28 มีนาคม 2549 18:10 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4414.html
......
ตะวันแห่งอรุณรุ่ง..
กำลังผันดวง..เยี่ยมโพยม
แย้มสาย..พรายแสงมาทายทักผม..แลผืนหล้า
ในเวลาอุษาสาง
ที่...
หยาดพราวน้ำค้างยังหยดเย็นเฉกเช่นทุกวัน
ผมค่อยๆ...ลืมตา..
มองลอดบานหน้าต่างออกไป..
ดูฟ้าเมืองลวงเมืองหลวง
ที่..
ถูกปวงควันมลพิษ
พากันพ่นใส่ จนหาความกระจ่างใสแทบไม่มี
ม่านเมืองถูกแหวกด้วยสรรพเสียงอึงอล
ทั้งเสียงแห่งรถยนต์
เสียงผู้คน
เสียงนกกา...ที่ต่างพากันตื่นแต่ย่ำรุ่งมุ่งหาเช้ากินค่ำ
อันคือวัฏวนแห่งการดำรงชีวิตรอดให้ปลอดภัยไปวันวัน
ในศีรษะผมปวดหนึบ จนผมรู้สึกร้าวรวดไปทั้งขมับ
และ...
ทำให้ผมแทบไม่อยากขยับตัว..ลุกจากที่นอน
ผมเหลือบแลเวลา จากนาฬิกาปลุกแบบพรายน้ำ
ที่วางไว้บนหัวเตียงเคียงหัวนอน
ที่กำลังชี้เข็มบ่งบอกเวลาหกโมงครึ่ง
นาทีต่อมาผมค่อยรู้สึกดีขึ้น
เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า..
นี่คือ....
เช้าวันหยุด..
ในท่ามฤดูร้อน
ที่..
ผมนอนราวปลาถูกอบย่าง
อย่างแสนอ้างว้างแล้งไร้ ในตึกสูง ดงเมือง
และ..
แสนไม่ประเทืองประทับใจเอาเสียเลย..
เพราะ..
ไร้เครื่องทำความเย็น
ที่ผมคนเข็ญคนยากไม่มีปัญญาพอจะจ่ายค่าไฟ
สำหรับ..
ให้ร่างกายได้รับความสะดวกสบาย
ได้..
ผ่อนคลายจากอากาศร้อนวิปริตผิดธรรมดา
ที่นับวัน..
ดูเหมือนว่าจะร้อนยิ่งกว่าร้อน...ร้อนเสียยิ่งกว่านรก
ที่ผมคิดว่า..
ผมกำลังตกอยู่อย่างไม่เต็มใจ...ในทุกวี่ทุกวัน..เลยทีเดียว
นี่...นับเป็นวิบาก
หากคิดตรองให้ดี กับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวาชีวีผม
ที่..
ผมจำต้องชดใช้
แม้น...มิได้เลือกอยากจะเป็น ที่จะเป็น
ให้...มาตายร้อนไร้เย็น
ในท่ามเมืองหลวงอันแสนศิวิไลซ์ของใครๆ
แต่..
คงมิใช่..คนที่มีหัวจิตหัวใจอย่างผม..
*ลูกชายชาวนา
*ที่บ่มรักวิถีข้าวกล้า รักวิถีนาวิถีไร่
แห่งความเงียบงามสงบสุข
รักที่จะรู้หยุด รู้พอ
มิเคยอยาก จะขอมี..ขอเป็น..อะไรมาก
แค่..
อยากได้ฝากกาย
ได้ใช้ชีวิตจิตวิญญาณราวบัวบานตระการเกษม
เหนือน้ำ..ในบึงกว้างบริสุทธิ์ใส ห่างไกลกิเลสใดใด
.............
ผม..หยุดคิด
ละ..วาง
หยุดการปรุงแต่ง ที่จักปล่อยจิตเผลอใจให้เตลิดไปในทางลบ
จบด้วยการใช้ความ*รู้สึกตัว* มาตามทันมโนกรรม..
จากความรู้ทันเท่าทุกข์ที่มากระทบ
รู้สยบกิเลสเวทนา
ให้ปลงเสียว่า..ทุกอย่างนั้น..
*สำคัญที่ใจ*ดวงภายในของเราเอง
และ..
ไม่ว่าสิ่งใด
มาทำให้วังเวงทุกข์สุขหนาวร้อน ก็จักผ่อนคลาย
หาก..
รู้เพียรวางกายและจิตเราให้ร่มเย็นเป็นพอ
อันคือ..
สิ่งที่บางครั้ง เรามิหวังให้มันเป็นไป
หากไยเล่าช่างยากเย็น...
ที่จักหลีกพ้น
ต้อง...ทนรับทุกข์บุกโหมโถมใส่
จนแทบตั้งจิตตั้งใจรับแทบไม่ทัน
หาก..
ไม่รู้จักใช้น้ำอมฤตธรรม
มาน้อมนำมาชื่นชโลม ปลอบประโลมให้
ดวงใจใสเย็น..ชุ่มฉ่ำบานฉ่ำ พอที่จะรับวิบากกรรมได้
อย่าง...
มิให้เสียชาติเกิดที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา
ที่พระบรมศาสดา
ได้ทรงค้นพบ*สัจธรรม
*ที่ล้ำค่าควรคู่คนมาฝากให้
มวลหมู่มนุษย์ผู้อยากหลุดพ้นทุกข์
ได้นำมารินร่ำดับร้อน..
..
ผมนอนนิ่งๆสักพัก..
ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดบทเพลงบรรเลง
*นิพพาน*
ให้ดวงจิตดวงรานด้วยร้อนผัสสะ...ได้เยือกเย็นลง..
ให้..
ปลดปล่อยปลง ในวัฏสังสาร อันจักไม่ช้านาน
ไม่ว่าจะพานพบเรื่องทุกข์ สุขใด ก็จักดับไป
กลาย...เป็นดิน น้ำลมไฟ คืนผืนหล้า อย่างมิอาจหนีพ้น
ทั้งคนจนคนรวย
คนสวยคนมิงาม
ใครจะล้นหลามด้วยบารมีประการใด
มี..
สิ่งเดียวไซร้ ที่รอเราอย่างเท่าเทียมเที่ยงแท้
นั่นคือความพรากจาก..
เพียง..
หากจะเหลือฝากไว้คือ*ค่าของคน*
แห่งการรู้บ่มเพาะเพียรภาวนา
สร้างเพียงคุณงามความดี
ที่..
น้อมพลีไว้
ประดับหล้าประดับโลกให้มนุษย์สิ้นโศก พบสุขนิรันดร์
.
ผมตั้งใจ จะใช้วันหยุด ไปตามฝัน
ในเส้นทางธรรม ธรรมชาติ ธรรมดาๆ
พาใจดวงเหว่ว้า ว่างเปล่ารักเหงางามเงียบ
ไปสัมผัสฟากฟ้ากว้าง
ทายทักทุ่งร้างแรมรวง..หากมิไร้รัก
ที่..
ทำให้ผมราวกับนกไพรผู้มีหัวใจพเนจร
พาหัวใจอันสิ้นไร้พันธนา
โผผินบินถลาอย่างแสนอิสราเสรี
ได้ผ่อนคลาย ร่างเบาสบาย..ราวปุยเมฆแสนนุ่ม
แสนละมุน ราวกับมี..หอมกรุ่นแห่งเกสรดอกไม้ธรรม
กำลังแย้มระรินร่ำเผยกลิ่นกลางกลีบแย้มช่อ
แตกกอไสว..
ณ..ภายในบึงใจอันแสนใสว่างกระจ่างแจ่ม..จรัส
ด้วยรัศมีเย็นแห่งพลังสดฉ่ำจากธรรมชาติ
นาทีนี้ตรงหน้า
คือท้องร่องของเรือกสวนไร่นาสวนผสม
ที่แบ่งสัดส่วนอย่างลงตัว
ตามแนว
*หลักทฤษฎีใหม่*
ไว้สำหรับปลูกข้าวกล้า
รอ..น้ำฟ้าในฤดูวสันต์
มาปันพลีให้ผลิเรียวรวงระย้าย้อย
ห้อยเมล็ดอัญมณีสีทองผ่องพราย..ลงไคล้เคล้าคลอเคลียดิน
ให้ท้องไทอิ่มเอมมิสิ้น มีมีวันอดอยากอดตาย..
หากยังมีชาวนาคนยากมิทิ้งถิ่น
รู้ถวิลอนุรักษ์วิถีไทยวิถีทองวิถีทุ่ง
มุ่ง..ธำรง..*ภูมิปัญญาแห่งหยาดเหงื่อ*
เพื่อเป็นมรดกดำรงคง
ฝากเตือนใจไว้ให้ลูกหลาน
ไปตราบชั่วกาล นานเนานิรันดร์
ได้พึงเข้าใจว่า..
*อาชีพชาวนา*หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน*นั้น
คือ..
อาชีพอันมิสิ้นความภาคภูมิใจแห่งบรรพชน
ผองชนคนใต้หล้าใต้ฟ้าแห่ง*พุทธชมพูทวีป*
ที่มิ..
เร่งรีบเร่าร้อนหากรู้ผ่อนปรน..รู้อิงตนไว้กับธรรมชาติ
ที่ยากจะแยกจากกัน
ให้..
ยังมีความละเมียดละมุน
กรุ่นหอมด้วยมากมีประเพณีวัฒนธรรมอันแสนฉ่ำเย็นตามมา
อย่างที่นานาอารยะโลกต่างพากันอิจฉา..
ค่าที่
วิถีไทยวิถีทุ่งวิถีทองนี้
คือครรลองสอนให้มวลมนุษย์
ได้ยังมีใจดวงพิสุทธิ์ใส
ยังมีหัวใจงามดั่งทอง ไปตามครรลองแห่งธรรม..ธรรมชาตินั้น
อันคือ
ความเป็นธรรมดา
ที่เที่ยงแท้ สัจจะที่แสนแน่นอน
ใช่..เร่าร้อนแย่งชิงวิ่งวนในมายาโลกโศกวัตถุทุรนทุกข์
ใช่..สุขว่าง วาง สอนกระจ่างจิตให้เพียงรู้อยู่รู้พอ..
.......
ผม..เดินลงไปดูบึงบัวบางบึงในจำนวนหลายสิบบึง
ที่..ณ..บัดนี้ยังมิแล้งน้ำ
เพราะ..
เจ้าของได้สร้างอ่างเก็บกักน้ำเอาไว้
ให้รอรับน้ำที่ได้มาจากระบบชลประทาน
เพื่อกันมาไว้ใช้ใน*นาบัว*
ที่เป็นนาทำกำไรให้เจ้าของได้ดี
เพราะ..
สามารถเก็บบัวดอกงามมากจำนวนนี้
ส่งไปวางขายจำหน่ายที่ตลาดได้ทุกวัน..
.......
ผม...เอนตัวลงนอนในเถียงนาน้อย
ก่อนผล็อยหลับไปกับสายลมเย็นในยามค่ำ
หูผมได้ยินเสียงเรไรร่ำจิ้งหรีดร้องก้องกรีดเสียงประโลม
โหมให้ห้องหัวใจผมที่แสนเหนื่อยอ่อน ได้ผ่อนพัก
หัวใจผมเต้นช้าลงๆ
ดำรงเพียงสติภาวนา
ไปกับ..
ฟ้ายามโพล้เพล้ที่แสนสวย
ด้วยลมหายใจที่ระรวยระริน
อย่างแผ่วเบาสบาย คลายยึดมั่นถือมั่น
ในทุกทุกข์สรรพสิ่ง
มโนจิตผม..
ราวกับฝันพลันเกิด*ดวงอัญมณีทิพย์*นิรมิตลอยล่อง
พาผมท่องไปเหนือบึงบัวฉัตรพรรณ อันตระการสี
ผม..ได้ยินเสียงเกษมยินดี จากมากมีผู้มีบุญญา
ที่นั่งในท่าสมาธิภาวนา..ณ..กลางกลีบบัวในบึงธรรม
ที่กำลังชูช่อพร่างพรายฉายฉันท์ฉัพพรรณรังสี
ในบึงสวรรค์นั้น .
พลันเอื้อนเอ่ยอวยพร..
*ตามรอยเรามา อย่ารอรี
อย่าเสียเวลา
ที่ได้เกิดมาพบเพรงบุญในร่มรัตน์แห่งพระพุทธศาสนา
และ..
มีทางเดียว...
ที่จะพบความกระจ่างว่างสว่างสงบเป็นนิรันดร์
ดั่ง*รัตนมาลีวิมุติ*
อันจักผุดผลิคลี่กลีบแย้มตระการบานพ้นน้ำ..เหนือน้ำในท่ามชน
ที่รอท่าเราทุกผู้คน หากมิหยุดเพียร...!!!!
**************************************
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4414.html
บัวแล้งน้ำ ....ต้อม เรนโบว์
คนเราต้องมี หัวใจ
ต้องมีเลือดเนื้อ ข้างใน
ต้องมีความดี คู่กาย
ต้องมีความหมาย ในตัวเอง
อดีตที่เคย ผ่านมา
เราคงต้องผ่าน พ้นไป
จะดีหรือเลว อย่างไร
ขึ้นอยู่กับใจ เราเอง
กระเสือก กระสน
ดิ้นรน กันไป
ก่อนเคย เลวร้าย
ก็ลืม ให้ลง
มีเพียง พรุ่งนี้
เรื่องเก่าเก่า ก็ปลง
ด้วยใจ ซื่อตรง
เราคง ได้ดี
ถ้าบัวไม่มี รากใบ
คงมองไม่สวย เท่าไหร่
ถ้าบัวแล้งน้ำ แห้งตาย
ไม่เหลือความหมาย ให้ชวนมอง
คนเราก็คง เหมือนกัน
นึกฝันแต่ความ ยิ่งใหญ่
หลงลืมว่าเคย เป็นใคร
สุดท้ายก็บัว แล้ง น้ำ
กระเสือก กระสน
ดิ้นรน กันไป
ก่อนเคย เลวร้าย
ก็ลืม ให้ลง
มีเพียง พรุ่งนี้
เรื่องเก่าเก่า ก็ปลง
ด้วยใจ ซื่อตรง
เราคง ได้ดี
ถ้าบัวไม่มี รากใบ
คงมองไม่สวย เท่าไหร่
ถ้าบัวแล้งน้ำ แห้งตาย
ไม่เหลือความหมาย ให้ชวนมอง
คนเราก็คง เหมือนกัน
นึกฝันแต่ความ ยิ่งใหญ่
หลงลืมว่าเคย เป็นใคร
สุดท้ายก็บัว แล้ง น้ำ...
24 มีนาคม 2549 11:42 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song287.html
ใกล้ค่ำ..ตะวันดวง..สีส้มสุกชัดยังจรัสแจ่มจ้า
ฝากแสงสีรุ้งร่ำลา ผืนนภา เหนือหล้าโลก
ร่างหนึ่ง..หยุดยืนนิ่งๆ
ใต้ตะแบกพวงม่วงละมุนปนชมพูพราวไปทั้งราวกิ่ง
เธอ..ยิ้มหวาน..รับ..ตระการจิตภายใน
ที่...
กำลังคลี่แย้มแง้มเปิดบานประตูแห่งหอมห้วงหัวใจ
ให้..รับงามอย่างรู้ค่ารักธรรมชาติ
เธอ..เดินทอดน่องช้าๆภาวนาสติไปตลอดทาง
บนเส้นทางสายสวยแสนสงบงาม
ที่ทอดเคียงขนานนาข้าว..ขจี..สุดลูกตา
เป็น..ทางลัดที่เธอหลงรักนักรักหนา
และ..
กำลังพาร่างเธอให้ไปพบจุดหมายปลายทางที่รออยู่
*สระว่ายน้ำ *
ที่ซ่อนความนิ่งเงียบเฉียบเย็น..ฉ่ำใส ในสวนสวย
แมกไม้ไทยที่ยังร้างไร้ผู้คน
ดวงดอกลั่นทม ..ผลิคลี่พลีหอมเศร้า
เฝ้าให้หอมหวนอวลอารมณ์
มารัดร้อยรัดรึงตรึงใจ
ให้เธอแสนซาบซึ้ง
จนต้องหยิบมาทัดแก้มแซมผมห่มหอมให้ดวงใจ
ชมพูพันทิพย์ไสวช่อ
รอ...ร่วงพราวประดับลานหญ้า
ราวพรมดอกไม้ฟ้า..พรายพร้อยชดช้อยชวนมอง
เธอ..จูงจิต..มาปล่อยให้มีชีวิตชีวา
ไปกับฟ้ากว้างใกล้ค่ำ
ในสายน้ำอันแสนใสฉ่ำเย็น
หลังจาก...เว้นว่างร้างแรมลามานาน...
เธอ..
คิดถึง...ทะเล..โอ้ละเห่...โอ้ละช้า
ด้วยใจดวงเหว่ว้า
ราว..เห็นภาพ*ตะวันลา*
พร่างแสงจรัสจ้า อาบฟ้างาม
โลมไล้กลางเกลียวคลื่นสีทองผ่องยองใย
ไปทั่วทั้งท้องทะเลระยิบระยับ..
เธอ..ปล่อยทุกสิ่ง ทิ้งร่างใจในสายน้ำ
มาเป็นปลา..โผผวา..แหวกว่าย
ให้สายชลได้พร่างพรมห่มผิวนวล ชวนให้เบาสบาย
ในขณะที่..
ตะวันกำลังพรายแสงลงมาไล้โลม..ปลอบปลุก
ให้ลบลืมความอ้างว้าง
แปรเป็นความว่างเปล่า ในเงาไม้ร่ายไหวกิ่งใบบัง
ดั่ง..
พลังแห่งสายธาราเกษมนั้น
ได้..ชำแรกแทรกซุกเบียดบุกมาสู่บึงใจ
ให้พบความเฉียบเย็นฉ่ำใสละไมละเมียดละมุน
จนราวได้รับไออุ่นเอื้อโอบ..
เธอ..ปล่อยวาง ร่าง รัง เรือน
เสมอเสมือน...
เปิดจิตปล่อยใจ ดั่งนกไพร ผู้มีวิญญาณเสรี...!
*****************
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song287.html
นัดพบ..
ถ้าเราจะนัดพบ กัน
เมื่อตะวันลับไม้
ฉันไม่หลอกจะบอกให้ อย่าเอ็ดไป สิจงฟัง
ฟัง สิฟัง สัก นิด
แล้วอย่าคิดว่าฉันสอน ว่าฉันสั่ง
ฟังสิฟัง ฟังกันเล่นเพลินเพลิน
แต่มันสุขเหลือเกิน ไม่เชื่อเชิญ ลองจำ
ถ้าเราจะนัดพบ กัน
เมื่อตะวัน พลบค่ำ
ธรรมชาติชุ่มฉ่ำ ฉ่ำชื้น ชื่น ใจ
ใต้ ร่มไม้ใบบางบาง แสงสว่างรำไรรำไร
ไม่ต้องระวังไม่ต้องระไว
จะอายทำไมกับพระจันทร์
ถ้าเราจะนัด พบ กัน
ควรให้จันทร์ เห็น ใจ
ลมอ่อนอ่อนพัด ผ่าน
ชูกิ่งก้านช่อใบ
บ้างก็แกว่งบ้างก็ไกว
บ้างเขยื้อนสะเทือนไหว
สะบัดใบไปตามลม
ผสมน้ำค้าง พร่าง พรม
เรไรจิ้งหรีดหวีดผสม
ต่างคลอต่างคล้อต่างล่ออารมณ์ เรา
ให้ชมให้ชื่น ใจ
นี่แหละถิ่นนัดพบ
แต่เราไม่พบกับใคร
เพียงแต่พบกับธรรมชาติ
แล้วเราก็อาจจะสุขใจ
ไม่ต้องไปพบ กับใคร ที่ไหน
เพลินใจ เพลิน ตา...
5 มีนาคม 2549 10:51 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song591.html
(ฝากหมอน)
.................
คืนเดือนเสี้ยว...ที่จันทร์ดูแสนเศร้า
และ...
ใจดวงร้าวของมวลมนุษย์ในหล้า ยังคงมากมายมากมี
ที่รอ..*ฝากใจไปกับจันทร์ ฝากฝันไปดาว *
เคล้า...ไปกับสายลมระริน..ระริน
ให้..
บินโบก ไปเหนือทางช้างเผือก เหนือโลกย์โศกสุขนี้
ไปสู่
แดนดินแห่ง*ฝันพลี*
ที่แสนว่างงามแสนกระจ่างสงบสุข
ให้..
หยุดทุกข์กับความคิดถึงใดใด..
ไม่อยากมีแม้นใครสักคนเคียงข้าง
ไม่ต้องอ้างว้างกับการ..รอรักใครมาเติมเต็ม...
สำหรับ..
ใจดวง..ราวได้ยินเสียงเพลง*เดียวดาย*ในคลองจิต
ราว..
ใครที่อยู่แสนไกลลิบมากระซิบร้องร่ำพร่ำบอก
ท่าม..ฟ้ากว้างเดือนเสี้ยว...
.................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song718.html
เดียวดาย
ขวัญ เอ๋ย
เคยภิรมย์ชิดชื่น สุขสันต์
หลง เพ้อฝัน
รักมั่น มิทันจะเนิ่น
เธอ เมินหมาง
โอ้ อ้างว้างอารมณ์ ฤดี
เหมือนโนรี
จากคอน หลงรังนอน
ลืม พี่ เหมือนชีวี
เดียวดาย เอกา
โอ้ ดึกเดือนคล้อย
เดือนเจ้าจะลอย จากตา
มอง นภายังเห็นดารา
เรียง ราย
เหลียวหา จนทิวาโฉมเจ้า แล หาย
หรือ รักแล้วแหนงหน่าย
รักเอ๋ย ลืมง่าย
ใย เมินเฉย
โอ้ ใจเอ๋ยใจเลย แรมรอน
ฉันยังจำ ติดตา
ทุกทิวาคืนก่อน
เหลืออาวรณ์ใจเอย ค่ำลง
โอ้ ใจสะท้อน
จะหลับจะนอนพะวง
ลืมไม่ลง
มันเหมือนมีมนต์ ดล ใจ...
...............
ตะแบกคงแบกบานหวานตระการเต็มราวกิ่ง
ก่อนจะพรากลา..
ทิ้งกลีบโปรยปลิดปลิวไปตามสายลม
เมื่อทำหน้าที่บานให้โลกชม ลืมหมอง..แล้ว..
แก้ว..
คงครองขาวพราวนวลไม่นานช้า
แล้วก็เช่นเฉกกัน
ก็จะพลันโรยร่วง ไร้รอยให้ใครมาหอมดอมชม..
ลั่นทม ชูดอกไร้ระทมดั่งชื่อ
หากไม่ยึดมั่นถือมั่น
ก็...
แค่ดอกไม้งาม ที่ประดับโลกหวาน
ให้น้อมนำมา...
เปรียบประมาณทุกข์
ยาม...
หัวใจไร้สุขพบขื่นขมตรมตรอม
และ..
หอมเศร้าดั่งเจ้าลั่นทมเทียบ
จำปี..ทีผลิดอกมิมีจำ..
ว่ากี่ปีกี่เดือนกี่วัน
ที่ยังเฝ้าคงมั่นจงรักภักดี
และ
ไม่ยอมจำปี จำเดือนจำวัน
มีเพียงภักดิ์มั่นเพียงนั้นเพียงนี้
พุดซ้อน..
ซ้อนซ่อนกลีบขาวพราวสดสุดสะอาดพิลาสพิไล
หาก..
ไยชื่อราวกลางกลีบใจมีอะไรซ่อนไว้อย่างล้ำลึก
ให้..
รู้สึกน่าค้นหาตามติด
ราวเสน่หา...คอยมัดจิตมัดใจ
ให้หวนหามิสร่างซา....
........
และ
ทุก..ดวงดอกไม้พรายพร้อยพราวประดับหล้า
หาก..
ยามใดถึงเวลา..
ก็จำต้องลากิ่งทิ้งต้น...อย่างมิอาจฝืนพ้นธรรมชาติธรรมดาๆ
..............
ผ่านรักผ่านรานผ่านร้าว
ผ่านเศร้าผ่านสุขมิอาจฝืน
ผ่านเวลาติดปีกฝันมิหวนคืน
ถึงจะชื่นถึงจะช้ำวันผ่านไป
อะไรเล่าคงเหลือเมื่อวันพราก
ที่จะฝากประดับโลกให้สวยใส
นอกจากดีนอกจากให้นะดวงใจ
อย่าท้อใจรีบสร้างเสบียงบุญ
ลืมเรื่องราวหนาวรักไร้สาระ
อธิษฐานสัจจะใจหอมกรุ่น
เพียรมิท้อก่อสร้างดี ด้วยละมุน
ตราบโลกหมุนวิปัสสนาพาพ้นกรรม..
...................
และ..
ในท่ามวันที่ฟ้าสีฟ้าสดกระจ่าง
ดวง..
พาร่างไปเดินในท่ามผู้คนอลหม่านนับหมื่น
ไปยืนดูนักดนตรีริมถนน
ที่ใช้มนต์เสียงเพลงเรียกรอยยิ้ม
ไปยืนนิ่งๆฟังเสียงไวโอลิน..พริ้งพราว
ที่..
กำลังบรรเลงครวญคร่ำ*เงาไม้*และ
พาให้ใจดวงสะท้อนสะท้านจิต
ไปกับวันเวลาแห่งชีวิต..ที่พรากลาไปนานนับหลายปี
ที่ใจดวงนี้..
ได้เพียรฝาก
*บทเพลงอมตะโบราณ*ไว้ในงานมากเรื่องราว
เพื่อ..
ปลุกวิญญาณแห่งค่าคำอันแสนล้ำล้นเลอค่านั้น
ได้กลับมาสนองเสนอคนรุ่นหลัง
ที่..
ยังมีพลังใจไฟฝัน
รักร่ายรจนาอักษราภาษาไทยอันแสนละไมละมุน
ที่นับวัน...
จะหลงเหลือคนสมาธิมั่น
ที่ยังพอมีเวลามาพลีแบ่งปัน
มาเททุ่มใจให้รักการอ่านเรื่องราวยาวๆ
เพราะ..
โลกทุกวันนี้ คลุกเคล้ามากมีเทคโนโลยี่ที่มาป้อนปรน
จนสบายให้รู้สึกเบื่อง่ายกับการทำอะไรนานๆ
.
ดวง...เดินเข้าร้านเครื่องแต่งบ้านโบราณ
ที่ผู้คนว่างวาย..
ราวได้ถอยหลังกลับไปในยุคเก่าก่อน
นั่น..
ตั่งไม้ ที่ในสายใจดวงเห็นหมอนขวานวางไว้
ให้เอนอิงพิงร่าง เคียงข้างด้วยเชี่ยนหมากทองเหลือง
ไม่ก็ลายฉลุเงินงาม..
โน่นบุษบกทองคำ
ภายในมีองค์พระพุทธรูปสุกปลั่งมลังเมลือง
ให้..ดูแสนอลังการในงานแกะสลักเสลา
เพรางามด้วยพลังศรัทธาปสาทะ
นั่น ระฆังแขวนไว้
ราวให้รำลึกนึกไปถึงโบสถ์คร่ำในวัดบ้านป่า
ที่..
พระสงฆ์ในจีวร งามแจ่มจ้ากำลัง ลงโบสถ์ทำวัตรในยามค่ำ
ให้..
จรัสรัศมีสีทองอันสว่างไสวนั้น ราวเส้นทางนำพาจิตวิญญาณ
ให้ผ่านภพภูมิแห่งทุกขเวทนา
อย่าได้วนมารับวิบากกรรมอีกเลย
ดวง...ยืนนิ่งงัน
กับมากสิ่งอันพันละเล็กละน้อย
ที่..
พาให้ใจดวงถอยหลังโหยหาเงางามในบุพกาลก่อน
ใจดวงอรชร ราวมีน้ำตาปิติล้นหลั่ง
ยามดวงใจ...
ได้อบร่ำด้วยกลิ่นไออวลแห่งนวลเนาในอดีตนั้น
............
ดวงได้..เสื้อผ้าไหมดีไซน์เก๋
ที่ใส่ได้สองด้าน
มีสีเขียวไพลและสีดำ
และ..
ยามใส่นั้นคงจะงามล้ำหากเกล้าผมสูงสวย
แล้ว..
เสียบแซมด้วยดวงดอกไม้ไทยไทยในวันมงคลงาน
กับ
ได้เชิงเทียน ที่มีสองอันในโลก
เพราะเป็นงานไม้ไผ่สาน
มาทดลองวางขายดูในตลาด
ที่ใจดวงเกิดพิสวาทและได้มา
กับได้
ดวงดอกกล้วยไม้งามแจ่มจ้า
บัวหลากสีมาพลีตระการ
ให้..
วิมานดินวิมานดวง... ได้ประดับ
และ....
ให้กับ...ใจดวงนี้ที่ยังรักความดายเดียวตลอดไป...
.....................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song591.html
ฝากหมอน...
คืน วัน นี้
ถ้า พี่ นอน หนุน หมอน น้อย
ใจ จง คล้อย
คิด ถึง น้อง เจ้า ของ หมอน
รอย แก้ม นิ่ม
ริม เขนย น้อง เคย นอน
หนาว หรือ ร้อน
หมอน คง เอื้อ อุ่น เจือ จุน
น้อง เคลีย แก้ม
ฝาก ไว้ ก่อน ให้ พี่
ซ้ำ กราบ ที่ กลาง หมอน
เคย นอน หนุน
ยาม พี่ แนบ หน้า นอน
หมอน ละมุน
จง หอม กรุ่น
แก้ม และ กราบ กำ ซาบ ทรวง
น้อง เคลีย แก้ม
ฝาก ไว้ ก่อน ให้ พี่
ซ้ำ กราบ ที่ กลาง หมอน
เคย นอน หนุน
ยาม พี่ แนบ หน้า นอน
หมอน ละมุน
จง หอม กรุ่น
แก้ม และ กราบ กำ ซาบ ทรวง...
.............
3 มีนาคม 2549 07:36 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song496.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5303.html
(ดอกหญ้า..หยาดรุ้ง)
.....................
เป็นวันในฤดูร้อน
ที่..
ดวงดอกไม้อรชรหลากสีสัน
ทั้ง..
ส้มแดงเหลืองชมพู ร่ายฟ้อนอ้อนฟ้าสีน้ำเงิน
แสนสดใสสว่างกระจ่างแจ่มไปทั่วทั้งผืนดิน
ผม..ลาพักร้อนและได้คืนกลับท้องทุ่งนา
ราวกับปลาผิดน้ำได้คืนถิ่น
ดงดอกกระถินยังไหวระบัด
โสนเหลืองพราวยังงามชัดตัดกับท้องทุ่งสีเขียวไพล
ตาลเดี่ยวยังยืนต้นสงบ สยบสายลมร้อน
มี..
เพียงบางคราวคอยพัดโบกโยกไกวเสียงแกรกกรากๆ
นาผืนนี้
ที่*รอยไถยังไม่แปร*
ยังไม่แพ้ นายทุนเงินงามงาบ
ที่ผมพลีเพียรซื้อไว้
เพราะ..
ไม่ใกล้ไม่ไกลเมืองที่ผมทำงาน
ให้..
ใจดวงละมุนหวาน
ที่รักนาข้าว สายธารและบึงบัวเป็นชีวิตจิตใจ
ได้มาเดินดุ่มดายเดียว
ในท่ามม่านหมอกสลัวในยามเช้า
ให้..
ดวงดอกน้ำค้าง..ดอกข้าวพราวพร่างเคลียระริมแก้ม
และ
เฝ้านอนตะแคงดู
ดวงตะวันสีไพลดวงใหญ่เท่ากระด้งฝัดข้าว
ที่
ค่อยๆลอยระเรี่ยเคลียยอดตาลทิวไผ่
แล้วค่อยๆทิ้งตัวหายลับฟ้าไปในยามค่ำ
ทิ้งไว้เพียงสายแสงตะวันรอน
อันแสนอ่อนอุ่น..
ไว้เอื้อโอบโลก
ดั่งสอนโศก สอนสัจจะ ชีวาชีวิต
ว่า..
ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ
ก็
ต้องตื่นมารับพลังใจไฟฝัน
เพื่อสรรสร้างสิ่งแสนดีแสนงาม
คืนกลับให้..
แด่ผืนดินนี้
ที่แสนร่มเย็น ให้ข้าวให้น้ำให้ปลา
ให้ได้ต่อเติมดวงชีวาชีวินมิรู้สิ้น
ผม...
จัดการทำความสะอาดกระท่อมดอกหญ้า ที่แสนงามง่าย
ที่ผมปลูกไว้เหนือเนินนา
ด้านหนึ่งจะมีเรียวรวงข้าวกล้าสุกปลั่งสีทองในคลองตา
อีกด้านหนึ่งนั้น
คือดงดอกหญ้าที่งามไสว
ชูช่อรับแสงตะวันสีไพล..โอนเอนไหวอ่อนในยามสนธยา
กับ..
มากมีมวลหมู่นกกาภมรบินว่อนภิรมย์
ให้ผมนอนชมราวกับอยู่ในท่ามป่าดงอัฟริกา
และ...
กับ..
เครื่องเรือนภายใน
ที่มีเพียงเตียงไม้ไผ่ลำใหญ่แบบโบราณ
ฝีมือช่างชาวบ้านดิบหยาบ
หากแสนดูดี
ที่ช่างงามติดดินเสียนี่กระไร
กับ
เสื่อผืนหมอนใบ และตั่งเล็กๆข้างเตียงเคียงหัวนอน
ที่..
ผมวางอุปกรณ์การเขียน
กับเชิงเทียนที่สานด้วยไม้ไผ่
ที่ผมจะใช้จุด
ให้..
พลังไฟฝันพลันบรรเจิดยามรจนาภาษาฝัน
ใกล้ค่ำ
ผม..
จึงเดินไปนอนเดียวดายใต้ตาลนา
หยุดคิด ทิ้งทุกข์ทุกสรรพสิ่งไว้ณเบื้องนอกบึงใจ
ไม่ไหวครวญหวนหา
ในม่านตา
มีเพียงม่านฟ้าแสนสวยแจ่มจรัส
งามราวภาพฝันสีรุ้ง รับเรียวเมฆ
ที่..
เสกสายแสนหวานหว่านฉาบอาบไปทั่วทั้งท้องนภา
บึงนาของผม ยังพอมีน้ำ
เพราะระบบชลประทานจะกักเก็บน้ำ
เอาไว้ให้พอเพียง ตั้งแต่ฤดูฝนพรำ
แล้ว..
ค่อยๆปล่อยมาในยามสายวสันต์ลาช่วง
ในยามหน้าร้อน
ผม..
เห็นช่อผักบุ้งอรชรทอดยอดโอบพรายงามเขียวไปทั่วทั้งบึง
เห็น..
ลูกควายสายน้ำนอนเคี้ยวเอื้องอย่างช้าๆ
ในปลักโคลนแสนเย็น
เริ่มเห็น..
จันทร์เพ็ญทอดวงแย้มบาน..หวานเหนือราวฟ้า
ขับนภาสีกำมะหยี่ให้งามพลีด้วยพรายแสงสีทอง
ที่..
กำลังจะสาดส่องมาโอบหล้าแทนพระอาทิตย์
เห็น..
ความมืดมิดค่อยคลี่คลุม
มาให้ทุกดวงใจได้ไหวร่างหลับนอนผ่อนพัก
เพื่อสู้ฝันรับวันใหม่
เป็นวัฎฎใจวัฎฎจิตวัฎฎชีวิต ที่ยากจะหนีพ้น
หากตราบใดยังต้องมีหน้าที่มีความรับผิดชอบ..
เห็น..
ดงตะแบกออกพวงม่วงละมุนพราว
ไปทั้งราวกิ่งจนแลไม่เห็นใบ
พาให้..
หัวใจผมแสนสุขนัก..ในยามนี้
มาตรแม้น...
ผม..
คนเบื่อโลกเมืองลวงเมืองหลวงเมืองบ่วงกิเลสมาร
เมืองที่ยังต้องหมุนไปตามกระแสโลกภายนอก
หาก..
มิใช่โลกภายใน โลกแห่งงามจิตใจ จิตวิญญาณ
บ้านภายในของผม
ที่..
ต้องการเพียงแค่ความสมถะสงบงาม
ท่ามโลกวายวุ่น
ชุลมุนด้วยกรุ่นกลิ่นการเมืองเรื่อง
ที่เราพลเมืองหนีไม่พ้น
ต้องทนๆไปวันวัน
รับรู้รับฟังเรื่องราว ที่ราวยากจะทวนกระแส
ที่..
มากแรงบ่าโหมให้ทุกข์มวลมนุษย์ยากหยุดนิ่ง
อยู่กับความพอดีพอเพียง
เลี่ยงกิเลสแห่งความอยากมากมี
ที่...
บางทียากจะเติมเต็ม
หากไร้ใจดวงใสเย็น
ดวงรักเงียบงามรักความสุขสงบมาแต่ดั้งเดิม
ผม..นอนทบทวน
หลากเรื่องราว มากมายในโลกหล้าใต้ฟ้าเมืองไทยเมืองทอง
เมืองธรรม แดนดินแห่งพุทธธรรมแห่งการพ้นทุกข์
ที่..
กำลังสุดแรงร้อนด้วยกระแสการเมืองที่วนไปวนมา
ราวกับจะกลับไปหวนหาเหตุการณ์ในอดีตอีก
ที่หาความสงบไม่มี
ที่ทำให้แผ่นดินนี้ยากที่จะพัฒนา
เพราะ...
ปัญหาสารพันอันเกิดมาจากความไม่สมานฉันท์
ไม่รู้รักสามัคคี ไม่มีความพอดีพอเพียง
ผม...
หนาวเหน็บในใจนัก
เบื่อโลกเต็มทน เบื่อคน เบื่อทุกสิ่งอย่าง
ใจดวงอ้างว้างของผมได้แต่ละเมอเพ้อรำพัน
ฝันหา...
เพียงแต่ชีวิตสงบเย็น
ภายใต้ร่มรัตน์ร่มฉัตร แบบคนโบราณแต่กาลก่อน
หากยากเข็ญที่จะเป็นไปได้...
ผม...
จึงแสนเดียวดายแปลกแยก ยิ่งขึ้นทุกวัน
จะมีก็ที่นาในฝันแห่งนี้
ที่
ให้ผมพอมีที่หลบซ่อนตัว
มา..เติมไฟฝัน
และ...
นอนนิ่งงันรับงามเงียบได้ในทุกยาม
ผม...
เดินไปตัดกล้วยน้ำว้าเครืองามและ
เก็บมะม่วงเขียวเสวยลูกโต
ตั้งใจ..
จะนำไปฝากเพื่อนร่วมงาน
ให้ได้ลิ้มรสอันแสนสดสุดมันส์จากสวน
แถมได้วิตามินล้วนๆ
เพราะผมปลูกตามวิถีธรรมชาติ
วันนี้..
ผมจะนอนฟังเสียง..ความเงียบ
ฟังเสียงกบเขียดเรไรจิ้งหรีดกรีดร้องผสาน
พร้อม..
กับนอนนับดาว ดูเดือนดวงหวาน
หยาดสายน้ำผึ้งพราย
ตรงนอกชานเรือนเพียงลำพัง
และ..หวังจะร่ายบทกวีสักบท
พลีกำนัล..
แด่ผืนดิน ด้วยความดายเดียวเงียบงามสงบใจ....
....................
เมื่อวันนั้นแปรผันเป็นวันนี้
ความรู้สึกดีดีที่เกิดก่อ
เป็นต้นไม้แตกฝันพลันแตกกอ
แตกต้นตอผลิฝันพรั่งเงาใจ
เงาตะวันเงาใดใคร่รู้จัก
เป็นเงารักอบอุ่นกว่าเงาไหน
ยัดหยัดอยู่สู้ท้ากว่าเงาใด
เป็นเงาใจแฝงฝังกับวันวาน
ดั่งดอกไม้เบ่งบานกลางขุนเขา
สะท้อนเงาดอกฝันอันไหวหวาน
เหมือนต้นกล้าเพาะไว้เพิ่งไม่นาน
ฤดูกาลผ่านมา...กล้าเติบโต
พร้อมตะวันระวีคลี่สาดส่อง
เป็นครรลองประกายให้ท้าโถม
ยังงามงดแม้อ่อนแสงแรงประโคม
อัสดงชมเงางาม....ว่าพร่างพราว...ราวตะวัน
.............
เพชรน้ำค้างวูบหล่นพรมไพรพฤกษ์
ยิ่งยามดึกหรีดหริ่งยิ่งสรวลสันต์
ขับแสงนวลชวนใจในเงาจันทร์
หยาดสวรรค์พร่างมาจากฟ้าไกล
หอมระรินกลิ่นบัวทั่วคุ้งน้ำ
สายชลงามร้อยดาวพราวไสว
จิตดึกด่ำล้ำลึกผลึกเงาใจ
หมู่มวลไม้ร่ายรำจันทร์เดือนเพ็ญ
ดั่งน้ำค้างกลางฟ้าที่ปรากฏ
หล่นงามงดกระทบใจในแรกเห็น
ชโลมโลกพรมฤทัยให้ฉ่ำเย็น
รักระเด่นรออุษามาเนิ่นนาน
จนดาวเลือนเดือนลอยคล้อยเคลื่อน
ยิ่งย้ำเตือนมั่นรักอักษรสาสน์
จะอยู่เคียงเรียงข้างนางนงคราญ
ดุจน้ำค้างเกาะเกี่ยวเรียวบุษบง
ตราบอรุณทอแสงแห่งขอบฟ้า
สกุณาเจื้อยแจ้วแว่วเสียงหลง
มวลดอกบัวคลี่ใบในแดนดง
น้ำหล่นลงบ่มงามกลางบ่วงใบ
เผยผลิค่าน้ำฟ้าอุษาส่อง
ตามครรลองระเหยเปรยรักไว้
จากหยดน้ำเกาะพรายกลายเป็นไอ
น้ำค้างไพรดั่งรักร้างตามเตือนมา
เห็นดวงจิตเห็นสัจความพลัดพราก
รอยร้างจากพรากไปให้ห่วงหา
แม้นงามหยดรดใจให้ตรึงตรา
ถึงเวลาต้องปลิดพรากไปจากใจ
อีกความนัยซ่อนเร้นเช่นหยดน้ำ
ระบัดงามครองทั่วบัวน้ำใส
กลิ้งเกลือกกลอกยอกย้อนบอนบัวใบ
ล่อดวงใจให้หลงตามนานชั่วกัลป์
..............
ณ..คิมหันต์วันระวี...ที่ผันผ่าน
ดอกหญ้างามบานรับ...กับวันใหม่
ดอกต่ำต้อยร้อยไออุ่น...กรุ่นพงไพร
อวลอุ่นไอไล่ลมหนาว...ร้าวดงดอน
เป็นดอกหญ้าน้อยนิด...จิตคิดหวัง
ฝันถึงวันพันธนา.....ท้าผยอง
จะโรยกลีบหว่านไหว...ไรละออง
ไปเกลือกกลอนรอยไถ.....ในดงดิน
จะยืนหยัดท้าสู้.....อยู่บนฝัน
บ่มเพาะพันธุ์เมล็ดงาม....สืบสานกิ่ง
ระบัดใบระยับย้า..... หญ้าแผ่นดิน
ชุบชีวินผองคนจน....ระทมกาล
มิใช่หรือคือดอกหญ้า.....ที่กล้าแกร่ง
สู้ลมแรงแผ่วแผ่วว่า.....ล้าความหวัง
คืนเหน็บหนาวพราวน้ำค้าง...นานเนิ่นวัน
ดอกหญ้านั้นฝันไปว่า......ฟ้าคือดิน
.........................
บทกวีโดย*ลำน้ำน่าน*
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4721.html
ข้าวคอยเคียว
ได้ยินไหมพี่ เสียงนี้ คือสาวบ้านนา
พร่ำเพรียกเรียกหา ตั้งตานับเวลารอคอย
คอยเช้า คอยเย็น ไม่เห็นสักหน่อย
ปีเคลื่อนเดือนคล้อย
รักเอ๋ยจะลอยรักเอ๋ยจะลอยแรมไกล
อีกเมื่อไรรักจะคืนรื่นรมย์
ตะแบกบานแล้วร่วง สีม่วง ที่พี่ชื่นชม
หรีดหริ่งระงม พี่ปล่อยน้องให้ตรมคนเดียว
รวงเอ๋ยรวงทอง ต้องร้าง คนเกี่ยว
รวงข้าวคอยเคียว
น้องนี้คอยเหลียวคอยนับวันรอพี่มา
กลับเถิดหนาสาวบ้านนายังคอย
ตะแบกบานแล้วร่วง สีม่วง ที่พี่ชื่นชม
หรีดหริ่งระงม พี่ปล่อยน้องให้ตรมคนเดียว
รวงเอ๋ยรวงทอง ต้องร้าง คนเกี่ยว
รวงข้าวคอยเคียว
น้องนี้คอยเหลียวคอยนับวันรอพี่มา
กลับเถิดหนาสาวบ้านนายังคอย...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5303.html
เพลงดอกหญ้า
ดอกหญ้า ดอกนี้
ไม่มี คนปอง
สายตา ที่มองต่างชั้น
ต่ำต้อย เจียมตน
เพราะความจนกั้น
ก็เพียงแค่ชั้น ดอกหญ้า
ไม่มีกระถาง
เพชรทองรองรอ
ต่างกันกับกอ ดอกฟ้า
ประดับ พงไพร
ท้องไร่ท้องนา
ตามวาสนาที่ มี
สาวบ้านนอก
อย่างฉันนั่นหนา
คล้ายดอกหญ้า
ริมบาทวิถี
แมลงคงหอม
ตอมบ้างบางที
แต่กลิ่นและสี
ไม่เคยเผลอให้แทะเล็ม
เก็บซ่อน ความสาว
แผลคาวไม่มี
ไม่มี แม้เท่าปลายเข็ม
หม้อแกง หม้อนี้
น้ำเนื้อยังเต็ม
ชอบหวานหรือเค็ม
ต้องเต็มใจเติม
เก็บซ่อน ความสาว
แผลคาวไม่มี
ไม่มี แม้เท่าปลายเข็ม
หม้อแกง หม้อนี้
น้ำเนื้อยังเต็ม
ชอบหวานหรือเค็ม
ต้องเต็มใจเติม...
1 มีนาคม 2549 20:44 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4658.html
แล้ว...
ดวงแก้วแสนงาม..
ก็กลับมาสู่อ้อมอกผมอีกคราครั้ง
เธอ..
ผู้หอบความงามความหวัง
พลังรักอันแสนแนบแน่น
มาสู่อ้อมแขนอ้อมใจผม...ในวันนี้
วันที่...ฟ้าทอแดดสวยไสว
สายลมร้อนเริ่มพัดไกวไหวระรวยระริน
ให้กลิ่นดวงดอกไม้ไทยในวิมานดินแห่งเรา
หวานยิ่งกว่าหวาน...หอมเสียยิ่งกว่าหอม..
ให้..
ดวงดอกพุดซ้อนอรชรบานเต็มราวกิ่ง
ผลิกลีบประดุจดั่งกุหลาบขาวพราวสะพรั่ง..เฝ้ารอรับ....
ดวงดอกตะแบก..
กำลังฟ้อนอวดสวยสี...ม่วงชมพู..
ดูตระการไปทั่วทั้งสองฟากฝั่งถนน..
และ...
ปนเปไปกับบรรยากาศการเมืองในเมืองกรุง
ที่กำลังร้อนระอุ..ยิ่งกว่าอุณหภูมิ..เสียอีก..
นกเขาไพร ตัวเก่าเจ้าประจำใจ
ยังคงเฝ้าจับกิ่งจำปีไกว
ไหวร้องพ้อรอรับขวัญเธอเสมอมา
และ
เฉกเช่นเดียวกับใจดวงดายเดียวเหว่ว้าของผม
ที่ได้รักเติมเต็มกลับคืนมา ณวันนี้ ในวันนี้...วันที่เธอกลับมา...
เธอ..คนดี..ที่ผ่านมา..มากเมืองทั่วทุกมุมโลก
ได้เล่าเรื่องราว
ที่..พลอยพาให้ผมสุขใจไปด้วย
เธอ...
นอนซุกตัวนิ่งนิ่งแล้วยิ้มพราย
ก่อนจะเล่าถึงบางสิ่งแสนมหัศจรรย์
ถึง...
วันหนึ่งในยามเช้าตรู่อุษาสาง
เหนือม่านฟ้าพุทธชมพูทวีป..
ขณะที่..
นกเหล็กสีเงินกำลังกางปีก
ที่ระดับความสูง38000ฟุต
ขณะ..
ที่เธอได้มีโอกาสเห็น
ดาวดวงหนึ่งลอยดวงแสนสุกใส
สกาวพราวพร่างด้วยรัศมีสีรุ้ง
งามปานประหนึ่งเนรมิตด้วยทิพย์สีแสง
อันหาคำมารำพันได้ยากแม้นเหมือน
ราวเธอกำลังตกอยู่ในห้วงฝัน
และ..
พลัน..
ตื่นขึ้นมาในอ้อมขวัญแห่งสวรรค์สรวง
ทันทีที่เห็นดาวดวงนั้น..
ลอยมาอวดโฉมประโลมใจอย่างสุกไสวแสนใกล้
ในยามนั้น..
ผู้โดยสารในเครื่องบินแบบแอร์บัส320
ที่กำลังมุ่งหน้าสู่เนปาล แดนดินแห่งฝัน
*สวรรค์หล้า..เทือกเขาหิมาลัย*
แดนดินที่จะมี*กุหลาบพันปี *
พันธ์ไม้ที่หายากหากจะพบแถบเทือกเขาหิมาลัย
เนื่องจากจะเติบโตได้ดีหากอยู่บนความสูงตั้งแต่ 1,300
เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
และ..
ดอกไม้ชนิดนี้
มักจะบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
และ...
จะมีสีสันต่างๆ อาทิ แดง ขาว ชมพู ..
................
ในยามนั้น...
ทุกคนกำลังสนิทในนิทราจนเงียบสงบไปทั้งลำ
ยานบุญกำลังลอยล่องพาเธอท่องเข้าไป
ในเวิ้งฝันแห่งไรแสงมวลเมฆแสนหวาน
ราวปานประหนึ่งสวรรค์เหนือหล้า...เพียงลำพัง
และ..
เธอมาทราบจากกัปตันทีหลังว่า
ดาวที่เธอเห็นแสนสุกสว่าง
เหนือม่านฟ้าพุทธชมพูทวีปนั้น
เรียกว่า
*ดาวเทพวีนัส หรือ ดาวประจำเมือง*
ดาวที่เธอบอกเป็นดาวรักนิรันดร์
ดาวคำมั่นสัญญาของ
มนุษย์ใต้หล้ามากมายมากมี ที่พลีใช้แทนฝันฝากใจ
แทนความห่วงใยคิดถึงคะนึงหากันและกัน
ยามชีวีชีวันพบกับการพรายพลัดพราก
ดาว...ดวง
ที่จะเห็นแจ่มชัดจรัสแสงยิ่งกว่าที่ไหนในโลก
ก็แถวประเทศทางแดนดิน
ถิ่น*ที่อยู่ของหิมะ(หิม+อาลย)
ที่เป็นเทือกเขาทอดยาวพาดผ่าน
พื้นที่ของ 5 ประเทศ
ปากีสถาน อินเดีย จีน ภูฎาน และเนปาล
เและป็นเทือกเขาในทวีปเอเชีย
ที่แยกอนุทวีปอินเดียทางใต้ ออกจากที่ราบสูงฑิเบตทางเหนือ
เป็นที่ที่มียอดเขาที่สูงที่สุดในโลก
เช่นยอดเขาเอเวอร์เรสต์
และ
ยอดเขาคานชังจุงกา (Kanchenjunga)
เป็นจุดกำเนิดของระบบแม่น้ำที่สำคัญของโลก 2 สาย
แอ่งแม่น้ำสินธุและแอ่งแม่น้ำคงคา-พรหมบุตร
พื้นที่ลุ่มน้ำของแม่น้ำหิมาลัย
ที่เป็นที่อยู่ของผู้คนราว 750 ล้านคน ซึ่งรวมถึงชาวบังกลาเทศ
.............
ว่าแล้วพาให้เธอรำลึกถึงบทกวี
ชื่อ*มิตรสนิทของหมู่เมฆ*
โดย
โกวิท เอนกชัย (เขมานันทะ)
ร่างของมหาบุรุษ นอนนิ่ง เหยียดยาว ดังหิมาลัย
ขุนเขาเย็นเยือกด้วยหิมะ งามลึกล้ำ
ในโมงยามอันเงียบสงัดนี้ มีเสียงกึกก้องของสำนึก
มาแล้วสู่โลก กระทำภาระกิจด้วยใจสมัคร เปี่ยมอิสระ
แม้ปฏิญญาตนเสมอเพียง "ทาสแห่งพุทธะ"
ชี้นำโชคชะตาตน เพียงเป็นผู้ประกาศธรรมนอกทำเนียบ
ดุจดังม้าป่าเผ่นโผนร้องเริงไปในท้องทุ่งแห่งญาณทรรศน์
ไม่ปรารถนาเครื่องทองและลาภยศมาเป็นอานและบังเหียน
คิดอิสระเพื่อแผ้วถางทางแห่งพุทธะ อันรกชัฏด้วยหยากไย่แห่งกาลเวลา
ทดลองความจริงของชีวิต ทวนกระแสโลก บูชาธรรม อุทิศแด่พุทธะ
พระผู้ทอดร่างเหนือพื้นดินแห่งกุสินครา
ตำนานชีวิตของผู้ประพฤติตนประหลาด ในหกทศวรรษที่แล้วมา
ประชาชนเล่าลือว่าเป็น พระบ้า วิกลจริต
บัดนี้ท่านนอนทอดร่างเหยียดยาวดังหิมาลัย มิตรสนิทของหมู่เมฆ
เปิดเผยความจริงแท้ งดงาม ลึกล้ำ เกินพรรณนา
มาจากแหล่งใดไม่มีใครรู้ จากลาไปหนไหนไม่มีใครทราบ
ช่วงมีชีวิตอยู่ ต่อสู้ชูประทีปธรรมคำสอนของพุทธะ
ประสานศาสโนวาทของปวงศาสดา เผยแผ่ให้แลเห็นเป็นเอกภาพ
ถูกสาดโคลนใส่ร้ายป้ายสี อกุศล ก็ไม่นำพา
ปีเดือนผ่านไป ยังคงมั่นดังขุนเขา หนักแน่นเสมอแผ่นดิน
เหินฟ้าพุทธธรรม ดังพญาเหยี่ยวเริงลมบน
ร้องประกาศธรรมท้าทายภูมิปัญญาตราบถึงวันนี้
วันที่ฝากความทรงจำไว้ในสายลม วันที่อายุขัยถึงกาลล่วงลับ
วันที่สังขาร แตกดับ ยุบแยก แทรกซึมสู่ที่มา
วันแห่งการทอดร่างสู่อ้อมอกแม่ธรณี
วันที่โลกสูญเสียมหาบุรุษพุทธทาส
ศิษย์เพียงฝากใจไปกับสายลม สู่หิมาลัยมิตรสนิทของหมู่เมฆ
อันยืนหยัดท้าทายอยู่ชั่วนิจนิรันดร์
...........................
และ
พร้อมกันนั้น...ยามดวงใจเธอ
เห็นดารารายดวงนั้นในยามอรุณรุ่ง
พลันเธอจึง
คิดถึง..ผม..และบทเพลงดิบเดิมที่ผมชอบร้องให้ฟัง
บทเพลง...
ที่..
จักตราจำ..
ไว้ใน...ความทรงจำแห่งสองเรา...
ที่...จะไม่มีวันลืมเลือนตราบชีพวาย...!
............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4658.html
คิดถึง พี่หน่อย นะกลอยใจพี่
ห่างกัน อย่างนี้
น้องคิดถึงพี่ บ้างไหม
อย่าลืม อย่าลืม อย่าลืมสัจจา สัญญาที่ให้
ว่าตัวห่างไกลหัวใจชิดกัน
คิดถึง พี่ก่อนน้องนอนก็ได้
เมื่อยาม หลับไหล
น้องเจ้าจะได้ นอนฝัน
ข้างขึ้นเมื่อใดแก้วใจโปรดมอง
แสงของนวลจันทร์
เราสบตากัน ในแสงเรื่อเรือง
คืนไหน ข้างแรม ฟ้าแซมดารา
น้องจงมองหา ดาวประจำเมือง
ทุกคืนเราจ้องดูเดือนดาว
ทุกคราวเราฝันเห็นกันเนืองเนืองถึง
สุดมุมเมือง ไม่ไกล
คิดถึง พี่หน่อย นะกลอยใจเจ้า
พี่ตรม พี่เหงา
เพราะคิดถึงเจ้า เชื่อไหม
ฝากใจกับจันทร์ ฝากฝันกับดาว
ทุกคราวก็ได้ เราต่างสุขใจเมื่อคิดถึงกัน.
.............
เด็ดพุดซ้อนอ้อนน้ำค้างเสียบข้างแก้ม
แล้วก็แย้มยิ้มรับกับเช้าใหม่
คิดถึงคนแสนรักในดวงใจ
แล้วดอกไม้ในหอมใจก็ไหวบาน
ตระการแก้วพร่างพราวราวสายรุ้ง
จรัสจรุงมีใครหนอพ้อคำหวาน
ทุกทิวาราตรีปีผันผ่าน
ดั่งบัวบานกลางบึงกว้างมิร้างรัก
หยาดน้ำค้างดั่งเพชรพรมห่มให้ชื่น
ปลุกให้ตื่นฟื้นมาสู้นะยอดรัก
โลกเรานี้มีโศกสุขคลุกเคล้าหนาวเหน็บนัก
ร่มพุทธพักรักษาใจหยาดน้ำใสอมฤตธรรม
ทางสายงามทอดยาวเคล้าธรรมชาติ
ทางสะอาดแสนว่างกลางชีพร่ำ
ชีวิตเราแค่ลมหายใจมาใฝ่ธรรม
เลิกสร้างกรรมทำความดีพลีมอบรัก
เมตตาทุกดวงใจณ.ตรงหน้า
ทุกเวลาอภัยใจแน่นหนัก
รู้การให้ต่อสายใยสายใจภักดิ์
คือสลักแห่งงามตามตรึงใจ
ไม่มีเขาไม่มีเราไม่มีร่าง
ทุกสิ่งว่างมาเพียงพบแล้วหลับไหล
ในนิรันดร์สวรรค์ชั้นฟ้าวิมานใจ
ทิพย์นิรมิตใดไหนเล่างามเท่านี้
งามดวงใจจิตวิญญาณเพียงผ่านหล้า
มิหลงฟ้าหลงฝูงมายาสี
บินเหนือโลกโบกใบบุญนะคนดี
เพียรพร้อมพลีจิตร่างกลางธารธรรม..
ลมหายใจเหลือน้อยค่อยหรี่ดับ
ราวตะวันรอลับฟ้าในยามค่ำ
โลกชีวีหมุนเวียนชดใช้กรรม
อย่ารอทำความดีพลีผองชน..กมลเรา...!!