21 มิถุนายน 2548 21:33 น.

น้ำค้าง..!

พุด



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song193.html(รังรักในจินตนาการ)
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song219.html(เดือนต่ำดาวตก)
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song162.html(กลิ่นโคลนสาบควาย)




น้ำค้าง

น้ำค้างพราววาวแววรับเรียวแสง
เรียวแดดแรงโลมใล้คล้ายปลุกฝัน
มวลดอกไม้สยายกลีบรับตะวัน
น้ำค้างขวัญพลันมลายหายวับไป
ดอกไม้หวานบานกลางไพรรอฟ้าสาง
หยาดน้ำค้างแตะแต้มแกล้มกลีบไหว
ดอกไม้เอ๋ยเจ้าได้เชยชุ่มฉ่ำใจ
อย่าเสียใจรอเวลาท้าอรุณ
กลางสายฝนลมแรงแกล้งกลีบเจ้า
ให้รานร้าวชอกช้ำขวัญว้าวุ่น
แต่ไม่นานดอกหนาได้ละมุน
หยาดพิรุณแพรวน้ำค้างพร่างพริบพรายใต้เงาจันทร์กับฝันดี....



				
15 มิถุนายน 2548 11:12 น.

ศรีตรัง..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song347.html
(บัวกลางบึง)


ศรีตรัง..ชื่อศรีตรังค่ะ

และเวลาศรีตรังถูกขานชื่อ
ไม่ว่าอยู่ณ..สถานที่แห่งหนตำบลไหน

ทุกคนก็มักจะหันมามอง ศรีตรังเป็นตาเดียวกัน
ด้วย
เหตุแห่ง*ชื่อนั่นสำคัญฉะนี้*
ที่แสนเแผกพิเศษพิสุทธิ์
ที่ศรีตรังแสนภาคภูมิใจ



ศรีตรัง..
เคยสงสัยถึงที่มาที่ไปของชื่อตัวเองเฉกเช่นกัน
และแอบแอบถามแม่ 

ที่แม่จะคลี่ยิ้มสวยสวยอย่างอารมณ์ดี
และ
เอามือชี้ๆไปที่ต้นไม้รายรอบเรือน
ที่สูงสักประมาณสิบเมตรได้..



และ
ให้ช่อดอกม่วงละมุน..
กลีบบอบบางอรชรแสนอ่อนหวานนุ่มนวล
ด้วยรูปดอกราวแตร
และ
จะมีเพียงกลีบดอกหนึ่งที่จะพับลงมาคล้ายปาก



และ
มีขนหนานุ่มปกคลุม
จะคลี่สยายกรายกลิ่น..
หอมหวานละมุนมากในยามอากาศเย็น

ทั้งยังเป็นไม้ดอกสลัดใบร่วงกราวยามพบแล้งไร้

ที่จะพลีผลิฝากดอกไว้
ตั้งแต่หน้าหนาวปลายปีธันวาคม
พร่างพรายพรมหอมไปจนถึงเดือนเมษายน ซึ่งยาวนานมาก




ต่อมาศรีตรัง ก็ทราบว่า

ต้นไม้ชนิดนี้ที่ราวคู่บุญบารมีคู่ชีวีชีวิตศรีตรัง
ที่ศรีตรังรักแสนรักราวมิ่งมิตร

ทั้งยังเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดตรัง 
กับทั้งยัง
เป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์อีกด้วย



ตอนเด็กๆ 
ศรีตรังเคยเบื่อชื่อตัวเองอยู่พักหนึ่ง

เมื่อเพื่อนๆที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์
มิได้หวังเจตนาเบียดเบียน
ว่าร้ายกรายกล้ำศรีตรังให้เจ็บช้ำน้ำใจ

เพียงแค่แกล้งๆหยอก
แกล้งออกเสียงชื่อศรีตรังให้เพี้ยนๆไปเป็น*ขี้มูกกรัง*




ซึ่งมาวันนี้ 

ยามย้อนรำลึก
นึกไปถึงทุกเรื่องราวแห่งความทรงจำ
ใน วัยวันไร้เดียงสา

แสนพาให้นวลเนื้อใจศรีตรัง
แสนอบอุ่นอ่อนโยน 
กับเพื่อนๆไกลปีนเที่ยงเสียเป็นยิ่งนักแล้ว



ที่ได้เกี่ยวก้อยร้อยรัดรัก
รู้จักผูกพันกันมาอย่างยาวนาน 
ผ่านรุ่นปู่ย่าตายายลูกหลาน

และ
รู้แม้กระทั่งแม่พ่อ บ้านอยู่ที่ไหน
แบบแทบเข้านอกออกในไปขอข้าวกินได้แทบทุกบ้าน



และ
ยังคงสายสัมพันธ์แบบพื้นบ้านวิถีไทย
ที่ยังแสนโอบเอื้ออารีมากมีมีน้ำใจแบ่งปัน
มิหันหลัง ต่างตัวใครตัวมัน
แบบสังคมเมืองเรืองรุ่งริ่งแบบทุกวันนี้

ที่..
บางแห่งห่างตากันแค่รั้วกั้นกลาง 
แต่หาได้มีเวลาหันหน้ามามองกันก็หาไม่



ในยามนั้น ......
ยามที่ถูกเพื่อนล้อ 
ด้วยดวงใจอ่อนเยาว์ที่ยังแสนเขลา
จะร้องไห้ไหวหวั่นหวั่นไหวไป*ตามคำเขาว่า*

ต้องหันกลับไปพ้อแม่..ว่า..
ทำไมถึงตั้งชื่อให้แสนพิศดารพันลึกแปลกประหลาดอย่างนี้



และ
แม่คนดี..ก็จะเพียรเฝ้าปลอบประโลม
อย่างใจดีอย่างอารมณ์เย็นว่า

อย่าให้ถือสาคำพูดใคร 
จงให้อภัยเมตตา

คิดเสียว่าคำพูดคน*ก็คือลมลม
ไม่ว่าลมชมชื่นหรือลมให้ร้าย
ก็จงอย่าหมาย
ไปยึดมั่นถือมั่น จงให้ผันพัดผ่านไป
อย่านำมากักเก็บไว้ในใจให้โศกรานให้เศร้านาน



และ
จงเพียรเพียง
*รักษาใจดวงใสดวงงามของเราให้งามที่สุด

ให้รู้หยุดโกรธ 
และทำใจให้มิไหวหวั่นหวั่นไหว

เพราะในโลกกว้างทางไกลนั้น 
ยังอาจจะพบสิ่งดีร้ายมากมายนัก
ที่จักต้องกล้าหาญเข้มแข็งอดทน 



และเป็นดั่งพลัง
ทดสอบให้เราเรียนรู้ในการเข้าใจกมลคน

ที่มักหมุนวนคอยจับผิดผู้อื่น 
มิหยิบยื่นเมตตามากน้ำใจ
และ
เราเอง
จงอย่าไปคิดตัดสินเพื่อนมนุษย์ผู้ใด
อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ผู้ที่คงมีงามพราวหวานคนละด้านคนละดี
*ผู้ที่คือดั่งมิ่งมิตรน้องพี่*
ร่วมโลกเดียวกันทั้งสิ้นทั้งนั้น

อย่าไปคิดพิพากษาใคร
หากยังไม่รู้ที่มาที่ไป

เพราะ
ตัวเราเองนั้นไซร้ก็ใช่สัพพัญญู
ผู้ที่จะหยั่งรู้ฟ้าดินรู้ใจใคร ใครไปเสียสิ้นเสียหมด

มิใช่ดั่งกระจกหกด้าน
นอกเสียจาก
เพียรเพ่งพินิจเพียงมองจิตวิญญาณภายในตัวเอง
เพื่อพัฒนาตัวเอง

ให้คิดดี พูดดี ทำความดี คบคนดี ไปในสถานที่ดี 
ก็จะมีแต่สิริมงคลคอยคุ้มเกล้าคุ้มกมล



อย่างที่หลวงตาเทศน์...ในโบสถ์คร่ำในทุกยามวันพระ

ที่คุณยายและเพื่อนๆชมรมวรรณคดีสัญจร
จะพากันไปรักษาศีลอุโบสถ

ในยามนั้นที่.
*ศรีตรัง*
จะเดินทูนกระเฌอใบน้อยน้อย
ร้อยสานถักสวยด้วยหวายละเอียด
จากภูมิปัญญาของน้ากอบแก้วเพื่อนบ้าน



ที่ณ.บัดนี้
ช่างหาคนสืบสานงานฝืมือแบบนี้ได้อย่างยากเย็น 

ศรีตรัง...ดอกนิด
จะติดสอยห้อยตามคุณยายไปวัดมิเคยขาด

มิประมาทกับการหลงทางห่างวัดมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
ราวมีรอยบุญมาหนุนน้อมนำ



ได้มาพลีสร้างสมาธิภาวนาพาพบปัญญา
ที่จะค้นหาความสงบงามความสว่างสะอาด

ที่จะอยู่ในโลกแล้งไร้น้ำใจ
ให้พาพบปัญญาแสนสว่างพร่างใส

รู้ฝึกใจให้มีปัญญาเหนือดีร้าย..
ไม่คิดทำร้ายให้ร้ายไม่เบียดเบียนใคร



นอกจาก
เพียรมอบน้ำใจรักอย่างใสงาม

ให้อย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง..
อย่างมิสิ้นหวังหวาน

อย่างมิยอมท้อแท้แพ้พ่ายไปตามคำคน คำใคร
ที่อาจจะไม่รู้จักรู้ใจเข้าใจเรา

ที่คือคนคนคนวนวนวน
ว้าวุ่นวายวนวงอลหม่านอลวนเต็มม่านเมืองไปหมด




และ...ตราบใด

ที่เราจักจำต้องอาศัยโลกใบเล็กใบกลม

ก็จักพานพบระทมทอด
มาทดสอบจากกิเลสกมลของคน
ที่รายรอบตัวเราไม่รู้สิ้นรู้จบ  



ที่เราจักรู้หยุดได้
ก็ด้วยอาศัยหยาดน้ำพระธรรมน้ำอมฤตใส
มาคอยพร่างพรมห่มหอมใจ
ให้เมตตาอภัยลบลืมทุกเรื่องราว 

ไม่ยินดียินร้าย  ไม่เศร้าโศกเสียใจ
กับทุกข์ผัสสะมากระทบ...ให้นานวันฝันร้ายตาม..

ให้รู้ห่างรู้ถอย มิน้อยใจ.
หวังเพียงฟ้าดินอินทร์พรหมคงรับรู้
ด้วยเข้าใจ
ในน้ำใจใสหยาดเย็นแห่งเรานั้น
ก็เพียงพอก็พอใจ




และ...
ทุกสรรพสิ่งจักจบด้วยความ วาง ว่าง 
เพียรเพียงรักษาดวงจิตชีวิตเรา
ให้งามกระจ่างสว่างสงบเพียงลำพัง

ดับเมฆหมองหม่นมัวพายุแรงฟ้าสลัว.

ด้วยพลังธรรมแห่งงามปิติเกษม..นะภายใน..จิตใสของเราเอง

ให้โชติช่วงดั่งรวงแสงดาวราวแสนดวงในว่ายเวิ้งกาแลคซี่
ที่จะพลีพร่างรัศมีไสวฉ่ำเย็นชัชวาลย์ มิมีวันมอดดับ


เฝ้าพลี ดับร้อนเร่า
ในทุกดวงใจที่ได้มาเคียงชิดใกล้
ได้มารับหวังหวานพลังใจกำลังใจ
แห่งรักนิรันดร์ฝันพลีปันพลี
ดั่งมิ่งมิตรน้องพี่

ดั่งคำสาปสวรรค์แต่ปางก่อน
มาย้อนรอยจำมาย้ำรอยใจ..ให้ไม่แปร..
ให้รู้สัจจะธรรมชีวีที่แสนเที่ยงแท้แน่นอน 
ว่าเรามีเชิงตะกอนรอร่าง
มิห่างกันไกล สักกี่วันกี่เดือนปี..ที่แน่เสียยิ่งกว่าแน่



และ...จักไม่มีวัน..
ที่ใครจะล่วงล้ำก้ำเกินเข้ามาทำร้ายได้

เพราะเราดั่งมีเกราะบุญเกราะเพชร
คอยกางกั้นปกป้องดั่งร่มฉัตร
คุ้มผองภัยตราบไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ไปตราบจนชั่วนิจนิรันดร์
.......................



และมาตรแม้น
ศรีตรัง..จะเติบโตมากับความยากไร้

หากรายรอบเรือน
ก็เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้นานาพรรณพื้นบ้านหลายชนิด



ที่ณ..วันนี้...ศรีตรัง..เริ่มเข้าใจแล้วว่า

ทำไมครอบครัว
ปู่ย่าตายายแม่พ่อศรีตรัง

จึงมีเรือนไม้ร่มรื่นมืดครึ้มด้วยพันธุ์ไม้ดั่งไพรพฤกษา



และ
ให้มีแต่เสียงนกกา
ที่พากันมาทำรัง

ไม่เว้นมวลหมู่แมลงภู่ผึ้ง 
มาร่อนร่ายกรายคลึงกลางกลีบเกสรบัวในบึง
เคียงวิมานดินวิมานไพร
*กระท่อมแสงทอง*




ได้มาอาศัยร่มไม้ใบบุญบังร่าง..
ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง
แห่งโลกวัตถุศิวิไลซ์ 

*ที่หมุนไปหมุนมาชักมีแต่*ป่าปูน*ให้แสนอาดูรพูนเทวษ*

ให้โลกนี้ยิ่งนับวันแล้งไร้สีเขียว


ที่ราวไพรพฤกษ์
ให้ในยามดึก
ยังได้ยินเสียงดุเหว่าไพรแว่วหวาน

ให้จิ้งหรีดกรีดเสียงประสาน
เรไรร่ำคร่ำครวญครางหา..*ศศิวาริณ *
*สายแสงจันทร์จากสายน้ำรักแสนหวาน
ที่ปานประหนึ่งหยาดพรายจากธาราสวรรค์สายน้ำผึ้งพระจันทร์
............



และ
ราวอารัญไพรใน..แดนดินด้ามขวานทอง

ที่ยังมีป่าเขาเงาเงื้อมห้วยละหานลำธารใส
มี...วนอุทยานไพรหลากหลายชีวพันธุ์พืชที่หายาก




ที่ยัง
สามารถนำมาใช้
*เป็นสีธรรมชาติในการทอผ้าพื้นบ้าน*
อันคือ*งามละเมียด

ที่จักสะท้อนถึงวัฒนธรรมวิถี
ชีวิตสังคมและสิ่งแวดล้อม
มาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคนอายุขัย


ให้ยังคงค่าค้นหาค้นพบ
ไม่เพียงเพียรแต่ได้ภูมิปัญญา
ในเรื่อง..*พืชพันธุ์ที่ให้สีธรรมชาติ..*คืนกลับมา



เหล่าช่างทอ
ที่หันมาหาสีธรรมชาติยังเกิดความภาคภูมิใจ

ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสืบค้น
และการสานต่อภูมิปัญญาที่มีมาแต่ดั้งเดิม



และ...
ที่สำคัญ
คือพวกเขาเข้าใจถึงความแตกต่าง
และ
ความหลากหลาย




*ใต้กฎกติกางามเงาเงื้อมของสีธรรมชาติ*
ที่ฟ้าประทานพรให้มา

ที่สร้างสรรให้ในแต่ละท้องถิ่น
ไม่ว่าจะเป็นป่าเขา 
หรือริมทะเล 

ต่างก็มีสีธรรมชาติ
 *สีของโลก*
ให้มนุษย์นำมาใช้ได้ทั้งสิ้น



พืช
ที่ศรีตรังแสนทึ่ง
และ
เมื่อยิ่งได้มาศึกษาสาขาสิ่งทอและ

ได้อ่านบทความ
*จากคุณเจียนละออ ยอดนักเขียนในดวงใจ*

ที่ได้พาไปสัมผัส ความงามยิ่งใหญ่
ในวิถีไทยพื้นถิ่นย่านบ้านเกิดเมืองนอนรังเก่าของศรีตรังเอง




ที่ทำให้ศีรีตรังพลอยได้รับรู้ข่าวสาร
ความงามที่สถิตตรึงตรารู้คุณค่างาม
อยู่ณ..บ้านภายใน

จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่มาตั้งแต่ยามวัยเยาว์
ในดวงชีวาของศรีตรังนี้
ที่นับตั้งแต่ลืมตาดูโลกมาก็ว่าได้



กับ..*งามดวงใจใครเล่ารู้นี้*

ที่พลีภักดิ์ซ่อนซุก ทุกเรื่องราว
อันคือแสนหวานงามอะคร้าว
อย่างซาบซึ้งถึงบึ้งนวลใจ
ในรสชาติรู้สึก

ด้วยใช้เพียงดวงใจใสใสดวงนี้ร่วมดื่มด่ำรำลึก
ที่แสนประเทืองประทับใจ

ไปทายทักสัมผัสงาม
อย่างยากจะรำพันฝันฝากใคร
ให้เข้าใจได้อย่างละเอียดละออพอ




ขอเพียงแสนรักเอยแสนรักในกมล
ทุกงามวัฒนธรรมไทย..ขนบประเพณีไทย
ศิลปไทย..
งานผ้างานถักสาน งามแกะสลัก
ในทุกสาขาแขนง

อันคืองามกว่างาม
จากสมองสองมือนี้ที่แสนหยาบกร้านผ่านงานนา

หากทว่ายังมีพลังสรรสร้างโลกหมุนโลก
ดับแล้งไร้ จากมือที่สิ้นไร้ปูดโปนด้วยเส้นเอ็น
แห่งความเหนื่อยยากบากบั่นสู้ฝันสู้ทน



งานงามที่ถ่ายทอดถักทอ
มาจากพลังภูมิปัญญา จากความยากไร้
หากรู้คุณค่าการใช้ชีวิต
อย่างสงบงาม

อย่างพอเพียงอย่างเพียงพออย่างสมถะไทย
ด้วยหัวใจ ด้วยเลือดเนื้อและความรัก



ให้งามนักงามละมุนละเมียดให้
ทุกดวงใจได้สัมผัสที่จักร้อยรัดได้ด้วยใจต่อใจ

จนเกินจะหาคำกล่าวใดมาสรรเสริญ
คงเกินค่า   กว่าคำคารวะศรัทธา
และ
เกินค่าคำรักแสนรักเสียเป็นยิ่งนักแล้ว





................


และ
ล่างนี้คือบทความของคุณเจียนละออ
กล่าวถึง*แม่สีในวิถีธรรมชาติในผ้าทอพื้นบ้านไทย*
ในวันนี้......



ที่ศรีตรังไม่เคยคิดเลยว่า
พืชสวนต่างๆนั้น
สามารถนำมาเป็นแม่สีธรรมชาติ
ในการย้อมมัดได้



เช่นสีเหลือง...
ที่จะได้จาก มะพูด ขมิ้นชัน ย่านขมิ้นฤษี
ย่านผ้าร้ายห่อทอง ว่านพระ



ส่วน...
พืชที่ให้สีดำต้นจิก ต้นเงาะ 
และมะม่วงหิมพานต์(หัวครก)
เปลือกต้นก่อ ลูกมะพลับ และใบจิกนา



สำหรับสีแดง 
ได้มาจาก ต้นชาด ต้นคำแสด 
และดินแดงและหินแดง
ซึ่งมีให้เห็นในงานจิตรกรรมฝาผนังตามโบสถ์ในวัดโบราณ

และ
สีน้ำเงิน ได้มาจากย่านคราม ครามถั่ว ครามแดง(ฮ่อม)



และ
ที่บ้านเนินธัมมัง อ.เชียรใหญ่จ.นครศรีธรรมราช
ไม่ไกลจากบ้านศรีตรังนัก

ได้พบว่าการนำใบคุระมาย้อมบนเส้นฝ้ายจะได้สีดำสนิท

ส่วน
ต้นย่านมันแดง
ก็ให้สีเหลืองถึงสีเขียว..ซึ่งเป็นการพบสีธรรมชาติจากเขตป่าพรุ
ริมน้ำปากพนัง
ที่ยังไม่เคยได้รับการพูดถึงในวิถีดั้งเดิม



เช่นเดียวกับบ้านห้วยพุนที่สุราษฎร์ธานี

ซึ่งกลุ่มแม่บ้านไทยมุสลิมรุ่นใหม่
ที่รวมตัวกันทอผ้าฝ้ายยกดอกด้วยกี่กระตุก

ก็สามารถ
สร้างสรรสีธรรมชาติได้หลากหลายแปลกตา

จากพืชพันธุ์รอบตัวริมทะเลปากน้ำท่ากระจาย
ช่างทอได้สีแดงสวยจาก *ฝายจาก*และ
ตะบูนแดงส่วนสีเขียวสดนั้นได้จากใบสาบเสือ



ที่..*คีรีวง..*
ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้นำ
ในด้านการใช้สีย้อมจากธรรมชาติในภาคใต้

นอกจากเป็นแหล่งย่านครามและฮ่อม
ที่ให้สีน้ำเงินตามธรรมชาติแล้ว

ยังมี...
การทดลองนำพืช
*สวนสมรม*

(สวนที่ปลูกพืชผสมผสานกันหลายชนิด)
เช่นเปลือกลูกเงาะและเปลือกฝักสะตอ
มาย้อมสีให้ดำสร้างสีแดงครั่งผสมสีส้มแขกบนไหมเป็นต้น



บางอย่าง
ที่ช่างทอภาคใต้ค้นพบจากความพยายาม

*คืนสีธรรมชาติให้ผืนผ้า*นั้น
ก็เป็นการหวนกลับ
ไปหาภูมิปัญญาดั้งเดิมที่เคยละเลยไป..



อย่างที่..
บ้านนาหมื่นศรี

ซึ่งยังคงสืบทอดการทอผ้า
ด้วยกี่พื้นบ้านทำให้ได้ผ้าที่เป็นเอกลักษณ์

*คือผ้า ยกดอกลายลูกแก้ว*
และ

*ผ้าลายชิงดวง*มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ

การย้อมเหลืองจากว่านพระว่า
ผ้าที่ย้อมจะได้สีเหลืองที่งดงาม
เมื่อผสมกับน้ำด่างขี้เถ้าต้นพริก รวมทั้งแก่นขนุนทอง
ยอบ้านและยอป่า



นอกตจากนี้ยังพบว่า
*นาหมื่นศรี*นั้น
เป็นแหล่งของ
*ย่านผ้าร้ายห่อทอง

ซึ่งคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ในชุมชน
เคยนำมาย้อมให้สีเหลืองและต้นมะเกลือซึ่งให้สีดำ



ส่วนที่ *ชุมชนบนคาบสมุทรสทิงพระ
*ซึ่งเป็นชุมชน..*คนขึ้นตาล*
อยู่ร่วมกับชุมชนชาวนา

และ
ชาวประมงพบภูมิปัญญา *ย้อมหมัก*
ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้ผ้าพื้นบ้าน
มีอายุการใช้งานที่ยาวนานและทนทานขึ้น



โดยนำผ้าฝ้ายขาวทอมือเนื้อหนา
มาหมักแช่กับเปลือกต้นมะม่วงหิมพานต์ที่ตำละเอียด
อย่างน้อยหนึ่งคืนจนผ้ามีสีออกน้ำตาลไหม้

จากนั้น
*นำไปหยียบโคลนดินเหนียวหรือโคลนเล(โคลนทะเล)

และ
นวดผ้าให้เข้ากับโคลน
แล้ว
หมักผ้ากับโคลนหนึ่งคืน
ก็จะได้ผ้าย้อมดำจากการย้อมหมักมาใช้งาน



สำหรับกลุ่มชาวไทยมุสลิม
*บ้านท่ากระจาย

*ที่ยังรักษาสืบทอดการทอ*ผ้าไหมพุมเรียง*
อันลือชื่อก็ค้นพบสีธรรมชาติที่เคยเป็นภูมิปัญญา
ที่ขาดหายไปถึงสองชั่วคนคือ...*สีตะบูนแดงบนไหม*



บ้านท่ากระจาย
ยังมีผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

คือ*ผ้าซิ่นหน้านางไหมยกดอก*

ผ้าดอกจุ้ม(เทคนิคการจุ้มดอก
หรือยกดอกที่มีการรื้อฟื้นขึ้นใหม่)
 และ
ผ้าขาวม้าราชวัตรโคม...
...........


ที่ภายในหนึ่งปี
ค้นพบมากมายจากสี*วิถีธรรมชาติ*

ที่พวกเขาเข้าใจถึงความแตกต่าง
และ
ความหลากหลายใต้กฎกติกาของสีธรรมชาติ..


ที่สร้างสรรให้ในแต่ละท้องถิ่น
ไม่ว่าจะเป็นป่าเขา หรือริมทะเล 
ต่างก็มีสีธรรมชาติ
 
*สีของโลก*
ให้มนุษย์นำมาใช้ได้ทั้งสิ้น
.......................




ศรีตรัง...รจนาเรื่องนี้
ด้วยซาบซึ้งใจ

และ...
ตั้งใจ
มอบพลีบรรณาการกำนัลแด่ทุกดวงจิตวิญญาณ

ที่ยังมีใจไหวหวามละเมียดละมุน
รู้ค่า รักงานงามผ้าไทยผ้าทอพื้นบ้าน



และ
ด้วยดวงใจใสงาม
ที่หวังด้วยใจ
ด้วยความรักปรารถนาดีมากมาย

อยากเห็นและให้กุลสตรีไทย
ได้หาโอกาสสวมใส่
และ
ช่วยกันรู้รัก..อนุรักษ์ไว้
เพื่อสืบสานเป็นดั่งตำนานแห่งแผ่นดิน




ที่ณ..วันนี้
มีแสดงนิทรรศการผ้าทอไทยจากภูมิปัญญาวิถีไทย
ที่แสนน่าจะภาคภูมิใจ ที่มิน่าจะให้ผ่านตา 
ที่ใกล้ๆพระที่นั่งวิมานเมฆ

ใครอยากไปสัมผัสงาม
อันมลังเมลืองจากสมองสองมือชาวนาชาวบ้านชาวไพร

และ
พาดวงใจใสใสไปซาบซึ้งซ่านเก็บเกี่ยวหวานงาม
ถึงวิถีภูมิปัญญาไทย 
*ในผ้าทอพื้นบ้าน*ที่งามตระการจรัสเจรืองจรุงใจ
ผ่านวันเวลา กาลเก่าก่อนย้อนยุคสมัย..



*ที่คือสะท้อนไทยสะท้อนทองจากเส้นทางสายไหมสายใยฝ้าย*

ให้ได้เคล้าคลึงใจ
ได้เคียงคู่คลอจิตวิญญาณทุกคนไทย
ให้คู่ใจคู่บ้านเมืองไปตราบนานเท่านาน




ก็จงอย่ารอช้า นะทุกคนดีทุกดวงใจ
แล้วอาจจะได้พบกับ...

*ศรีตรัง*
ผู้หญิงอ่อนหวาน
ที่รักเรื่องราวโบราณทุกราวเรื่อง

ซ่อนร่างในผ้าไหมไทยลายยกดอกพิกุลผืนงาม
จากช่างทอพื้นบ้านพุมเรียง..


พร้อม
ทัดดอกพุดซ้อนสีขาวเสียบริมแก้มแซมผมสยาย....
กำลังชมงานงาม
ด้วยน้ำตาซึมซึ้ง
ด้วยดวงใจแสนล้ำลึกด่ำดื่ม
อย่างแสนภาคภูมิ...ลำพัง..
..................
......................





http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song347.html
บัวกลางบึง

อนาถเหลือล้ำ บัวบานเหนือน้ำ 
อยู่ห่าง คน
ลับตาอยู่จน กลางบึง
ได้แต่ชะเง้อ ละเมอ รำพึง
เจ้าอยู่ถึงกลางบึง ปล่อย ให้ผึ้ง เชยชม
แดดส่องผิวน้ำ บัวพลอยหมองคล้ำ
ด้วยแดด เผา
สีเจ้าก็เศร้า ด้วย ลม
ตกดึก น้ำน้อย นอนคอยคนชม
เจ้าต้องคลุกโคลนตมกลีบ ที่บ่ม โรย รา
บัว น้อย ลอยอยู่กลาง บึง
ครั้นคนเอื้อมไม่ถึง มีฝูงผึ้งบินมา
อยากพักพิงบนหิ้งบูชา
เขาไม่ปรารถนา แล้วจะว่าเขาแกล้ง
โธ่ อยู่ไกล หนักหนา
ดั่งซ่อนหลบตา แอบแฝง
หากปล่อยทิ้งไว้พอใจแมลง
สิ้นกลิ่นสีโรยแรง
แล้วคงเหี่ยวแห้ง คา บึง...


				
7 มิถุนายน 2548 10:43 น.

แม่ยอดตำลึงอวบใสระริกระริกไหวเอียงแก้มหอมรับอรุณงาม..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song634.html
(สาวชาวสวน)
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song467.html
(หอรักหอร้าง)
..........


กับเริ่มรุ่ง
ที่น้ำค้างยังใสพราวราวหยาดเพชร
เกาะค้างจับกลีบกลางเกสรดอกไม้ใบหญ้า

ไพลคว้าจักรยานคันเก่าคู่ใจค่อยๆพาตัวเอง
ออกมาจากบ้านวิมานดินวิมานไพรในเมือง



ตั้งใจจะมาทอดทัศนาทัศนียภาพ

ยามอรุณเรื่อฟ้า...
ยามนกกาผกโผผิน..กางปีก  บินล้อลมแรกแทรกฉ่ำใส

ไรแสงสาดสายพรายพรม
ห่มพลิ้วด้วยริ้วนวลสายไหมไรหมอก
ที่จะพากันหยอกเอินนาข้าวเขียวขจีเขียวไพล  


ที่บัดนี้อาจจะเหลือเป็นแปลงสุดท้าย
ที่ใกล้เมือง ใกล้ใจไพลที่สุดแล้ว

เพราะ
เบื้องหลังนั้น..
เมื่อมองออกไปคือตึกเป็นแท่งสูงเสียดฟ้า
หลายสิบแท่ง..
*อาณาจักรเมืองทองธานี*
ที่เป็นของอภิบรมมหาเศรษฐี*



ที่ชาตินี้
หากเอาเงินมากอง
ก็คงสูงท่วมฟ้าพอกันกับแท่งตึก 

ที่นึกนึกดูก็คิดไม่ออกว่า ชาตินี้จะใช้หมดได้อย่างไร...

และ
ก็คือธานีทองของคนรวย 
มิใช่ของคนจนบนผืนหล้าที่มากมีมากมาย
ไร้แม้กระทั่งที่ทำกิน 
แค่หวังพอฝากชีพสิ้นพออยู่รอดไปวันๆ


อย่างคนจน

*ที่ตำบลบ้านลานดอกไม้ดก..เมืองกำแพงเพชร*
ที่มีชื่ออย่างแสนงามนามไพเราะ 

หากทว่าผู้คนจนยากไร้
ไม่มีหัวใจใสสดพอ
ที่จะรอดูดวงดอกไม้ดก..
ตกร่วงควงพลิ้วหวาน..
หว่านสายพร่างลงมาณ..กลางลาน..ดอกนะ



ได้แต่งันงกรับจ้างไปวันวัน
เพราะแม้กระทั่งกระท่อมจะอยู่..ยังไม่มี

อย่าว่าแต่ที่จะทำกิน *ทรัพย์ในดิน*
ที่จะนำมาไถแปร*..มายังชีพชอบเลย



และ..
นี่คือ ความแตกต่าง...
ห่างกันไกลเหลือแสน..ในแดนด้ามขวานทอง

อันชักจะผ่องผุดเพียงในมือนายทุน
 ผู้รวยยิ่งรวยล้นฟ้า  กันอยู่ไม่กี่กลุ่ม..รุมกินโต๊ะชาติไทย
ไม่ปันแบ่งใคร

นอกจากวงศาคณาญาติ
พรรคพวกเพื่อนพ้องพี่น้องเพื่อนฝูง

ผู้ราวอภิสิทธิ์ชนคนกุมบังเหียนชาติ 
ฉลาดลงทุนหมุนวนเวียนรับ

เพราะมีหนทางมากมายนักจากพลังเงินงาม
มีมือยาวสาวผลประโยชน์ทั่วสยามได้กว้างไกลกว่า..
........



เอาละนะ..เช้านี้..
ไพล..เพียง..พามาชมธรรมชาติ..*เริ่มรุ่งรับงาม *
ไฉนลามไล้
ไประบายไปถึงความยากไร้ในทุกธุลีหล้าได้ก็ไม่รู้สินะ...!
......



กลับมานาทีนี้

กับเรื่องดีดีตรงหน้าดีกว่านะ
ทุกคนดีทุกดวงใจในร่มรัก..แห่งผองเรา

ที่ไพล...พลีพาร่างใจ..และจักรยานจอดไว้ไม่ไกล..

แล้ว
เดินลัดเลาะเลี้ยว
เข้าไปในเส้นทางลูกรังสายเล็กๆ

ที่ณ.บัดนี้มีดวงดอกน้ำค้างยังแตะแต้มแก้มดงดอกหญ้าไพร

ที่ต่างพากันไหวเอนระเนน
ระบัดช่อพ้อพร่างอย่างอ่อนช้อยคล้อยตามระลอกลม
เริงร่ายส่ายผสมระบำรับอรุณอันอุ่นเอื้อ..แรกแย้ม..!



ใน..คะนึงนวล

ไพลได้กลิ่นหอมอวล..นาข้าวพร่างพราย
ร่ายมนตรามากับลมอรุณแรก
แทรกมากับทิวาหวามในยามเช้านี้



ไพล ได้กลิ่นแม้กระทั่งจากใบตองนวลสไบนางฟ้า
ที่พากันเริงร่าโบกสะบัดไหว
ในริมรั้วเรือนไม้ชาวสวน 

ได้กลิ่นอวลตรลบของดวงดอกพุดซ้อน
ที่ช้อนกลีบละออนวลหนานุ่มคล้ายกลีบละมุนกุหลาบขาว

หากให้กลิ่นเร้าแรงรัดรึงตรึงใจ
ให้ซึ้งซ่านหว่านหวามไหว
ให้หลงในมนตราเสน่หาได้ลึกล้ำดำดื่มกว่ากัน..
 


เรือนไม้ชายสวนชาวสวน..และที่นาละแวกนี้

ที่บัดนี้...
อาจะเหลือเพียงผืนเดียวหลังเดียวเดียวดาย
พรายซ่อนซุกในรุกขชาติร่มไม้ไพรเทวาพันธุ์พฤกษ์ษาผืนนา

เพียงหลังเดียว..โดดเดี่ยวมิโดดเด่น
หากทว่าแฝงเร้น
อยู่ในท่ามกลางความเงียบงามสุขสงบสมถะ


แม้นว่า
จักมิห่างจากเมืองวายวุ่น เคียงถนน

ที่ผู้คนกำลังกรุ่นร้อน
ไปด้วยความเร่งรีบกับรถราแน่นขนัด
ที่พากันตะบึงบีบแตรระงม
ให้หูตรมใจตรอมก็ตามทีเถอะนะ


ละแวก...
ที่มีนายทุนบ้านจัดสรร 
มาขันแข่งแย่งกันสร้าง
ก่อแท่งตึกหน้าตาอัปลักษณ์

สร้างเป็นอาณาจักรอาณาเขตส่วนตัว
มารุกคืบขยับไล่วิถีชีวีชีวิตชุมชน..วิถีไทย
ให้ไม่เหลือหลอ...ความพอเพียงเพียงพอ..ดำรงอยู่คู่ฟ้าไทย



ให้กลายเป็นอาณาจักรศิวิไลซ์
กั้นด้วยรั้วเหล็กประดิดประดอย แสนแพง

หากทว่าสำหรับดวงใจไพล 
ดูเท่าไรๆในมโนนึกก็มิลึกล้ำมีค่า

เพราะราวป้อมปราการฤาว่าหอคอยแห่งคุก
คอยคุมขังชีวิตจิตวิญญาณ
ให้ไร้นวล..แตกงาม..ได้สัมผัสค่าคำอิสรา



ที่ดูอย่างไรก็ไม่งามเท่า

รั้วไม้ไผ่...
ที่มียอดกระถินตำลึงไล่เลื้อยพันพร่าง
พ้อฝนพรายกอ...แตกช่อผลิงาม..เขียวไสว

อวดอวบยอดตึงรึงรัด
มัดคลึงเคล้าคลอพ้อพราว...ไปกับรั้วดิบเดิม

ให้นึกแสนอบอุ่นอ่อนโยนเป็นยิ่งนัก..เสียยิ่งกว่า...



ที่มีเพียงเรือนไม้...
แม้นมิใช่จะทาสีฟ้าหรือมีม่านบังตาสีชมพู
แบบในรังรักจินตนาการหวานหวัง...อย่างในบทเพลงก็ตามที

หากก็ยังให้ความรู้สึกดีรู้สึก ดิน
รู้สึกถวิลไพรกว่าเป็นไหนไหน




เรือนไม้  ที่ยังมีที่นาเคียงใกล้มีสวนผักผลไม้
มีซุ้มเถาวัลย์ 
เถา ฟักแฟงแตงกวา แตงร้าน
ห้อยย้อยอวดลูกยาวเรียวรีเขียวเขียวมันมัน
 ดกแทบถึงดิน 

ให้มิสิ้นงาม
ให้นัยน์ตาเหงานิ่งงันได้สัมผัสล้ำลึก
นึกเห็นแม้กระทั่ง....
หยดฝน ฉ่ำชื้นหยาดเย็นที่ยังจับนวลชื่นผิวผล



ไพลเคยแวะคุย
กับเจ้าของเรือนไม้ริมสวนริมนาหลังน้อยหลังนี้

ที่เขาบอกว่า 
*นี่คือสมบัติทรัพย์ในดินชิ้นสุดท้าย *

ที่มาตรแม้นนายทุน
จะใช้พลังเงินตรามาตามต่อขอตื๊อซื้อสร้างอาณาจักรหิน
เขาก็จักไม่ขาย...ตราบชีพสิ้น...


ในเมื่อ 
แผ่นดินนี้มีที่มาแห่งวิถีบรรพบุรุษ
ฝากฝังทุกสิ่ง...ที่มากเรื่องราว.
*หอมงามแห่งความทรงจำ*

อันคือที่มาแห่งชีวีชีวิตนิดหนึ่งน้อยราวธุลีหล้านี้
ที่เคยได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย

แบบครอบครัวคนไทย
ที่แสนโอบเอื้ออบอุ่นใจ..แสนเป็นสุขใจ



ที่ต่อให้เงินตราก็หามาแลกไม่ได้

เขาเพียงอยากฝากชีวิต..สถิตอยู่กับความสงบงาม

อยู่กับความรู้พอดีพอเพียง...
ในผืนดินถิ่นเกิดก่อกาย


ได้รู้ค่าการใช้ชีวิต
ที่มิยึดติดกับวัตถุ

ที่แม้นจะหรูแสนหรูแพงแสนแพง
ก็ดูดูจักไม่มีวันเติมสุขพอ
ขอแค่มีกินมีใช้ 
และ
ได้ไปวัดทำบุญสร้างกุศลทานบารมี

ที่เขายังพอมีงานสุจริต 
รับซ่อมจักรยานให้เด็กๆแถวบ้านเพื่อเลียงชีพชอบ

ได้ดำรงร่างประกอบบุญ ก่อนสิ้นลมหายใจสุดท้าย
ที่จักใช่ แน่นอน มิวันใดก็วันหนึ่ง
.........



เช้านี้ ...!!!
ในนาทีนี้...

ไพลจึงกำลังยืนนิ่งนิ่งซึมซึ้ง
ดูฟ้าสวยใส..ไรแสงแรกแหวกหวาน

ดูพระอาทิตย์ค่อยๆคลี่ดวงแดงแรงร้อนอ่อนอุ่น
เอิบงาม ผ่านม่านมวลนวลเมฆนิ่ม อย่างอิ่มเอิบใจเป็นที่สุด


ฟ้าเริ่มทอแสงกระจ่างแจ่ม
แย้มรำไรรำไรระเรื่อระเรื่อสีแสงส้มอมชมพูจรัสเรือง

มวลดอกไม้ไพรดวงดอกหญ้าใกล้ม่านเมือง
เริ่มฟายฟ้อนร่ายร่อนซัดส่ายกลีบบางๆ
ให้พร่างหยาดน้ำค้างระเหยหายไปกับพรายแดด..!



รวงข้าวแรก..เริ่มผลิอวล
หวานหอมละมุนมากับสายลมอรุณ

มาทายทักริมหัวใจ สาวนาสาวไพล 
ให้ยิ่งหนาวนวลใจ ในละไมฝัน

ราว..กำลังกระซิกกระซี้ระรี้ระริก
พร่ำ..รำพันรำพึง
ฝากกระซิบ  
คำซึ้งซึ้งซึ้ง ว่าแสน*รัก..รัก...รัก ..และ...รักรักรัก*..
เสียนักแล้ว
นะเจ้าแก้วขวัญเจ้าจอมใจ....ในหอมใจ......!!!!!!!

*******************



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song467.html

หอรักหอร้าง 

เรือนหอหลังนี้ พี่สร้างรอเจ้า
แก่ต้อง อัปเฉา เฝ้าแต่รอ
หม่นหมองฤดี
เฝ้าแต่รอรักน้อง มาร่วมชีวี
ฝันหวาน คอยพี่
สุขขี วันวิวาห์
เรือนน้อย คอยรัก คอย
เธอ เคียงคู่ ได้แต่
มองดู ขาดยอดชู้ คู่ขวัญ
ชีวา สิ้นสลาย
รักคลาย สัญญา
น้อยหรือ แก้วตา
เปลื่ยนวาจา ลืม
น้ำใจ ดึกดื่น ตื่นตา
อกผวา ครวญ
เห็นห้อง ให้หวล
ครวญคร่ำอาลัย
สาย ลม โชยกระซิบ
ร่ำไห้ ห้องหอ เรือนใจ
ไร้ เทวี เดียว ครอง
เรือนหอหลังนี้ เห็นที จะร้าว
สวาท ขาด จาง
เปลี่ยว อ้างว้าง
ไม่สม ปอง สร้างเรือนหอ
ไว้รอ ปรางทอง
เหลือ เพียงหอ ห้อง
กับเจ้าของ เรือนรัก ทลาย

เรือนหอหลังนี้ เห็นที จะร้าว
สวาท ขาด จาง
เปลื่ยว อ้างว้าง
ไม่สม ปอง สร้างเรือนหอ
ไว้รอ ปรางทอง
เหลือ เพียงหอ ห้อง
กับเจ้าของ เรือนรัก
ทลาย... 

*****************
 


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song634.html
สาวชาวสวน .....ลัดดาวัลย์ ประวัติวงค์ 

โอ้ อก สาวชาวสวน
นอน หนาวใจรัญจวน
อยู่บ้านกลางสวน ทุเรียน
ลม หนาว พาพัดอยู่
ฤดูผลัดหมุนแปรเปลี่ยน
วัย สาวหมุนเวียน
มา สิบแปดหน้า ฝน
โอ้ อก สาวชาวสวน
ฟังเสียงเรไรครวญ
โศรกเศร้ากำศวร
เหลือ ทน
ยามแสงจันทร์นวลส่อง
ฉันตรอง ครุ่นคิดหมองหมุ่น
หากมี คู่รัก สักคน
คงจะพ้น หนาว ใจ
มองทุ่งมะลิวัลย์
เถาทอดเลื้อยพัน
รอบรั้วกระถิน
กลิ่นหอม ไกล
มะลิยังพรอด
กอดกระถินด้วยเหตุใด
แมลงแกล้งจูบดอกไม้
เหมือนมีใครแอบ จูบแก้มฉัน
โอ้ ดึก ดื่นคืนนี้
ในสวนยามราตรี
แจ่มจ้าด้วยสี แสงจันทร์
ยาม ฉันมีชายคู่
คิดดูวาบหวิวใจหวั่น
อยากให้เถา มะลิวัลย์
เป็นอ้อมแขนของ เธอ
  
โอ้ ดึก ดื่นคืนนี้
ในสวนยามราตรี
แจ่มจ้าด้วยสี แสงจันทร์
ยาม ฉันมีชายคู่
คิดดูวาบหวิวใจหวั่น
อยากให้เถา มะลิวัลย์
เป็นอ้อมแขนของ เธอ... 
 






http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song193.html(รังรักในจินตนาการ)
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song219.html(เดือนต่ำดาวตก)
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song162.html(กลิ่นโคลนสาบควาย)




น้ำค้าง

น้ำค้างพราววาวแววรับเรียวแสง
เรียวแดดแรงโลมใล้คล้ายปลุกฝัน
มวลดอกไม้สยายกลีบรับตะวัน
น้ำค้างขวัญพลันมลายหายวับไป
ดอกไม้หวานบานกลางไพรรอฟ้าสาง
หยาดน้ำค้างแตะแต้มแกล้มกลีบไหว
ดอกไม้เอ๋ยเจ้าได้เชยชุ่มฉ่ำใจ
อย่าเสียใจรอเวลาท้าอรุณ
กลางสายฝนลมแรงแกล้งกลีบเจ้า
ให้รานร้าวชอกช้ำขวัญว้าวุ่น
แต่ไม่นานดอกหนาได้ละมุน
หยาดพิรุณแพรวน้ำค้างพร่างพริบพรายใต้เงาจันทร์กับฝันดี....



				
6 มิถุนายน 2548 10:31 น.

เดียวดาย..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song19.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song718.html
(เดียวดาย)



ขอเจ้าเป็นดั่งนกไพรบินเดียวดายแม้ไร้ฝูง
หากบินสูงเหนือโลกย์โศกเหว่ว้า
มีอัญมณีไพรใจดวงงามไร้พันธนา
ฝ่าพายุกล้าสู่เวิ้งว่างหนทางไกล

บินข้ามหล้ามหานทีสีทันดร
ข้ามสิงขรห้วงทุกข์อสงไขย
พบฝั่งฝันนิรันดร์สุขไร้ทุกข์ใด
นะดวงใจเจ้านกกล้าท้าตะวัน

ฝันให้ไกลไปให้ถึงซึ่งวิมุตติ
อย่าสิ้นสุดหยุดบินอย่าสิ้นฝัน
แม้นเหนื่อยล้าเหน็บหนาวในคืนวัน
มีอ้อมขวัญอ้อมใจไออุ่นรัก

หยุดหลบเลียแผลใจหากเหนื่อยล้า
พักปีกกล้าใต้กิ่งใจในอ้อมตัก
มีพฤกษ์ไพรบึงกว้างธารน้ำภักดิ์
คอยรอซับหยาดเลือดหยดน้ำตา

ต่อเติมใจเติมจิตเติมนิรมิตหวัง
เติมพลังเติมแรงใจให้แกร่งกล้า
พร้อมโผผินบินหว่านดาวดวงร่วงสู่พื้นพสุธา
เป็นขวัญหล้าขวัญชีวิต..ดั่งรวงทิพย์อัญมณี...!!!!!!

..............



เมื่อคืนไพลดูละครเรื่อง
*อยู่กับก๋ง*แล้วสะท้อนสะเทือนใจประทับใจ
จนอยากร้องไห้ ในหลายฉากตอน

ที่วนซ้อนย้อนรอยให้ถอยหลังกลับไป
ในวิถีวัยเยาว์ที่เคยพบพานผ่านมา
และ
ราวกลับมา สอนสัจจธรรมใจ
ให้กับเด็กไทยในวันนี้ให้รู้ใช้ชีวิต...


ที่มีดวงจิตห่างไกลวิถีงามแห่งความเรียบง่าย
ให้รู้ค่าความยากไร้ในชีวิตติดดินแบบเด็กชนบท
ที่แสนงดงาม

รู้ใช้ชีวิตอย่างสมถะพอเพียง
ได้ชิดใกล้ธรรมชาติ

และ
มีความสงบสุขตามประสายาก
หากทว่า
มีงามดวงใจใสพร่างนี้
ที่แสนกระจ่างสว่างพราว
ราวร่างได้อาศัยในวิมานแมนวิมานวนา...
หากมองย้อนกลับไป

ที่นับวันจะหามีไม่แล้วในวิถีไทยทุกวันนี้
ที่มีแต่แก่งแย่งแข่งดีเร่งรีบเร่าร้อนรุนแรงไร้ละเมียดละมุนใจ
ไร้ประณีตใจ..


ชีวิตวัยเยาว์แบบข้นแค้นแสนยากลำบากร่าง
หากฝากงาม
ที่คอยหลอมหล่อจิตวิญญาณบ้านภายใน
ให้งามใสพราว*ดั่งดวงแก้วอัญมณีไพร*

เพราะ..
ว่าทุกดวงจิต
ทุกชีวี...ไม่คิดทุรนทุรายเร่าร้อน
ผ่อนหนี้วัตถุที่รุกโหมคืบบ่า
มาทำลายความเรียบง่ายไร้อยาก...อย่างผู้คนทุกวันนี้

ที่ถูกกลืนกินไปตามกระแสกิเลสโลกย์โศกสุข 
ที่มิยอมหยุดโหมบุกรุกคืบทำลายให้ยิ่งย่อยยับอับจน
ทั้งร่างใจ ... 



มี...คนกล่าวไว้ว่า
ยามดูหนังดูละครแล้วให้นำมาย้อนสอนใจตน

เพราะโลกทุกวันนี้
ที่ว่าแสนสับสนวายวุ่น
*ก็เปรียบดั่งโรงละครเช่นเฉกกัน
ต่างกันที่เราจะเลือกเล่นบทใดรับบทใด



และโลกแห่งชีวี
ก็มีสุขทุกข์คลุกเคล้าดั่งตัวละครในนวนิยายโลกย์
ที่มีทั้งดีร้ายโศกสุขหมายฝากค่าคนค่าคำ
ฝากสัจจธรรม...ฝากบทเรียนก่อนลาไกล

ก่อนจะถึงวันที่สิ้นลมหายใจแห่งชีวิตที่แสนนิดหนึ่งน้อยนี้

ที่ช่างแสนสั้น
จะเหลือก็เพียงดีชั่ว..
ฝากไว้ประดับหล้าพสุธาใช่เพียงร่างแลชีพชนม์..ฤาก็หาไม่..!!!!

...........



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song718.html
เดียวดาย 

ขวัญ เอ๋ย
เคยภิรมย์ชิดชื่น สุขสันต์
หลง เพ้อฝัน
รักมั่น มิทันจะเนิ่น
เธอ เมินหมาง
โอ้ อ้างว้างอารมณ์ ฤดี
เหมือนโนรี
จากคอน หลงรังนอน
ลืม พี่ เหมือนชีวี
เดียวดาย เอกา
โอ้ ดึกเดือนคล้อย
เดือนเจ้าจะลอย จากตา
มอง นภายังเห็นดารา
เรียง ราย

เหลียวหา จนทิวาโฉมเจ้า แล หาย
หรือ รักแล้วแหนงหน่าย
รักเอ๋ย ลืมง่าย
ใย เมินเฉย
โอ้ ใจเอ๋ยใจเลย แรมรอน
ฉันยังจำ ติดตา
ทุกทิวาคืนก่อน
เหลืออาวรณ์ใจเอย ค่ำลง
โอ้ ใจสะท้อน
จะหลับจะนอนพะวง
ลืมไม่ลง
มันเหมือนมีมนต์ ดล ใจ... 
 






http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song19.html
อาลัยรัก 

ฉัน รักเธอ รักเธอ ด้วยความไหวหวั่น
ว่า สัก วัน ฉัน คง ถูกทอดทิ้ง
มินานเท่าไร แล้วเธอก็ไป
จากฉันจริงจริง
เธอ ทอด ทิ้ง ให้อาลัย อยู่กับความรัก
แม้ มีปีก โผบิน ได้เหมือนนก
อก จะต้อง ธ-นู เจ็บปวดนัก
ฉันจะบิน มา ตาย ตรงหน้าตัก
ให้ยอดรัก เช็ด เลือด และ น้ำตา

แม้ มี ปีก โผบิน ได้เหมือนนก
อก จะ ต้อง ธ-นู เจ็บปวดนัก
ฉันจะบิน มาตาย ตรงหน้าตัก
ให้ยอดรัก เช็ดเลือด และน้ำตา... 
 


				
4 มิถุนายน 2548 07:03 น.

อวลมะลิหอมระรินหวานริมหมอน!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song653.html
...............


อุษาวดีคลี่ฟ้าอีกคราแล้ว
ดวงดอกแก้วหอมพรายริมหน้าต่าง
นกเขาไพรปลุกดวงใจฟ้าเรื่อราง
ริมหน้าต่างกลางดงดอกจำปี

นอนคลี่ยิ้มแอบดูเจ้านกน้อย
เพื่อนผู้คอยเคียงขวัญยามเช้านี้
ไกวเปลหวานแกว่งไกวพร้อมดนตรี
ธรรมชาติชีวีธรรมดาเช้าเฝ้าทายทัก

หอมมะลิระรินที่ริมหมอน
กับที่นอนนวลนุ่มน่านอนนัก
ขอนิทราหลับตาฝันอีกนิดนะที่รัก
ฟังเพลงภักดิ์ในยามเช้าเคล้าอรุณ

โลกหอมหวานภายในใจดวงแก้ว
รับหวานแว่วสรรพสิ่งพร้อมโลกหมุน
เปิดดวงใจบ้านภายในงามหอมกรุ่น
สร้างละมุนพบละไมกลางใจธรรม

แล้วสวดมนต์ช้าช้าอย่าเพิ่งลุก
เพื่อปลอบปลุกพลังใจหวังรินร่ำ
แผ่เมตตาขอบคุณโลกโชคน้อมนำ
ได้มีวันทำความดีนาทีทิพย์

ทุกลมหายใจที่ยังมีช่างมีค่า
ขอบคุณฟ้าแลดินที่ยื่นหยิบ
ได้ชื่นใจในรสพระธรรมอันล้ำค่าน้ำอมฤต
ใสสนิทจิบซ้ำซ้ำพรำพร่างริน

ดั่งน้ำค้างหยาดสายกรายสู่หล้า
ดั่งน้ำฟ้าหยาดพรายมิรู้สิ้น
สู่บึงบัวรอบัวบานเหนือวาริณ
เพียงถวิลรับอาทิตย์อุทัยในเวลา

ดั่งนาฬิกาชีพชนม์คนแสนสั้น
ลืมตาฝัน พลันตื่นล่วง บ่วงเสน่หา
ที่รัดร้อยสร้อยห่วงหวงพันธนา
สร้างศรัทธาเดินตามรอยบาทมิวาดวน

พาจิตใสตั้งใจตรงคงสัจจะ
มิลดละภาวนาบุญสร้างกุศล
เพียรฝึกสมาธิมีปัญญาคุ้มค่าคน
ก่อนที่ลมหายใจจะไม่มี..!นะคนดี นะดวงใจ..
..................................



อุษาสวาท..อรุณสวัสดีค่ะ
ไพลตื่นมา
รับอรุณวดีที่รัก  ที่แย้มเยือนมาทายทักอีกคราแล้ว

ให้ใจดวงผ่องแผ้ว..เปิดรับ..*.เริ่มรุ่ง..แสนงามค่ะ*
ไพลนอนคลี่ยิ้มอย่างเอิบอิ่มพริ้มพราย..ในนวลเนื้อใจ
ที่ไหวหวานรับทิวาหวามอรุณหวัง

ฟังเสียงนกไพรมากมาย
ที่มักมาร้องเพลงหวานหวานให้ฟังทุกยามเช้า
เคล้าหยาดละออละอองน้ำค้างแก้ว
ราวกับรักแสนรักไพลเสียเป็นยิ่งนักแล้ว

มาเมตตาเอื้อโอบขวัญ
ให้ไพลนั้น..ได้ฝันพร่างได้กระจ่างจิต
แสนประทับใจ

และ
ราวเพื่อนไพลเพื่อนไพรเพื่อนใจ
ฝากในทรงจำงดงาม
มานานวันมานานปีเลยทีเดียวแล้วค่ะ

นัยน์ตาทอดจับ
ผ้ายกทองทอดอกดวงแสนงามแสนรัก
และภาพวัดไชยวัฒนารามที่นำมาติดไว้คู่กัน
ริมเตียงในครองตา
กับ
จับที่กลีบกุหลาบสีแดงในโถแก้ว
หน้าโต๊ะเครื่องแป้งโบราณ
ที่กลีบบางๆยังสดฉ่ำชื่นพราว
ด้วยหยาดละอองน้ำราวละออน้ำค้าง
ที่ไพลฉีดพร่างรินไว้ก่อนนิทราฝัน
ให้หอมกระจายจรุง เพื่อปลอบใจให้นิทราฝันดี

และ..
หวัง..

ให้ทุกคนดีในร่มรักเรือนไทยในชายคาแห่งรัก
ได้พบกับ..คำว่าเริ่มรุ่งอันแสนงดงาม
มีทิวาหวามราตรีหวังในทุกวันเวลาแห่งนาทีชีวิตนี้
ที่ช่างแสนสั้นเป็นยิ่งนักแล้วนะคะ

***************


เริ่งรุ่ง...

ในราวเมือง..ที่มิใช่..ราวป่าใหญ่ไพรกว้าง.
ที่ฉันนี้ฝันใฝ่อยากฝากกายใจไปเริ่มรุ่ง..ในราวพฤกษ์ไพรพนา..

เริ่มรุ่ง..... 
เช้าวันใหม่ ทุกดวงใจ ทุกผืนดิน ทุกถิ่นที่..
ต่างมีฝัน ต่างมีหวังต่างยังมีลมหายใจต่อดวงใจรักไปอีกวัน


เริ่มรุ่ง....
ที่ยังมีเสียงนกร้องขันคู จู้จุ๊กกรู จู้จุ๊กกรูเพราะพริ้งพราว 
บรรเลงเพลงแห่งราวไพร. 
เพราะยังมีต้นไม้ใหญ่ให้เกาะคอนขัน..
ในวิมานดินวิมานฝัน..บ้านของฉันเอง..


เริ่มรุ่ง..... 
ฟ้าหวาน ลมหนาว เย็นฉ่ำ เมฆอิ่มใส 
อาบไรแสง สายไหม ลมชื่น 
อวลหอมดอกไม้ บานเบิกชูช่อชัน ขันแข่งกัน
กับใบไม้เขียว ล้อลมไสว..รอหวานใจชื่นชม..ดมดอม

เริ่มรุ่ง.....
วิมานไพรนี้ ที่ยังมีงามดวงใจใครจะรู้
ที่ทำให้ดวงใจใสชุ่มฉ่ำราวหยาดน้ำค้างหยดพราว
มาให้ดอกไม้ฝัน..สดสว่างกลางใจ บานแย้มรับหวัง พลังใจ 
ไฟฝัน ในโลกหวัง โลกอนาคต ที่หมดจดแสนดี ..
มิมีท้อแท้แพ้พ่าย...กับกาลเวลาและการเปลี่ยนแปลง...

เริ่มรุ่ง.....
ที่ยังมีฝันว่า สักวัน ใครบางคนที่พิเศษสุดในใจ 
ที่เราแสนภาคภูมิใจในคุณค่าความดี 
ที่มีรักแท้ หนักแน่นมั่นคงจะก้าวมาร่วมชายคา 
พาให้ใจเราทุกคนฝันแสนดีร่วมกัน วันเคียงหมอน 
มิจากลาเลยลับไปไกล ไปไหนไหนอีกแล้ว...

เริ่มรุ่ง.....
ที่ยังมีกลิ่นดอกไม้หวานหอม จรุงใจ
ลอยฟุ้งคละเคล้ามากับสายลมหนาว
หวานอมเศร้าพราวกับหยาดน้ำค้าง
ที่รอระเหยหาย..ยามอรุณร่ำลา..
พายามสายมาเยือนเยี่ยมแทน...

เริ่มรุ่ง.....
ที่มีเช้าแสนดี 
มีละอองหมอกเย็น แสนสบาย มาทายทัก ในบางวัน 
พร้อมกับความฝันความรักมากมี
จากทุกดวงใจที่ใสงาม 
มากด้วยรัก..ด้วยจริงใจ ..ที่ยินดีมอบให้ไร้ร้องขอ...

เริ่มรุ่ง.....
กับใจดวงดี ที่รู้จักมองโลกให้เป็น 
แลเห็นงาม ไม่มืดบอด รู้รัก รู้ให้ รู้ห่วงใย 
เข้าใจอดทน
ต่อความเป็นไป ผันแปร ไม่แน่ไม่นอนของโลกที่หมุนวน 
ยอกย้อนลวงหลอนหลอกใจ ให้มากบทเรียน 
มากประสบการณ์สอนใจฝากจำจด..

เริ่มรุ่ง.....
ที่รู้ค่าการมีชีวิต ที่ถูกลิขิตมาให้แสนโชคดี 
มีดวงตาดวงใจเห็นในธรรมชาติเงียบสงบงาม
มีพลังใจว่าได้เกิดมาในแผ่นดินร่มเย็น 
ได้พบพระพุทธศาสนาที่ส่องสว่างนำเส้นทางใจ
ให้แลเห็นในความว่างความพอดี พอดี..

เริ่มรุ่ง.....
ในวันนี้..ขอทุกชีวี คิดแต่เรื่องดี 
เรามีพลังสร้างฝันให้เป็นจริง พบทุกสิ่งที่หวังและความสุข 
กับคนดี คนเดียวในดวงใจ.. 
ให้มีใครสักคนนอนเคียงข้างยามเริ่มรุ่ง..
ตราบวันนี้ ตราบชั่วชีวี และชั่วฟ้าดินสลาย....

...............

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song653.html
อุษาสวาท

ยาม อุษาฟ้ากระจ่าง
ทั่วนภางค์สว่างแล้ว
ตื่นนิทราเสียเถิด น้องแก้ว
สว่างแล้วนะ แก้ว ตา
แจ้ว จำเรียง
เสียงกระซิบ สั่ง ดั่งสัญญา
กระซิบคำรักว่า
อุษาสวาทปอง
อย่าข้องใจ
มอบฤทัยไว้ร่วมกัน
ยามน้องหนาวตัก
พี่ซบ ทรวงพักตร์
อุ่นไอรักจะอุ่นพลัน
อย่าโศกศัลย์ ขวัญตา
เจ้าอย่าลืมสัมพันธ์
ปองรักกัน จนวันตาย
ใจ ผูกพันรักกันจนกว่า
ดินและฟ้าจะมลาย
อุษานี้มีมนต์ ดลรัก สลักใจ
ร่วมสายใยสวาทเอย

ยาม อุษาฟ้ากระจ่าง
ทั่วนภางค์สว่างแล้ว
ตื่นนิทราเสียเถิด น้องแก้ว
สว่างแล้วนะ แก้วตา
แจ้ว จำเรียง
เสียงกระซิบ สั่ง ดั่งสัญญา
กระซิบคำรักว่า
อุษาสวาทปอง
อย่าข้องใจ
มอบฤทัยไว้ร่วมกัน
ยามน้องหนาวตัก
พี่ซบ ทรวงพักตร์
อุ่นไอรักจะอุ่นพลัน
อย่าโศกศัลย์ ขวัญตา
เจ้าอย่าลืมสัมพันธ์
ปองรักกัน จนวันตาย
ใจ ผูกพันรักกันจนกว่า
ดินและฟ้าจะมลาย
อุษานี้มีมนต์ ดลรัก สลักใจ
ร่วมสายใยสวาทเอย...

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด