25 กันยายน 2547 09:43 น.
พุด
Url http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=200
ในฝัน ทูล ทองใจ
หากฝันว่าฉันและเธอ
ละเมอความรักร่วมกัน ทุกๆ วันแสน สุขฤทัย
หากความรักนั้นหนักเหลือ
แนบเนื้อเชื้อ รักดังไฟ ฉันขอตายบน ตักนาง
หากเราได้รักร่วมกัน
ผูกพันกระสันแน่นเหนียว
ขอรักเดียวไม่ จืดและจาง
หากเป็นดั่งเช่นที่หมาย
จะตายฉัน ไม่ขอห่าง
ขอรักนางเนื้อนวลแน่นอน
มอบ ใจ และกาย ทุกสิ่งมั่นหมาย
ถึงตัวตายไม่คลายรักก่อน
สู้ ทน อ้อนวอน ยอมฝันแม้ยามหลับนอน
ทนกอดหมอน นานมา
หากฝันฉันไม่หลอกหลอน
ตื่นนอนคงพบหน้าน้อง สมดังปองใจปรารถนา
หากเป็นดังเช่นที่หมาย
จะตายฉัน ไม่นำพา ขอบูชาน้องนางแน่นอน
หากฝันฉันไม่หลอกหลอน
ตื่นนอนคงพบหน้าน้อง สมดังปองใจ ปรารถนา
หากเป็นดังเช่นที่หมาย
จะตายฉัน ไม่นำพา ขอบูชาน้องนางแน่นอน...
**********
อรุณวดี..ดารารายพรายดวงลอยเลื่อนลาลับแล้ว
น้ำค้างแก้ว...พร่างหอมห่ม พรมดวงดอกไม้
ให้ค่อยๆสยายกลีบทีละนิดทีละน้อย
พร้อยกลีบรอรับหยาดละออละออง..
นกไพร ขยับปีกฝันร้องระงม....
ให้หัวใจแม่ดวงดอกพุดไพร..
ยิ่งเงียบงาม..สงบ..
ยาม
ฟังบทเพลง..นี้..
*ในฝัน*
รับอุษาฟ้าสาง...น้ำค้างหยดย้อย
พร่างพรมลงห่มหอมนะกลางห้วงใจ
ให้เสียงใสอ้อนหวานเศร้า
ราวระฆังเงินของนักร้องในดวงใจ..
*ครูทูล ทองใจ อมตะศิลปินไทย*
และ
ชื่นใจภูมิใจ
ในฝืมือบรมครูผู้ประพันธ์บทเพลงได้อย่างอมตะ
ไม่ว่าฟังเมื่อใดก็งามดวงใจเมื่อนั้น
โดยเฉพาะ..
ในยามอุษาฟ้าสาง
กับเรื่อรางเงาดาวพราย
กับจันทร์เสี้ยวร่ายบทเพลงลา
กับลีลาวดีงามทัดแก้มแซมผม
ที่ยังพรมด้วยหยาดละออน้ำค้าง
กับว่างเงียบเหงาใจ...ดายเดียว..เดียวดาย.
และ
แด่
คนดี..ที่รัก
ในร่มรักเรือนไทยเรือนใจเรือนดอกไม้..หอมหอม....ม..ม....ม
ที่
คงเฝ้ารอหยาดละอองน้ำค้าง
พร่างลงนะกลางกลีบใจเฉกเช่นกัน
ที่รอเผยอแย้มแต้มงาม..
แต้มหวานประดับโลกใบเล็ก
ให้แสนสุขสดชื่นระรื่นร่ำฉ่ำรสด้วยบทกวีแก้วกวีขวัญ
และ
ขอมอบกำนัล
เป็นฝันพลีแด่ทุกดวงใจแสนดีที่ผ่านมา
ที่กมลรักบทกวี
อันแสนงดงาม..ไปด้วยกัน..
และ
อุษาแก้ว..แล้วนะคนดี
แม่ดวงดอกพุดไพร
ติดปีกให้ทุกหัวใจ ฝัน ฝัน ฝัน
ราวมีสวรรค์หวาน
ให้หัวใจบานเบิกราวนกไพร
พาเหินบินคู่กันไป
ราวหัวใจคู่กัน
สู่สวรรค์บ้านนา..ของสาวนา
สู่ฟากฟ้ากว้าง..ไปกับนกตะวัน
สู่ทางชนบทนาข้าวเหลืองพราว..
สู่ร่มผ้ากาสวพัตร์ในยามเช้ากับบทกวีแสนงามของลำนำน่าน
สู่เดียวดายร้างไร้กับบทกวีงามนางนวลของรัถยา
สู่..รอหากับเรไร
สู่ซาบซึ้งใจในรสพระธรรมนำทางแก้วกระจ่างชีวีกับพี่ดอกแก้ว
สู่สวรรค์ดับในดวงใจรักกับอัลมิตรา
สู่นานารักหลากรสบทกวีงามกับทุกกวี
สดายุผู้เกริกไกรคำโคลง
ค้างคาวเมนูเพื่อนรัก
ท่านผู้เฒ่าผู้งามรักงามใจ
คู่น้องเรนน้อยน้ำค้างใส
แทนคุณแทนไท..
ชัยชนะคนดี
เมกกะผู้แสนน่ารัก
ฤกษ์ดีฤกษ์รัก
คุณแก้วประเสริฐเลิศล้ำวาจา
*ดาหลา ปะการัง
ฟา..ฟาโรต์คว้าฝันกอกก
ซามูไรแก้มแดง
บินเดี่ยวหมื่นลี้
วิจิตรที่รักพงไพรราวชีวี
พี่ภูตะวันวันนี้มาแปลก
มาขอกำลังใจไปสอบชิงทุน
และยังมากมีมากมายหลายสิบดวงใจ
ใสงามนามนักกระวีกระวาด
นักอยากจะเขียนเพียรฝันค้าง....
และ
พิเศษพิสุทธิ์
ขอมอบพลังใจถึง
พี่ชายคนดี
*พี่นก..ตะวัน*
พ่อนกไพรหัวใจพเนจร
ที่มิเคยรอนแรมร้างรังรักนาน
จะหวนกลับมาฝากฝัน
ฝากใจนะรังใจรังรักด้วยภักดิ์พลี
ให้น้องพี่ได้ฉ่ำชื่นใจ
เพียงขอกำลังใจขอรจนาฝัน
ด้วยพลังอันเททุ่มอันยิ่งใหญ่
ผู้มีไฟฝันพร่างโชนมิเคยมอดดับ
แม้
ช่างอ้างว้างว้าเหว่เสียเป็นยิ่งนัก
ยามรอนแรมร้างไกล
ด้วยดวงใจนกไพรดวงดี
ที่มาสอนบทเรียนให้วนเวียนหาธรรมชาติ
และอย่าลืมกรายปีกโผผินบินสู่ไพรพนา
ค้นหาเส้นทางธรรม..เส้นทางทอง..
ลอยล่องสู่อิสราแห่งฝัน
พบ
ป่าไพรหนทางร้างรกว่างว้างไกล
งามจับใจในดินเดิม
เพิ่มความสงบงามเงียบเรียบง่ายรู้ใช้ชีวีชีวิต
มิหลงติดหลงตมงมอยู่ในโลกวัตถุ
เงางามนามฉาบฉวยรวยภายนอก
งามเมืองงามเปลืองงามเปล่า..
งามปอกงามลอกเงินปลิ้นแทบสิ้นใจ
และ
ยังมากงามบทกวีงามดวงใจ
จากทุกดวงใจในฝัน..
ให้ได้พบทิวาวัน ราตรีหวานมานานเนิ่น..เกินนับ..
ให้จับจิต..จับใจ
เลือกประดับเอาตามใจรัก
จากดวงดอกไม้ไพร
ดอกไม้ป่า
ดอกไม้เมือง
และ
หวังงามรุ่งเรืองระยับ
ประดับดวงดอกชูช่อล้อโลกดับร้อน
มัดฟ่อนศรัทธาฝัน
ศรัทธาใจใสงามสดรจนารวมกัน
ให้ดวงดอกไม้ขวัญ ฝันฝันฝัน
ลบร้อนผ่อนเย็นโลกด้วยฉ่ำริน
ให้
โลกนี้มิสิ้นหอมหวาน
พลันพร่างพรึบ!สว่างกระจ่างจิตไปชั่วนิจนิรันดร์นะทุกดวงใจในฝัน
ที่แม่ดวงดอกพุด..ไพรนั้น
แสนรักเอยแสนรักในกมล..
จนสุดทนสุดทานหวานเศร้าซึ้งเกินจะกล่าวแล้วจ๊ะ...
ทุกคนดีทุกดวงใจในฝัน..ฝัน..ฝัน.....ๆๆๆๆ
23 กันยายน 2547 18:03 น.
พุด
url http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=480
(คำมั่นสัญญา)
แสนรักสไบนวลสไบนาง!
**********
ตะวันดวงรอนรอน
ทอแสงทองทอดสวย...ส้มอมชมพูประปราย
คล้ายสาดสีด้วยฝีมือจิตรกรเอกของโลกชื่อธรรมชาติ
กระจายฉายฉานรัศมีสีรุ้ง
เหนือเจดีย์วัดไชยวัฒนาราม
ในยามตะวันชิงพลบ
ที่งามสงบเก่าคร่ำงามล้ำค่ามลังเมลือง
งามราวเมืองสวรรค์ลอยมาเยือนหล้า
ราวปวงเทพยดาเนรมิตรเป็นทิพยวิมานสถานสถิต
ผ่านเงางามแห่งอดีตอันวิจิตรศิลป์
หากทว่าฝากเรื่องราวแสนเศร้ารานร้าวใจ
ถึงมาตรแม้นจะเป็นวัดไร้ร้าง
สิ่งก่อสร้างที่เหลืออยู่มีก็เพียง
พระปรางค์ศรีรัตนมหาธาตุ
และเจดีย์รายตามพระระเบียงคดรอบ พระปรางค์
ให้ดวงใจ..*สไบนวล* เหว่ว้าดายเดียว
ราวไร้เสียงสังคีตดีดสีตีเป่าเหงาเงียบ
ช่างสะเทือนสะท้านสะท้อนใจ
วะแว่วแผ่วเพียงเสียงขับเสภางาม
สุดกำสรวลเศร้ามาจากเวียงวังในครั้งบุราณกาล
************
รอนรอนสุริยคล้อย สายัณห์
เรื่อยเรื่อยเรื่อแสงจันทร์ ส่องฟ้า
รอนรอนจิตกระสัน เสียวสวาท แม่เอย
เรื่อยเรี่อยเรียมคอยถ้า ที่นั้นห่อนเห็น ฯ
เรื่อยเรื่อยมารอนรอน สุริยาจรเข้าสายัณห์
เรื่อรองส่องสีจันทร์ ส่งแสงกล้าน่าพิศวง
ลิ่วลิ่วจันทร์แจ่มฟ้า เหมือนพักตราหน้านวลผจง
สูงสวยรวยรูปทรง ส่งสีเจ้าเท่าสีจันทร์
เอวอ่อนชอ้อนองค์ โฉมอนงค์ทรงสาวสวรรค์
หาไหนไม่เทียมทัน ขวัญเนตรพี่นี้น่ารัก
ขาวสุดพุดจีบจีน เจ้ามีสีนพี่มีศักดิ์
ทั้งวังเขาชังนัก แต่พี่รักเจ้าคนเดียว
นอนนั่งตั้งอาลัย สายสุดใจไม่แลเหลียว
หวังชมสมกลมเกลียว ควรฤาน้องข้องใจเคือง
ขาวสุดพุดซ้อนแซม เนื้อแอร่มอร่ามเหลือง
โฉมอ่ากว่าทั้งเมือง หนแห่งใดไม่เหมือนเลย
ได้น้องทองนพมาศ มาสังวาสพาดชมเชย
ร่วมเรือนเพื่อนพิงเขนย เคยวิงวอนอ่อนหวานคำ
ฝนตกยกปีกป้อง ฟ้าร้องต้องเอาตนงำ
ชิดเชื้อเนื้อนวลขำ อ่อนลมุนอุ่นอกเรียม
รักนุชสุดสายใจ ต้องฤทัยไม่เท่าเทียม
ขอต้องน้องอายเหนียม เกรียมจิตเจ้าเฝ้าทุกข์ทน
ฝนตกฝนหากตก แก้วกับอกอย่าโกรธฝน
ลมพัดรับขวัญบน แก้วโกมลมานอนเนา
ฝนตกไม่ทั่วฟ้า เยนแหล่งหล้าในภูเขา
ไม่เยนในอกเรา เพราะเพื่อนเคล้าเจ้าอยู่ไกล
เรียมร่ำน้ำตาตก อกร้อนรุ่มดังสุมไฟ
แสนคนึงถึงสายใจ เจ้าไกลสวาทนิราศเรียม ฯ
เสียงสรวลระรี่นี้ เสียงใด
เสียงนุชพี่ฤาใคร ใคร่รู้
เสียงสรวลเสียงทรามวัย นุชพี่ มาแม่
เสียงบังอรสมรผู้ อื่นนั้นฤามี ฯ
เสียงสรวลระรี่นี้ เสียงแก้วพี่ฤาเสียงใคร
เสียงสรวลเสียงทรามวัย สุดสายใจพี่ตามมา
ลมชวยรวยกลิ่นน้อง หอมเรื่อยต้องคลองนาสา
เคลือบเคล้นเหนคล้ายมา เหลียวหาเจ้าเปล่าวังเวง
ยามสองฆ้องยามย่ำ ทุกคืนค่ำย่ำอกเอง
เสียงปี่มีครวญเครง เหมือนเรียมคร่ำร่ำครวญนาน
ล่วงสามยามปลายแล้ว จนไก่แก้วแว่วขับขาน
ม่อยหลับกลับบันดาล ฝันเห็นน้องต้องติดตา
เพรางายวายเสพย์รส แสนกำสรดอดโอชา
อิ่มทุกข์อิ่มชลนา อิ่มโศกาหน้านองชล
เวรามาทันแล้ว จึ่งจำแคล้วแก้วโกมล
ให้แค้นแสนสุดทน ทุกข์ถึงเจ้าเศร้าเสียดาย
งามทรงวงดังวาด งามมารยาทนาดกรกราย
งามพริ้มยิ้มแย้มพราย งามคำหวานลานใจถวิล
แต่เช้าเท่าถึงเยน กล้ำกลืนเขญเปนอาจิณ
ชายใดในแผ่นดิน ไม่เหมือนพี่ที่ตรอมใจ ฯ
เรียมทนทุกข์แต่เช้า ถึงเยน
มาสู่สมคืนเขญ หม่นไหม้
ชายใดจากสมรเปน ทุกข์เท่า เรียมเลย
จากคู่วันเดียวได้ ทุกข์ปิ้มปานปี ฯ
*******************
และพลันพาทำให้สไบนวล
หวนรำลึกนึกคะนึงถึง
บทกวีเอกของเจ้าฟ้ากุ้ง**นิราศธารทองแดง*
ที่ชมไม้ดอกและธรรมชาติอันแสนงดงาม
**********
ชาตบุษ์ปพุทธชาตซาบ กุหลาบกนาบทั้งสองทาง
เบงระมาดยี่สุ่นกาง กลีบบานเพราเหล่าดาวเรือง ฯ
ชาตบุษ์ปพุทธชาตขึ้น เคียงกลาง
กุหลาบกนาบสองทาง กลิ่นฟุ้ง
เบงระมาดยี่สุ่นกาง ตรงกลีบ
สาวสาวฉวยชิงหยุ้ง เก็บร้อยรอยกรอง ฯ
๖๒ เพกาสาเกกุ่ม ไม้ตาตุ่มทุมราชา
สุกรมมะยมพวา ไม้หมากข้าขานางเปล้า ฯ
เพกาฟักย้อมกุ่ม ผลหนา
ตาตุ่มทุมราชา เนื่องหน้า
สุกรมมะยมพวา ชมพู่
สาเกไม้หมากข้า อิกเปล้าขานาง ฯ
๖๓ กะจายสยายซร้องนาง ผ้าสไบบางนางสีดา
ห่อห้อยย้อยลงมา แต่ค่าไม้ใหญ่สูงงาม ฯ
กะจายสยายคลี่ซร้อง นงพะงา
สไบบางนางสีดา ห่อห้อย
ยื่นเลื้อยเฟื้อยลงมา โบยโบก
แต่ค่าไม้ใหญ่น้อย แกว่งเยื้องไปมา ฯ
๖๔ กระเช้าเจ้าบรรจง ปากแฉกตรงทรงหาบหาม
แล่งปืนของพระราม รูปงามดีมีสืบมา ฯ
กะเช้านางแต่งเจ้า ผจงงาม
ปากแฉกทรงหาบหาม ห่วงห้อย
แล่งปืนของพระราม ยังอยู่
รูปร่างงามน้อยน้อย งอนขึ้นสืบมา ฯ
๖๕ เล็บนางงามแสล้ม ต้นนางแย้มแกมดองดึง
สุพรรณิกากากระทึง ดอกราชพฤกษ์ซึกไทรไตร ฯ
เล็บนางนวยแน่งน้อย พอพึง
นางแย้มแกมดองดึง อีกอ้อย
สุพรรณิกากากระทึง บานแบ่ง
ราชพฤกษ์ซึกดวงย้อย พู่เพี้ยงไทรไตร ฯ
๖๖ ชงโคตะโกตะขบหว้า ต้นตุมกากาฝากลง
ชอบกลต้นมหาหงส์ มะเดื่อดูกลูกนมแมว ฯ
ชงโคตะโกขบหว้า ดาดดง
ตุมกากาฝากลง ติดไม้
นมแมวมหาหงส์ เห็นอยู่
มะเดื่อดูกลูกงอกได้ แส่ทึ้งสอยกิน ฯ
*********
สไบนวล..สนใจเมืองเก่านี้
และหลายครา
ที่เธอจะเห็นในภาพฝัน
คืนที่พระจันทร์ผ่องเพ็ญเต็มดวง
ในฝัน....
เธอจะห่มสไบแพรสไบขวัญสีโศกสีเศร้า
และทัดดวงดอกลั่นทมสีขาวพราวริมแก้มแซมผมหอม..ให้หอม
ในฝัน..
จะมีบุรุษหนึ่งร่างล่ำสันผิวสีทองแดง
ราวบุรุษอาชาไนยจะคอยเคียงใกล้
และน่าแปลกนัก
ที่เธอและเขากำลังค่อยๆ
ช่วยกันประคอง*โคมลอย*
แล้วค่อยๆปล่อยขึ้นไปเหนือฟ้าทิศบูรพา
ราวจะช่วยกันพลีบูชาพระอิศวร พระนารายณ์ พระอินทร์
พระบรมสาริริกธาตุเกศแก้วจุฬามณีในดาวดึงส์พิภพ
ที่บรรจุมวยผม.*.เจ้าชายสิทธัตถะ*ที่เชือดด้วยพระขรรค์
ก่อนการดำรงเพศนักบวช
จนได้บรรลุเป็นพระบรมศาสดาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และ
บูชาพระพุทธบาทซึ่งปรากฏอยู่
ณ หาดทรายที่เรียกว่านะมะทานที
เป็นที่ฝูงนาคทั้งปวงสักการบูชาอยู่..
และ
ในทุกราตรีมิเว้นว่าง
ตั้งแต่เธอย่างเข้าเป็นกุลสตรีสาวสะพรั่ง
เธอจะฝันบ่อยขึ้นบ่อยเข้า
เกี่ยวกับเมืองเก่าของเราแต่ก่อน
จิตใจอาวรณ์อย่างยากที่จะเล่าให้ใครฟัง
อย่างที่อยากจะรู้จักสัมผัสให้ล้ำลึก
เธอ..จึงรู้สึกยิ่งรักผูกพัน
ราวกับว่าชาติปางก่อนมาบันดาลบุญหนุนนำ
และ
ด้วยดวงจิตวิญญาณอันแสนละเอียดอ่อน
ยิ่งทำให้เธอหวนไห้อาวรณ์
อยู่กับสิ่งที่เธอยังมองไม่เห็น
ที่มิอาจจะบอกใครได้
สไบนวล จึงทำได้เพียงราวรอเวลา
ให้ดวงตาสวรรค์ฟ้าดินเมตตา
เปิดม่านบังตาให้เธอได้รับรู้
สิ่งที่แสนลึ้ลับพิสูจน์ไม่ได้
ราวปาฏิหารย์รักมหัศจรรย์รอ
สไบนวล..คนดี
จึงต้องวนเวียนกลับมา
สัมผัสเหว่ว้าดายเดียวแทบทุกอณูนะที่นี่..
ที่อยุธยา
*ราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำคนดีศรีอยุธยา*
เมืองที่มี แม่น้ำเจ้าพระยาแม่น้ำป่าสักแม่น้ำลพบุรี แม่น้ำน้อย
ไหลผ่านให้จิตวิญญาณผู้คนพันผูกกับสายน้ำอย่างมิรู้สิ้นรู้จบ
พบสงบงามเจดีย์เก่าระดะยอด..
พระปรางค์โบราณที่วัดมหาธาตุ
ที่มีผอบศิลา ภายในมีสถูป 7 ชั้น
มี ชิน เงิน นาก ไม้ดำ ไม้จันทร์แดง
แก้วโกเมนและทองคำ และชั้นในบรรจุ
พระบรมสารีริกธาตุและเครื่องประดับอันมีค่า
ไหน..จะยังมีโบราณสถานสถิตใจวังหลัง
เป็นอุทยาน สวนหลวง
ปรากฏสิ่งสำคัญหลงเหลือคือเจดีย์พระศรีสุริโยทัย
อนุสรณ์สถานของวีรสตรีไทยพระองค์แรก
เกียรติแห่งวีรสตรีไทย
ที่คนไทยมิมีวันลืมยังจำตราตรึง
ถึงความเสียสละอันแสนงดงามยิ่งใหญ่
อย่างยากหาผู้ใดมาเสมอเหมือน
และ
ณ..ที่แห่งนี้ทำให้สไบนวล
ได้รู้จักราชธานีเก่า มากขึ้นว่า
นามว่า กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์
ที่มีคำขวัญว่า
ราชธานีเก่าอู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำกานท์กวีคนดีศรีอยุธยา*
ที่มีเมืองอยู่ในที่ราบเป็นดั่งอู่ข้าวอู่น้ำ
เลิศล้ำกานท์กวีคนดีศรีอยุธยา
ก็เพราะ
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มียุคทองของ วรรณคดี
คือ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
และสมัยพระเจ้าอยู่หัว บรมโกศ
กอรปด้วยกวีเอกที่มีความสามารถล้ำเลิศ
เช่นสมเด็จพระนารายณ์
พระมหาราชครูศรีปราชญ์ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง)
พระโหราธิบดี เป็นต้น
วรรณคดีที่สำคัญ เช่น สมุทรโฆษคำฉันท์
โครงกำศรวลศรีปราชญ์
กาพย์ห่อโคลง ประพาสธารทองแดง
จินดามณี มหาชาติคำหลวง เป็นต้น
คนดีศรีอยุธยา
หมายถึง จังหวัดพระนครศรีอยุธยากอรปด้วยคนดี
มีความสามารถทุกยุคทุกสมัยตลอดมา
แม้เมื่อกรุงศรีอยุธยาต้อง เสียกรุง ให้แก่พม่าถึง 2 ครั้ง
แต่ก็ยังสามารถกอบกู้เอกราชกลับคืนมาได้
ก็ด้วย เหตุเพราะมีคนดีที่มีความสามารถนั่นเอง ...
แล้ว
ไหนจะยังมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย
วัดวาอารามอันงามคร่ำ
วัดพุทไธศวรรย์
วัดไชยวัฒนาราม วัดกษัตราธิราช
และเจดีย์พระศรีสุริโยทัยอันสง่างามอีกด้วย
และที่วัดพนัญเชิงวรวิหาร
พระประธานในพระวิหาร
ชื่อพระเจ้าพนัญเชิง (หลวงพ่อโต)
สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1867 นับเป็น
พระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย
ฝีมือปั้นงดงาม เป็นที่เคารพสักการะของชาวจังหวัด
และตามตำนานกล่าวว่า
เมื่อคราวพระนครศรี อยุธยาจะเสียแก่ข้าศึกนั้น
พระพุทธรูปองค์นี้ มีน้ำพระเนตรไหลออกมาทั้งสองข้าง
ราวกับว่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่นะภายใน
นอกจากนั้น
ยังมากมีมากมายโบราณสถานที่น่าสนใจ
และ
ด้วยเหตุ
เพราะมีใครบางคน..ในฝัน
ที่แสนย์รักเอยแสนรักในกมล
ราวหมุนวน
อดีตลาลอย เลือนเลยลับให้รอเวลาหวนคืนกลับมา..
ให้ผู้หญิงเรียวหน้าละมุนงามเศร้า
รอคอยราวกับมีบางสิ่งคอยร่ำร้องเพรียกหา
มายาวนาน
ในทุกทิวาหวามราตรีขวัญ
ทุกคืนจันทร์เพ็ญเด่นดวง
ด้วยแรงจิตอธิษฐานบนบานกล่าว
และ
ดั่งคำมั่นสัญญา
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=480
คำมั่นสัญญา
ถึง ม้วยดิน สิ้นฟ้า มหาสมุทร
ไม่ สิ้นสุด ความรัก สมัครสมาน
แม้ อยู่ใน ใต้หล้า สุธาธาร
ขอ พบพาน พิศวาส ไม่คลาดครา
แม้น เนื้อเย็น เป็นห้วง
มหรรณพ
พี่ ขอพบ ศรีสวัสดิ์ เป็นมัจฉา
แม้ เป็นบัว ตัวพี่ เป็นภุมรา
เชย ผกา โกสุม ปทุมทอง
แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
ใคร่เป็นหงษ์
จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
ขอ ติดตาม ทรามสงวน
นวลละออง
เป็น คู่ครอง พิศวาส ทุกชาติไป
แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
ใคร่เป็นหงษ์
จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
ขอ ติดตาม ทรามสงวน
นวลละออง
เป็น คู่ครอง พิศวาส
ทุกชาติไป...
**************
สไบนวล..ค่อยๆพาตัวเอง
มาทรุดตัวลงนั่งใต้กิ่งลั่นทมหวานสะพรั่ง
ดวงดอกดก...สถานที่ดั่งคำมั่นสัญญา
ไห้โหยหาอดีตรักอันงามงด
ราวปรากฎในกระแสจิตวิญญาณผ่านภพ
เธอหลับตาช้าๆ...
วงหน้านวลละออ
ริมเรียวแก้มขวัญนั้น
มีดวงดอกลั่นทมแซมริมไรผมหอมเศร้า
แล้วไยเล่า..ในความว่างนั้น
พลันราวมีภาพพร้อมพลังเสียง..
จากฟากฟ้าแสนไกลค่อยๆลอยล่องเข้ามา
ราวกับว่าทุกเรื่องราว
กำลังเกิดตรงหน้าเธอนะบัดนี้..
ที่ราวภาพในนิมิตฝัน
ผู้ชายคนเดิมคนดีผิวสีทองแดง..กำลังเอนอิงในอ้อมตัก
ในห้องหับเรือนไทย
ที่ได้กลิ่นเกสรดอกไม้หอมเศร้า
เคล้าอวลมากับสายลมบางเบา..
เขาช้อนสายตาแห่งรัก
ราวพิมพ์พักตร์ผุดผ่องนวลเนื้อทอง
ที่ค่อยๆประคองหน้าลูบไล้อย่างแผ่วเบาอ่อนหวาน
น้ำตานัยน์เรียวตาเศร้าราน
ค่อยๆระรินหยดบนอกอุ่นแข็งแรง
เขาใช้มือสากไล้โลมเรียวแก้มหอมน้อมโน้มหน้านวล
ประคองจูบประทับรับขวัญซับหยาดน้ำตา
เสียงเขาราวลอยมาจากฟ้าแสนไกล
ปลอบประโลมใจหนักแน่น
นุ่มนวลอ่อนหวานอ่อนโยน..
*คนดีอย่าร้องไห้..
ข้าจำพรากไปพลีหยาดเลือดรัก
ทำหน้าที่ยิ่งใหญ่เพื่อผืนดิน
ให้เลือดละหลั่งรินจนหยาดสุดท้ายฝากไว้ทาแผ่นดิน*
ให้ลูกหลานไทยและโลกรู้ว่า
*กรุงศรีอยุธยาจะมิมีวันสิ้นคนดี*
ข้าขอพลีคำมั่นสัญญา
เอาหยาดเลือดชะโลมหล้าชะโลมดิน*ไม่รักตัวกลัวตาย*
*ให้รู้ว่า
ลูกผู้ชายชาติไทยหัวใจไท
หัวใจนั้นดั่งเหล็กกล้า
ให้ไอ้พวกข้าศึก..ได้สำนึกว่า..มันอย่าได้มาหยาม..
และ
ให้มันหลั่งน้ำตารดเท้าสังเวยข้า..ที่มันบังอาจ..นัก!*
*นวล..เจ้าเอย..
เจ้าผู้พิสุทธิ์ผ่องแผ้ว
จงถนอมแก้วถนอมขวัญถนอมใจ
รอวันที่ข้ากลับมา
กลักทองที่เจ้ามอบให้ข้านั้น..*
*ให้เจ้าจงรู้ว่า
คือที่รวมขวัญพลี
ที่รวมจิตวิญญาณข้ามิให้พรากไกล
ถึงร่างเราจำไกล
แต่หัวใจเราสองดวงนั้น..
ได้พลีคำมั่นสัญญา
ยอมร่วงลงสู่ปวงพื้นพสุธาพร้อมกันแล้วมิใช่ดอกละหรือ.*
*และจะยึดถือคำสัตย์มั่นมิปันแยก
จะกี่ภพกี่ชาติ
ให้พิสวาสดั่งคู่บุญญา
จะตามติดเป็นพุทธมามกะ
ขออธิษฐานจิต
สถิตทอดคู่กันตลอดไปชั่วกัลปาวสานต์นะนวล*
*เจ้า..ชวนข้าไปจุดเทียนมงคลบนบานในโบสถ์คร่ำ*
เจ้ารู้ไหมยามนั้น
ข้าเห็นเจ้างามตามแสงเทียนทองทอ
งามใดไหนเล่าเจ้าเอย
จะงามเท่าจิตไสว
ที่พร่างสว่างสงบอยู่ภายในกายเจ้านะแม่สไบนวล*
และ
*ข้าแสนรัญจวนใจ
เมื่อยามคิดว่าร่างเจ้านั้นงามเสียยิ่งกว่านางใดในปฐพีนี้*
ที่ข้าจะขอพลีเสน่หามิเสื่อมคลาย
*ใกล้สว่างแล้ว..ดุเหว่าแว่วเรไรร้อง
ไหนเจ้าบอก
จะเก็บดอกไม้หอมหอมมาให้ข้าห่อไว้ชายสไบ
ให้ข้านำติดตัวไปอย่างไรเล่า*
แต่
*ถึงไม่มีไม้หอม
กลิ่นนวลก็ราวพยอมหอมอวลในอกในใจข้าเสมอมา*
*จำเอาไว้นะนวล..
กลักทอง
คือกล่องเก็บนิรันดร์รักแห่งเรานะเจ้ายอดดวงใจ*
และ
*ยามสุดท้ายแห่งลมหายใจข้า
สไบนางของเจ้าผืนนี้
จะคู่ร่างคู่ชีวีคู่จิตวิญญาณข้าไปในทุกหน*
*ข้าจะใช้มันซับหยาดเลือดและน้ำตา.
ที่ข้าจะพลีจนหยาดสุดท้ายเพื่อปกบ้านป้องเมือง
.ที่ข้าจะไม่มีวันเสียดายเสียใจ*
หากทุกหยดเลือดนั้นจะหยาดรินแม้สิ้นสาย
เพื่อเกียรติภูมิแห่งผืนดิน
พื้นพสุธานี้ที่ข้าแสนรักเสียยิ่งนักแล้ว*
*ข้าขอสัญญานะนวล
เจ้าจงอย่าได้กำสรวลหวนไห้หาข้า
อย่าเหว่ว้าดายเดียว
หากดวงชีวิตข้าถูกปลิดปลงลงสังเวยมาตุภูมิแม่*
*ข้าผู้ไม่แพ้
จะรอเจ้า.บนฟากฟ้า
รอเวลาเราสองได้ครองคู่กัน
จะนานสักกี่กัป์ปกัลป์ข้าก็จะรอเจ้านะนวล*
ให้เจ้า..นวลละออจงไปวัดเพียรภาวนา
และอธิษฐานจิตทุกเวลา
*และเจ้ารู้..
ข้าจะสถิตทอดทุกที่
ในผืนดินนี้เพื่อปกป้องคุ้มครองเจ้า
และยามเหงา..เจ้าจงไปนั่งใต้ลั่นทมงาม..*
ที่*เจ้ารู้ดีว่า
ข้านี้ชอบเด็ดดอกหอมๆมาทัดแก้มแซมผมให้เจ้า*
และนะที่แห่งนั้น..
สวรรค์จะเปิดดวงวิญญาญ์เจ้า
ให้รับรู้เรื่องราวแห่งรักอมตะของสองเรา
ดั่งคำอธิษฐานดั่งคำมั่นสัญญา*
*จงจำไว้นะที่แห่งนั้นคือ
สวรรค์ลอยคอยรอรักแห่งภักดีของสองเรา
ที่จะไม่มีวันพรากจากกัน
จะตามมาเตือนเจ้านั้นให้หันมอง..ลูกผู้ชายคนดี
ที่มาหมายปองเจ้าราวแสนรักเอยแสนรักในกมล
มิผิดคนผิดคำ.*.
********
หญิงสาว..สะดุ้งจากภวังค์ราวฝันไป
ที่ทุกเรื่องราวราวได้สัมผัสมิติยิ่งใหญ่ที่ยากอธิบาย
ราวฉากในเรื่องทวิภพ..
เธอค่อยๆหันไป
แล้ว...
หัวใจเธอก็แทบหยุดเต้น..!
นั่นไง..
ผู้ชายคนนั้นคนในฝัน
ที่เธอเห็นในนิมิตประจำ
และกับนาทีที่เพิ่งผ่านไป
ที่เธอเผลอตกในภวังค์ฝัน
ราวกับไปพบเห็นภาพจริง
ที่นะบัดนี้
เขาคนดี...
ผิวสีทองแดงดูงามสุกปลั่งรับดวงตะวันสีทอง
กำลังค่อยๆหันหลังไปชื่นชมภาพตะวันลา
หากทว่า...
เมื่อนวลเห็นหน้า
ยิ่งพาให้ใจเต้นสั่นระริกราวจะเป็นลม..
พอกับดวงดอกลั่นทม
ที่นะบัดนี้กำลังปลิดปลิว...ปลิดปลิว.....
ลิ่วลอยควะคว้าง.....
ลงพร่างพรมห่มพื้นพสุธา
และหอมห้วงหัวใจ..สไบนวล ราวดวงตาสวรรค์พลันรับรู้....!!
***********************
http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_60930.php
สไบนาง แสนย์
เจียนหมากพลูสู่พี่ชายรออ้ายกลับ
ตั้งตำรับเตรียมข้าวปลากระยาหาร
มะลิน้อยลอยบนขันไว้ประทาน
หลังเสร็จงานออกศึกอ้ายจักคืน
***************************************************************
..ท้องฟ้าเหนือกรุงศรีอยุธยา..ยามนี้ดูมืดมิด ราวกับพายุลูกใหญ่กำลังจะพัดผ่านมาเยือน
เสียงกลองศึก ดังกระหึ่ม...สัญญาณ...เตรียมออกศึกเริ่มขึ้นแล้ว
อีกไม่นาน..เลือดจักหลั่งไหลนองอาบพื้นธราดล..สองเผ่าชนจักห้ำหั่น
ฝ่ายหนึ่ง...เพื่อครอบครองผืนแผ่นดิน
ฝ่ายหนึ่ง....ปกป้องแผ่นดินเกิดแลแผ่นดินตาย
สดับเสียงพละพลแล..กลองศึก
คะนองคึกตีฝ่าข้ามไพรศรี
หมายห้ำหั่นดัสกรหมู่ไพรี
ป้องกรุงศรี..แผ่นดิน..ถิ่นเรือนตาย
กำดาบสู้ใจหวนอยู่คู่นุชนาฏ
อ้ายนิราศใครจักป้องจากเหตุร้าย
แต่ดนัยมีศักดิ์แห่งชาติชาย
มิอาจหมายหนีทัพกลับมาแล
พลันยินเสียงอัสนีฟาดกึกก้อง
สะเทือนร้อง ดวงหทัย ใฝ่หาแม่
สังหรณ์เหตุอาเพศร้ายในดวงแด
เกรงนวลแขถูกลอบกล้ำช้ำเรือนกาย
ยามพะวงดาบหนึ่งถึงอุระ
ใจเจ็บแปลบคล้ายจะแหลกสลาย
สิ้นเรี่ยวแรงแห่งกำลังประคองกาย
เฮือกสุดท้ายน้ำเนตรหลั่งพลั่งสู่ดิน
ผะแผ่วปราณ..มานชิดเจ้าจอมใจ
เพียงสไบแนบทรวงก่อนลมสิ้น
ยกขึ้นดอมยังหอมหวนอวลระริน
ซับน้ำตาจิตโบยบินไปซบนวล
ร่ายโศลกโศกแจ้งแถลงเอื้อน
ชะตาเฟือนเลือนลบภพกำสรวล
สิ้นแล้วหรือวาสนากับเนื้อนวล
ไม่ทันหวน..ก็เลยลับ...ไป่กลับเรือน
ฤา...จุดจบของนักรบ..มิแผกกัน...
http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_60693.php
กลักทอง แสนย์
ยามรุ่ง..ก่อนเสียกรุงศรีอโยธยา
เปิดกลักทองรอง ผ้าตาด นาฏมอบให้
กรุ่นละไมกรรณิการ์ มณฑาหอม
อ้าย..ยังจำวันรับกลักจากหัตถ์พะยอม
สร้อยถนอมบรรจงวางตรงกลางกร
..ให้โหยหวนครวญหา..คราอดีต
แว่วจำเรียงเสียงไพเราะเสนาะกรรณ
ถ้อยจำนวรรจ์ฝากความจากสมร
สื่อลำนำเสน่หาก่อนอ้ายจร
ให้ภาดรเก็บไว้แทนใจนาง
สอดกลักน้อยกลอยใจไว้ใต้เกศ
ข่มเทวษโทมนัสก่อนสะสาง
ทวงหนี้เลือดเชือดพม่าแด่นวลนาง
อ้ายจักใช้เลือดมันล้างปฐพี
ก้มกำดาบอาบมนต์ไพรีพินาศ
ยามแกว่งวาดอริราชจุ่งถอยหนี
คม แกร่ง แข็งดั่ง วิเชียรมณี
ใช้สับร่างไพรีให้แหลกราญ
ท่ามพสุธ..อยุธยาธราภพ
เลือดนักรบจักหลั่งลงอย่างกล้าหาญ
จวบร่างแหลกกายดับลับวิญญาณ
อยู่บำราบอริมารผลาญแผ่นดิน
..สิ้นแสงอรุโณทัย...เพลิงเผ่าไหม้ศรีเทพนคร..บัดนั้นอโยธเยศก็สิ้นลง...
กลักทองต้องพื้นพสุธา
พร้อมวิญญาชาตินักรบก็จบสิ้น
ชลนาหยาดสุดท้ายต้องแผ่นดิน
ไฟชีวินมอดมลาย..สลายลง......
..............
22 กันยายน 2547 20:55 น.
พุด
url http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=3816
(ดวงตะวัน)
*********
ตะวันหวังตะวันหวานตะวันหล้า
ตะวันลาตะวันลับกลับมาใหม่
ตะวันเอ๋ยไยมิเผยม่านหมอกใจ
ตะวันไพรตะวันรุ้งตะวันรอน
ตะวันหวานผ่านมาโอบอ้อมอุ่น
ฝากหอมกรุ่นกลางกลีบใจในเกสร
ตะวันลาขวัญเหว่ว้าหลงอาวรณ์
โอ้ทินกรทอเสน่หาอย่าลาไกล..
ส่องประกายทายทักละอองน้ำค้าง
อุษาสางระเหยหายให้หวามไหว
รอวันรุ่งตะวันหวานห่มห้องใจ
นำทางใจนำทางฝันตะวันวอน..
ดั่งตะวันมั่นคงตรงต่อฟ้า
คืนกลับมารับขวัญรอออดอ้อน
ลบคืนหนาวดายเดียวเปลี่ยวร้าวรอน
ยังรออ้อนรอรักภักดิ์ตะวัน...
********
ตะวันจริงลาลับฟ้า..ยังมีวันหวังว่าจะหวนคืนกลับมาใหม่
ตะวันชีวิต..ดับเมื่อใดดวงใจก็มืดมน
ตะวันวน ตะวันวอน ตะวันลับฟ้าตะวันไปไปมามา
ดั่งบูมเมอแรงรักดั่งบูมเมอแรงแสงตะวัน...
ปล่อยให้ใจดวงฝันฝันฝัน ดายเดียวเดียวดาย
ไร้สิ้นซึ้งซึ่งคำถาม ตามตะวัน..ลา
มีเพียงลมหายใจอ่อนหวานอ่อนล้า
เฝ้าหวังเฝ้าฝันและเฝ้ารอ รอ และรอ
ตะวัน..หากมิแรงร้อนก็แกล้งหลบซ่อนกายเร้นหาย
ไปท่ามกลางเมฆหมอกหม่น
ให้หัวใจใครบางคน สับสน รอพรายแสงงามแห่งตะวันวาม
ทุกทิวาวัน..ทิวาหวาม อย่างมีความหวังริบหรี่ ริบหรี่
รออรุณหวานแสนมั่นคงจงรักภักดี
พลีพร้อมคืนฟ้า
หวังหมุนวนกลับมาจุดใจเติมไฟฝัน
ให้พลันพร่างโชนช่วงตามตะวันดวงกลม
จนกว่าลมหายใจสุดท้ายจะสิ้น
ไปกับตะวันจริงตะวันใจไปตราบชั่วนิจนิรันดร..!!
*********...
http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_33679.php
ตะวันลา.....
ที่รักของผม...........
ใกล้วสันตฤดูแล้ว..
อากาศที่นี่เริ่มหนาวนิดๆ.....
ต้นไม้แข่งกันออกดอกพราวสะพรั่ง ...
แลดูสดชื่น สดใส
ผู้คน และ ทุกสิ่งรอบข้างดูสดชื่นเบิกบาน
ราวกับ จะรอวันเฉลิมฉลองที่กำลังจะมาเยือน.....
ยกเว้น...
ใจของผู้ชายคนนี้ของคุณ.......
ที่เดียวดาย..หมองหม่น...สุดจะทานทน....
ทุกเช้า....เมื่อผมตื่นขึ้นมา.....
ผมจะนอนนิ่งๆ
มองแแลลอดบานหน้าต่างออกไป......
เห็นต้นปีบแสนรักของคุณ
ที่กำลังออกดอกงาม...ท้าทายลมหนาว....
ทองกวาวอวดดอกแดงสะพรั่ง
ลำดวนส่งกลิ่นหอม
แย้มบานรับแสงอาทิตย์.....สดใส....
ผิดกับใจผมที่น่าจะสดชื่นกว่านี้.......
เพียงแต่ถ้ามีคุณนอนเคียงข้าง ให้ก่ายกอด ...
และชวนให้ชี้ชมทั้งเนื้อตัวคุณ.....
และนวลหอมของดอกไม้ ต้นไม้รายรอบ...
ในยามเช้าที่แสนหวาน....
ยากที่ผมจะลืมเลือน.....
เหมือนดังเช่นคืนวันเก่าก่อน......
ที่รัก...
คุณทิ้งผมนานเกินไป......
จนใจดวงนี้เริ่มชินชา....และตายด้าน.....
หลวงพ่อถามถึงคุณ...ทุกครั้ง..
ที่ผมแวะเวียนเข้าไปกราบท่าน....
ผมละอายใจที่จะ สารภาพว่า....
ผมเซซัง มาหาท่าน และ โลกแห่งธรรมะ ...
เพื่อเป็นที่ประโลมใจ......
ให้ผมประคองชีวิตอยู่ได้.....เมื่อโลกนี้สิ้นไร้คุณ............
ที่รัก.....
หลวงพ่อแค่มองตาผม......
ราวกับท่านจะล่วงรู้ถึงใจ....
ถึง..ความสับสน..... มืดบอด....
ที่ค้นหาแแสงสว่างไม่พบเจอของผม .....
ท่านให้สติผม....
ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน...
และ ด้วยดวงตา...
ที่แฝงความเมตตาเต็มเปี่ยม....
ท่านบอกกว่า....มาที่นี่แหละ....
หลวงพ่อมีหนังสือดีๆมากมาย.....
ที่นี่เงียบสงบ.....
ใจจะได้สบาย....
ฝึกสมาธิไว้...
เพราะคุณมีศีลพร้อมแล้ว ...
วันหนึ่งจะเกิดปัญญา........
ที่จะรู้แจ้ง เห็นจริง..
กับโลกใบนี้ ที่ไม่มีอะไรน่ายึดมั่น...ถือมั่น.........
ที่รัก....
ผมจะทำอย่างไรกับตัวเองดี....
ให้ยอมรับความจริงของชีวิตว่า
คืนวันของผม
ในโลกสับสนใบนี้..
จะไม่มีคุณเคียงข้าง.... อีกต่อไป......
ที่รัก....ทำไม....และทำไม.....
ผมจึงมีใจดวงอ่อนแอ..
และ...หม่นเศร้ามากมายเกินทน.....
ทั้งที่ผมแสนจะเข้มแข็ง
ในแทบทุกเรื่องของชีวิต...เท่าที่ผ่านเลยมา.....
ทุกที่....ทุกหนแห่ง ...
คุณตามติดในใจผม มิห่างหาย......
ชีวิตนี้ผมเป็นของคุณ...
มิใช่เพียงเฉพาะร่างกาย.....
แต่ทั้งชีวิต....ทั้งวิญญานเป็นของคุณ
ผมรู้....
ไม่ว่าชาตินี้.....และชาติไหนๆ.....
ตราบนานเท่านาน.....
ที่ผมยังไม่พบแสงสว่าง....
แห่งการหลุดพ้นจากพันธนาการรัก...
ทุกภพ..ทุกชาติ
ที่เราได้ร่วมสร้างสมกันมาแต่ปางก่อน......
ผมคิดถึงคุณ.....
คิดถึง แม้กระทั่งยามนั่งอยู่ในวัด...
ที่ๆผมพยายามหาทางหนีโซ่ตรวน..
ที่คุณพันธนาการใจของผมไว้.....
ที่รัก......
คุณคงจำวันแรก
ที่คุณพาผมปีนขึ้นมา..
จนถึงวัดเขาถ้ำ....
ที่ตั้งบนชะง่อนผาสูง.... แห่งนี้.ได้.....
คุณทำให้ผมตะลึงตะไล...แทบลืมหายใจ...
ไปกับทัศนียภาพรายรอบที่แลเห็น.....
จากลานหินกว้าง..
ที่ข้างล่างคือถ้ำ
จะมีทางเล็กๆ เลาะลัดเลียบทอดลงไป........
แลไกลออกไป....
คือโลกสีคราม...กว้าง...ไกล....สุดตา.....
เวิ้งทะเล..สีน้ำเงิน...เขียวมรกต.....
และโทนสีทะเล
ที่ค่อยๆไล่สีอ่อนจางลงมาตามลำดับ....
แทรกด้วยฟองคลื่นสีขาว.....เป็นระลอกงาม......
เรือลำน้อย...
ค่อยๆวิ่งฝ่ากระแสชลแตกฟองขาวนวล......
ตรงมายังอ่าวท่าเทียบเรือ....
ตรงหน้าจะมีเกาะสมุย.....
ชิดใกล้ขนาบด้วย..เกาะแตนอก..แตใน..
ราวกับจะห่วงว่าเกาะพะงัน จะเหว่ว้า.....
แลลงไปเบื้องล่าง
จะมองเห็น...ทิวมะพร้าวสลับซับซ้อนเป็นหมื่นหมื่นต้น......
บ้านเรือนซ่อนตัวอยู่ในดงไม้..เงียบสงบ....
จะมีก็แต่ควันไฟลอยอ้อยอิ่ง ขับฟ้างามอย่างช้าๆ.......
บนหน้าผา..ชะโงกง้ำ..ลอยเลื่อน..
ราวทายทักเมฆ....
จะมีหอระฆัง...และพระพุทธรูป....
ให้กราบไหว้...อธิษฐานจิต......
มีลั่นทมขาวออกดอกพราวไปทั้งต้น..บนชะง่อนผางาม......
ส่งกลิ่นหวานเศร้า..
อบร่ำให้ใจ..นิ่ง..เยือกเย็น..ล้ำลึก.....
อวลมากับสายลมเย็น.......กับบรรยากาศ
เงีบบงาม..ที่รายล้อม......
ที่รัก....ผมกอดคุณไว้แนบแน่น....
ราวกลัวคุณจะหลุดลอยจากสรวงสวรรค์ตรงหน้า........
จากสวรรค์ในอก...ในอ้อมแขน..ในอ้อมใจของผม.....
ผมหยิบลั่นทมทัดหู..ให้คุณ..
พร้อมพรมจูบ..ไรผมงาม อย่างอ่อนหวาน อ่อนโยน
อย่างละเมียดละมุน เท่าที่ใจ แสนสุขล้ำจะทำได้...
ผมพร่ำบอกคุณว่า...สวรรค์มีจริง...สวรรค์มีจริง.
ด้วยใจทั้งดวงที่เต็มอิ่ม..จากทุกสิ่ง
ที่สวรรค์หยิบยื่นและประทานมาให้ผม.....
ในนาทีของชีวิต
ที่ผมปรารถนาจะให้โลกทั้งโลกหยุดหมุน
ผมจำ....คืนวัน ที่มีคุณ..
ไม่ว่าบนภูสูงแห่งนี้....
หรือแม้แต่....กลางทะเล....ในค่ำคืน....
ที่ร่างของคุณถูกแสงจันทราอาบไล้.....
นุ่มนวล..งามสล้าง..ราวกับเทพีจากแดนสรวง...
ที่รัก..ทุกฉากตอน..
ตามมาให้ใจดวงนี้
ที่ร้าวระบม..ระทม...
พร่ำวนเวียนคอยเรียกหาคุณ
อย่างไม่มีวันจบสิ้น............
และแม้แต่นาทีแรกที่ได้พบคุณ....
ผมถูกย้าย....
มารับตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ ที่ดิน..
ที่นี่ อำเภอที่เป็นเกาะเล็กๆ..ไกลห่าง.....
จากแผ่นดินใหญ่...
ที่งดงามราวกับเกาะในฝัน......
ในเวลานั้น ผมกลับว้าเหว่....และคิดว่า.......
ทำไมนะ ....
โชคชะตา..ฟ้าถึงลิขิต
ให้คนหนุ่มอนาคตไกลอย่างผม....
ต้องถูกชีวิตราชการ....
นำมาปล่อยไว้บนเกาะแสนไกลแห่งนี้...............
ผมเพิ่งคิดได้.....
และไม่เคยเสียใจเลย..
ในเวลาต่อมา..
ที่ชะตาฟ้าดินส่งให้ผมต้องมาอยู่ที่นี่
ผมรู้แล้วว่า...
ผมมาที่นี่...เพื่อพบคุณ....
สวรรค์เป็นใจ....
ให้เราต้องมาพบเพื่อพราก...เพื่อเรียกคืน..........
เที่ยงวัน....ที่แดดจ้า....ฟ้าใส.....
พร้อมสายลมร้อน.....ของเหมันตฤดู........
เกาะแห่งนี้คึกคัก...คลาคร่ำ....
ไปด้วยผู้คน..
นักท่องเที่ยวจากแดนไกล...
ที่หวังมาแสวงหาความสุข
ความเบิกบานใจ...
และเติมเต็มให้โลกของตัวเองมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น...
คุณมาปรากฏตัวที่อำเภอของผม..
ราวกับฤดูร้อนได้นำดอกไม้..สดสวย...แสนงาม
มาคลี่บานในโลก.
.และในใจของผม...
ให้มีชีวิตเฉกเช่นเดียวกัน......
ทันทีที่คุณแย้มยิ้ม....
และทายทักกับเพื่อนเก่า.....
กับคนที่คุณคุ้นชิน.........
โลกของอำเภอที่แสนเงียบเหงา..
ก็ถูกปลุกให้พลัน....
สว่างกระจ่างใส..ไปกับรอยยิ้มนั้น....
คุณนั่งตรงหน้าผม.....
เพื่อจะทำธุระเรื่องการโอนที่ดิน.....
ที่คุณบอกผมถึงเหตุผล.....
ในเวลาต่อมา.........
คุณพยายามเป็นเจ้าของ....
เพราะคุณเกิดที่นี่.....
คุณไม่อยากให้คน..ต่างถิ่น.....
และคน ต่างชาติ..
ที่พยายามหาช่องว่างของกฏหมาย
เพื่อถือกรรมสิทธิ์ครอบครอง.........
คุณกลัวทุกคน..
หวังแค่มาแสวงหาประโยชน์...
แล้วลาจากไป...โดยเหลือเพียง....
ความสูญเสียของธรรมชาติ.....
คุณคิดว่า....คุณรักแผ่นดินนี้..
และเข้าใจ..แผ่นดินเกิดของคุณ
มากกว่าใครๆ .
ที่รัก....ผมโต้แย้งคุณ......
ผมบอกคุณว่า.....
คุณมองโลกในแง่ร้ายเกินไป......
ไม่มีคนไทยคนไหน.
.จะไม่รักแผ่นดินไทย.....
ไม่ว่าที่ไหนๆทุกตารางนิ้วในประเทศนี้.......
คุณอวดกล้า....อวดเก่ง...
ว่าตัวคุณเองมีอุดมคติล้นเหลือ...
ถ้าอย่างนั้นคุณมีเงินมากพอ
ที่จะตาม เพื่อไปปกป้อง......ทุกแห่งหนมั้ยล่ะ.....
คุณมองผม....นิ่งเงียบ....ตาแสนเศร้า....ราวสำนึก....
คุณบอกไม่เลย....ที่คุณจะดูถูกใคร.....
เพียงแต่คุณอาจจะอ่อนไหวมากไป....
และอาจจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลง......
อย่างรุนแรง....
และน่ากลัว..ที่กำลังรานรุกทำลายทั้งวัฒนธรรม..
และทั้งธรรมชาติที่แสนงาม..ที่คุณสัมผัสมา....
ตั้งแต่วัยเยาว์.....
คุณทำใจยากที่จะยอมรับ.....
คุณเสียดาย....คืนวันอันแสนงาม..ในความทรงจำ
นาทีนั้น คุณสบตาผม....นิ่งนาน....
และบอกว่าคุณคงต้องเริ่มทำใจให้ยอมรับ..........
ความเปลี่ยนแปลงของโลกที่ยากจะห้ามได้.....
โลกที่คงต้องหมุนไป....ทุกเมื่อเชื่อวัน.......
ทุกอย่างคงต้องหมุนตามโลกไปไม่มีวันสิ้นสุด.......
และคุณได้เพียงหวัง.......
แค่ให้มันหมุนออย่างช้าๆ...ช้าๆ
อย่างงดงาม....และสร้างสรรค์.....เพียงนั้น......
ที่รัก.....
เพราะทุกบทสนทนาราวโต้แย้งระหว่างเรา....
และจากทุกประโยคที่กลั่นออกมา
จากใจดวงงามของคุณ....
เพราะคำพูดที่คุณฝังฝากใจเอาไว้......
ให้ผมช่วยปกป้องผืนแผ่นดินนี้ของคุณ...
ทำให้....หัวใจของผม....สะเทือนไหว.......
ผมชอบคุณ......ผมชอบคุณ....
ผมบอกกับใจตัวเอง..นับเนื่องจากนาทีนั้น......
มิใช่เพราะคุณ..ดูน่าติดตา..ต้องใจ..
ในรูปลักษณ์ภายนอก.....
ที่ดูแสนเก๋....แสนมีบุคลิก.... เชื่อมั่น......
แต่ผม...ชอบคุณ....
และแสนประทับใจ...ทัศนในการมองโลก...และชีวิต....
จากใจดวงงาม...ดวงละมุนของคุณ...........
และด้วยคำพูดอ่อนโยน..ในวันนั้น..
ที่ตามติดมาหลอกหลอน.....ให้ผม..ถวิลหาคุณ........
เฝ้าเพียรพยายาม.....
ที่จะได้ชิดใกล้....
และรู้จักคุณให้มากขึ้น...กว่าเดิม..ในเวลาต่อมา......
คุณบอกผมว่า.....
คุณชอบชื่อผม....*ธนูอินทร์*
วันหนึ่งถ้าคุณมีลูกชาย...
คุณจะตั้งชื่อนี้ให้ กับเขา.........
ที่รัก.....ระหว่างเรา....
ไม่มีบทขึ้นต้น....ไม่มีบทลงท้าย.....
ทุกอย่างระหว่างเรา..
เกิดจากน้ำมือของชะตากรรม.........
ผมยอมรับความจริงข้อนี้....โดยดุษฎี........
ที่รัก.......ผมเป็นลูกผู้ชาย....
คุณบอกว่า....
น้ำตาลูกผู้ชายควรเก็บไว้ให้รินรดภายในใจ.... มิใช่หรือ....
แต่คุณรู้ไหม.....
ทุกยามเย็น...ใกล้อาทิตย์อัสดง....
ผมจะขับรถจิ๊ปคู่ใจ..พร้อมกับเจ้าลิเดย์
เพื่อนคู่ทุกข์..คู่ยากของผม......
มานั่งเดียวดายตรงโค้งอ่าว..
ที่จะมองเห็นพระอาทิตย์ลาลับ ลงผืนน้ำ.....
และลูกผู้ชายคนนี้ของคุณ.......
จะสั่งลากับพระอาทิตย์...ผืนน้ำ...และแผ่นฟ้า
ไปถึงคุณให้รับรู้.....
รับทราบถึงใจที่ร่ำร้อง...
.เรียกหาคุณทุกทุกนาทีแห่งลมหายใจ.........
เพื่อให้นำคุณ....กลับมา....
พร้อมอรุณรุ่งแห่งวันใหม่.......และ......
ด้วยน้ำตาที่หลั่งล้นท่วมท้นใจ......
ราวกับสิ้นไร้แสงตะวันแห่งชีวิตนี้....!!
****************************
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=3816
ดวงตะวัน แอม & ดา : : Key Am ดวงตะวัน
ที่เคยส่องแสงให้ความ สว่าง
กำลังจะจาง
กำลังจะเลือนหายไป
คนที่ดี ที่มีแก่ใจให้กัน มาก่อน
กำลังจะลืม กำลังจะเดินหนีไป
ท้องฟ้าก็คงมืดมน
และคงมีคนเสียใจ อา!!
แค่เพียง อยากรู้ว่าทำไม
ตอบได้ไหมเล่าดวงตะวัน
แม้แต่ดาว ที่พราวบนฟ้าก็ดู
เลือนลาง
และมันก็จาง ไม่พอจะแทนที่ใคร
คนใด
มีแต่เธอ เป็นเพียงตะวันไม่มี
คนอื่น
และเธอเท่านั้น
คือดวงตะวันที่หายไป
ท้องฟ้าก็คงมืดมน
และคงมีคนเสียใจ อา!!
แค่เพียง อยากรู้ว่าทำไม
ตอบได้ไหมเล่าดวงตะวัน
ท้องฟ้าก็คงมืดมน
และคงมีคนเสียใจ อา!!
แค่เพียง อยากรู้ว่าทำไม
ตอบได้ไหมเล่าดวงตะวัน
ตอบได้ไหมเล่าดวงตะวัน...
22 กันยายน 2547 08:40 น.
พุด
url http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=2353
(นิยาย)
นิยายของชีวิต
คือลิขิตจากใจข้า
เย้ยทั้งฟ้าท้าทั้งดินสิ้นเมตตา
บอกใจว่า..ทำดีไม่ได้ดี...
ข้าขอลิขิตชีวิตข้า
โลกบ้าบ้าทอดทิ้งมาเมินหนี
โลกในรักในฝันเคยภักดี
มาวันนี้..หมดศรัทธาท้าทายใจ.....
เมื่อสวรรค์ปรานีลอยมาหา
ขอไขว่คว้าฝากรักมั่นไม่หวั่นไหว
ขอฟ้าดินรู้เห็นและเป็นใจ
โลกใบใหม่เก็บซึ้งซุกสุขสองเรา......
นี่คือนิยายรักในชีวิต
ที่ลิขิตจากใจของคนเหงา
คนดายเดียวเคยคว้าเพียงแค่เงา
มามีเราและเราเฝ้าแบ่งปัน....
วอนโลกไยไฉนไม่อวยพรให้
อย่าใจร้ายส่งคนดีมาปลอบขวัญ
โลกลอยเลื่อนลาเลยลับกับตะวัน
หวังและฝัน..มีคนดี..เคียงข้าง..ตราบสิ้นลม
********
รักคือให้อภัยเข้าใจในทุกอย่าง!.
ขอเคียงข้างไม่ห่างไกลไม่ไกลห่าง
ฝันจะคว้างร้างไร้ไม่สิ้นหวัง
เพ้อเพ้อเพ้อเพียงมีเธอเติมพลัง
ฝันและหวังหวังและฝันวันเป็นจริง
พ้อเพียงพ้อเพ้อเพียงเพ้อเผลอพันผูก
ผิดหรือถูกถูกหรือผิดยอมทุกสิ่ง
รักและรอรอและรักใจยอมนิ่ง
ไม่ทอดทิ้งไม่ทิ้งทอดยอมถอดใจ
รักคือให้อภัยเข้าใจในทุกอย่าง
เคว้งและคว้างร้างหรือไร้ใช่หวั่นไหว
ไกลหรือใกล้ใกล้หรือไกลไม่เป็นไร
หากหัวใจสองเราเป็นเงากัน
ในคืนหนาวฝนพรำพรำฟ้าฉ่ำฝน
หนาวแรงลมห่มแรงใจกลับไม่หวั่น
ในหัวใจมีไออุ่นมอบให้กัน
ทุกทิวาทุกความฝันฉันซ่อนซุกสุขซึ้งใจเพราะรักเธอ..เพราะรักเธอ!
*********
คำรำพึงจาก..คุณสมพงษ์ ทวี
ผมมักมีความคิดเป็นเพื่อน
คิดไปเรื่อยเรื่อยร้อยแปดพันเก้า
เป็นเรื่องเป็นราวบ้าง
ไม่เป็นโล้เป็นพายบ้าง
ตามแต่ สภาพแวดล้อม..
อารมณ์..หรือความรู้สึก
จะกำหนดทิศทางให้ดำเนินไป
สิ่งที่เป็นสาระสำคัญสูงสุดในการใช้ชีวิตคือ
การมีอยู่เพื่อถามและตอบตัวเอง
สำหรับให้โลกภายในนั้นได้ประจักษ์
ถึงบางแง่มุม ที่จะระงับความทุรนทุราย
ในส่วนลึกของดวงวิญญาณลงได้
ความทุรนทุรายดังกล่าว
ก็คือความต้องการเพื่อเน้นย้ำ
ความสุข ตรงนี้เฉพาะทัศนะของผม
ความสุขไม่แปลกปลอมเป็นอื่น
นอกเสียจากการใช้ชีวิตให้เป็นและอย่างเข้าใจ
ไม่ใช่เรื่องง่าย
ที่จะทำให้เราปรุโปร่งต่อความซับซ้อนของกระบวนการทางสังคม
แต่ผมไม่ปรารถนา
ที่จะอยู่ไปวันๆอย่างเหมือนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้อื่น
ลึกลงไปภายในของผม
ไม่ใช่ต้องการความแปลกแยก
หากว่าความแปลกแยก
กลับเสนอคุณค่าของมันออกมาโดยเด่นชัด
ในความเชื่อที่ไม่สอดคล้อง
คนเราจำนวนไม่น้อย
ตกอยู่ภายใต้แอกของของความเหมือน
ในลักษณะของกึ่งลัทธิเอาอย่าง
มูลเหตุจะมาจากความหมายใดก็ตาม
ผมยังคงยืนยันความเป็นเอกเทศของตัวเอง
ท่ามกลางความขัดแย้งนานาประการ
ผมพบความจริงข้อหนึ่งว่า
การคิดทำให้มนุษย์เติบกล้า
ขึ้นเข้มแข็งขึ้น
และอาจนำพาตัวตน
ที่ลอยล่องอยู่ในภาพมายาต่างๆให้ตกตะกอนลงได้
ถามว่า..ผมอยากหลุดพ้น
จากบ่วงแห่งชีวิตที่รัดรึงอยู่ในวันเวลานี้หรือไม่
คำตอบที่ชัดเจนในนาทีนี้
คงไม่สามารถตอบได้
ผมต้องการความสงบ
แต่ผมรักชีวิต รักการเคลื่อนไหว
ยังคงต้องใจต่อความงามแห่งความจริง
และยังเปี่ยมล้นมั่นใจว่าตัวเองเป็นกวี
ผมยังมีอัตตาและมีพันธะ
ที่จะมองเห็นความเศร้าของใครอื่น
เป็นปัญหาต้องแก้ไข โลกต้องปรับปรุง
ทั้งยังต้องการเยียวยารักษา....
ผมคิดว่าหน้าที่ของชีวิตแน่แท้
เป็นประการเดียวกับกับหน้าที่ของความรัก
แม้มันจะเป็นเครื่องบีบบังคับหัวใจของเรา
ให้อาดูรมากน้อยเพียงไร
ผมยินยอมที่จะมีค่าในอุดมคติ
แห่งจริยธรรมทางความคิดที่เชื่อมร้อย
เอาความจริงและมายาการทั้งสิ้นทั้งปวงไว้รวมกัน
ระหว่างชีวิตภายใน
และการพยายามตระหนักถึงชีวิตทางนามธรรม..
หน้าที่ของกวีไม่ใช่หน้าที่ของนักบวช
แม้ศาสดาทุกพระองค์
จะทรงคุณวิเศษ ประดุจดังกวีผู้ยิ่งใหญ่
ทว่าขณะปัจจุบันในฐานะปุถุชน
ผมต้องการคิดเพื่อบรรลุเป้าหมายเบื้องต้นของกวี
คือภารกิจที่มีต่อความรัก
***********
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=2353
นิยาย
เสาวลักษณ์ ลีละบุตร : : Key B
ก็เป็นเพียง แค่คน
ที่ค้นหาทางเดิน
เมื่อมีทาง ให้เดิน ก็จะเดินไป
เพื่อเก็บดาว ซักดวง ที่ฉันนั้น เคยใฝ่
เพื่อเจอคน ที่ใจ เขาจะจริงจัง
แต่ความจริง ที่เจอ ชีวิตนั้น วกวน
ไม่เคยมีผู้คน ที่จะจริงใจ
จะมีเพียงแค่ดาว บนฟ้าแสนกว้างใหญ่
ที่เอื้อมมือ เท่าไร ยิ่งจะไกลห่าง
กลายเป็น เพียงนิยาย ที่ยาวนาน เรื่องหนึ่ง
ซึ่งถูกแต่ง มาด้วยใจ และด้วยความฝัน
แต่ในความจริง ที่เจอ คือผิดหวัง เท่านั้น
ไม่เคยเหมือน ที่ใจฝัน สักที
แต่ความจริง ที่เจอ ชีวิตนั้น วกวน
ไม่เคยมีผู้คน ที่จะจริงใจ
จะมีเพียงแค่ดาว บนฟ้าแสนกว้างใหญ่
ที่เอื้อมมือ เท่าไร ยิ่งจะไกลห่าง
กลายเป็น เพียงนิยาย ที่ยาวนาน เรื่องหนึ่ง
ซึ่งถูกแต่ง มาด้วยใจ และด้วยความฝัน
แต่ในความจริง ที่เจอ คือผิดหวัง เท่านั้น
ไม่เคยเหมือน ที่ใจฝัน สักที...
20 กันยายน 2547 23:20 น.
พุด
Url http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=4867
(น้ำตาลาไทร )
พร ภิรมย์ : : Key Bb
ลาแล้วแก้วตา
สัญญาให้ไว้ยังจำ
บุญหนีบาปนำ
พี่มาไม่เจอนวลนาง
ทั่วถิ่น พนาตามหาหมดทาง
เจ้าทิ้งสัญญาหรือนาง
พี่อ้างว้าง อารมณ์
นางไม้แม่เอย
ไยเฉยให้ช้ำวิญญา
นวลน้องไม่มา ยิ่งพาอุราระบม
หรือเจ้า เขาไพรบังไว้ซ่อนชม
ข้าขอจอมไพรพนม
ยอมสิ้นลมบวงสรวงจอมไพร
เทพารักษ์ ร่มไทรสาขา
อุ้มสมพานางน้องมา
ให้ข้าเถิดหนาพระไทร
มีน้ำตา ข้าหลั่งรินจากใจ
ขอหลั่งไว้ ล้างเท้าเทวดา
ขอหนุนตักนาง จนสางอรุโณทัย
ยอมแม้สิ้นใจ
เซ่นสรวงแด่ปวงเทวา
คอยเจ้า แม้เงาไม่เห็นเจ้ามา
พี่นี้มีเพียงน้ำตา
รินหลั่งลารากไม้ไทรงาม
เทพารักษ์ ร่มไทรสาขา
อุ้มสมพานางน้องมา
ให้ข้าเถิดหนาพระไทร
มีน้ำตา ข้าหลั่งรินจากใจ
ขอหลั่งไว้ ล้างเท้าเทวดา
ขอหนุนตักนาง จนสางอรุโณทัย
ยอมแม้สิ้นใจ
เซ่นสรวงแด่ปวงเทวา
คอยเจ้า แม้เงาไม่เห็นเจ้ามา
พี่นี้มีเพียงน้ำตา
รินหลั่งลารากไม้ไทรงาม...
*******
ฝนข้างนอกกระท่อมไพร
กำลังโปรยสายพรายพลิ้ว
นวล..นอนซุกตัวฟังเพลง*น้ำตาลาไทร*
บทเพลงที่ทำให้นวลสะเทือนใจอย่างที่สุด
บทเพลงอมตะแสนเศร้าร้าวราน
และซาบซึ้งใจอย่างสุดแสน
ทุกบทเพลงที่มีความรักจริงใจ
แฝงความเรียบง่าย
ของลูกชายชาวนาชายชาวชนบท
ชายชาติไพรดวงใจสงบงาม
*เทพารักษ์ ร่มไทรสาขา
อุ้มสมพานางน้องมา
ให้ข้าเถิดหนาพระไทร
มีน้ำตา ข้าหลั่งรินจากใจ
ขอหลั่งไว้ ล้างเท้าเทวดา
ขอหนุนตักนาง จนสางอรุโณทัย
ยอมแม้สิ้นใจ
เซ่นสรวงแด่ปวงเทวา
คอยเจ้า แม้เงาไม่เห็นเจ้ามา
พี่นี้มีเพียงน้ำตา
รินหลั่งลารากไม้ไทรงาม...*
ช่างงามคำงามล้ำงามใจงามไหวหวาม
ราวสังเวยแด่ดวงใจลูกผู้หญิงชาวดินชาวไพร
ที่ชื่อนวลนี้เช่นกัน
นาทีนี้นวลก็คิดถึงนกไพร
และ
หัวใจอิสราทุกดวงใจนะ
ขอกระซิบฝากคำมั่นสัญญารักภักดิ์พลี
มากำนัล..เป็นขวัญดีฝันพลี..
ในค่ำคืนนี้
ให้
ทุกดวงใจแห่งรัก
ในร่มรักเรือนไทยเรือนใจแห่งผองเรา
พบนกไพรในใจนวล
ที่จะชวนเหินบินไปด้วยกัน..
*******
เจ้านกไพร.........
เจ้าราว ดวงตะวัน
ยามอรุณรุ่งเบิกฟ้า
ทอแสงเจิดจ้า จับท้องนภา
เพื่อให้มวลหมู่ชีวิต
มีความหวังรับวันใหม่
วันที่แสนดีแสนงาม
เจ้านกไพร........
เจ้าราวมวลหมู่ดอกไม้ แสนหวาน
ที่กำลังบานพราวไสว
ในทุ่งกว้าง
รับแสงแดดและสายลม
อ่อนใสบริสุทธิ์
ที่งดงามราวกับสรวงสวรรค์นฤมิต....
เจ้านกไพร........
เจ้า..ราวฟ้ากว้าง ทางไกล
ฟ้าที่สวยใส สดสว่าง
ที่นวลเพียรเฝ้ามอง
เพื่อเพิ่มเติมต่อ พลังแห่งชีวิต
ให้มีความฝัน
ความหวัง กำลังใจ
และจินตนาการ มิรู้สิ้น รู้จบ...
เจ้านกไพร........
เจ้าราวดวงดารา พราวพราย ระยิบระยับ
ขับความมืดหม่น ในห้วงนภา
ในดวงใจนวลนี้
ยามที่มีพายุร้าย
พัดผ่านมา
และ
นวลนั้นแสนที่จะหมองหม่นและท้อแท้ใจ..
เจ้านกไพร........
เจ้าคือเพื่อนแท้ เคียงบ่าเคียงไหล่
ไปกับทุกเรื่องราวในชีวิตนวลนี้
ที่จะไม่มีวันทอดทิ้งกันและกัน
ตราบจนวันสุดท้ายแห่งชีวิต...
เจ้านกไพร........
เจ้าราวผีเสื้อ และดอกไม้
ที่ทำให้โลกของนวล และโลกนี้
ได้แย้มบาน
คงความสวยความงาม
ของพืชพันธุ์
เพื่อให้โลกนั้นหวานละมุนลง.....
เจ้านกไพร.......
เจ้าคือโลกแห่งอนาคตของชีวิตนวล
ที่ขอฝากไว้ในมือเจ้า
หวังสานฝัน
ให้เป็นจริง ในบางเรื่องราว
ที่นวลฝันแล้ว
ไม่สามารถคว้าไขว่
ดวงดาวแห่งความสำเร็จนั้นมาสู่อุ้งมือได้
เจ้านกไพร........
เจ้าคือความดี ความเลอล้ำค่า
ยิ่งกว่ามณีใดในโลกหล้า
ที่นวลเฝ้าเพียรเจียรนัย
ให้แสงงามนั้น
งามจับตา จับใจ
เพื่อนำทางชีวิต
ให้สว่างสดใส แก่ตัวเจ้าเอง
แก่คนดีที่เจ้ารักภักดี และต่อผืนดินนี้
ที่ให้ชีวิตเจ้าได้หยัดยืน.....
เจ้านกไพร........
เจ้าคือ บทเรียนแห่งรักนี้
ที่โลกมอบเป็นของขวัญให้นวล...
ได้รู้ซึ้งถึง
ความหมายของคำว่ารักที่แท้จริง
และรักแท้ที่ต้องเป็น
เพียงผู้ให้ และเสียสละ
เป็นดังความรักไม่รู้จบ จนผืนดินกลบหน้า..
เจ้านกไพร.......
เจ้าคือ นกน้อยแห่งความหวัง
ที่นวลติดปีกสีขาว
ให้เจ้าได้โบยบินไปสู่โลกกว้าง
เพื่อแสวงหาสิ่งดีๆ
ให้กับชีวิตของเจ้าเองและผองชน..
จงบินไปอย่างอิสระเสรี ในโลกนี้
ที่ยังกว้างไกล
ด้วยดวงใจที่อดทน
เพื่อค้นหา ความฝันมิรู้สิ้น
และ
จงทำฝันแสนดีนั้นให้เป็นจริง
เพื่อคืนกลับให้แก่โลกใบนี้
และแก่ชีวีผู้ยากไร้
และทุกข์ทน ถ้ามีโอกาส.....
เจ้านกไพร.........
นวลขอฝากขวัญ ฝากใจ ตามติด
ไปกับเจ้าทุกแห่งหน
เพื่อประโลมใจและเคียงข้าง
ยามที่เจ้าเดียวดาย
และเหลียวหาใครไม่มี...
เจ้านกไพร........
จงอย่ายอมท้อแท้ แพ้พ่าย
ขอให้ดวงใจเจ้านั้น
ตั้งใจสร้างความดี
ที่เป็นดังความฝันอันสูงสุด
หากล้มแล้วรีบลุก ก้าวเดินต่อไป
ในถนนชีวิตนี้แสนยาวไกล
ที่คงต้องอาศัยใจดวงดี
มีความกล้าหาญ เข้มแข็ง อดทน..
และ
เจ้านกไพร
จงภูมิใจในตัวตนของเจ้านี้
ที่ได้เกิดมาสมค่าคำ*มนุษย์*
อย่างสมบูรณ์แบบ
นะยอดดวงใจ
เจ้านกไพร..เจ้านกไพร..เจ้านกไพร!!