใช้ความคิดทบทวนเรื่องราวหรือหลายสิ่ง หลายอย่างที่ผ่านมา อยากใช้ชีวิตอยู่อย่างลำพังแต่ก็ไม่อาจปฎิเสธได้ว่าลึกๆในใจเราเพียงต้องการใครสักคนที่ขอให้เขาคนนั้นจะเป็นใครก็ได้ที่เข้าใจเราก็เป็นพอ
......เงาทะมึนดำของใครบางคนได้ทาบทับลงบนพื้นผิวของน้ำทะเล และขาดหายเป็นช่วงๆตามริ้วคลื่น ยามเมื่อแดดส่องสว่างขึ้น นานมากแล้วบนเรือลำนี้ ที่พาร่างของชายต่างวัย 2 คนที่ต่างความคิด แต่มีความเหงาที่เหมือนกัน ......อาจจะจริงที่ทุกสิ่งมักจะอยู่กับเราได้ไม่นานแม้แต่ชีวิตของเราเอง เพราะเมื่อถึงเวลาสิ่งเหล่านั้นมักจะกลับสู่ที่เดิมของมัน โลกที่หมุนเวียนไม่ต่างอะไรกับกงเกวียนชีวิต เมื่อมีก็ต้องไม่มี สิ่งที่ใดที่มีค่าแม้เพียงกรวดทรายก็ควรเก็บรักษาไว้ให้ดี ตราบนานเท่านาน ชีวิตคนเราไม่ยืนยาวนัก เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกจากหมอกร ก่อนที่เขาจะขยับร่าง ยืดตัวให้ตรงเพื่อขับไล่ความปวดเมื่อย ส่วนเจ้าน้อยนั้น ยังคงนั่งอิงร่างหมอกรอยู่ไม่ห่าง
.......แดดเริ่มร้อน แม้ลมทะเลที่พัดผ่านจะบรรเทาได้บ้างก็ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนที่เริ่มแผ่กระจาย หมอกรถอดเสื้อหนาวออกวางบนตักและดึงร่างเจ้าน้อยให้นอนหนุนตักบนเสื้อหนาวตัวนั้น เจ้าน้อยรู้สึกได้ถึงความสุขที่เกิดขึ้นด้วยความรักความเอ็นดูที่หมอกรมีให้ อาจชดเชยความรัก ความอบอุ่นที่มันได้ขาดหายไปได้ไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าที่มันไม่ได้รับความรัก ความเอ็นดูจากใตรเลย ที่เขาคนนั้นไม่ใช่พ่อ แม่หรือญาติ แต่เขาคนนั้นก็ชดเชยแทนคนเหล่านั้น ได้ดีกว่า บนเสื้อหนาวสีหม่นตัวนั้นที่เจ้าน้อยนอนหนุนหัวอยู่เหมือนหมอกรจะบอกให้รู้ว่า มันจะไม่หนาวหรือเหงา ว้าเหว่อีกต่อไป
......เบื้องหน้าที่มองกว้างออกไปเห็นแต่น้ำทะเล ยิ่งทำให้ความเหงาทวีคูณเพิ่มมากขึ้น หากมีชีวิตหนึ่งที่มองออกมาจากป่าเขาริมเกาะรกร้างที่เรือแล่นผ่าน จะเห็นว่าเรือลำนั้นแล่นออก ห่างไกล ห่างไกลออกไปเรื่อยๆจนสุดสายตา หากเป็นเพียงมโนภาพก็เห็นเพียงจุดเล็กๆจุดหนึ่งที่แต้มอยู่กลางน้ำทะเลสีครามนั้น เหมือนภาพวาดของจิตรกรมือหนึ่ง นั้นเชียว