17 มกราคม 2551 23:25 น.
พุด
ถ้าหากว่าทุกๆอณูที่
ดวงตางามซึ้งได้มองเห็น
สัมผัสกับทุกสิ่ง สายลม
ต้นไม้ ภูเขา สายธาร
ลมหนาว แสงสีทองผ่องละออ
ลอยพ้นขอบฟ้า
ทะเลแสนงาม
ท้องฟ้าสดใส
ค่ำคืนแห่งราตรีประดับดาวเดือน
กลิ่นหอมหวานอ่อนโยน
จากพรรณไม้ไทย
และทุกๆสิ่งที่พรรณนาไม่สุดสิ้น
รวมทั้งอณูแห่งจิตของดวงใจ
ในนั้น จะมีใครสักคนที่อยู่เคียงข้าง
คอยมอง คอยดูแล คอยห่วงใย
ด้วยรักแสนรักนิรันดร์
หลับตาลงสิครับคนดี
ฟังเสียงหัวใจของเรา
แล้วคุณจะพบผม...
...................
เดียวดายปลายโลกร้าง! พุดพัดชา
ฉันนั่งรอเธอเดียวดายที่ปลายโลก
หลบมุมโศกเหลือมุมใจเพียงในฝัน
รักและรอ รอและรัก ชั่วกับป์กัลป์
หลับตาฝันฉันมีเธอในอ้อมใจ...
ที่ปลายโลกไยโศกเหมือนร้างไร้
มันคล้ายคล้ายตะวันลาราตรีไหน
มีเพียงฝันวันแสนงามไว้ปลอบใจ
คำหวานใดก็ลมลมตรมน้ำตา...
ฉันเดียวดายคล้ายโลกนี้เล่นตลก
และเหมือนนกปีกหักใจอ่อนล้า
อยากคืนหลังจูบผืนทรายใกล้ธารา
และซบหน้าหมายมาดสวาทไกล...
ตะวันตกดินถวิลรอที่บ้านเก่า
รอคนเหงาซับน้ำตาอย่าร้องไห้
อีกไม่นานได้คืนร่างหลับสบาย
ให้เม็ดทรายคลื่นทะลเห่กล่อมขวัญนิรันดร!
17 มกราคม 2551 08:41 น.
พุด
ดวงดอกไม้ยังร่ายฟ้อนอ้อนอุษา
มวลนกกายังเริงร่าฟ้าแสนหวาน
ปลายังว่ายในทะเลอย่างเบิกบาน
ดั่งตำนานแผ่นดินมิสิ้นวน
หากทุกสรรพสิ่งย่อมพลัดพราก
ดวงดอกไม้ต้องจากต้นปลิดร่วงหล่น
มวลนกกาถึงเวลาทิ้งตัวตน
เสมือนคนเมื่อถึงคราวหนาวอำลา
คืนกลับเป็นหนึ่งเดียวกับผืนดิน
ทิ้งอาวรณ์ถวิลในปรารถนา
มาลำพังไปลำพังนะดวงชีวา
จิตแจ่มจ้าเท่านั้นอัญมณีงาม
แล้วเหตุใดใจเจ้าต้องร้าวทุกข์
แสวงสุขทางสายธรรมฝ่าขวากหนาม
สะสมเสบียงบุญในทุกยาม
เพียรต่อตามเติมตนพ้นพันธนา..นิรันดร์...!
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song401.html
ฟ้าแดง
สนธยาฟ้าแดง
สุรีย์ร้อนแรงโรยอ่อนรอนแสงหม่นมัว
สกุณาเรียกหารังตัว
ชะนีเรียกผัว รัวเร้าร่ำกำสรวล
โอ้ชีวิตชีวิตจิตใจ มันหนาวเย็นเป็นไข้
พิไลพิลาศครวญ
สิ้นตะวันสรวลสันต์จาบัลย์รัญจวน
เห็นลางพบพรางร่างนวล
ให้โหยหวนชวนเศร้า
สิ้นแสง สิ้นสีโศลกแดงแฝงแทงใจเรา
สายัณห์เงื้อมเงา
ลบล้างสล้างเสลา จางห้วงหาวพราวใจ
ฟ้าแดง ฟ้าแดงผันแปรเปลี่ยนแปลงแผลงไป
ตราบอาสัญฉันยังฝันใฝ่
จูบแดนฟ้าอาลัย ฝังรอยรักใคร่ฝากเธอ
สิ้นแสง สิ้นสีโศลกแดงแฝงแทงใจเรา
สายัณห์เงื้อมเงา
ลบล้างสล้างเสลา จางห้วงหาวพราวใจ
ฟ้าแดง ฟ้าแดงผันแปรเปลี่ยนแปลงแผลงไป
ตราบอาสัญฉันยังฝันใฝ่
จูบแดนฟ้าอาลัย ฝังรอยรักใคร่ฝากเธอ...
...........................................
17 มกราคม 2551 00:37 น.
พุด
มองดูเดือนครึ่งดวงเดียวดาย
ดาวพรายกระซิบคืนวันผ่าน
โลกเรานี้แปรไปตามกาล
รานฤารักเรื่องใดไม่แปร
เกิดดับลับมลายหายวับ
ไปกับคืนวันใช่เที่ยงแท้
ยึดมั่นใครเล่าเจ้าดวงแด
ที่แน่คือธรรมนำทาง
ดิ้นรนทุกข์ร้อนมวลมนุษย์
ประดุจโซ่กรรมเคยสร้าง
แลเห็นโลกโศกไร้อ้างว้าง
จึงกระจ่างวางว่างณ กลางใจ
ในเดียวดายขอพบสงบสุข
สิ้นทุกข์เรื่องใดให้หวั่นไหว
มาลำพังไปลำพังมิหวังใด
อิสระดวงใจนิรันดร์...เท่านั้นพอ..!
..........................................
วิมานหล้าวนาสวรรค์..!
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2379.html
(วนาสวาท)
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song401.html
(ฟ้าแดง)
.....................
หากตราบใดที่ยังมีสวน
ตราบนั้นยังมีวันข้างหน้า
และตราบใดที่ยังมีวันข้างหน้า
ตราบนั้นชีวิตยังมีชีวา
JOHN RICHARD MORELAND
และ....
หากฟ้ามีตาและสวรรค์มีใจ
คงมองลงมาเห็น*หญิงหนึ่ง*
นอนนิ่งทิ้งตัวเหนือเนินหิน ผาสูง อย่างโดดเดี่ยว เดียวดาย
ผมของเธอสยายแผ่ราวพัดคลี่สีอำพัน
สะท้อนแสงสีส้มสุก ยามตะวันลา...
ฟ้าโพล้เพล้แล้ว ...!
หากราวกับเธอจะไม่ยอมรับรู้กาลเวลา
ในหนาวปรารถนา ....
เธอหลับตา
แล้วใช้หมวกสานปิดเสี้ยวหน้า
บังสายแสงแดดสีทอง
ที่กำลังพรายส่องล่องลอดไล้โลมร่าง
ผ่านกอไผ่ใบเรียวบาง เข้ามา
และ
หากฟ้าสังเกตสักนิด
จะเห็นแวววะวิบวับ
ราวกับหยาดเพชรรุ้งร่วงแตะแต้มตรงปลายตา
และค่อยๆไหลริน ลงมาอย่างช้าช้า ท่ามงามเงียบ
น้ำตา..
ที่พร่างรินมิใช่หมายถึงความสูญสิ้น
หรือถวิลเศร้าถึงผู้ใด
หากทว่าคือ
น้ำตาจากปิติใจเกษมสุข
ในทุกภูมิใจ..
ทุกรอยเท้า
ที่ได้ก้าวเดิน ผ่านมาในทุกลีลาชีวิต
ที่สอนบทเรียนและสัจจธรรมให้กับเธอ
ให้กล้าเผชิญ
ไม่ว่าพายุร้ายจากใคร
หรือใจหวังมากรายกร้ำมาฝากระกำระทม
หาก
หาได้ฝากรอยตรมตรอม
ฤาฝากรอยจำไว้ณ..กลางใจ..ดวงบริสุทธิ์ใสของเธอไม่
ด้วยเพียรอภัยลบลืม มากเข้าใจ เมตตา
และเรียนรู้ค่าคำ
*พลังเกษมแห่งชีวิตให้จงพยายาม
คิดในทางบวกแด่พื่อนมนุษย์เสมอ*
ให้หยุดคิดแค้นเคืองต่อทุกสิ่งที่ไม่ประเทืองประทับใจ
เพียงคิดว่าแค่ ขยะใจขยะใด มิปล่อยไว้ให้ค้างคา
สุดท้ายคือ
เธอปล่อยให้กาลเวลาได้เป็นเครื่องพิสูจน์
ได้เยียวยารักษาใจด้วยตัวมันเอง
ในทุกข์วิบากกรรม วิบากรัก
ที่เคยทุกข์หนัก..วนรักมาย้ำรอย
ให้เธอพลอยก้มหน้ารับชะตา
ยอมรับกับทุกเรื่องราวดินฟ้ากำหนด
ที่ราวกงกรรมกงเกวียน
เวียนรอยถอยกลับมาให้จำต้องชดใช้
และ
ในความไร้แล้งราวจะสิ้นแรงใจไฟฝัน
ได้ฝากให้มีพลังในอีกด้านหากคิดเป็นเห็นงาม
ที่ได้ตามเตือนตอกย้ำฝากความเข็มแข็งไว้ให้
ให้ใจดวงงามยิ่งกล้าฝ่าฟันแข็งแกร่ง
ยิ่งโชนแสงราวเพชรกล้าพร่างใส
มิมีวันหมองมัวด้วยกิเลสใดกิเลสใจ
จากใคร...จากผัสสะใดที่มาพิพากษา
ที่แค่มาสอนมาให้บทเรียน
ให้คิดว่าแค่ลมลมลมมิให้รานไหวระทมนาน
เสียงจั๊กจั่น จิ้งหรีด เรไร
กรีดปีกร้องระงม ไปทั่วทั้งวิมานวนา
ทั้งราวป่า..ลอยลมมาเป็นระยะๆ
จากทุกแนวแถวถิ่นไพร ทั่วทิศทุกทางรายรอบ
เธอเพิ่งจ้างคนงานพม่า...ราว10คนมาถางสวน
เพียงหมดเงินไปยี่สิบพัน
เพราะรวมเป็นสองครั้งแล้วในรอบปี
สำหรับการให้มาฟาดฟันดงหญ้าและกอหนาม
ที่คนงานทุกคน
ถูกกำชับว่า...ให้คิดแล้วคิดอีก
เลือกแล้วเลือกอีก
ก่อนจะฟันฉับลงไป
ว่าจะไม่ไปกระทบกับพันธุ์ไม้ต้นไหนต้นใด
ที่เจ้าของ...รักแสนรัก...หวงแสนหวง..ดั่งดวงใจ
เธอบอกว่าอยากพิทักษ์ปกป้องเอาไว้ให้ตราบนาน
ให้ฝากหวานหวังให้จรัสแจ่มหล้า
ใต้ผืนฟ้า ดั่งรัศมีพสุธา..อัญมณีไพร ณ..กลางเกาะมหัศจรรย์แห่งนี้
ให้ราวกับดินแดนในฝัน สวรรค์พนา
ที่เธอทิ้งร้าง มานานนับสิบปี
ให้แมกไม้นี้ได้เติบกล้า
ดั่งสวนขวัญ สวรรค์สรวง
ดารดาษด้วยพวงรุกขชาติเทวา
จากน้ำมือเทวดานางฟ้า
ที่พากันช่วยมาหว่านโปรยโรยเมล็ดพันธุ์
พร้อมกับพาฝนมาฝากฝัน ให้พลันชื่น
มาโปรยระรื่นร่ำให้มวลไม้รอวันผลิแย้ม แต้มสวย
ไปทั่วทั้งราวไพรเลยทีเดียว
นั่น...
กอรสสุคนธ์มณฑาทิพย์ มณฑาทอง
แสนหอม หวานพรายขึ้นป่ายปะปน
ไปกับพื้นหญ้า
เกาะเกี่ยวด้วยเถาวัลย์ชื่อว่าม่านพระอินทร์
แถมมีดอกไม้ป่าให้ถวิลหอม
ที่รอให้เธอค้อมดวง
มาดอมดมให้มิสิ้นสุดมิหยุดรักได้เลย
ที่เธอเผยว่าอยากจะขนานนามเอง
เธอตั้งใจจะบรรเลงชื่อ
ให้อย่างไพเราะเพราะพริ้งพราว..ฝากประดับหล้าประดับใจ
วันที่ฟ้าคงเฝ้ารอให้เธอกลับมา
และให้สถิตคู่วิมานหล้าวิมานวนา
ฝากจิตวิญญาญ์ร่างใจไว้ที่นี่ไปตราบชั่วกาล
ให้มาแตกช่อกอฝัน มาหว่านหวังหวาน
มาดมกลิ่นระรินบานของหอมอวลมวลพะยอมไพร
ด้วยใจดวงเหว่ว้า
หากทว่าคงสุขล้นจนเกินรำพึงรำพัน....
วันนี้
ริมชายสวนวิมานวนา
มีตะแบกม่วงอมฟ้า
มีศรีตรังสดสะพรั่งแจ่มดอก
มีสักทองออกช่อพราว
มีทองกวาวและเหลืองละมุนช่อชัยพฤกษ์
และ
นับไม่ถ้วนกับอีกพันธุ์พฤกษ์ไพร
ที่เพียงบันทึกไว้ในใจมิได้เป็นลายลักษณ์อักษร
แค่นำมาฝากอรชรเท่าที่พอจะจำได้
คนงานพม่า
ชมเจ้าของสวนตลอดเวลา
ด้วยภาษาพูดไม่ชัด
ที่พาให้เจ้าของสวนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
อย่างพยายามคิดว่านั่นคือความจริงใจ
แบบสบายๆใจ
แบบรู้สึกไม่ค่อยคิดเข้าข้างตัวเองสักเท่าไรเลย
ว่าจริงไม่จริงก็นิ่งไว้ก่อนจะดี...
และยิ่งพาให้ต้องยิ้มขำขำไปตามคำชมมิให้เหลิงลมลอย
ต้องค่อยๆยันเท้าไว้ให้ติดดิน
เจ้าของสวน
ที่จำต้องใส่กางเกงลูกฟูกสีฟ้าแจ่มตัวโปรด
และใส่เสื้อยืดรัดรูปผ้านิ่มนวลชวนฝันสีขาว
ก่อนที่จะทับด้วยแจ๊กเก๊ตยีนส์ตัวเก่งอย่างมิดชิด
ทำไมนะหรือถึงต้องปิดเนื้อหนังขนาดนั้น
เพราะว่า
ป่าทั้งป่าจะฮือกันออกมาด้วยฝูงยุง
ที่แสนชุกชุมจะพากันมากลุ้มรุมกัดกินเลือดอย่างหิวโหย
ให้คันผิวลายพร้อย ห้อยจ้ำเลือดไปทั่ว
เพราะสภาพป่าปิดมานาน
ทั้งๆที่ใกล้ชิดทะเลฝันสวรรค์ลอยนิดเดียวเอง
เจ้าของ
จะใส่หมวกสานปีกกว้างแสนเท่ห์ราวสาวชาวไร่
เพราะกันแดดได้และไว้พัดวียามไร้ลม ด้วย
เธอนอนราวเจ้าหญิงไพร บนเนินผาในท่ามวิมานวนา
เพราะ
คนงานช่วยกันระดมกวาดลานหินอย่างสะอาดงาม
ให้เธอได้พักบ้าง
หลังจากเดินปีนเขาไปมา
จนล้าแรงแล้วไม่รู้ว่าจะสักกี่กิโลเมตร
หากนับเป็นระยะทาง
เธอ ...
จึงนอนแย้มยิ้มยินดีพลีใจฝัน
เมื่อจิตสงบงามดีแล้ว
หลังจากหลั่งรินน้ำตาไปกับฟ้ายามค่ำ
ฟังเสียงเรไรร่ำร้อง
ราวดนตรีธรรมชาติ
มาวาดพลีบูชาเทพแห่งไพร เทพีแห่งไพร
และกับ
ดวงใจแสนรื่นรมย์เป็นสุข
เธอนอนแย้มยิ้ม
เพราะนึกตลกคนงานหนึ่งในสิบ หยิบมือเดียวของเธอ
ที่ต้องนุ่งโสร่งพันทับกางเกงทำงาน
เขาเพียรอธิบายว่า
เพราะทำให้เขาทำงานสบายสะดวกขึ้น
ทั้งๆที่เธอดูจะแสนเกะกะตา หากทว่าเขาบอกว่ามันทำให้ชิน
คนงานคนนี้ที่ตาเศร้า และขยันมาก
ที่เฝ้าวอนของาน
บอกว่าเมียเพิ่งตายได้แค่สองเดือนเอง
และ
ลูกก็ยังไร้เดียงสา รอท่าพ่อหาเงินส่งกลับบ้าน
เขาบอกเมียเป็นไข้ ยามไร้เขาไม่ยอมกินยา กลัวมาก
และหากมีเขาเคียงข้างถึงจะกิน
และ
เธอก็สิ้นลมอย่างอ้างว้าง
ไร้ร่างเขาเคียงคู่ดูลมหายใจสุดท้าย
ที่พรายพลัดไปในยามพลบค่ำ
เพราะ
เขาต้องมาทนตกระกำลำบาก
เพื่อทำงานเพื่อเงินงาม เพื่อปากท้องที่ร้องหิวโหยที่เฝ้ารอ
นี่คือละครโลก ละครชีวิตจริง
ที่มากโศกพรากสุขทุกข์กระหน่ำแด่ผู้ยากไร้
หากยอมพ่ายแพ้...จักหยัดยืนไม่ได้
จักต้องตายไปด้วยความตรอมตรมระทมทุกข์
แต่สำหรับเขาคือผู้กล้า
ผู้ขอทายท้าชะตาโชค
อย่างมิยอมงอมืองอเท้า
จึงทำงานได้ทุกสิ่งอันพันละน้อยค่อยๆเก็บหอมรอมริบ
เพื่อแลกกับการได้ฝันไกลไปให้ถึง
มีเงินสักก้อนหนึ่ง
ไปต่อสายใยชีวิตให้ลูกน้อยตาดำดำ
ที่เฝ้าคอย...
เธอ..จึงแสนเศร้าหากคิดมาก
นอกเสียจากรู้ทำใจให้ใสว่าง
หัดวางว่า *วิบากใครวิบากเขา*
วิบากเรา เราก็รับ
หากให้พิงพักได้
ก็แค่โอบเอื้อช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้
แก่เพื่อนมนุษย์
ผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
เธอ..
จึงนอนนิ่งมิไหวติง มิคิดใดนานให้รานโศกสลดใจ
ทั้งๆที่ในตัวปวดร้าวระบม ราวพิษไข้
จึงแค่ราวนอนสมาธิภาวนา
พยายามใช้ลมหายใจเข้ากำกับไว้ว่า
ให้วาง ว่างใส ไม่เจ็บไม่ปวดรวดร้าวใด
เพียงแค่ตามลมหายใจทุกอณู
นึกรู้ละเมียดละมุน อย่างช้าช้า
ไป
กับฟ้ากว้าง
กับพร่างระยิบใบของพันธุ์ไพรพฤกษา
ที่กำลังร่ายฟ้อนทาบไล้ด้วยพรายแดดสีทองอันอ่อนอุ่นเอิบอาบ
กับเสียงอ้อนของชะนีป่าเพรียกหาตัวผู้
กับเสียงกู่ของสายลมกลางวสันต์..ราวพายุกำลังจะมา
กับฟ้าเริ่มพรายแสงสีฉ่ำเย็นเป็นเรียวรุ้งที่ใกล้ค่ำเต็มทีแล้ว
คนงานเริ่มหยุดพัก
พร้อมกับเดินมาทายทักเธอ
เธอเผยอตัวดูฟ้าสลัวสลัวด้วยพรายหมอกตรงหน้า
เบื้องล่างนั้น
คือทะเลเหว่ว้า
เวิ้งน้ำสีทองรับฉ่ำฟ้าแสงสีแสนสวย
ทอทาบไล้ไปด้วยตามตะวันสีทอง....
นกกาเริ่มบินกลับรัง
ทะเลฝัน ผืนกว้างตัดเส้นขอบฟ้าไกล
ดูละลิบในเงาเมฆหม่นรางเลือน
เสมอเสมือนดั่งวิมานหล้าในนาทีนั้น...!
.....................................................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2379.html
วนาสวาท .........ม.ร.ว.ถนัดศรี-รวงทอง
ช ฉันคิดถึงเธอ ตั้งแต่หัวค่ำ จนอุษาสาง
ญ จนอุษาสาง
ช ด้วยเกิดความรัก ผุดขึ้นที่กลางหว่างหทัย
ญ หว่างหทัย
ช พอรู้ตัว ก็รักเธอ เต็มดวงใจ
ญ รักเต็มดวงใจ
ช ยอดพิสมัย ยอดรักอาลัยโอ้จอมขวัญชีวี
ญ ฉันคิดถึงเธอ ตั้งแต่หัวค่ำ จนอุษาสาง
ช จนอุษาสาง
ญ ด้วยเกิดความรัก ผุดขึ้นที่กลางหว่างฤดี
ช หว่างฤดี
ช ใจเราตรงกัน
ญ วิญญาณสัมพันธ์
ช เพราะวนาลี
ญ วนาลี
คู่เราจะรักภักดี ร้อยวิญญาณชีวี
ที่วนาลีเอย
ดนตรี
ญ ฉันคิดถึงเธอ ตั้งแต่หัวค่ำ จนอุษาสาง
ช จนอุษาสาง
ญ ด้วยเกิดความรัก ผุดขึ้นที่กลางหว่างฤดี
ช หว่างฤดี
ช ใจเราตรงกัน
ญ วิญญาณสัมพันธ์
ช เพราะวนาลี
ญ วนาลี
คู่เราจะรักภักดี ร้อยวิญญาณชีวี
ที่วนาลีเอย...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song401.html
ฟ้าแดง .......สุนทราภรณ์ อโศก สุขศิริพรฤทธิ์
สนธยาฟ้าแดง
สุรีย์ร้อนแรงโรยอ่อนรอนแสงหม่นมัว
สกุณาเรียกหารังตัว
ชะนีเรียกผัว รัวเร้าร่ำกำสรวล
โอ้ชีวิตชีวิตจิตใจ มันหนาวเย็นเป็นไข้
พิไลพิลาศครวญ
สิ้นตะวันสรวลสันต์จาบัลย์รัญจวน
เห็นลางพบพรางร่างนวล
ให้โหยหวนชวนเศร้า
สิ้นแสง สิ้นสีโศลกแดงแฝงแทงใจเรา
สายัณห์เงื้อมเงา
ลบล้างสล้างเสลา จางห้วงหาวพราวใจ
ฟ้าแดง ฟ้าแดงผันแปรเปลี่ยนแปลงแผลงไป
ตราบอาสัญฉันยังฝันใฝ่
จูบแดนฟ้าอาลัย ฝังรอยรักใคร่ฝากเธอ
สิ้นแสง สิ้นสีโศลกแดงแฝงแทงใจเรา
สายัณห์เงื้อมเงา
ลบล้างสล้างเสลา จางห้วงหาวพราวใจ
ฟ้าแดง ฟ้าแดงผันแปรเปลี่ยนแปลงแผลงไป
ตราบอาสัญฉันยังฝันใฝ่
จูบแดนฟ้าอาลัย ฝังรอยรักใคร่ฝากเธอ...
...................
15 มกราคม 2551 11:23 น.
พุด
ค่าของคนคืออะไรใครหมายรู้
เกิดดับอยู่เคียงธรรมชาติเช่นฉะนี้
งดงามเรียบง่ายดวงชีวี
เพียงใช้หนี้เพรงกรรมเคยทำมา
มิสะสมหลงโลกย์โศกแลสุข
เพียรพ้นทุกข์สร้างกุศลพลีแด่หล้า
ให้น้ำใจดั่งหยาดน้ำค้างมิร้างรา
สิ้นปรารถนาใดใดไม่ยึดตน
เดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท
มิให้คลาดเทิดเหนือเกล้าเป็นล้นพ้น
จิตตระการบานรับแสงทองดั่งอุบล
มิหลงวนเวียนว่ายหมายฝากดี
ค่าของคนจึงงดงามด้วยวางว่าง
ไร้สิ้นร่างหมายเพียงบุญในชาตินี้
ก่อนสิ้นแสงตะวันใจดวงชีวี
ได้พบพลีพุทธศาสน์คุ้มชาติแล้ว..
....................!
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song7122.html
ใต้แสงตะวัน
มอง ออกไป
ในความคุ้นเคย
ท้องฟ้าดูครึ้ม
มืดมัวไม่เคย จางไป
ไม่เคยมองเห็น
สายลมที่อ่อนไหว
ไม่เคยมีดวงไฟ
สักดวงที่คอยส่องทาง
เจอ หมอกควัน
จนชินสายตา
เหมือนโลกใบนี้
ไม่เคยพบเจอ ตะวัน
มองไปทางไหน
มืดมนและอ้างว้าง
ได้แต่เดินคนเดียว
ลำพังไม่มีจุดหมาย
แต่พอมีลำแสงหนึ่ง
ที่ทอแสงมา
เมฆฝนบนฟ้า
ก็ดูคลี่คลาย ออกไป
เริ่มมีความ รู้สึก
ที่เป็นด้านใหม่
ยังมีชีวิต
อยู่ภายใต้แสง ตะวัน
ดวง ตะวัน
ดวงเดียวที่มี
เติมไฟชีวิต
และเติมพลัง แรงใจ
คอยเติมความฝัน
ให้มีวันสดใส
หากวันใด ใจเรา
ต้องทนกับความอ่อนล้า
แต่พอมีลำแสงหนึ่ง
ที่ทอแสงมา
เมฆฝนบนฟ้า
ก็ดูคลี่คลาย ออกไป
เริ่มมีความ รู้สึก
ที่เป็นด้านใหม่
ยังมีพรุ่งนี้ ที่ยังมีหวัง
ตะวัน ยังยืนยงอยู่บนฟ้า
คอยนำทางให้ชีวิต
ไม่มีอะไร ที่หมดหวัง
จากวันนี้
แต่พอมีลำแสงหนึ่ง
ที่ทอแสงมา
เมฆฝนบนฟ้า
ก็ดูคลี่คลาย ออกไป
เริ่มมีความ รู้สึก
ที่เป็นด้านใหม่
ยังมีพรุ่งนี้ ที่ยังมีหวัง
เดินทางต่อไป
ด้วยความมั่นใจ อีกครั้ง...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song909.html
แสงดาวแห่งศรัทธา
พร่าง พรายแสง
ดวงดาวโน้ม สกาว
ส่อง ฟากฟ้า
เด่นพราวไกลแสนไกล
ดั่ง โคมทองรองเรืองรุ้งในหทัย
เหมือน ธงชัย
ส่องธรรมจากท่วงทุกคน
พา-ยุฟ้า ครึ้มโครม ทุกทาง
เหมือน ละยาม แผ่นดิน มืดมน
ดาว ศรัทธา
ยังส่องแสง เบื้องบน
ปลุก หัวใจ ปลุกคนอยู่มิวาย
ขอ เยาะเย้ย
ทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ
คน ยังคง ยืนเด่นโดยท้าทาย
แม้น ผืนฟ้า
มืดดับเดือนลับละลาย
ดาว ยังพราย ศรัทธาเย้ยฟ้าดิน
ดาว ยังพราย อยู่จนฟ้ารุ่งราง
ขอ เยาะเย้ย
ทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ
คน ยังคง ยืนเด่นโดยท้าทาย
แม้น ผืนฟ้า
มืดดับเดือนลับละลาย
ดาว ยังพราย ศรัทธาเย้ยฟ้าดิน
ดาว ยังพราย อยู่จน
ฟ้ารุ่งราง...