กลีบดอกไม้โรยร่วงจากต้นรักนิรันดร์ ลงสู่ริมประตูกระท่อมแห่งความฝันอันแสนว่างเปล่า อย่างแช่มช้า ฟ้าแย้มสีโศก รับโลกของหญิงหนึ่ง ที่ยืนนิ่งงันไปกับสวรรค์วิมานหล้า มนตราทวารวดี วิมานที่ดารารายพรายพร่างนับแสนล้านดวง เธอ..ยิ้มรับดวงตะวันสีไพลแสนเศร้าแห่งฤดูใบไม้ร่วง ที่กำลังลาดวงเหนือทิวเขาซ้อนสลับสล้าง อย่างอ้างว้างใจ ทิวไผ่ริมไร่ ระบัดร่ายราวกำลังครวญคร่ำ ถึงคืนค่ำ... ที่เธอมียังมีอ้อมอกอุ่น...โอบประโลม...!
ใครใครขานนามเธอว่าดวงดอกไม้ หากเป็นได้ขอประดับไทยทุกแห่งหน ลดโศกรานลบรานร้าวในใจคน ให้กมลอ่อนหวานประมาณกัน เป็นดอกไม้ประดับหล้าจรุงกลิ่น เฝ้าประทิ่นให้หอมในอ้อมขวัญ ทุกคืนค่ำเคียงข้างน้ำผึ้งจันทร์ ให้หลับฝันแสนสุขลุกสู้วัน เป็นดอกใดก็งามแผกงามแตกต่าง เพียรผลิสร้างโลกสวยอย่างสร้างสรร เป็นบัวทองงามบูชาพุทธพรรณ ฤาจะฝันเป็นดอกหญ้าค่าเพียงดิน เป็นดอกพุดพิสุทธิ์ซ้อนอรชรเศร้า เป็นดอกพราวมะลิมาลัยในถวิล เป็นดอกบานชื่นดอกสายหยุดหอมระริน เป็นราตรีกลิ่นหอมแรงราวแสร้งราน เป็นจำปีคลี่กลีบนวลละมุน เป็นแรกรุ่นกุหลาบสาวหวานแสนหวาน เป็นพุดตานยามสายกลายสีสราญ ขอเพียงบานประดับใจประดับไทยไปนิรันดร์...!
วิเวกเอ๋ยวิเวก คอยสรรเสกโลกภายในสงบใส ไร้ยึดมั่นฝันมายากิเลสใด ปล่อยให้ใจสงบพบทางบุญ โลกอุตสาหกรรมไกลห่างทางสงบ เพียงให้พบความอยากมากขึ้นตามโลกหมุน ผลิตวัตถุมากมายรายรอบให้ว้าวุ่น หลงระบบทุนนิยมยอมเป็นทาสปราศจากตรอง โลกวิเวกเริ่มจากกายไร้ปรารถนา ทุกมายาวัตถุสิ้นทั้งผอง รู้สงบรำงับดับอยากได้มิหมายครอง จิตเลิกปองฝันใฝ่ในสิ่งลวง แล้ววิเวกภายในจักใสพร่าง จิตกระจ่างเตือนตนพ้นห่วงหวง ไม่ว่ารักฤาชังมิหวังได้ใดทั้งปวง เห็นโลกลวงมิหลงมั่นอันตรธาน ช้าช้า...เคลียร์ปัญหาคาใจออก กระซิบบอกกับจิตตัวอย่างกล้าหาญ อยู่ลำพังกับธรรมชาติงามมิร้าวราน ดั่งบัวบานลอยเหนือโลกสิ้นโศกเอย....! ...................
นานเหลือเกิน... ที่ไม่ได้เอนกายนอนในกระท่อมหลังคาจาก ได้ยินเสียงดุเหว่าแว่วมา... ฉันหลับตาหากได้หอมดอมกลิ่นดวงดอกการเวก ที่..อวลลอยลมมา ไกลโพ้นในจินตนาฝัน ฉันเห็นตัวเองวิ่งระเริงร่า ในท่ามทุ่งกว้าง กับฟ้ากระจ่างสี และ.. มวลหมู่ดวงดอกไม้สุมาลีสล้าง หลากสีสันหลากพรรณ ต่างผันดอกมาแย้มยิ้มพริ้มเพรา รับขวัญฉันอย่างอ่อนหวานงดงาม ฉัน..ไม่ได้หลับไปดอกนะ หากทว่า.. เมื่อใดที่จิตใสใจปรารถนา จะพาดวงจิตน้อยๆไปสถิตทอดที่ไหน ก็ไปได้ไม่ยากเลย ฉัน..คิดว่า..ดวงใจฉัน มีปีกอิสรา.. ที่พร้อมจะพาร่างฉันเหินบิน ไปสู่ทุกแดนดิน ที่ยังคงมีความเป็นธรรมชาติ ทั้งป่าใหญ่ไพรกว้าง ทั้งทุ่งว่างโล่งแลละลิบด้วยรวงทิพย์รวงทอง หรือ.. บึงหนองคลองใส สายธาราระรินไหลอย่างช้าช้า เห็นแม้นกระทั่ง.. ปลาตัวน้อยๆค่อยๆว่ายลอยล่องท่องธารามา ฉันเห็นกระทั่งผีเสื้อนับพัน ที่กระพือปีกพากันบินโฉบอย่างไม่กลัวเกรงผู้ใด อวดปีกสวยใสแสนหวานออกมา ให้เราได้เห็นลีลาวัฏฏวงจรชีวีชีวิต สุดท้ายฉันเห็น... ภาพตัวเองนอนนับดาวอยู่ตรงนอกชาน วิมานดาวราย วิมาน...ที่พราวพรายด้วยดวงดาริกาดารดาษ วิมานบริสุทธิ์สงบสว่างสะอาดแสนพิลาสพิไล เพราะ.. ได้แลเห็นความยิ่งใหญ่แห่ง *สุดแดนดาวสกาวกระจ่าง ด้วยทางช้างเผือก* และ.. นั่นคือโลกเลือกของฉัน.. ที่...จะฝันจะจินตนาการ ด้วยความงดงามแห่งดวงมณีแห่งจิตดวงนี้ ที่พลีพร้อมยอมรับ.. ความเป็นธรรม ธรรมชาติ สัจจธรรม..อันคือพลังแห่งมหัศจรรย์รัก อัน...จักตราไว้ในดวงจิต ตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่...!
เดือนครึ่งดวงลอยค้างฟ้า โลกเหว่ว้าเงียบงันขวัญพบสุข ทุกเรื่องราววันวานแห่งความทุกข์ ไร้รานรุกเข้ามาครองสี่ห้องใจ อาจจะเป็นเพราะจิตว่างกระจ่างแจ่ม ดวงดอกไม้แย้มรายรอบเรือนไสว การเวกเสกสายหวานมารำไร วิมานไพรประโลมฝันวันลำพัง ฟังเสียงธรรมทองก้องเต็มหู จิตรับรู้มนต์นิยามแห่งความขลัง เพิ่มงามเงียบสงบศรัทธาพลัง แล้วก็นั่งนิ่งนิ่งยิ่งล้ำลึก เหมือนไร้ร่างว่างเปล่าในเงาฝน เหมือนกมลผสานธรรมย้ำรู้สึก เหมือนสิ้นกรรมย้ำวนในเนานึก เหมือนรำลึกอดีตที่ผ่านมา..มายาจินต์....!