26 พฤษภาคม 2551 00:52 น.
พุด
ราตรีที่ฟ้าไร้ดาวประดับ
กับไร้สิ้นเรือนจำปีเคยเคียงขวัญ
หอมเอยหอมในหัวใจมานานวัน
รอเพียงวันเจ้าแตกกอผลิช่องาม
.......................
รื้อเรือนจำปี ที่เคยรัก
อย่างรู้ตัดใจ
เพราะจำปีสูงใหญ่ไหวเอนจนกลัวจะ
หักโค่นลงมาพาให้อันตราย
วิกฤตโลกร้อนที่ถาโถมกระหน่ำ
ทำให้ทุกวารวันในยามใกล้ค่ำ
จะแลเห็นมัวหม่นเมฆเทาทะมึน น่ากลัว
และ..
มีคำเตือนให้ทุกคนระวัง
ยามมีพายุแรงนั้นให้รีบพาตัวหลบจากต้นไม้ใหญ่
เสาไฟ ป้ายโฆษณาข้างทาง
ที่ณ บัดนี้ ทางกทม ได้ให้สร้างแบบแข็งแรงขึ้น
เพื่อความปลอดภัย
นี่คือสัญญาณเตือนภัย ที่หากคิดให้ดีจะเห็นว่า
พายุเริ่มพัดกล้าขึ้น
ฝนน้ำฟ้ามาแรง
แผ่นดินไหวสะเทือน
ราวกับจะเตือนให้มวลมนุษย์รู้สำนึกก่อนสายเกิน..
......................
บ้านดอกไม้หอม.ม..ม...
ฝอยฝนหลงฤดู ละอองละเอียด อ้อยสร้อย
ค่อยค่อยปรายโปรยปล่อยสายพรายพลิ้ว พร่างพรม
ห่มผืนหล้า..พรายพลัด..พรากฟ้า..ยามสนธยาใกล้ค่ำ..
นกกาพากันร่ำร้องระงมโผผินบินกลับรัง..รัก..
ไพล..นอนนิ่งเงียบทายทักใบจำปี ริมหน้าต่าง
ที่พากันหยุดระบัดไหวไปตามแรงลมแล้ว..
ทั้งเรียวจำปีและหัวใจดวงนี้จึงนิ่งงันพอกัน..
กับฟ้าสีงามราวภาพฝัน ยามเย็น..ยากบรรยาย...
ไพล..ไม่สบายมาหลายวัน
เพิ่งจะหายครั่นเนื้อครั่นตัว เย็นนี้
และมือพอมีแรงจะจรดปากการจนา นะนาทีนี้นะคะ
ทุกคนดีที่รักคิดถึงในร่มรักเรือนไทย
ไพล..จุดเทียนกลิ่นยูคาลิปตัส เป็นเทียนกลมแท่งใหญ่
สีน้ำเงินเข้ม ที่เพิ่งซื้อมาพร้อมกันกับเทียนกลิ่นสตรอเบอรี่สีแดง
สร้างแรงฝันพลังใจให้กับใจและ
ร่างที่อ้างว้างและอ่อนล้า..มานานวัน....
หนาว..จนต้องหยิบผ้าทอมือผืนโตมาคลุมไหล่
ค่อยๆ..*จุดไฟสว่างกลางดวงใจ*
ที่ใกล้มอดดับให้ไฟรักรจนากลับมา.อีกคราครั้ง
ในความเงียบงาม ลำพัง
ที่ไพลมักชอบนอนนิ่งทิ้งตัวในความมืด
มองดูม่านฟ้าราตรีสีกำมะหยี่
ค่อยค่อยคลี่ดาวพราวฟ้าตระการตาตระการใจ
ที่ละดวงละดวง
จน
รวงดาวเรียงดวงพราวพร่างกระจ่างใส
เต็มไปทั้งท้องนภาเวหาหาว
เป็นความเงียบว่างร้างไร้
ที่ไพลมีใจดวงแสนสุขพร้อมพลีรับกับคืนฝันวันแสนดีนี้
ที่โลกและธรรมชาติหยิบยื่นให้อย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง..
และ
หอม..ม....ม...ม......หอม......
มวลดอกไม้รายรอบวิมานดินรินร่ำรสรื่นชื่นฉ่ำใจเป็นที่สุดในนาทีนี้
สมกับที่มีคนให้สมญานามวิมานไพล..บ้านของไพลไปทั้งซอยว่า
*บ้านดอกไม้หอม..บ้านหอมดอกไม้*
ที่ทำให้ไพลยิ้มหวานบานเบิกใจด้วยยินดีเป็นที่สุดเลยค่ะ
สมกับที่ไพลเพียรทะนุถนอม
ปลูกหน่อกอรักด้วยภักดิ์พลีพวงดวงดอกพะยอมมานานปี
ให้ทุกนาทีแห่งชีวิตได้สนิทแนบแอบร่มเงาไม้ให้รัก
พอกันกับนกกาที่มาอาศัยชายคาแห่งรักนี้
ที่มีรักให้มิรู้จบตราบจนวันผืนดินกลบหน้า..
และตราบจนกว่าจะ
ถึงวันลาพรากจำจากไกลแบบไม่หวนคืนกลับ...
ไพล..ขอหยุดรจนาเพียงนี้ก่อนนะคะ
อยากรู้จังเลยว่า..
จะพอมีใครคิดถึงไพลบ้างละหนอละนี่
ที่ห่างหายไป..
และ
ไพล..ขอไปตัดกุหลาบแดงดอกใหญ่
พร้อม..
เก็บการะเวกมาใส่ให้เต็มตะกร้า
เก็บชบาส้ม..ชวนชมชมพูพริ้งพราว
และจำปีงามขาวราวนวลเนื้อนางใจ
กระดังงาดอกใหญ่หอมอวลร่ำ
มาร้อยรัดพันผูกใจ..กำนัลไปกับสายลมในยามค่ำนะคะ
และด้วยหอมหอมร่ำ..ขอวางไว้ใกล้หมอนนอนหนุน..
ฝากคำกระซิบซึ้งซึ้งถึงทุกดวงใจในร่มรักเรือนไทยนะคะว่า..
หัวใจหวานไหวดวงนี้ ไหวหวั่นฝันหาพาคะนึงครวญ..ค่ะ
ด้วยรัก..ล้นใจ
............................................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song82.html
รักข้ามขอบฟ้า
ขอบฟ้า เหนืออาณาใดกั้น
ใช่รักจะดั้น ยากกว่านก โบยบิน
รักข้ามแผ่นน้ำ รักข้าม แผ่นดิน
เมื่อความรักดิ้น ฟ้ายังสิ้นความกว้างไกล
ขอบฟ้า ทิ้งโค้งมาคลุมครอบ
อ้าแขนรายรอบโอบโลกไว้ ภายใน
เหมือนอ้อมกอดรัก แม้ได้ โอบใคร
ชาติภาษาไม่ สำคัญเท่าใจตรงกัน
รัก ข้ามขอบฟ้า รักคือ สื่อภาษาสวรรค์
อาจมีใจคนละดวง ต่างเก็บอยู่คนละทรวง
ไม่ห่วงถ้ามีสัมพันธ์
ขอบฟ้า แม้จะคนละฟาก
ห่างไกลกันมาก แต่ก็ฟ้าเดียวกัน
รักข้ามขอบฟ้า ข้ามมา ผูกพัน
ผูกใจรักมั่น สองดวงให้เป็นดวงเดียว
รัก ข้ามขอบฟ้า รักคือสื่อภาษาสวรรค์
อาจมีใจคนละดวง ต่างเก็บอยู่คนละทรวง
ไม่ห่วงถ้ามีสัมพันธ์
ขอบฟ้า แม้จะคนละฟาก
ห่างไกลกันมาก แต่ก็ฟ้าเดียวกัน
รักข้ามขอบฟ้า ข้ามมา ผูกพัน
ผูกใจรักมั่น สองดวงให้เป็นดวงเดียว...
25 พฤษภาคม 2551 10:31 น.
พุด
รัศมีตะวันแรกราวเรียวรุ้ง
รับอรุณรุ่งวันใหม่ด้วยใจหอม
รายรอบวิมานดินหอมอวลกลิ่นพวงพะยอม
ผสานจิตหลอมรับหวานวิมานไพร
เป็นลึกซึ้งทุกทิวามานานนัก
โอบเอื้อรักจากธรรมชาติบริสุทธิ์ใส
สอนสัจจะงามเรียบง่ายสมถะใจ
โลกหมุนไปสักกี่กาลรานเช่นนั้น
ธรรมดามายาโลกย์ไร้โศกสุข
คิดจึ่งทุกข์จึ่งท้อพ้อเพ้อฝัน
ไม่มีเราไม่มีเขาเป็นนิรันดร์
สร้างอัตตาเธอฉันชดใช้กรรม
ฟ้าแลดินสิ้นเมตตาเฝ้ารับรู้
มวลมนุษย์สุดกู่เกินครวญคร่ำ
น้ำตาฟ้าหยาดสายดั่งฝนพรำ
ระรินร่ำสังเวยโศกโลกหายวับ.ชั่วกัปป์กาล...!
24 พฤษภาคม 2551 09:20 น.
พุด
หมายเด็ดดอกรักร่วมต้นบนทางฝัน
ผ่านคืนวันพิสูจน์ใจใครคนหนึ่ง
ได้ค้นพบความจริงสิ่งลึกซึ้ง
เพียงตอกตรึงติดตรมเศร้าหนาวเหน็บใจ
เพราะรักคือทุกข์ใช่ไหมเล่า
แม้นหวานราวน้ำผึ้งถึงไหนไหน
จะกี่วันผันผ่านนานเพียงใด
ไม่ทันไรก็สอนโศกโลกผันแปร
สิ่งจีรังหวังเพียรพบจบเพรงโลกย์
ลารอยโศกสิ้นสุขทุกข์มิแท้
ตามรอยบาทศาสดามิยอมแพ้
จิตแน่วแน่สู่ทางธรรมน้อมนำใจ
มิตั้งจิตอธิษฐานวานวอนไหว้
ลูกเพียงใช้ลมหายใจพิสุทธิ์ใส
ทำความดีพลีกตเวทิตาแผ่นดินไท
อัญมณีใจจักพรายพร่างณ..กลางจิตนิจนิรันดร์...!
..........................................................
23 พฤษภาคม 2551 23:31 น.
พุด
ถอดหัวใจแขวนไว้บนปลายฟ้า
เลิกเหว่ว้าทุกข์ทนบนทางฝัน
ลืมคำมั่นมายารักชั่วกัลป์
ลืมคืนวันผันผ่านพ้นวนสอนใจ
เพราะค้นพบสัจจธรรมการพลัดพราก
ถึงรักมากรักหวานนานแค่ไหน
สุดท้ายแล้วไปลำพังนะดวงใจ
ใช่มีใครตามเคียงข้างยามร่างไร้
คือธรรมดาโลกย์ที่ตามรู้
อยากจะอยู่เดียวดายคือจุดหมาย
บำเพ็ญบุญภาวนาก่อนชีพวาย
ตายก่อนตายมิประมาทเสียชาติภพ
จึงสับสนวนว่ายหน่ายในโศก
แลเห็นโลกมวลมนุษย์รู้จุดจบ
คิดถึงบุญสร้างบารมีเพียรลืมลบ
จิตจากจบสุดท้ายหมายกระจ่างสว่างไป...!
21 พฤษภาคม 2551 22:57 น.
พุด
ดลบันดาลใจ จากภาพงาม
คิดถึง..เพชรเม็ดงามแห่งอันดามัน
หนึ่งนุชนวลมณีผู้เป็นที่รัก...
พะงันพ้อทะเลเพ้อรอเธอกลับ
เฝ้าคอยนับรับดวงใจคืนสู่ขวัญ
ลมระบัดฟ้ายังงามท่ามคืนวัน
เป็นนิรันดร์รักยิ่งใหญ่เหนือใดปาน
คือแดนดินถิ่นรักทะเลใต้
ดวงดอกไม้บานชูช่อหวานแสนหวาน
จันทร์ดวงโตลอยดวงให้เบิกบาน
ดั่งวิมานประดับหล้าใต้ฟ้าไทย
เรือมนุษย์มากมายหมายฝั่งฝัน
พากันดั้นด้นมาจากแดนไหน
มาวางวายก่อนถึงฝั่งสัจจใจ
ด้วยเหตุไม่ใช้เข็มทิศธรรมส่องนำทาง
ดั่งนาวานำชีวิตผิดเป้าหมาย
จึ่งเวียนว่ายทะเลโลกย์โศกอ้างว้าง
เรือลำน้อยค่อยค่อยจมอับปาง
ในระหว่างพายุกล้าน่าเศร้านัก...!
.............................................
จากน้ำจรดฟ้า .....ลำน้ำน่าน
กาลเวลาเดินทางไม่ถามทัก
ทุกข์เบาหนักร้อนเย็นเห็นเสมอ
มองหาฝั่งเร้นลับกลับไม่เจอ
หรือละเมอเพ้อไปไม่ทันคิด
เห็นแผ่นน้ำเบื้องหน้าฟ้าไกลนัก
ยามหน่วงหนักทิ้งฝนพรมตามติด
ภาพสะท้อนอายดินกลิ่นชีวิต
แม้นน้อยนิดติดอยู่คู่หายใจ
เคยไต่ถามความจริงสิ่งรายรอบ
ไร้คำตอบไม่รู้หลงอยู่ไหน
เค้นสำนึกลึกตื้นฟื้นความใน
พอจำได้น้ำตารินบ่าท้น
ภาพแผ่นดินเกาะน้อยร้อยพันหาด
บรรจงวาดผุดตื่นคืนอีกหน
ทุกรอยย่างยากไร้ในผู้คน
ตัดสินใจดั้นด้นทิ้งบ้านมา
เรื่อเก่าคร่ำนำทางกลางเกรียวคลื่น
แผ่นดินอื่นจุดหมายได้เสาะหา
ท้องทะเลอ้อนวอนย้อนถามมา
จากไปหาความจริงกับสิ่งใด
ธารน้ำตาหลั่งรินไม่สิ้นสาย
หากไม่ตายจักทิ้งแผ่นดินใหญ่
จะเกี่ยวเก็บวิชาการนานเพียงใด
มากำนัลมอบให้ไพรพะงัน
จากแผ่นดินแผ่นน้ำข้ามพิภพ
พบจุดจบยากยิ่งในสิ่งฝัน
สำเร็จแล้ววิทยาท้าตามทัน
กลับเงียบงันเดียวดายตายทั้งเป็น
กลางเมืองทรามต่ำต้อยเต็มรอยโลกย์
ความเศร้าโศกแฝงเงาเรารู้เห็น
กระแสเงินบ่าจมถมรำเค็ญ
ผ่านพอเป็นพิธีหนี้ท่วมตัว
ปลาผิดน้ำครวญคร่ำลำธารเก่า
ทิวขุนเขาท้องน้ำยามฟ้าหลัว
จึงว่ายกลับฝ่าดั้นไม่หวั่นกลัว
จิตท่องทั่วค้นพบจบฝั่งลวง
เสียดายนักเวลากับอาจม
หลงโง่งมถมปลักหลักเหมืองหลวง
หวังออกไปท้ายท้าชะตาดวง
น้ำตาร่วงรดฟ้าอยู่อาจินต์
ระลอกคลื่นซัดฝั่งนิ่งฟังนาน
จิตวิญญาณชัดมีนทีสินธุ์
ท้องทะเลเปล่งปลั่งดั่งเพชรนิล
ขุดไม่สิ้นถมไม่ตื้นจึงคืนมา
กาลเวลาเดินทางไม่ถามทัก
ได้ตระหนักหลายสิ่งยิ่งค้นหา
จากผืนดินจรดน้ำกาลเวลา
เพียงละเมอมายาหาใช่จริง..
........................................
วิมานวนา (The Jungle Palace) ...ลำน้ำน่าน
เมื่อแสงไต้รอนแรมลับแง่งหิน
สุริยนจะตกดินอยู่ไหวไหว
วิมานหนึ่งปรากฎกลางอกไพร
หลังม่านพรางสุราลัยในวนา
ในแสงอ่อนเลื่อมพรายทิพย์สถาน
คือวิมานโลกเสรีคลี่พฤกษา
จากเรือนยอดเสียดเสยเย้ยเมฆา
สู่ผืนดินรากป่าพนาราม
เมื่อน้ำค้างพรมโปรยโรยอรัญ
ปวงสุคันธ์พนาวาสหยาดสยาม
ก็อวลกลิ่นเกสรละอองนาม
ระเหยข้ามวนาลีราตรีแดน
ลอยไปสู่วิมานรุกขเทวา
สู่ทิพย์ทองธาราพระยาแถน
ในเอื้อมเงาปราสาทนิวาสแมน
กลางรำแพนยูงทองผองนางไม้
เหล่าเถาวัลย์พันเกี่ยวในเกลียวกิ่ง
ราวลูกปัดสะบิ้งสไบไหว
เมื่อลมอ่อนพัดโบกเข้าโตรกไพร
พร้อมหิ่งห้อยรำไรพเนจร
รุกขชาติมิ่งไม้คล้ายนิทรา
พนาวาน้อมจิตนิมิตหมอน
ก็ทอดกายอ่อนโยนตรงโคนคอน
เอื้ออาทรไม้ใหญ่ได้หลับตา
เริ่มราตรีรังสรรค์แห่งวังนั้น
ด้วยมนต์เพลงจั๊กจั่นลั่นพฤกษา
ระงมงามหรีดหริ่งพริ้งพนา
บรรเลงกล่อมเทวาพระสุรินทร์
ทุกรื่นรมย์ซ่อนตัวรอบรั้วป่า
กลางมณฑลภูผาปราการหิน
คือวิมานสุดท้าย ณ ปลายดิน
ให้เทวินทร์คุมผองลงครองตน
เพื่อสมดุลแห่งโลกจตุรทิศ
มานุษภูมิใช้ชีวิตตามเหตุผล
เชื้อชุมนุมรุกขเทวาสู่ป่าคน
ยกระดับวิญญาญชนสู่ปัญญา
อัศจรรย์วัลก์หนึ่งซึ่งสีหม่น
ในเผ่าพนปัจเจกเพศพฤกษา
ไม่เปลี่ยนแปลงเขตขันธ์พันธุ์วนา
แม้นราตรีล่วงฟ้าดารากลาย
ทิพย์ดนตรีบรรเลงเพลงจบแล้ว
น้ำค้างแก้วแนวป่าต้องพร่าสาย
ม่านพระอินทร์ทิ้งเถาว์ในเงาพราย
วิมานพฤกษ์ปิดตายทิวากาล
ปรากฎเสียงสะอื้นเมื่อคืนล่วง
วิมานลวงที่ไหนไหนได้ถูกผลาญ
สันนิบาตรุกขเทวาล้าบันดาล
เหลือเผ่าพันธุ์ติรัจฉาน...วิมานเมือง
-------------------------------------
ท่ามกลางสวนรุกขชาติป่าเขตร้อน
มีสวนป่าน่าอัศจรรย์
ที่ปรากฎพันธุ์ไม้งามหลายชนิดอยู่สวนหนึ่ง
กลางวิมานวนานั้น มีเสียงดนตรีธรรมชาติ
เสียงกบเขียดน้อย ระงมในยามย่ำค่ำ
ทั้งเถาวัลย์พันเกี่ยวก็ห้อยระยับย้า
หนึ่งในเถาวัลย์งามนั้นนาม *ม่านพระอินทร์*
เถาวัลย์ที่มีรากห้อย เป็นม่านสีม่วงไพร
เป็นม่านป่าพันธุ์หายากของไทย
ประหวัดไปถึงวิมานแห่งเหล่ารุกขเทวา
และพระสุเรนทร์ ที่มักจะท่องลงสู่โลกมนุษย์
ในยามที่ไม่ปรารถนาวิมานสวรรค์....
พุทธศาสนาสอนให้มนุษย์เคารพเทวดา
ด้วยเหตุที่เป็นภูมิที่มีกุศลกรรมอันบริสุทธิ์..
และลงมาเยือนวนาอยู่เป็นนิจ
อีกมิ่งไม้ใหญ่ไม้เล็กต่างดำรงอยู่ในโลกรื่นรมย์
สมดุลมาตั้งแต่โบราณ
น่าเสียดายนักที่วิมานวนาเหล่านี้ถูกทำลายลง
ด้วยความเจริญวัฒนาแห่งมนุษย์
วันหนึ่งเมื่อวิมานวนาในภูมิได้ถูกทำลายลง
คงจะเหลือแต่วิมานเมืองอันวุ่นวน
และวันนั้นความสุขสงบและความงดงาม
ตามธรรมชาติคงจะปิดตาย
แล้วเราจะดำรงอยู่ในโลกได้อย่างไรกัน
ด้วยเหตุที่ชีวิตเราต้องพึ่งพิงธรรมชาติ
จนกว่าจะคืนสู่ธรรมชาติเมื่อมรณามาเยือน
และเพราะว่า.......
ทุ่งนาป่าชัฏช้าอัญญิกาลัย
เทือกผาใหญ่เสียดดาวดึงส์สวรรค์
เนื้อเบื้อเสือช้างลิงค่างนั้น
มดแมลงนานาพันธุ์ทั้งจักรวาลฯ
เสมอเหมือนเพื่อนสนิทมิตรสหาย
เกิดร่วมสายเชี่ยววัฏฏะสังสาร
ชีพหาค่าบ่มิได้นับกาลนาน
หวานเสน่ห์ฟ้าหล้าดาราลัยฯ
ถึงใครเหาะเหินวิมุติสุดฝั่งฟ้า
เดือนดาริกาเป็นมรคายิ่งใหญ่
แต่เราขอรักโลกนี้เสมอไป
มอบใจแด่ปฐพีทุกชีวีวายฯ
(ปณิธานกวี อังคาร กัลยาณพงศ์)