22 พฤษภาคม 2548 12:59 น.

ดั่งเรือชีวิตลิขิตฝัน..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song490.html
(แม่พิมพ์ของชาติ)
............



ฟ้าโพล้เพล้สีเทาหม่นมัว
เมฆสลัวกระจาย พรายพร่าง..งามดั่ง ฟ้าหลังฝน

ไพล..*ขี่จักรยานพับได้..*เลียบ..วน..บึงงาม



เห็น...ดอกไม้นานาพรรณไหวตระการบานชูช่อล้อภมรภู่ผึ้ง

ในบึงมีคู่รักเอนอิงในอ้อมตักอ้อมใจ กอดตระกอง
พายเรือพาเรือ ลอยล่อง ..
ราวอยู่ในทะเลสาบแห่งความฝันสรวงสวรรค์สีเงินงาม..ตามจินตนาการ



หวานดอกปีบปลิดกลีบพรายพรมห่มพื้น

ไพลหยิบดอกยังชื้นน้ำค้างนำมาแซมเสียมผม
แล้วลงไปนั่งเอนอิงไหล่พิงพักกับต้นไม้แห่งรักนิรันดร์



และ..
แปลกดีนักที่ใจดวงแวววะวับกลับแวบแอบไปคิดถึง
*ครู..ไพฑูรย์ ขาวมาลา ..*

ที่เคยอ่านแล้วแสนซาบซึ้งใจใน*วิถีแห่งภูมิปัญญา*

ในหนังสือ *ไร้กาลเวลา ที่คุณธีรภาพ โลหิตกุล*
รจนาเล่าฝากไว้ใน ไพลแสนประทับใจ..
และ
จดจำมาได้จนถึงนาทีนี้
และ...ทันทีที่เห็นเรือ



จึงอยากนำมาพลีเผื่อ..วางบรรณาการ
แด่ผู้รักการอ่านเรื่องยาวๆ...
และ
อาจจะยังประโยชน์แด่ดวงจิตวิญญาณ ได้ซึ้งทราบ
และ
อาจจะนำไปใช้เป็นแบบฉบับอันแสนงดงาม..นำวิถีใจ
แทนที่จะสนใจเพียงแค่เรื่องของตัวเอง..


ท่านผู้นี้คือ.....
อดีตอาจารย์วิทยาลัยเทคโนโลยี่และอุตสาหกรรม
การต่อเรือพระนครสียอยุธยา ที่ณ..วันนี้ วัย 68ปีแล้ว..

ท่านมีบ้านทรงไทยที่ร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้ 
และมีชีวิตพักพิงแสนสงบงาม
เพียรสานฝันจนพลันเป็นจริง
สร้างเรือลำน้อยใหญ่หลายร้อยลำ



ทั้งเรือจริงและเรือจำลอง 
ที่มากมายจน...*ต้องขายทรัพย์สินที่นามาปลูกบ้านให้เรืออยู่*
ที่ ณ..วันนี้ กลายเป็น*พิพิธภัณฑ์เรือไทย*


และ..
ท่านก็ยังยินดีเปิดบ้านให้เข้าชม
และพร่ำเพียรสอนเยาวชนผู้สนใจสืบทอดยอดแห่งงามให้ 
*เพื่ออนุรักษ์วิชาทำเรือจำลอง*
พร้อม..
กับอธิบายให้กับผู้สนใจรักในศิลปเรือไทยตั้งแต่กาลก่อน 
ว่ามีวิวัฒนาการงามย้อนอดีตถึงยุคปัจจุบันเฉกเช่นไร



ท่านเป็นคนดี....
*เป็น.ศรีแห่งเมืองกรุงเก่า..*อยุธยา* และรัตนโกสินทร์*

ท่านเรียนจบที่โรงเรียนอาชีวะช่างต่อเรือ 
ที่ณ..วันนี้เป็นวิทยาลัยการต่อเรือแล้ว
เพราะ..
ท่านเกิดมาริมแม่น้ำลพบุรี 
ที่คือบัดนี้...คือกรุงเก่า อำเภอพระนครศรีอยุธยา



ที่ท่านบรรยายให้ฟังว่า
*พอถึงฤดูน้ำหลาก 
ทุ่งนาท้องน้ำแถวอยุธยา นครสวรรค์มันสวยเหลือเกิน

ต้นข้าวเขียวขจี ท้องนาเจิ่งนองด้วยน้ำสุดลูกหูลูกตา

สมัยเด็กๆพายเรือไปตกปลาหากินตามทุ่ง 
คลุกคลีกินนอนอยู่กับเรือกับท้องนา

*จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ศึกษา
และอยากอนุรักษ์เรือไทยไว้ให้ลูกหลาน..*


ทั้งอธิบายถึงเรือไว้ว่า...

เรือผีหลอก..จะห้อยกระดานทาสีขาวไว้หลอกปลาให้ตกใจ
 กระโดดขึ้นเรือให้จับได้ง่ายๆ

เรือเข็ม...เรือนั่งคนเดียวที่สมัยคุณปู่เป็นหนุ่ม
ใช้พายไปจีบสาวเบาและเพรียวลมเหมือนมอเตอร์ไซด์สมัยนี้
 
เรือสำปั้น... มาจากภาษาจีนว่า*ซำปัง*
เป็นเรือเล็กที่วางอยู่บนเรือสำเภาใช้ช่วยชีวิตยามฉุกเฉิน..

เรือมาดเก๋ง... สมัยรัชกาลที่ห้าที่สวยเสียจน
*กองถ่ายละครสี่แผ่นดิน*.
ติดต่อไปเข้าฉากในฐานะ..*เรือแม่พลอย*




ใครที่อยากทราบ
และฝากถึงทุกดวงใจที่แสนรัก
ที่กำลังรจนาถึงวิถีไทย
ท่ามเรือพายไสวในลำคลองเจ้าพระยา..ต้นรัตนโกสินทร์

ก็..จงได้โปรดศึกษาค้นคว้า..มาประกอบการเขียนเอาเถอะนะ


เพราะท่าน..
ได้ค้นคว้าทุ่มเทและมีตัวอย่างให้ดู
ใน...*พิพิธภัณฑ์เรือไทย *..ที่อยุธยาแล้ว
และ
ผลงานที่ท่านแสนภาคภูมิใจคือ...
การที่รัฐบาลไทยให้ต่อเรือจำลองถึง...62..ลำ...
เพื่อใช้ในงานการประชุมโอเปค..


 
และ
ไหนจะยังเคยต่อเรือจำลองบรรณาการแด่พระราชอาคันตุกะ
ในปี2529 ท่านเคยประดิษฐ์เรือจำลอง
ถวายสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธแห่งอังกฤษ
และ
เคยทูลเกล้าถวายเรือจำลองแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และพระบรมวงศ์แทบทุกพระองค์มาแล้ว



อีกทั้ง..*เรือสำเภาลำใหญ่*
ในศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา
ก็เป็นผลงานของท่าน..ตามคำเรียกร้องขอจากทางการญี่ปุ่น


และ...
ท่านเคยบอกถึงความเป็นตัวท่านไว้ดังนี้ 

*ผมเป็นผู้เป็นคน...เพราะครูสอน*ให้ผมรักการอ่าน*

แถมทุกวันนี้ลายมือผมยังอวดใครๆได้

จิตวิญญาณของการเป็น..*ครู..และศิลปินนักต่อเรือ 
สะท้อนออกมา..*ที่สัญลักษณ์ของวิทยาลัยการต่อเรือ *
ที่ท่านเป็นผู้ออกแบบ
และโดยอนุมานเข้ากับธรรมะ อันประกอบด้วย...



*สมอเรือ*   หมายถึง  *สติ*เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจ
*ใบจักรเรือ* คือ  *ปัญญา*  ขับเคลื่อนชีวิตสู่เป้าหมาย
*ชูชีพ*... คือ * เมตตา *ช่วยชีวิตคนให้พ้นทุกข์
*พังงา (ที่ถือท้าย)* คือ..*มรรคแปด* เครื่องชี้ทิศทางชีวิต
*โซ่และเชือก* คือ  *ความสามัคคี * ทำงานให้สำเร็จลุล่วง


และ...
นี่คือเหตุผลหนึ่ง..
ที่ทำให้ท่านได้รับการยกย่อง
เป็น*ผู้สอนดีเด่นระดับอุดมศึกษาพ.ศ2533*
และ
*ศิษย์เก่าดีเด่น วิทยาลัยครูพระนครพ.ศ2535*
และ..
ได้รับการยอกย่องจากสื่อมวลชนให้เป็น
*ที่สุดแห่งสยาม ด้านการประดิษฐ์เรือจำลอง*



ผู้มีเรือเป็นดั่งชีวิตและจิตวิญญาณ
และ
ได้เพียรฝึกสานสืบอนุรักษ์มรดกแสนงามละเมียดนี้
ไว้ให้อนุชนลุกหลาน

ได้สร้างสานต่อ ด้วยความรักปิติแสนภาคภูมิใจ..
ฝากตราไว้ให้ทรงจำในแผ่นดิน นานเนานิรันดร์ ..



ให้เราลูกหลานไทยผู้ตามมาทีหลัง
 *ที่มีพรสวรรค์ฟ้าประทานธรรมชาติให้มา*

ได้พึงตระหนักค่าคน ค่าผลงาน
 อย่า...!..เพียงคิดฝันเพียงนั้น 
ให้ลงมือทำจริง ทุกสิ่งอันที่เราชำนาญ..เพียงอย่างเดียวสิ่งเดียว

ก็มีคุณอนันต์เอนกต่อชาติบ้านเมือง
ต่อผืนแผ่นดินแม่มาตุภูมิอย่างไม่เสียชาติเกิดแล้ว...นะคนดีนะดวงใจ



และ
จงอย่ายอมท้อแท้แพ้พ่าย
ขอจงได้มีพลังหยัดยืนทรนง
ได้พลีจิตเจต์จำนง

ใช้หวังหวานผ่านดวงจิตวิญญาณบ้านภายใน
สร้างสรรปันพลี..
สานฝันฝากดีฝากงามฝากผลงาน
เพื่อคืนกลับ..




ก่อนถึงวันแห่งลมหายใจค่อยๆดับวูบไป
ราวแสงเทียน..ระริก ริบ....ริบหรี่ไหว..แล้ว...
พลันมืดดับลับลา...

หากได้จุดไฟฝัน..พลีบูชาองค์พระรัตนตรัย 
เบื้องหน้าพระพักตร์พระพุทธในโบสถ์คร่ำ...

แม้นเพียงชั่วสักขณะนาทีเดียว..ก็ตามที..!!!!
...............



และ
ทว่าสำหรับไพล

ยังคงนานนาทีที่หัวใจดวงดีดวงงาม
ยังคงหลับตาตามจิตคะนึงเพียงพักใจพักขวัญ 

ต่อตามจิตไปในเวิ้งฝันไปถึงมหานครลอนดอน..
ยามได้รับเมล์แสนรักซาบซึ้ง..
พาให้น้ำนัยน์ตาแทบหยาดพราว



*ลีลาวดี*พากันส่งกลิ่นหวานเศร้าปลอบประโลมใจ
ฤายิ่งพาให้หนาวในหนาวใจ ก็ไม่รู้แล้ว

เจ็บในช่องหูที่มีปัญหา
ดวงตาจึงหยาดรื้นด้วยจำต้องเข้มแข็งอดทน
อย่างกมลผู้หญิงคนเก่งคนกล้า

ที่หวังฟ้าดินคงเห็นใจ...


ในปรารถนา...
ฝากจูบจากใจ..
ฝากคะนึงในจากใจดวงใสดวงงาม...

ถึงทุกดวงใจ
ใน..ฝัน....
 ในร่มรักเรือนไทยเรือนทอง..มิ่งมิตรน้องพี่
ที่รักกันมานานเนา..
และ
คง*ตราบชั่วดินฟ้า*

และ
ถึงทุกคนดี...ที่ซึ้งใจกันและกันมานานปี
ที่ราวรักสองเรานี้...ไร้..ซึ่ง..กาลเวลา..!!!!!


.............


............
ไพลพยายาม
รจนาคำแค่ให้สั้นๆซึ้งๆให้ถึงใจคนชอบสั้นๆแล้วค่ะนะคะ
ด้วยความคิดถึง...ซึ้งสุดใจแล้วค่ะก็ได้สั้นเท่านี้ ..




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song490.html
แม่พิมพ์ของชาติ ......อรวี สัจจานนท์ 

แสงเรืองๆที่ส่องประเทือง
ไปทั่วเมืองไทย
คือแม่พิมพ์อันน้อยใหญ่
โอ้ครูไทยในแดนแหลมทอง
เหนื่อยยากอย่างไร
ไม่เคยบ่นไปให้ใครเขามอง
ครูนั้นยังลำพอง
ในเกียรติของตนเสมอมา
ที่ทำงานช่างสุดกันดาร
ในป่าพงไพร
ถึงจะไกลก็เหมือนใกล้
เร่งรุดไปให้ทันเวลา
กลับบ้านไม่ทันบางวันต้องไป
อาศัยหลวงตา
ครอบครัวคอยท่าไม่รู้ว่าไปอยู่ไหน
ถึงโรงเรียนก็เจียนจะสาย
จวนได้เวลา
เห็นศิษย์รออยู่พร้อมหน้า
ต้องรีบมาทำการสอน
ไม่มีเวลาที่จะได้มาหยุดพอพักผ่อน
โรงเรียนในดงป่าดอน
ให้โหยอ่อนสะท้อนอุรา

ชื่อของครูฟังดูก็รู้ชวนชื่นใจ
งานที่ทำก็ยิ่งใหญ่
สร้างชาติไทยให้วัฒนา
ฐานะของครูใครๆก็รู้
ว่าด้อยหนักหนา
ยังสู้ทนอุตส่าห์
สั่งสอนศิษย์มาเป็นหลายปี
นี่แหละครูที่ให้ความรู้
อยู่รอบเมืองไทย
หวังสิ่งเดียวคือขอให้
เด็กของไทยในผืนธานี
ได้มีความรู้เพื่อช่วยเชิดชู
ไทยให้ผ่องศรี ครูก็ภูมิใจที่
สมความเหนื่อยยาก
ตรากตรำมา... 
 



				
19 พฤษภาคม 2548 07:10 น.

ดอกไม้สีดำ!

พุด

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song336.html

อรุณขวัญผันมาอีกคราแล้ว
น้ำค้างแก้วยังหยาดรินทุกถิ่นที่
เกสรดอกไม้ยังพร่ายไหวในฤดี
มนต์กวียังร้องเรียกเพรียกดวงใจ

มายาดอกไม้หวานบานให้ชมมารายล้อม
ยั่วให้หอมหยอกให้ล้อพ้อหวั่นไหว
ให้หลงตมหลงตามหนามทิ่มใจ
ให้หวามไหวในมายาน่าเศร้านัก

เมื่อฤดูกาลหวานดอกไม้ได้ผ่านพ้น
น้ำผึ้งขมก็พล่านพิษให้ประจักษ์
เสียเวลาเปล่าดายไร้ค่านัก
พันธนารักแบกตรมตามตราบยามนี้

ดอกไม้สีดำบานกลางใจคอยสั่งสอน
ให้มองย้อนอย่าซ้ำรอยให้ถอยหนี
เสียเวลาภาพมายาซึ่งไม่ใช่นะคนดี
เก็บใจนี้ไว้คว้าดาวอย่าร้าวรอ

เลิกค้นหามายาลมมายาลวง
มาติดบ่วงมาติดตมมาเพ้อพ้อ
มาสร้างรอยระกำให้ดวงใจใครไหวรอ
เลิกเล่นล้อเหลิงลมว่าวให้เศร้าราน

เก็บจิตวิญญาณดวงงามดวงสงบ
เพื่อค้นพบดาวเดือนดอกไม้หวาน
อยู่ลำพังกับความเงียบสร้างสรรงาน
พลีกลอนกานท์เพื่อผองชนกุศลใจ...


................

หากหัวใจปลิดได้คล้ายดอกฝน พุดพัดชา 

หากหัวใจปลิดได้คล้ายดอกฝน
คงปลิดหล่นปลิดหล่นคล้ายชีพนี้
เพราะหัวใจไม่ใช่ดอกฝนนะคนดี
จึงวันนี้แหลกยับดับภายใน

หากหัวใจปลิดกลีบได้คล้ายดอกไม้
คงปลิดร่ายพรายพรมลมพัดไหว
เพราะหัวใจมิใช่ดอกไม้นะดวงใจ
จึงหวั่นไหวเสียใจเพียงลำพัง..

หากหัวใจปล่อยได้คล้ายสายฝน
คงปล่อยหล่นปล่อยหล่นหมดสิ้นหวัง
แตกกระจายคล้ายแก้วแล้วกระมัง
ไร้ฝั่งฝันฝั่งใจใครเฝ้ารอ...

เพราะหัวใจปลิดไม่ได้ในวันนี้
จึงต้องมีหัวใจไหวเพ้อพ้อ
จึงต้องทนคนไม่รักใจดำพอ
จึงต้องขอกล่าวคำลาว่าเสียใจและเสียใจ...ไปจนตาย!

***********



ฟ้าหลังฝนหลงฤดู พรูพร่างกลางสนธยาฝัน
ไร้เรียวรุ้ง..คุ้งโค้งพาดผืนฟ้าไกล
งามดวงใจไยหมองเศร้ายามแหงนเงยดูเมฆหม่น

ไม่มีจินตนาการ 
ไม่มีหวานใด 
ไม่มีใครคิดถึงคะนึงหา

ไม่มีกาลเวลาแห่งอดีตลาเลยลับกลับมาเตือนใจให้จำจด

ไม่มี ห่วงหาอาวรณ์ 
ไม่มีอ้อมแขนอ้อมกอดใคร ให้ถวิลหา

ไม่มีคำตอบจากสวรรค์ 
ไม่มีฝันไม่มีหวัง..

ไม่มี ไม่มี และ...ไม่มี.....!!!!!

เหลือเพียง....ความว่างเปล่า มองโลกเหงางามเงียบ

เพียงสีเดียว สีเดียวดาย
สีสิ้นไร้ คล้ายโลกสีน้ำเงินเพียง ลำพัง...และลำพัง

เด็ดลั่นทม ชมพู พราว เสียบแซมผมริมเรียวแก้ม

ดูใบไม้แล้งไร้คล้ายใจคนแล้งน้ำ

หักใจรัก..สลัดใจ..สลัดกลีบทั้งดอกใบ..ดอกใจ..ร่วงกระจาย!
************


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song336.html
ปีศาจวสันต์ ..... สุนทราภรณ์ บุษยา รังษี : : Key F 

เรา จากกันวันนั้นยังจำ
จากกันวันนั้นฝนพรำ
พรางม่านกรรม คล้ำครึ้มคลุมเวร
ลมครางฝนครวญ ไพรสั่นชวน รวนระเนน
ความกดดัน ขั้นเดน เหมือนจะเค้น ฆ่า กัน
เรา จากกันวันนั้นนานมา
แต่เมื่อวสันต์ลีลา ฤาสร่างซาฝนฟ้าฟูมฟาย
ฤดู ฤดี มันไม่มี วันคืนวาย
มันสาปใจ สาปกาย คล้ายมนต์ร้าย พรายผี
ผี วสันต์ มันหลอก มันหลอน
ปีศาจวสันต์วันก่อน ยังสังวรณ์ เวรนี้
ฟัง โถฟัง ฟังฝนตกซี เหมือนนรกตกตี
ย้ำ ขยี้ ใจ ตรม
ไป จากไป ไปแล้วไปเลย
อย่ามาชวนชิดชวนเชย
ปีศาจเอย ร้างเลยอารมณ์
ลมมา ฝนมา จงอย่ามา พาระทม
เพียงโศกทราม เศร้าซม ฉันจะล้ม ตายแล้ว
ดอกไม้สีดำ!				
18 พฤษภาคม 2548 09:40 น.

อัญมณีแก้วแววประภัสส์!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6205.html
(อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์..เมื่อโสมส่องแสง..)
.................



ในท่ามกลิ่นดอกไม้ไทยในราตรี..
ที่...
จันทร์ดวงนวลลอยดวงเพียงครึ่งเดียวครึ่งเสี้ยวอย่างเดียวดาย

พอกับ..
ใจดวงดายเดียวเดียวดายของหญิงหนึ่งในเตียงโบราณ

ที่แสนสุขสงบงาม ในท่ามแสงเทียนทอ 
และนวลละออในโคมไฟลายผีเสื้อเชยเกสรดอกไม้
ให้พลังแสนอบอุ่นอ่อนหวานอ่อนโยน



ดอกเล็บมือนางแกมลีลาวดีในโถแก้วยังสดฉ่ำ งามงด
ให้กลิ่นระรินระร่ำรส... 
แสนสดชื่นหอมหอมหอมในหอมห้วงแห่งดวงใจพอกัน..



เธอ..คนนั้นคลี่ยิ้มหวาน หวาน..
รับรัศมีจันทร์ทรงกลดจากจันทร์เสี้ยวเกลียวทองดวงผ่องผุดพิลาส

ที่ราวมหัศจรรย์รัก...
ที่เธอเห็นว่าแสนแปลกดีนัก
เพราะ ส่วนมากจะเห็นเพียง..*รัศมีในคืนเพ็ญ*  *รัศมีเพ็ญ*



น้ำตาเธอซึมซึ้ง ...
ราวกับย้อนรำลึกนึกคะนึงถึง
*ภาพในยามโพล้เพล้ของยามเย็นวันนี้ที่ผ่านมา*

ที่เธอ อุตส่าห์เดินทางเข้าเมือง 
ที่มิเคยประเทืองประทับใจเอาเสียเลย




ไปนั่งนิ่งเฉย..ไหวเพียงนัยน์ตาเศร้า 

ดูมากมายผู้คนที่วกวนเวียนว่าย
ใช้ชีวิตกันอย่างปากกัดตืนถีบรีบร้อน ..ไปทั้งเมือง



เธอ..ซื้อมาลัยจากหญิงชรา 
ที่แม้นดูไม่สดใสแสนงามแล้ว

หากทว่า เธอ 
เพียงอยากอุดหนุนให้กลับบ้านได้เร็วขึ้น

แล้ว...ละเมียด จูบกลีบกุหลาบแดง
หวังแฝงฝากความดื่มด่ำเต็มตื้น...ด้วยพลังแห่งรัก..ในทุกกรายกลีบ 

ฝากหยาดน้ำทิพย์ใสในใจดวงงาม
ให้หยาดหวานใส่ในกลางเกสร

ฝากอ้อนคำรำพึงกระซิบ
บอกถึงความรู้สึกแสนดีแสนงดงามนี้
ในท่ามความรักลึกซึ้ง..หวังดี..ล้นใจ



และในท่ามท่วมท้นผู้คนทุกวันนี้ 

ที่ต่างตัวใครตัวมันเลิกฝันหวังหวาน
เลิกมีนิยาม พึ่งพาพึงพิงเอนอิงไหล่โอบเอื้อ
เผื่อ กมลโอบกอดยอดดวงหฤทัยอย่างไยดี

มากผู้คนที่สับสนกับชีวิตเมือง
จนสิ้นไร้เปล่าเปลืองเหือดหาย..ให้..น้ำใจรัก..แด่ผู้ใด
 


ไม่มีนวลใจพอจะรำลึกนึกถึงความละมุนละไม
ความห่วงใยห่วงหาหาอาทร ความอ่อนหวาน
 
ดั่งดอกไม้ ที่จักบานประดับโลกย์ลบโศกสุขเร่าร้อน
อย่างมิคลอนแคลนหวั่นไหว
มิเคยหยุด ทำหน้าที่ ..มิมีวันท้อแท้แพ้พ่าย..



เธอ...จึงมีความสุข สงบใจ ในความวายวุ่นนั้น
เมื่อในฝัน..ในใจ..
เธอ กำลังทำสิ่งแสนดี 
พลีแสดงให้คนที่เธอแสนรักได้ซึ้งประจักษ์
*ด้วยการกระทำ...*
 
เป็นการย้ำสอนผ่าน บทเรียนจริง
ว่า ในทุกสรรพสิ่งนี้นั้น 
จะพลันพ่าย ความดีความมีน้ำใจสวยใสงามเสมอไป...



และ
กับการฝากสอนบทเรียนเพียรเตือนตน
ให้กมลรู้ค่า กาลเวลา แห่งลมหายใจ ที่จักไม่มีอะไรแน่นอน

โลกมิอาจย้อนคืน ให้เรากลับมา ยื่นความรักใด... หากเราไม่ซึ้งค่า

หากวันใดที่ลมหายใจได้ปรายปลิดปลิว
ลิ่วลอยไม่หวนคืน..กลายร่างร่วงลงสู่พื้นพสุธา
ให้ผืนดินกลบหน้า 
แม้นครางครวญไหววอนออดอ้อนขอ..ก็มิอาจทำได้ดั่งใจ
.............




และ
ในท่ามกลาง รัศมีเดือนเสี้ยวเกลียวทองพิลาส

เธอ ได้ยินบทพิลาปจากบทเพลงแสนเศร้า
เคล้ามากับสายลมหลังฝน

ที่อบอวลระคนด้วยกลิ่นเกสรดอกไม้
ที่กำลังพรายพร่างลงห่มหอมในห้วงใจเธอ



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6205.html

เมื่อโสมส่อง... บทเพลงพระราชนิพนธ์ 

อ้าโสม ทอแสงอำไพ
ฉันสุขใจหมาย ชม
เพลินหลง พร่ำเพ้อภิรมย์
โสมสาดส่องแสง มา
ภาคพื้น เวหาพราวพราย
เพราะก่องประกาย ดารา
เพียงเพชรพลอยส่องฟ้า
แวววับ จับใจ
เมฆน้อย ลอยโลมลูบหาว
เหมือนมืออันผ่องขาว ละไม
ลูบโลม นภาสดใส
นั้นพาให้หทัยฉัน สะเทือน
โอ้ลมเอ๋ย เชยพัดเตือนมา
มิให้อุราลืม เลือน
เพียงเสียง เธอรำพันเตือน
คำมั่นสัญญา

อ้าโสม ชวนฉันคำนึง
ครั้งหนึ่งกลางแสง จันทร์
เราสอง พลอดเพ้อรำพัน
รักมั่นไม่ผัน แปร
ตราบฟ้า ดินม้วยแลเรา
สองดับสลาย ดวงแด
วิญญาณไม่ห่างแห ลอยรัก ร่วมทาง
ครั้นแล้ว เวรกรรมชาติไหน
ระดมกันผลักไส เราห่าง
เมื่อรัก ยังไม่หม่นหมาง
รักยังสลักกลาง ดวงใจ
แต่ยังหวัง ในผลบุญนำ
ให้บาปกรรมแคล้ว ไป
คืนพบ ความรักเดิมใน
คืนหนึ่งวันเพ็ญ...
...........




และกับ...
ใจดวงดีดวงงาม ในท่ามแสงเทียนทอ
ในละออของม่านเมฆหม่น 
ที่ลอยล่องว่องวนคอยพรายห่มเดือนดารา
กับฟ้านวล  ในคืนแรม...



เธอ..ค่อยๆแย้มยิ้มรับคืนฝันราตรีอันแสนงาม
แล้วคลี่หนังสือธรรมะมาอ่าน
*อันคือสุขนิรันดร์*

จากบทธรรมจาก จากยอดธรรมคาถา
*ของหลวงพ่อดาบสสุมโน*
ที่คุณดิลกโสภณ นำมาเรียบเรียง



ที่นาทีนี้...
เธอกำลังน้อมนำมาพลีบรรณาการ...
แทนความสงบงามฝากถึง..ทุกดวงใจ
ในร่มรักเรือนไทยเรือนทองมิ่งมิตรน้องพี่ คนดี 
แทนค่าคำรักปรารถนาดีล้นใจ



และ
สุดแต่ดวงใจใครจะไขว่คว้า 
มาประดับจิตวิญญาญ์...
เพียรอ่านเพียรฝึกตรึกตรองเพื่อพ้นทุกข์

ให้รู้สึกสุขสงบงาม ในท่ามโลกย์นี้
ที่กำลังหมุนวนด้วยกิเลสร้ายมากมายมี 
จนโลกราวกำลังหมุนเร็วรี่ร้อนแทบขาดเกลียว..แล้ว
..........




*แก้วในกองดิน*

อยากได้แก้ว
ก็ต้องขุดต้องคุ้ยเจาะเข้าไปในกองดินตามหมายบอก
ขุดคุ้ยเอาดินทั้งสิ่งที่ปิดกั้นนั้นออกเสีย 

ตราบใด ที่ขุดเข้าไปยังไม่พบแก้ว
ก็ต้องขุดเข้าไปเรื่อยๆจนกว่าจะพบนั้นแหละ

ขอนำเรื่องที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงไว้

 เรื่องมีว่าพราหมณ์ผู้ถึงเวท
เรียกสุเมธะผู้เป็นสายโลหิตมา แล้วบอกว่า...
*พ่อสุเมธะ ณ ที่ตำบลนี้มีจอมปลอวกคือกองดินอยู่กองหนึ่ง 
มีช่องทาง 6 ช่องทาง กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นลุกเปลว
เจ้าจงเป็นผู้ฉลาดขุดลงไปตามช่องทางแห่งจอมปลวกนี้*

สุเมธะผู้ฉลาดจึงเอาของมีคม ขุดลงไปตามร่องรอยช่องทางจอมปลวกนั้น
ก็ได้พบสิ่งต่างๆ 6อย่าง 

สิ่งที่พบอันแรกคือ...ลิ่มสลัก 
จึงบอกท่านพราหมณ์ว่า

*ท่านขอรับพบลิ่มสลัก*

ท่านพราหมณ์จึงบอกว่า 
*เจ้าจงนำลิ่มสลักนั้นออกเสีย*

แล้วสุเมธะขุดเข้าไปอีก ตามเส้นทาง
ก็พบอึ่ง
พบหม้อกรองน้ำด่าง
พบเต่า 
พบเขียงหั่นเนื้อ
แล้วพบเนื้อตามลำดับ

แต่ละอย่างๆเมื่อพบ 
ท่านพราหมณ์ก็บอกให้นำออกเสียทั้งนั้น

สุเมธะผู้ฉลาดก็ขุดเข้าไปอีกจนสุดท้ายทางก็พบ ..*นาค*

สุเมธะก็บอกท่านพราหมณ์ว่า 
*นาคขอรับท่าน*
 ท่านพราหมณ์..ก็บอกสุเมธะว่า
*เจ้าจงหยุดจงนอบน้อมบูชานาคเถิด..*

สาระหรือสิ่งที่ประสงค์ในที่นี้
ก็ได้แก่นาค ...นาคคือ...*จิตเดิมหรือจิตของตัวเอง
จะเรียกว่าพุทโธก็ใช่ อมตธรรม อมตะนิพพานก็ใช่ ..*

จิตนี้ไม่มีรูปร่างที่จะจับต้องได้ 
เป็นธรรมชาติไม่ตายอาศัยกายเป็นคูหา 

ผู้ใดพบจิตของตน...ผู้นั้นก็จะหมดความหลง 
ไม่ต้องอาศัยกายอันน่ากลัวต่อไปอีก..จะมีอาสวะกิเลสสิ้นไปแล

สิ่งต่างๆ...ที่สุเมธะผู้ฉลาดขุดพบ
และท่านให้นำออกเสียทั้งหมดนั้น
ก็เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นจำพวกหมายถึง สังขตะธรรม 

ส่วนนาคที่ขุดพบนั้นหมายถึงอสังขตะธรรม..
*เป็นแก้วประเสริฐ*

คือแก้วมโนมัย เป็นจิตเดิมเป็นพุทโธ เป็นอมตธรรม 
ไม่เกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีการไปการมา การจุติ
เป็นสิ่งประเสริฐเหนือโลก

นาคที่พบในวาระสุดท้าย... ท่านจึงบอกให้นอบน้อมบูชา
ผู้เข้าถึงนาค แล้วกิจทุกอย่างก็สิ้นสุดลง...
............................



และ...
ด้วยงามดวงใจใครเล่ารู้นี้..
หวังคนดีทุกดวงใจได้เพียรขุดลงไปในกายตน

ให้ได้พบ ...แก้วแววประเสริฐใสประภัสสร 

ได้พบ
*แก้ววิเศษ* ที่พระเบื้องบนประทานพรให้มาทุกคน



สุดแต่ว่าดวงกมลใครจักเพียรขุดค้นพบ 
แลจบด้วยสุดท้าย

ได้พบอมตะนิพพานสุขนานเนาเป็น..นิรันดร์..

...............
..................				
17 พฤษภาคม 2548 13:17 น.

พ่ายเสน่หาลีลาวดี!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html
(ณ..วันนี้ )
...............



ผม..และที่รัก..ของผม ...*ผู้หญิงของผม*
ที่ราวดอกลีลาวดีดอกรักบานไม่รู้โรยในดวงใจ*

กำลังขับรถออกจาก...บ้านในเมือง...วิมานเมือง..

ที่เราจำต้องมีชีวิตเพื่อทำงานประกอบกิจเลี้ยงชีพชอบ
เพื่อเดินทางไป..วิมานดิน บ้านดิน ของเรา 



ที่มิไกลจากกรุงเทพเท่าไรนัก 

ในจังหวัดแสนใกล้*อยุธยา*

เมืองฟ้าเมืองสวรรค์ในอดีต

เป็นเมืองที่ผมยินดีพลีชีพ
เลือกมาสร้างวิมานดินกระท่อมดินที่นี่


เพราะผมรู้สึกดี...
และรู้สึกว่าชีวิตผมผูกพันกับที่นี่..ราวกับแยกกันไม่ออก

ผมไม่ทราบดอกว่าด้วยเหตุใด 
หัวใจและจิตวิญญาณผม...จึงราวคนโบราณผ่านภพ


เพราะทุกคราครั้ง
ที่...
ผมรู้สึกเบื่อหน่ายโลกหล้าและผู้คน...
อยากหันหลังลา..จากชีวิตคนเมือง

เมืองแรกที่...ผมรำลึกนึกถึง..คืออยุธยา ..



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song275.html

อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน
จิตใจอาวรณ์ มาเล่า สู่กันฟัง
อยุธยา แต่ก่อน นี้ยัง
เป็นดังเมืองทอง ของพี่น้อง เผ่าพงศ์ไทย
เดี๋ยวนี้ ซิเป็นเมืองเก่า
ชาวไทยแสนเศร้า ถูกข้าศึกรุกราน
ชาวไทย ทุกคนหัวใจร้าวราน
ข้าศึกเผาผลาญ แหลกราญ วอดวาย
เราชน ชั้นหลังฟังแล้วเศร้าใจ
อนุสรณ์ เตือนให้ ชาวไทยคงมั่น
สมัครสมาน ร่วมใจกันสามัคคี
คงจะไม่มี ใครกล้า ราวีชาติไทย

อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน
จิตใจอาวรณ์ มาเล่า สู่กันฟัง
อยุธยา แต่ก่อน นี้ยัง
เป็นดังเมืองทอง ของพี่น้อง เผ่าพงศ์ไทย
เดี๋ยวนี้ ซิเป็น เมืองเก่า
ชาวไทยแสนเศร้า ถูกข้าศึกรุกราน
ชาวไทย ทุกคนหัวใจร้าวราน
ข้าศึกเผาผลาญ แหลกราญ วอดวาย
เราชน ชั้นหลังฟังแล้วเศร้าใจ
อนุสรณ์ เตือนให้ ชาวไทยคงมั่น
สมัครสมาน ร่วมใจกันสามัคคี
คงจะไม่มี ใครกล้า ราวีชาติไทย...
.........
................





ที่ผมจำได้ว่าทุกคราครั้ง..

ยามผมได้ยินได้ฟังบทเพลงนี้ทีไร
ราวหัวใจและร่างกายผมมีพลังลึกลับ

ให้ฮึกเหิม ..!!
และ
แสนเศร้าสลดหดหู่โศกสะเทือน
เหน็บหนาวแสนปวดร้าวในดวงใจ
ผสมผสานปนเปกันไป
จนยากจะแยกกันออก



ให้ร่างใจผม...และขนลุกซู่..ด้วยความรู้สึกดื่มด่ำ

ณ..ภายในดวงจิตดวงวิญญาณบ้านภายในนี้

และ...
อย่างยากที่จะบอกใครหรืออธิบายรำพึงรำพัน

ถึงความฝันลึกซึ้งตรึงตรานี้..
ให้ผู้ใดรับรู้รับฟังได้..ทั้งหมดทั้งสิ้น..
..........


แต่ก่อนอื่น..
ผม..จะเล่าถึง..*ผู้หญิงของผม..*
เทพีไพรเทพีในฝัน ให้ฟังก่อนจะดีกว่า

ว่า...
ผู้หญิงคนดี..ที่กำลังนั่งทอดตาเหว่ว้าอ้างว้าง 
มานั่งเคียงข้าง...มาใช้ชีวิตเคียงผม...ได้...เฉกเช่นไร..


ฟ้าดินอินทร์พรหมละกระมัง 
ที่บันดาลดลราวมีมนต์ชะตาพาบุพสันนิวาสมาอาละวาด

ให้ชีวิตผมหนีพิสวาทพันธนาไม่พ้น
ได้มาพบเธอ ..

ได้มาหลงละเมอในบ่วงรักแบบพิเศษพิสุทธิ์
นับแต่นาทีแรก 
*ที่ไม่เอา พระเจ้าก็แจกให้ลองรัก*..ปานประมาณนั้น



นาทีรัก..นาทีแรก...ของผมกับเธอคนดีที่รัก
เริ่มต้นก็แสนแปลกนัก...

ตรงที่ผมพบกับเธอ ที่วัดนะซีครับ

ฟังให้ชัดๆนะครับ..ว่า..

ผมพบเธอคนดีที่รักแสนรักของผมที่วัดครับ

มิใช่ศูนย์การค้า ..ฤาว่า..ในม่านมนต์เสน่หาราตรีที่ไหนดอกนะครับ



ทำไม..นะหรือ..!!!!
ที่ฟ้าดินกามเทพช่างแสนเล่นตลก
กับชีวิตผมให้วกวนเวียนว่ายในวงรักวิบากกรรม

อาจจะเป็นเพราะว่ามนุษย์เรา มักจะอ้างเอา อะไรๆ
ที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้ 
หากถึงคราวต้องเป็นไป
โยนกลองให้ไปเดือดร้อน
ถึงคำว่า... 
*พระพรหมผู้ลิขิตชะตา*เสียละกระมังครับ



เพราะร้อยวันพันปีในชีวีผม 

ผมผู้ดิ้นรนเพียรหนีพันธนารัก

สู้อุตส่าห์พาตัวเข้าวัด หนีแสงสี
ไม่เคยทำตัวเป็นผีเสื้อราตรีไปเริงร่ายว่ายวน
พาตนไปพบวิบากกรรมวิบากรักที่ไหน



ที่ผมรู้ด้วยจิตดวงใสใจดวงงามของผม

ที่เพียรเฝ้าฝึกมาอย่างหนักว่า ..รักคือ
*ทุกข์..คือบ่วงแบกแอกหนักแสนหนักในจิตวิญญาญ์

จนกว่าจะพากันตายกันไปข้างหนึ่ง*



เอานะครับ...!
 เพราะคงถึงเวลา 
โชคชะตาจึงจำต้องมาร่ายมนต์
มาดลจิตดลใจมาดลร่างให้เราสองได้ครองคู่..

คือเธอที่รัก และผม
ต้องมาพบพานด้วยบุพเพ ที่วัด ครับ..ที่วัด..



สำหรับผม...ชอบมาวัดใช้ชีวิตกับวัด
แทบตั้งแต่เกิดมา...

ที่เติบโตมาในชนบทไกลปืนเที่ยง
ไม่มีแสง สี เสียง ให้สนุกสนานบานเบิกเพลิดเพลินเจริญใจ



เพราะชีวิตผม..ตั้งแต่ยามเยาว์วัย
ไม่เคยไกลจากวัด..

เรียนหนังสือก็ในเขตวัด

แล้วไหนวันพระยังต้องช่วยคุณยายจัดสำรับ
หิ้วปิ่นโตเดินตามหลังคุณยายไปวัดอีก


ไปนั่งรอคุณยายใต้ลานพิกุล
ไปหาเรื่องเล่นกันสาระพัดสาระเพ
กับเด็กๆทั้งนั้น ทั้งเด็กวัดเด็กบ้าน

เล่นกระโดดหนังยางเล่นซ่อนหา

ยกเว้น..กัดปลาทารุณสัตว์
หรือหาจิ้งหรีดให้มากัดกันในเขตวัดเขตอภัยทาน

เพราะไม่อย่างนั้นจะโดนเฆี่ยนด้วยไม้เรียวจากหลวงพ่อ



และในยามที่...
วงสมาชิกวรรณคดีสัญจรวัยชรา
ของคุณยายพากันสวดมนต์ในโบสถ์คร่ำ

ผมกับสมาชิกพรรกแก๊งจิ๋วจอมกวน
จำต้องถูกกำหราบให้ต้องรู้เงียบเสียง..
หาอะไรมากินกันให้อิ่มหนำสำราญหลังพระฉันเสร็จแล้ว

เพื่อหนังท้องจะได้หนักหนังตาจะได้หย่อนให้ง่วงหาวนอน

เพราะ...
คุณยายต้องถือศีล ภาวนานั่งวิปัสนากรรมฐานนานมาก



ผมก็จะได้นอนหลับนิทราเกลือกลิ้ง
ด้วยซึมซึ้งถึงภวังค์ฝันสวรรค์วิมาน
อยู่ตรงพื้นลานโบสถ์แบบแสนชื่นฉ่ำเย็นใจ

และ
คงด้วยบุญบารมี 
ที่มีคนแผ่เมตตามารายรอบนั่นแหละกระมัง 

ผมถึงนอนหลับไปจนยามค่ำตะวันโพล้เพล้
อย่างแสนสุขใจ ...
..........


มาในวันนี้...

จึงอย่าสงสัยเลย ...
ที่เห็นคนหนุ่มอย่างผมและอีกมากมายนัก
ที่มีโอกาสได้เรียนรู้จัก ศึกษาพระธรรม 

แล้วพากันน้อมนำร่างและจิตไปถวายชีวิต
เป็นบุตรธิดาของพระพุทธเจ้า

ได้เฝ้าอาศัยร่มเงางามธรรมในร่มพระรัตนตรัย
หวังรินร่ำเพาะหอมห่มบ่มใจ อย่างคนฉลาด

ที่จะมิยอมพลาดสิ่งแสนดีในชีวีชีวิตจากโลกนี้


 
ที่เจริญด้วยเทคโนโลยี่อย่างที่ไม่มีขอบเขตข่าวสาร
ไม่มีอะไรมาขวางกั้นสื่อ 
ให้เราได้ขยันค้นหา

ได้ฝึกปรือนำข้อมูลพระธรรมมาฝึกจิตง่ายแสนง่าย
แค่คลิ๊กมือเดียว ราวจับวาง..

โดยมิจำต้องย่างกรายไปวัดก็ได้
หากยังไม่มีเวลามากพอ

ขอแค่มีจิตคิดซึ้งชอบ
อยากเดินไปในเส้นทางสีขาวสายงามเพียงนั้นก็พอ
.........


เอาละนะครับ ...ว่าแล้ว
ผมก็เลยชอบไปวัด ...ด้วยประการละฉะนี้..

วัดใกล้บ้าน...ที่มีลานหินโค้ง

ที่ผมนับถือหลวงพ่อ
ที่ราวแสงเทียนธรรมจากดวงใจอันแสนงามล้ำ
ด้วยพลังปัญญาแสนพิเศษพิสุทธิ์ใส


ที่ท่านมีจิตดวงใสแสนงาม
ไม่นิยมสร้างถาวรวัตถุมากมาย

นอกจากเพียงตั้งจิตถวายคำอธิษฐานภาวนา
ว่าจะบวชไม่สึกตราบวันตาย 

นับมาถึงวันนี้ก็ได้ราวเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว
ที่ได้อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา


ที่เป็นดั่งพระประทีปแก้วอีกดวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ที่แสนช่วงโชติชัชวาลย์
ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทองค์พระศาสดา

เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
และ..
สร้างจิตวิญญาณเพื่อนมนุษย์..

ให้ค้นพบ...ความว่าง..กระจ่าง...สว่าง..สงบ
สยบกิเลสมาร มากมายมากมี  
ที่กำลังรุมร้อน เร่งเร้า มารอบด้าน ก่อนจะถึงกาลแตกดับ..



วัด....ที่มีพันธุ์ไม้นานา หลายพันธุ์ชนิด
มีเสียงดุเหว่านกไพรสัตว์หลากชีวิต

มีคำสอนเทศนาที่ตรงไปตรงมา
สอนให้เรา *ฝึกใช้เวลา...รู้รักษาศีลภาวนาสมาธิ...*
เพื่อ..*นิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้..*

มิพักตายไปถึงไหนไหน..

ที่ยังมิอาจจะรู้ได้ชีวิตหลังความตายนั้นจะได้พบอะไร..จริงไม่จริง 

*จงอย่าเชื่อตามคำเขาว่า*ไปเสียทั้งสิ้นทุกสิ่งอย่าง..
ก่อนที่จะฝากร่างจิตมาศึกษาค้นพบเอง..



ที่บางเรื่องราว
อาจจะเป็นเพียงกุศโลบายหมายให้จิตมีทิพยนิรมิต...หมายจับเอาไว้ 

ให้หมายอยากสร้างเพียงคุณงามความดี
ได้พลีจิตไปสวรรค์แทนนรก
มาเป็นบ่วงล่อ...แต่ยังมิพ้น...ขอ..และ..อยาก ...



ที่ตราบใด
หากเรามิเพียรสร้างจิตให้ชีวีชีวิตรู้วางว่าง

ก็อาจจะมิพบความกระจ่างในชาตินี้ ก็อย่าหวังเลย..!!



ผม...จึงต้องมาที่นี่ทุกวันอาทิตย์ 
มาฟังสิ่งที่มิเป็นพิษมิเป็นภัย

ตรงกันข้าม..กลับทำให้..ดวงใจเยือกเย็นชุ่มฉ่ำ
ราวกับมีสายธารธาราธรรมค่อยพร่างริน
จากเสียงพระสงฆ์

ที่ลงเทศนามาโปรดสัตว์มนุษย์..ผู้ยังตกทุกข์ได้ยาก
มากเรื่องราวเศร้าโศกวิโยคครวญ



ที่ในที่สุดจึงจะเตือนตนเข้ามาหาวัด..

ด้วยตระหนักว่า ไม่มีสิ่งใดในหล้าโลกนี้
ที่จะสมานใจเยียวยาใจได้ผลชะงัดนัก
เท่าหยาดน้ำรักสุขนิรันดร์ 
จากยาอันแสนอมตะที่ชื่อว่ารสพระธรรม
..............
.................




กลับมา ณ..นาที  
ปาฎิหาริย์ฝัน มหัศจรรย์รัก มหัศจรรย์ใจ
กันดีกว่า...

มาเข้าเรื่องที่ทุกดวงใจ..
คงชอบที่จะได้ยินได้ฟัง 
ได้อ่านผ่านตาเสียมากกว่า

ที่จะให้ผมพาเข้าไปดื่มดำในรสแสนซาบซึ้งสุขนิรันดร์

คืออมตะคำสอนในพระธรรมไปไกลทีเดียวเลยเชียว...




กลับมาหา....
นาที..แรก ที่ไม่เอาพระเจ้าก็แจกให้ลองรัก เลยนะครับ

 


ผม..นั่งที่ลานหินเล็กๆ
ที่กระจายใกล้บึงรายรอบลานหินโค้ง

และ
กำลังหลับตานิ่งๆ
หลังรอ...พระสงฆ์องค์เจ้า
ที่นั่งสมถะสงบงามรอบลานได้ฉันข้าวมื้อเพลเสร็จ

ก่อนที่ทุกอุบาสกอุบาสิกา
จะพากันมารวมจิตสวดมนต์ภาวนาบทยาว เพื่อกล่อมจิตเกลาใจ



พลัน...
ผม..ก็ได้กลิ่นลั่นทมอวลมา..กับกระแสลมในยามอุษาวดีแก้ว

ที่แสงตะวันผ่องแผ้ว
กำลังค่อยๆเขยิบสูงเหนือยอดไม้

จนพรายพร่างมาทายทัก
ดวงดอกไม้และใบไม้ทั่วทั้งลานวัด
ให้ไหวพลิก ระริก ระเริงร่า..

พากันไหวระบัดโบกพัดไปกับสายลมฟ้อน
อ้อนสายแสงแดดสีทอง
อันลำยองผ่องพราวพรรณรายจนเกิดประกายฉายฉานไปทั่ว



แหละ...
เพราะหวานหอมของดวงดอกไม้ในใจในฝันนั่นแหละนะ
ที่ทำให้ผม..จำต้องลืมตาขึ้นมาด้วยประหลาดใจ

เพราะ...
ผมก็  นั่งห่างไกล..
จากต้นลั่นทมหรือลีลาวดีดอกไสวมาก็ไกลมากอยู่..ในวันนี้



จะมีเพียงดวงดอกปีบที่กำลังปลิดปลิวลิ่วลอยควะคว้าง

ให้ผมผู้มีดวงใจวาบหวาม..อ่อนหวาน อ่อนโยน

ที่รักทุกมวลพยอมพโยม ทุกแมกไม้..ดอกไม้ไทย
ได้ไหวร่างไปกอบเก็บมากำ..วางไว้ใกล้ใกล้

มิได้จะหมายนำกลับมาบ้าน
เพราะเป็นดอกไม้บานในเขตสงฆ์



ผม...เพียงเสียดาย
ที่ดวงดอกยังสดงาม
ถูกสลัดสล้างลงพร่างพื้นโดยหามีใครใส่ใจไม่..!

นอกเสียจากกวาดกวาด...รวมรอทิ้ง..ไป..อย่างไร้ไยดี



ผม..จึงจำต้องลืมตา
และ
พาให้เห็นคนดี ที่รัก 
ก็เพราะกลิ่นอวลหวานเศร้าราวดอกไม้ปาริชาติ

ให้รำลึกนึกถึงชาติแต่ปางก่อนได้ 
อย่างในเรื่องกามนิต วาสิฎฐี นี่ละนะ

หากทว่า  
ระหว่างผม..กับเธอคนดี ..
*กลับมีดวงดอกลั่นทมแทน*



นาทีแรกผมแสนประหลาดใจ

ที่ผมเห็นเธอในชุดผ้าถุง 

เธอนุ่งผ้าซิ่นสีชมพูสลับลายทางเขียวไพลเขียวใบไม้
และ
กำลังกรายร่างอรชรบอบบาง
มานั่งลงใกล้เคียงข้างผมบนลานหินที่กว้างพอควร



ผมจึงมิโอกาส 
ได้แอบพิศ พินิจเรียวหน้าโศกสงบงาม
ไร้เครื่องสำอางใดใดของเสี้ยวหน้าด้านข้างของเธออย่างแจ่มชัด 

พร้อมกับดวงดอกลั่นทมที่ทัดหูเคลียแก้มนวล

ที่ยิ่งขับให้กรอบหน้าเธอนวลไสว 
อย่างกับนางในภาพฝันวรรณคดีไทย



ผม..แสนประหลาดใจพิศวงใจ

 วัดนี้ทั้งวัด ผมไม่เคยเห็นมีใคร
ยังคงทัดดอกไม้มาวัด
และ..
ที่แสนตรึงใจผมนัก..
ก็ตรงทีท่าที่แสนธรรมดาหากทว่าช่างตราตรึง

เธอ..มีลักษณะสงบงาม ราวนางพญาหงส์ 
ลำคอนวลนุ่ม ตั้งตรงมุ่นมวยผมเกล้าไว้สูง
เผยให้เห็นลำคอระหงงามและผิวสีงาช้างกับไรผมรำไร

ที่พร่างแตะแต้ม
ให้ยิ่งดูแสนอรชรอ่อนหวานอ่อนโยนเป็นยิ่งนักแล้ว



ในชีวิต ผม...
ผมพานพบสาวมามากหน้า หลายตา 

เห็นส่วนมาก
มักมีทีท่าไร้เอียงอายไม่ไว้ตัวแบบกุลสตรีไทยโบราณ
ที่ถูกเคี่ยวกรำให้รู้รักศักดิ์ศรี รู้รักนวลสงวนตัว

ทุกคนแทบมีเพียงอิริยาบถว่องไวเปรี้ยวจิ๊ดจ๊าด
ราวชอบเรียกความสนใจ

ซึ่งทำให้วูบไหวหวั่นหวามได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม



หากผมไม่เคย  พบสาวใด 
ที่ลักษณะงามเย็น งามล้ำงามสงบ
 
และที่สำคัญ..

กำลังมานั่งเคียงผมอยู่ในวัด 
แทนในคลับในบาร์ ในราตรีที่ไหน

ทั้งๆที่เราต่างก็ยังเป็นคนรุ่นใหม่หนุ่มสาว 
ที่ต่างยังมีไฟฝันพลังพราว
ที่จะสนุกสนาน
กับเส้นทางชีวิตพลิกแพลงแสลงร้อนสายโลกย์



ผม..จึงทำทีท่าชะโงกไปเอื้อมมือหยิบดวงดอกปีบ 
ที่วางไว้ใกล้กับเธอ..

หวังเพียงเพื่อต่อสัมพันธไมตรี
ที่ผมพลีอยากสานฝันสัมพันธ์รัก..อย่างไม่คิดฝันมาก่อนเลย
อย่างตั้งใจเรียกร้องความสนใจให้เธอเผลอหันมา



และ...ก็ได้ผล..
พลันตาสบตา ..!
และ 
นาทีนั้น..!
 ทั้งร่างจิตชีวีชีวิตจิตวิญญาณผม
ก็รู้ด้วยสัญชาตญาณเร้นลับ

ว่า....
ชาตินี้  ผมกับเธอ จะมิมีวันพรากจากกันอีกตราบวันตาย ..!!!


นี่ละกระมัง...!
ที่เรียกกันว่า....พลังรักแรกพบ....

แค่สบเนตรนัยนา ...
ราวฟ้าดินอินทร์พรหมประทานพระเมตตาประทานพร

ให้ดวงใจสองดวง
ต่างห่วงหา...อ่อนหวานอ่อนโยน อย่างเข้าใจกัน
อย่างอยากปันพลี 
อย่างราวกับว่าชั่วชีวีที่ผ่านมาได้รู้จักกันมานานปี..ในที่สุด...!
.........




บทสนทนาจากนั้น
และ
ความสัมพันธ์แนบแน่นยืนยาวระหว่างเรา
ที่จะมากลายกลับเป็นนานเนารักนิรันดร์
ไว้ผมจะรจนาเล่าให้ฟังทีหลัง




นาทีนี้ ผมจะเล่าสั้นๆสรุป
ว่า...
แล้ว....นิยายรัก นิยายฝัน 
ความรักที่แสนสร้างสรรงาม 
สิ่งที่เคยวอนสวรรค์ ฝันขอรออธิษฐานเอาไว้....
ให้...เป็นจริง 

ก็พลัน..!มาปรากฎอย่างแสนงดงามแล้วนะนาทีนั้น..



ให้ผม..ได้พบนางใจ....นางในฝัน เทพีแห่งสวรรค์ไพร
นางในดวงใจ..

ที่สวรรค์เมตตาฟ้าปรานีหยิบยื่นคนดีในดวงใจ
มาให้ดวงชีวาผม
ได้พบพันธนารักอันแสนเลิศวิไลพริ้งพราวเข้าจนได้
 
ต้องมาชดใช้วิบากรักร่วมกับเธอ



หากทว่า..วันนี้  นาทีนี้
 
ผมกลับคิดว่า..

คือสิ่งแสนดีแสนวิเศษสุดในชีวิตผม 

ราวกับมีมณีล้ำค่ามาส่องสว่างนำทางใจผมไปตราบชั่วกาล 



ให้สมกับที่ผมเคยตั้งจิตอธิษฐานภาวนาตั้งสัจจะว่า

*หนึ่งในชีวิตลูกผู้ชาย

ที่ได้เกิดมาใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา และ
ในร่มฉัตรพระบรมมหากษัตราผู้มากล้นพระเมตตาบารมี
คุณงามความดีพลีแผ่ไพศาล

ในผืนดินแห่งสุวรรณภูมิ พุทธภูมินี้



ที่ผมแสนปลาบปลื้มปิติใจ
ที่ได้เกิดมาพบ

มาเพียรสร้างคุณงามความดี
ตามรอยพระบาทแห่ง บรมครูผู้แสนยิ่งใหญ่นี้
ที่จักเป็นแบบฉบับทั้งสองทาง ทางโลกและทางธรรม

ที่จะหลอมจิตวิญญาณให้เราลูกหลานไทย 
ได้เรียนรู้ใช้มานำทางเพื่อสร้างสรรจรรโลงโลก

ก่อนที่วันแห่งลมหายใจชีวิตอันแสนสั้นพลันจักดับลับลาไป



ผมจึง..ถือเป็นโชคที่ได้พบเธอ

ราวบทเพลงนี้
ที่จะหวานแว่วมาในทุกคราคราว
ที่ผมรำลึกนึกถึงพรหมชะตา..มนต์ชะตารักภักดีแห่งสองเรา
.........


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html

ดังมีสิ่งใดมาดลใจฉัน
ดังใจโอ้เอยเฝ้าคอยเธอนั้น
นานแสนนานจึงมาเจอกัน
คล้ายบางสิ่งผูกพันร้อยใจเราร่วมกัน
ดังมีสิ่งใดมาดลใจฉัน....
ดวงใจโอ้เอยมีเพียงเธอนั้น
นับวัน ฮืมจนแรกเจอกัน
ใจฉันเพียงต้องการ แต่เธอตลอดมา
ฝากคำสัญญาฝากวาจารักเธอไม่เสื่อมคลาย
หมื่นพันสัญญา ร้อยวาจา หนึ่งเดียวที่เข้าใจ
รอคอย ผ่านวันเนิ่นนานเพียงไหน
คืนวัน ผ่านไปไม่มีความหมาย
พร้อม นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ
และหวังเพียงได้ครอง
รักจนตราบนานตลอดไป 



ผม...ดีใจภูมิใจมากกว่าสิ่งใด 
ที่ได้รักเธอ ได้พบเธอ ที่รัก

มิใช่เพียงหลงใหลได้ปลื้มชื่นชมโสมนัสกับงามนอกหลอกตา 



หากทว่า ...
เธอ ..ที่รัก..*ผู้หญิงของผม***ยังคงรักษาความเป็นกุลสตรีไทย
ที่จักต้องงามทั้งภายนอกและภายใน
 และ
ที่สำคัญเธอ เมินเฉยกับคำว่าโลกวัตถุศิวิไลซ์



มิพาจิตใสไร้สิ่งยึดเหนี่ยว
ไปข้องเกี่ยว...ทะยานอยาก ตามพลังกระแสบ่าโหม 

ที่ล่วงมากับนานานาอารยะธรรม
ที่รุกล้ำทำลายความสุขสงบงาม
อย่างมิหวังพึ่งพาพิงพิงรู้รักษ์ธรรมชาติ...อย่างก่อนกาล ให้นับวันหมดไป..!




เธอ..มีความหนักแน่นในดวงใจ
มิหวั่นไหว หลงโลกย์ 
ที่เริ่มวิโยคครวญหวน

มาสอนสัจจะ
ให้มวลมนุษย์ที่ทายท้าความจริงแท้แน่นอนของชีวิต



ได้ค้นพบว่า
ความเจริญรุดหน้าไปไกลเพียงใด

หากตราบใด...
ที่มนุษย์ยังไม่มีจิตวิญญาณ
แห่งความรู้รักธรรม ธรรมชาติงามสงบ  รู้วิถีชีวิต สมถะ พอเพียง
รู้รักสามัคคีกัน... 

ยังจะคอยห่ำหั่นทำร้ายหมายปองชีวิต 
ทำสงครามกันเพื่อสนองกิเลสแห่งตัณหาบ้าความยิ่งใหญ่
ความอยากแย่งชิง...

เมื่อนั่นไชร้ ...!
อย่าว่าแต่..เพียงกรุงโรมจะพังชั่วพริบตาเลย 



บทเรียนแห่งสงครามนิวเคลียร์สองครั้งสองครา
จากวิปโยคโศกนาฎกรรมสงครามโลกในอดีต 
ก็มากเกินพอเกินกว่าที่จะสอนใจได้แล้ว 




ให้ทุกดวงใจ..มวลมนุษย์ โดยเฉพาะคนไทย ได้รู้ว่า

ในโลกนี้ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เกินธรรมชาติ 

ความศิวิไลช์ใดจากวัตถุก็จักมอดไหม้มลายหายไปชั่วพริบตา 
แค่กิเลสตัณหาไร้คุณธรรม
 ไร้ศาสนามาน้อมนำใจไม่มีเมตตากันและกัน..


ฉะนั้น โลกจะก้าวไกลไปถึงดาวไหน
จะอีกสักกี่ดวง..
หากปวงมนุษย์ยังต้องหยัดยืนบนผืนดิน
ต้องอิงชีวีชีวิตไปกับพลังแห่งดิน น้ำลม ไฟ 
ก็คงไม่มีอะไรมา ยิ่งใหญ่เทียบเท่า ชดเชย..ได้เลย..
........




และ...!!!
 นี่แหละคือทัศนะ*ผู้หญิงของผม*คนดี 

ที่นาทีนี้เธอกำลังนั่งนิ่งๆทอดตาแสนเศร้า 
ซึมซับธรรมชาติรายรอบอย่างเข้าใจชีวีและโลกย์



ที่ผมสมปรารถนาราวฟ้าดินสวรรค์ปรานี
ให้มาเป็นคู่ธรรมคู่ทอง
คู่เคียงชีวาผม ตราบวันตาย


ให้ได้ใช้ชีวิตอย่างแสนสุขสันต์นิรันดร์ฝันพอเพียง
เลี่ยงรับเอาขยะจิต 
เพียรสร้างวิถีชีวิตให้แสนร่มเย็นในทุกทิวาวัน



จนกระทั่ง
ถึงวันนี้ นาทีนี้

ที่เราพากันตื่นยามอุษาสาง

เด็ดดอกลีลาวดีและเล็บมือนางมาวางไว้ในรถแล้ว
ค่อยๆสตาร์ทรถ...
พร้อม
เปิดเพลงบรรเลงงามงด*ชื่อ ยามเช้า*เคล้าคลออรุณหวาน

แล้วขับรถออกจากบ้าน..


มาดูสายแสงแรกแหวกฟ้างามสีทองผ่องหล้า
ทั่วท้องนภาเจริดจรุง ราวเวทีสีรุ้งแสนหวานงาม

มาเห็นดงตาล ยืนต้นไสว 
เห็นวัวควายในนา 
เห็นเวทีฟ้าเล่นแสงสี

ให้นกไพร  ผกโผผินบินไปมา
เริงร่าลอยลมเล่นลมอย่างอิสระเสรี ราวเวทีสวรรค์ ขวัญสรวง



มารับปวงหยาดน้ำค้างหยดเย็นแสนงาม
ที่กำลังพร่างกลางเรียวข้าวใบไม้
ในยอดเยาว์ทุ่งหญ้า
ในบัวใบบึงนา
ในทุ่งทองอาบหล้า

ให้โสภิตนภางามกระจ่างแจ่มแต้มแตะ
หวานพร่างพรมราวแสงสงฆ์วะวาบวับอาบจับเป็นทองทาบทาไปทั่ว



ให้หัวใจแสนอิ่มเอิม ระรัวชื่นบาน หวานแสนหวาน
ราวมวลดอกไม้
ในโลกกว้าง ฤาราวบัวน้อย
ค่อยๆคลี่กลีบแย้มบาน
รับพลังสายแสงแห่งหวังจากพรายพระอาทิตย์



ผมหยุดรถ..ใต้ลั่นทมดอกพราว..ริมเส้นทางสายข้าว
สายชนบทที่แสนงดงาม 

ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้กับเธอ
เรา...!สบตากันและกัน



และ
ก่อนที่จะพากัน
ประสานเสียงหัวเราะประสานอย่างสดใสแสนสุขขึ้นพร้อมกัน

ที่รู้ทันกันอยู่ในทีว่า...
*สองเรานี้เป็นโรคพ่ายลั่นทม  ลีลาวดี ..*



ที่...
ไม่เคยมีเลยสักครั้ง
ที่ผมจะไม่ทัดผมริมเรียวแก้มแล้วแอบหอมหอมแก้มนิ่งนาน
ให้กับเธอยามเดินทาง


และเมื่อเห็นพร่างในเส้นทางแลสายใจเยื่อใยแห่งรักนี้

ที่ชักนำให้เราสองได้มาครองรักกันตราบนานเนานิรันดร์
...........
.................................



โปรดติดตามตอนต่อไป..พระเอกพานางเอกในดวงใจไปวิมานดินค่ะถิ่นเมืองเก่า
...........

				
16 พฤษภาคม 2548 17:15 น.

ผู้หญิงของผม!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song499.html
(ม่านบังตา)
...........................



สวัสดีครับ..ทุกดวงใจในฝัน

ผมชื่อ .สิงห์.ครับ 

สิงห์ที่..มิหยิ่งผยอง ครับ

หากเป็นเพียงผู้ชายทรนงทรนงคงมั่นและสัตย์ซื่อถือรักมั่นคงครับ

ประมาณว่า
หากคิดจะรักใครก็จะรักจริงรักเดียว
และ
ที่สำคัญ การันตีได้เลยคือ
ผม..นั้นยังเป็นหนุ่มโสดสนิท

โปรดสังเกตนะครับว่าผมใช้คำว่าโสดสนิท

ไม่ได้ไปแอบใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา 
ให้ความโสดของผมไม่บริสุทธิ์ครับ

ทำไมนะเหรอ...!..

ก็เพราะว่าผมกลัวนะซีครับว่า 
หากใช้ความเหงาบวกความเมา

ผมอาจได้รับเงาอะไรที่ชั่วร้ายตามมา
และ....
อาจจะหมายถึงว่าอนาคตก็พลันจะมืดดับด้วยความประมาท..ประมาท!



ผม..จึงมีความสุขไปตามประสาผู้ชายพันธุ์ไพรชาติไพร

ผู้ชายที่มีความสุขกับธรรมชาติและสรรพสิ่งเงียบงามรายรอบ

ที่ผมชอบหาเวลาเดินทางเข้าไปสัมผัสความมหัศจรรย์
อันแสนฉ่ำชื่นระรื่นรมย์...ในท่ามป่าเขาลำเนาไพร..ลำพัง

ไปใช้ชีวิตดั่งนกไพรหัวใจอิสราเสรีที่มีปีกฝันอันแสนพร่างงาม



ย้อนกลับมา...*เรื่องความรัก...*

ผมเคยอกหักมาครั้งหนึ่ง ทำให้..ผมซึ้งค่าคำว่าเกือบปางตาย..!!

ตั้งแต่นั้นมา ผมจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า...



*ให้ดวงวิญญาญ์ผม...รู้จำ..รู้เจ็บ..รู้..เข็ดหลาบ
มิยอมพลาดถลำตกในห้วงรักเหวลึกกับใคร
ที่...*มิใช่..*  ให้เสียเวลาเปล่าเปลืองไม่ประทับใจอีกต่อไป...*

และ
หากผมยังไม่ได้พบผู้หญิงในฝันในบุพเพ

ก็ขออย่าได้..ให้มีอันหัวใจผม..จำต้องกลัดหนองหมองไหม้อีกเลย*



ผมจึงราวกับจะมีเกราะแก้วกางกั้นดวงจิต..กางกั้นจากทุกความรัก
ทุกสุภาพสตรีที่อยากมาตีสนิทเพียงเพื่อลวงหลงหลอกล่อขอไปที



เพราะผมคิดว่า...

อิสตรี ทุกนารีนั้นช่างแสนมีเสน่ห์
มีพรสวรรค์พลังสร้างสรรสวรรค์สวาท
สามารถสยบลูกผู้ชายทุกชาติทุกภาภาษาในโลกานี้

ให้ยอมพลีร่างจิตชีวาชีวิตแทบเท้าเธออย่างศิโรราบ...
ไม่ละเว้นแม้นเป็นถึงผู้มีอำนาจวาสนา เป็นถึงกษัตราธิราชเจ้า

ที่บางที
ท้ายสุดสุดท้ายก็ต้องมายอมพ่ายยอมตายในอ้อมอกนาง
เพราะพิษรักพิษสวาทบาดใจนี่แหละครับ
และ
มีตัวอย่างมากมาย
ในอดีตที่มหาสงครามยิ่งใหญ่ของโลกเกิดขึ้น
เพื่อแย่งชิงนางกันและกัน
อย่างในหนังคลีโอพัตรา....

หรืออีกมากมายหลายเรื่องราวตำนานฝันมหัศจรรย์รัก
หมดทางที่จะดิ้นรนหลุดพ้น..


ผม..จึงจำต้องศึกษา ธรรมะ จากพระพุทธองค์

เพียรมาดับร้อนเร่าหนาวทรวงด้วยห่วงหา

มิให้ลุ่มหลง
พะวงภวังค์ฝันมิพ้นพันธนา..จากบ่วงพิสวาทเสน่หา...จากไฟรัก


ให้อารมณ์วัยหนุ่มที่ราวโคถึกคึกรัก 
ได้รู้จักปล่อยวางให้จิตสงบสะอาดสว่าง
หาทางออกด้วยวิธีอื่นๆอีกมากมาย

ที่ราวได้ใช้ชีวิตในสายธารธรรมอันแสนฉ่ำเย็น..
แม้นยังมิพบเห็นนางในฝันนางในใจ
ใครสักคนสักนางมาเคียงค้างมาแนบเนาในใจ



*เรือชีวิตของผม*..จึงลอยล่อง..
ราวท่องมหานาทีสีทันดรโลกย์ที่แสนกว้างใหญ่นี่

ที่รอเวลา
เพียรพายพาข้ามเกาะแก่งกิเลสตัณหา
ที่จะมาเป็นมาร...มิให้ผมไปถึงฝั่งฝัน..พระนิพพาน..! 

อันต้องใช้หนทางแห่งมรรคแปด
และ
เพียรรักษาศีลให้บริสุทธิ์..ฝึกสมาธิภาวนา
เพื่อมีปัญญามาสอนจิต วิญญาญ์

มาเป็น..*หางเสือนำทางชีวิต* ให้ไปได้อย่างตลอดรอดฝั่ง



ทุกคืนวัน.. 
ผมจึงจำต้องสงบจิต..เพียรเจริญสติสมาธิภาวนา
มิว่างเว้น

เพื่อ..ฝืนกระแสกรรมกระแสโลกย์

เพื่อหนีให้พ้นทั้งโศก สุข ทุกข์..เศร้า..หนาวเหน็บใจ..
และ..
ด้วยจิตดวงใสของผมเองที่อยากหนีให้พ้นพันธนารัก..!



บางครั้ง..บางครา
ผมเคยคิดว่า...เหตุใดผมเกิดมากับจิตดวงนี้

ดวงที่ชอบใช้ชีวิต..คิดแผกไปจากชายชาตรีอื่นๆ
ที่มีชีวิตดาษดื่นทั่วๆไป ...


ที่มีความรัก...สุกงอม หอมหวาน

แล้วแต่งงาน  มีลูก ปลูกบ้าน ผ่อนบ้าน..ผ่อนรถ
ผ่อนเสร็จหมดวัยวันก็เกือบถึงกลางคนพอดี
มีครอบครัว แสนดี
และ
มีชีวีแสนงาม ทำตามหน้าที่กันไป


แล้วก็ก้มหน้าทำมาหากินกันไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย
ซึ่งสิ่งเหล่านั้น ก็ใช่ว่าจะเลวร้าย 

หากรู้จักใช้ชีวิตรู้ผิดชอบชั่วดีต่างทำหน้าที่
เพื่อประคองให้มีครอบครัวแสนงาม

เพื่อทำงานเสียสละต่อสังคมส่วนรวมควบคู่กันไป
ดีกว่าหายใจไปเปล่าๆให้ไม่เสียชาติเกิด




แต่สำหรับผม..

อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่วิบากเก่าวิบากกรรม
วิบากรักตามมาทันนะซี

ถึงยังมีความคิดผิดแผกแตกต่างออกไปจากคนอื่นๆแบบนี้
ที่ชอบคิดถึงแต่คำว่า  *มรณาณุสติ*
ที่ราวรู้ดีว่าบางทีชีวีคนเรานั้นแสนสั้นนัก



ทุกสรรพชีวิตนั้น...แค่ต่างเกิดมาแค่ทายทักโลกชั่วครู่ชั่วคราว

มาชดใช้กรรมกันไปต่างๆนานา
บ้างเพื่อมาเก็บขยะไว้ในดวงวิญญาญ์
สะสมทุกข์สุขให้ต้องกลับมาคลุกเคล้าในทุกข์รักเศร้าหนาวร้อน

กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก..
และอีก..ไม่รู้สิ้นมิรู้จบ ทบวนเป็นวงกลมวนกรรม



และอาจจะมีบางคนที่มีกุศลจิตบุญทานบารมีมากพอ
อาจจะมาชดใช้วิบากกรรมเป็นชาติสุดท้าย

เมื่อได้กลับมาเกิดในแดนดินพุทธภูมิ
เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐสุด
จึ่งมีดวงตาเห็นธรรมได้ไว

จึงพลีจิตเลือกเดินไปในเส้นทางกระจ่างไสว
ใช้ชีวิตแสนสะอาดสว่างสงบสยบกิเลสโลกย์

ใช้ชีวีชีวาในท่ามกลางทาง..ธรรมดาๆที่แสนเรียบง่ายสงบงาม

หากเพียรสร้างคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองพร้อมกันไป
กับการฝึกจิตเพียรภาวนาสร้างสมาธิมีปัญญา
ให้รู้ปล่อยวาง ว่างพบกระจ่างแจ้งจิต 

ก่อนที่
ชีวาชีวิตจะลาลับดับไปกับแสงตะวัน



แต่ยังมีมากมาย
ที่เลือกเดินเพลินหลงผิดในโลกวัตถุวายวุ่นวกวน
ด้วยกิเลสตัณหาอยากมีอยากได้ใช้เวลาเปล่าเปลืองสะสมไว้
จนตราบวันตายก็ไม่รู้พอ 

ขอให้ข้ามีทรัพย์สินข้าวของนอกกายมากมายใช้ไปหลายสิบชาติก็ไม่หมด

ให้มีบารมีมิรู้สิ้นรู้จบและเป็นที่ยอมรับ ..ในสังคมระดับหนึ่ง



และ...
บางทีก็ได้มาซึ่งวิธีมิชอบไปประกอบกรรมทำงานทุจริต
ค้าขายยาเสพติดปลิดชีวิตเยาวชนคนไทยด้วยกันเอง
อย่างมิเกรงบาปกรรม

เพื่อแลกกับชีวิตที่เริดหรูดูดี
ให้เป็นที่ยอมรับในสังคม
ที่ใช้เงินเป็นตัวตัดสิน
เพียงภายนอกเปลือกที่หลอกตา



ครับ.
และนี่คือวิถีแห่งความคิด...จะผิดจะถูก
ก็คงเป็นสิทธิอันชอบธรรมแด่ชีวิตของผมคนเดียว

ที่นานมาแล้วผมเคยตั้งความฝันเอาไว้ว่า
หากชาตินี้เกิดมา
ให้ดวงชีวีผมจำต้อง..(โปรดสังเกตว่าผมเน้นย้ำคำว่าจำต้อง)
จำต้องพานพบประสบเนื้อคู่



ก็จักกราบกรานสาธุ..เบื้องหน้าองค์พระปฎิมา
ขอให้เธอคนนั้น...งามจิตงามใจดั่งเทพีขวัญ เทพีไพร 
ให้สมอย่างในจินตนา 
ที่ผมเคยอ่านผ่านตาจากเรื่อง



**ผู้หญิงคนพิเศษในฝันในใจของผม**



ของนักเขียนในดวงใจผมครับ
ที่เธอ ..
*คุณพุดพัดชา*
เคยรจนาเอาไว้ประมาณดั่งนี้..

และ
กระซิบอีกที
หากใครอยากใช้ชีวีคู่กับผม
ผมก็ยินดีพลีจิตเปิดรับนะครับ

ขอเพียงมีคุณสมบัติ
แค่ใกล้เคียงเรื่องนี้บ้างก็ยังดีก็พอ.ใจแล้วละครับ..
................
...................

*****************************




ผู้หญิงคนพิเศษ...ในฝัน...ในใจของผม..พุดพัดชา
.............................



คำในใจนักอยากจะเขียนค่ะ
แม้ยาวย้วยอยากให้อ่านผ่านตาและอย่าผ่านใจ
เพราะพุดพัดชาตั้งใจรจนาให้ด้วยใจพิเศษพิสุทธิ์ใส
หวังหลอมละลายใจให้ลูกผู้หญิงทุกคนมีเสน่ห์พร้อม..หอมงามในนอกค่ะ

ด้วยรักยิ่งนะคะ
.............................................




ผมอ่านเรื่อง..ผู้ชายในฝัน ของคุณพุดพัดชา
แล้วจึงบันดาลใจอยากเขียนเรื่องนี้นะครับ 
ผู้หญิงคนพิเศษ...ในฝัน...ในใจของผม..........

ผมจะเริ่มด้วยความงามภายนอกที่มองเห็นง่ายๆก่อนนะครับ...... 



เธอ..........
สวยได้ก็ดีนะซีครับ...

แต่เรื่องความสวยนี่
มักจะเป็นเรื่องนานาจิตตังนะครับ..

เอาเป็นว่า... 
สวยของใครก็ของคนนั้นแล้วกัน...
ตามสายตา...สายใจของคุณ..ก็แล้วกัน

ที่สำคัญ........ เธอควรสวยอย่างมีคุณค่า..
แม้บางเวลาเธอต้องถอดเสื้อผ้าบางชิ้น เพื่อทำงานศิลป ส่งน้องเรียน...

เราไม่ว่ากัน
เพราะเป็นสิทธิอันชอบธรรมของร่างกายเธอนะครับ 



ผมชอบคนสวยเก๋...ดูดี(ไม่ใช่ดุดีนะครับ) มีบุคลิก คำว่าบุคลิกนี้..
คือควรจะ เชื่อมั่น สง่างาม...

แต่ไม่ใช่มั่นในทางเสื่อมเสียทำลายศีลธรรมอันดี เป็นสาวมั่น
ในทางที่ดีงาม กล้าสู้โลก..กล้าสู้ชีวิต ..
ด้วยสองมือแม่นี้ที่สร้างโลกนะครับ......... 
โอ๊ะ..โอ๋...
แค่ข้อนี้ของผมก็ดูรายละเอียดจะมากไปแล้วนะครับนี่..



เขียนไปเขียนมา...... 
สงสัยผมจะพิจารณาแต่เรื่องความสวยความงามเป็นอันดับแรก...
ตามประสาวิสัยปุถุชน คนเดินดิน..กินข้าวแกง 

ที่ต้องเตะตาจึงจะพาต้องใจ นะครับ....
เรื่องภายในจิตใจค่อยตาม มาทีหลังนะครับ....
. 


เธอ......

ควรจะผมยาว....
ผมว่าใครๆก็คงชอบผู้หญิงผมยาว....

ผมว่านี่แหละคือความแตกต่างของ เราสองเพศ...
ต่อจากนี้.เธอจะเปลี่ยนทรงไหน..

หรืออยากจะโกนเป็นโล้นซ่าส์.. 
เพื่อให้ชีวิตมีรสชาติ...ไม่จำเจ..ไม่เบื่อหน้ากัน..ก็ค่อยว่ากันนะครับ........

เอาเป็นว่า..... ผมเธอต้องสวย...ดูดีมีสุขภาพ....
ถ้ายาวแบบแห้งเหมือนซังข้าวโพด ...คงแย่เลย..... 



เพราะผมชอบลูบผมนางเอก......
เหมือนพระเอกของคุณพุดพัดชา

ที่พระเอกลูบผม บาหลี....ไงละครับ.....
ลูบแล้วควรจะก่อให้เกิดจินตนาการหน่อยนะครับ...... 

มิใช่เกิด..ความรู้สึก..สำนึกในบ้านเกิด...
คิดถึงเกษตรกรสาว
ที่ตากแดด.ตาก.ลม ผมกระเซิงอยู่ในท้องนา.....



ผมมักชอบจินตนาการ..ให้นางในฝันของผม..
นอนสยายผมท่ามกลางแสงตะเกียง อันริบหรี่ (จะเป็นแสงเทียน ก็ได้)..
เพราะผมจะให้เธอนอนในมุ้ง

ยิ่งจะโรแมนติกเป็นอันมาก...
(ถ้าหากตะเกียงไม่ล้มจนมุ้งไหม้ไปเสียก่อน)

อันนี้ต้องตัดสินใจเองนะครับจะเอาโรแมนติก....หรือจะเอาบ้านไว้

ผมจึงชอบ..ผู้หญิงผมยาวด้วยประการละฉะนี้..

ตรงที่เธอจะเร้าอารมณ์ได้หลาย บรรยากาศ....
บวกความตื่นเต้นแฝงไว้ซึ่งความอ่อนโยน..
งดงามยามนอนระทด ระทวย..สะเทิ้นสะท้านใจ....... 



ผมบรรยายถึงความสวยกับเรื่องผมปาเข้าไป
จะหนึ่งหน้ากระดาษแล้วนะครับ....



เธอ........

ควรจะมีดวงตาที่เหมือนหน้าต่างแทนใจ.
อย่างที่ใครๆชอบพากันเปรียบเปรย

แปลกนะที่ผมชอบผู้หญิงที่ตาเจ้าชู้..(กับผมคนเดียวนะครับ)..

ผมชอบผู้หญิงที่มีตา แสดงออกทางอารมณ์ได้
ตาแบบของคุณเอมม่า ผมก็ชอบ..ตาที่แย้มยิ้มกับโลกทั้ง ทั้งโลกได้
ดูแสนอบอุ่น..ใจดี..มีเมตตา



พูดยากนะครับเรื่องของดวงตา
เอาเป็นว่า...เป็นทัศนผมคนเดียวก็แล้วกัน

เพราะก็คงเหมือนกับความสวย นั่นแหละ..
คุณกับผมคงไม่ชอบอะไรๆตรงกัน

บางคนอาจจะชอบ.....ดวงตายิบหยี ดูทันสมัย..อาโนเนะ 
น่ารัก น่าทะนุถนอม เสียไม่มี......



เธอ.....!

ควรจะมีรูปร่าง..สูง..และผอมแบบพอดีๆนะครับ

จริงๆผมชอบผู้หญิงที่ผิวคล้ำแดด 
และ
มีกล้ามนิดๆ(เน้นว่านิดๆนะครับ)..แบบนักกีฬา..ดูเธอแข็งแรง
สดใส ดีกว่า ผู้หญิงผอม เหลืองซีดๆ ดูอมโรคยังไงก็ไม่ทราบ

เรื่องนี้แล้วแต่ใครชอบอีกแล้วนะครับ
บางคนอาจจะชอบ อวบอัด เต่งตึง หนั่นแน่น
แล้วแต่รสนิยมนะครับ



เธอ....!

ควรจะพูดไพเราะ......
ข้อนี้คำว่าเพราะของผมคือ
ไม่จำเป็นต้องพูดฉอเลาะ
ออเซาะ..จ้ะจ๋าผมทั้งวันนะครับ เหมือนนกแก้ว..นกขุนทอง

พูดเพราะของผมคือให้รู้กาละเทศะในการพูด.....
มีอารมณ์ขัน...... ไม่จำเป็นต้องหัวเราะเอิ้กอ้ากทั้งวัน

เธอควรจะเลือกพูดแต่สิ่งดีๆ.....



และ

ข้อนี้
คงต้องเชื่อมโยง
กับเรื่องทัศนคติของการมองชีวิตนะครับ

ผมเคยหวังว่าเมื่อผมแต่งงาน
บ้านของผมจะต้องมีเสียงเพลง..ในยามเช้า 

แทนเสียงโซปราโน่ของภรรยาสุดที่รักที่เธอบ่นลูกๆของเรา

ผมไม่ชอบผู้หญิงจู้จี้. จุกจิก...ขี้บ่น....แสนงอน ไม่มีเหตุผล
และไม่เคยพอใจกับชีวิตเลย



เธอ...
ควรจะทำบ้านให้เป็นสวรรค์

ด้วยรอยยิ้ม..ด้วยความอ่อนหวาน..อ่อนโยน
ละเมียดละไม..นุ่มนวล.... ดังน้ำใสไหลเย็น..
ชุ่มฉ่ำที่คอยรินรดใจทุกดวงของคนในครอบครัวให้มีพลัง 




เธอ....!

ควรจะต้องสะอาด..มีระเบียบ

ผมชอบคิดถึงผู้หญิงที่ดูดี..
แต่เดินออกมาจากบ้าน ที่สกปรก
ทำให้ผมนึกถึงคำว่า.....*สวยแต่รูปจูบไม่หอม*ขึ้นมาทันทีเลยครับ



เธอ....!

ควรจะมีทั้งร่างกายที่สะอาดและบ้านที่สวยงาม.
เป็นคนที่มีระเบียบกับชีวิต ความเป็นอยู่พอสมควรนะครับ
และ...
ถ้าจะดีคือเธอควรจะมีรสนิยมในการจัดบ้าน ...

ผมชอบอยู่บ้านอิงธรรมชาติ.....นะครับ



ผมไม่ชอบความหรูเริด..ที่จะนั่งจะ นอนที
ต้องกังวลกับเฟอร์นิเจอร์จะเลอะเทอะ..บุบสลาย 

คำว่าบ้านของผมคือ...น้อย แต่ดูดี 
และ..
พยายามดึงธรรมชาติเข้ามาในบ้าน 



ไม่ต้องหรูเริดครับ...เรียบ..โล่ง....มีต้นไม้เยอะๆ

ถ้าผู้หญิงของผม....ชอบป่าคอนกรีต..

ผมคงต้องพยายามโน้มเธอให้ละมุน ละไม ต่อธรรมชาติ..
โดยการทำบ้านให้เป็นสวรรค์ติดดินที่ดูอบอุ่น 
และ
โดยไม่ต้อง สิ้นเปลืองงบประมาณมาก



คนเราต้องอยู่ในบ้านของเรา....
จะเนรมิตรให้เป็นสวรรค์หรือนรก
ก็ขึ้นอยู่กับ ตัวของเราที่เป็นผู้อาศัย.......ร่มเงา.....ด้วยกันทุกคน

ถ้าคนพิเศษของผมเอาแต่ตัวเองสวย 
แต่ไม่ยอมให้บ้านของเราสวยไปด้วย 
ผมคงต้องหาบ้านใหม่และหาคนจัดใหม่แน่ๆเลย 




เธอ....!
ควรจะรักธรรมชาติ.....และชอบการผจญภัย..
ผมชอบผู้หญิงที่ชอบชีวิตกลางแจ้ง 
รักดอกไม้ สายลม และแสงแดด....

สามารถนอนนับดาวกับผม.....กลางป่าเขา ลำเนาไพร
หรือนอนในเต้นท์แทน.โรงแรมห้าดาวได้ ในบางครั้งบางหนนะครับ



เธอ.....!
ควรจะทำกับข้าวเป็น

คุณคงพอจะนึกออกนะว่า 
ถ้าผมและลูกๆต้อง ตระเวณหิ้วท้องไปตามที่ต่างๆ

แล้ว...
บ้านของเราจะเป็นสวรรค์ไปได้อย่างไร กันเล่า

ผมชอบบ้าน
ที่มีครัวอบร่ำ ด้วยกลิ่นหอมของขนมที่เพิ่งอบใหม่ๆ
และ
กลิ่น กับข้าวที่ทำให้ชวนหิว



เพราะคนเราต่อให้รักกันอย่างไร....เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ นะครับ.
.
ที่จะทำให้เราดำรงชีพ ต่อไปได้ เพื่อสรรสร้าง... สิ่งสวยงามอื่นๆของชีวิต............. 

แต่ข้อนี้..บางครั้งผมก็พออนุโลมได้นะครับ


คือผมก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมายนัก 

เธอ...ควรจะทำได้บ้างโดยการฝึกฝน
จากตำราคุณหมึกแดง..หรือของใครๆเอาที หลังก็ได้
ผมพร้อมที่จะเป็นลูกมือผู้ช่วยเธอเสมอครับ



เพราะผมเองก็อยากเป็น ผู้ชายในฝันให้หวานใจผมเหมือนกัน

ผมคงไม่เอาแต่ชี้นิ้วให้เธอปรนนิบัติผม ไปเสีย...ทุกอย่าง

เราคนรุ่นใหม่แล้วนะครับ
ผมจะทำหน้าที่ที่ผู้ชายจะดูแลในทุกๆ เรื่องเช่นกันนะครับ

ผมยินดีให้เธอทำบ้างไม่ทำบ้าง
ถ้าเธอเหนื่อยผมยินดีจะทำ เสียเองเลยครับ

โดยไม่เกี่ยงว่างานบางอย่างจะต้องเป็นหน้าที่
ของสุดที่รักของผมแต่ เพียงผู้เดียวดอกครับ




เธอ....!
เธอควรจะมีรสนิยมในการอ่าน
ข้อนี้ผมหมายถึงมาจากใจและความชอบ ความรัก ของเธอ

ซึ่งผมเองอยากฝากข้อเเตือนใจนี้ไปถึงคุณๆทุกๆคน
ที่มีครอบครัวแล้วนะครับ 
ให้สนับสนุนเด็กๆให้รักการอ่าน..ให้มากๆ

เพราะวันหนึ่งจะมีคุณค่าต่อชีวิตอย่าง มหาศาลเลยครับ

รสนิยมในที่นี้คือทัศนคตินะครับ



ผมอยากให้เธอของผม........ เป็นนักอ่าน...
อ่านหนังสือได้ทุกประเภท...อ่านมากๆ 
และ
ควรเลือกหนังสือสร้าง สรรค์ชีวิตตามอายุสมอง

ถ้าเธออ่านเฉพาะการ์ตูน หรือหนังสือสยองฝัน
หรือ 
นิยายประโลมโลกโศกแย่งชิงจนตายกันไปข้างหนึ่ง 
แค่หวังอ่านเอาสนุกบันเทิง อย่างเดียว..ก็ไม่ไหวครับ

คนเราควรอ่านให้ได้ทุกประเภท
เป็นพัฒนาการตาม วัยวันของชีวิต



ข้อนี้เป็นเสน่ห์ข้อใหญ่ของที่ผมมองผู้หญิงนะครับ
เพราะ
รสนิยมในการอ่านจะสะท้อนตัวตนของเธอ
และบุคลิกของเธอออกมา



ผมอยากให้เธออ่านหนังสือที่ประเทืองใจ.
ประเทืองปัญญาทุกชนิดนะครับ
หนังสือตกแต่งบ้าน 
ไว้มาทำบ้านเราให้เป็นสวรรค์ไงครับ



นิตยสารดีๆ ที่มีสาระน่ารู้มากมาย 
นวนิยายแปล
ถ้าภาษาเธอยังไม่แข็งแรงที่จะอ่านภาค ภาษาอังกฤษ
หนังสือธรรมะ
ที่เธอจะได้ร่มเย็นใจในทุกโมงยามที่มีปัญหาค้าง คาใจ.
และหาทางออกให้กับชีวิตไม่เจอ



หนังสือคู่มือทำกับข้าว
หนังสือพิมพ์
ที่เธอควรจะรอบรู้ว่าโลกนี้ไปถึงไหนกันแล้วนะครับ



เพราะผมเป็นคนชอบอ่าน 

ฉะนั้น 
ผมว่าความชอบของเราควรจะได้ใกล้เคียง กันนะ 
เวลาคุยกันสำคัญนะครับ ถ้าโลกทัศน์ไปด้วยกันไม่ได้



ต่อไปไม่นาน กิจกรรมร่วมก็จะกลายเป็นกิจกรรมแยก
แยกกันดูหนัง...แยกกันดูรายการโทรทัศน์....แยกคนละเตียง

และต่อไป
ที่ตามมาคือแยกกันอยู่คนละบ้านตามรสนิยมของใครก็ของมัน




ผมเองอยากให้คนเราใช้หนังสือสอนชีวิตเรา...
พาเราไปท่องโลก กว้าง....


เพราะหนังสือคือเพื่อนแท้
ที่เราสามารถจะค้นพบความลี้ลับมหัศจรรย์ 
ได้ทั้งมวลด้วยตัวของเราเอง



ในคืนค่ำที่ฝนตกกระทบหลังคา....อากาศเย็นฉ่ำ
มีที่นอนแสนอบอุ่น มีหนังสือดีๆในมือสักเล่ม..
ชาหรือกาแฟหอมๆสักถ้วย

ค่ำคืนนั้นจะไม่เงียบ เหงาใจ..
จนต้องตะเกียกตะกายออกไปแสวงหาความสุขจากหนแห่งใดไกลตัว 



บางครั้งผมคิดว่า....
การท่องโลกอินเตอร์เนตผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์
ก็ไม่สามารถสร้างฝันบรรเจิดจ้า เท่ากับท่องไปกับโลกของตัวอักษร
ไม่ว่ายามเราทุกข์หรือสุข

ชีวิตผมจึงไม่ดิ้นรนฝากใจไว้กับใครมากเท่าเพื่อนผู้รู้ใจคือหนังสือ



และหนังสือธรรมะ..บางเล่มทำให้ผมเบิกบานกับชีวิต เรียนรู้
ที่จะสงบใจ สามารถผ่านฝันร้ายของชีวิตมาได้ด้วยดี....

เกิดปิติในใจ..เป็นข้อเตือนใจตัวเอง. และผู้ชิดใกล้ทุกคราคราว
ที่ชีวิตมิได้เป็นไปดั่งหวังนะครับ




ข้อนี้ผมอาจจะคาดหวังมากไป..
แต่คิดๆดูมิใช่เพื่อตัวผมเองดอกนะ ครับ...



ผมเพียงแต่อยากให้ผู้หญิงทั้งโลก
แสวงหาบางสิ่งมาเติมเต็มทางจิต วิญญาณ

แทนความงามจากเปลือกนอกที่ไม่นานก็ร่วงราโรย
ถ้าผมมีเวลาผมจะมาเล่าเรื่องโลกอักษร...ของชีวิตผม
ที่รายเรียงผ่าน สายตา.....สายใจผมมาแสนมากมายหลายพันเล่มเลยครับ



และที่ผมอยากให้เธอผู้หญิงคนพิเศษของผมเป็นนักอ่านเหมือนผม

เพราะผมไม่อยากทอดทิ้งเธอ 
ในยามที่ผมล่องลอยไปกับหนังสือในโลก 
แห่งจินตนาการของผม 

จนบางครั้งผมจะลืมโลกแห่งความจริงไปชั่วขณะ
.......... 


เธอ...!

ควรจะมีดวงจิตอ่อนโยนต่อผู้ยากไร้
เธอควรจะมองโลก และชีวิต อย่างผู้มีอุดมคติ 

ที่คิดว่าชีวิตหนึ่งนี้......มิได้เกิดมาเพื่อเสพสุขเพียงลำพัง 
และเพียงเฉพาะกับครอบครัว



โลกและสังคมกว้างใหญ่ไพศาลนี้
รอให้เรายื่นมือไปช่วยผู้ที่ด้อยกว่า ในทุกผู้ ทุกโอกาส ที่เราพอจะทำได้

ผมทนผู้หญิงที่...ดูถูก เหยียดหยามผู้ต่ำต้อยกว่า ไม่ได้เลยครับ

ผมชอบผู้หญิงที่มองโลกเข้าถึงแก่นแท้แห่งความจริงของชีวิต
มากกว่าความสวยจากเปลือกนอกของเพื่อนมนุษย์



เธอ....!
ของผมควรจะงามภายในใจมากกว่าความงามที่ปรุงแต่ง
และจะราโรยรวดเร็ว

ผมให้ความสำคัญข้อนี้กับคนพิเศษ

ที่จะมาใช้ชีวิตร่วมเรียงเคียงข้าง แบ่งปันกับผม ไม่ว่าในยามทุกข์หรือสุข 
เป็นข้อสำคัญที่สุดในการตัดสินใจ..!!!!



ผมคงจะจบ
*ผู้หญิงคนพิเศษ..ในฝัน..ในใจ ผมเพียงแค่นี้นะครับ *



ผมขอออกตัวเสียก่อนจะจากลานะครับ
ว่านี่...
เป็นเพียงทัศนะส่วนตัวของคนช่างฝัน อย่างผมแต่เพียงผู้เดียว.

ผมคิดได้แค่นี้ทั้งๆที่ผมมีอะไรเป็นรายละเอียดมากมายที่ 
ผมมักจะฝันลมๆแล้งๆเอาไวั




เพราะบางครั้งในชีวิตจริงเรา
มักไม่ค่อยได้พบเจอชีวิตที่สมบูรณ์แบบไปเสีย ทุกด้าน

เฉกเช่นกับตัวเราเอง
ก็คงไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบไปทุกเรื่องเช่นเดียวกัน 



แล้วอย่าคิดอะไรมากนะครับ ถ้าความฝันของผม...
จะไม่ตรงกับฝันจากใจของคุณๆ 

คนเราต่างจิตต่างใจกันนะครับ
ต้องยอมรับความจริง


ผมเพียงแต่พยายามถ่ายทอด 
และ...
อยากบอกให้ทุกคนอย่าเลิกฝันในสิ่งดีๆ
ที่อาจจะได้หรือไม่ได้มา

เพราะว่าบางครั้งแค่ความฝันก็ทำให้ใจเรางดงาม สดใส สล้าง
สร้างพลังใจให้ตัวของเราเอง 



โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว.....
บางครั้งผมคิดว่าโอกาสที่ผมจะเจอผู้หญิงในฝันของผม 
คงมีน้อยลงไปทุกที.....

ผู้หญิงที่ผมฝันอาจจะเกิดมาแบบยุคต้นรัตนโกสินทร์
ที่ไหนจะ หลงเหลือมาจนทุกวันนี้......นะครับ



แต่...!
ผมกระซิบนะครับ.....

ผมจะไม่เลิกฝันจนกว่าผมจะได้พบผู้หญิงในฝัน 
ของผมแค่ สักครึ่งเดียวที่ฝัน ไว้ผมก็พอใจแล้วครับ



ผมพยายามปลอบใจตัวเอง นะครับ..ว่า...
อาจจะมีผู้หญิงแสนดี และฉลาด..
พอที่..จะใช้ความรัก ความเสียสละ....... 
พร้อมที่จะปรับตัวเพื่อคนที่รักนะครับ



เพื่อประคองชีวิตครอบครัวให้อบอุ่นและยืนยาว....

เพื่อให้นิยายรักของโลกแห่งชีวิตจริงของคนทั้งคู่สมบูรณ์แบบ 
สวยงาม

ด้วยประโยคที่ว่า...



แล้วทั้งคู่....... ก็ครองรักด้วยความรัก...ความเข้าใจ...
อภัยซึ่งกันและกันอย่างมีความสุข จนชั่วฟ้าดินสลาย.......!!!!!
.................
.......................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song499.html
ม่านบังตา 
นัดดา วิยะกาญจน์ 
ถึง เธอจะพราก จากฉัน
ไกลกันสุดความหวัง ฉันก็ยังรักเธอ
ฉัน ยังซื่อตรงเสมอ
แม้เธอเป็นของใคร
ฉันไม่ แปร ผัน
ถึง โลกจะแหลกสลาย
จันทร์จะมืดแลหาย
ฉันไม่คลาย สัมพันธ์
ขอ เธออย่าลืมเลือนฉัน
แล้วเราคงพบกัน
เหมือนจันทร์ ที่คู่ ดารา
แต่ฉัน ยังนึกหวั่น เสมอ
รักเธอ เลือนเหมือนม่าน บังตา
บางวัน ฉันเฝ้าคอยหา เปลี่ยวอุรา
พาให้ อาวรณ์
ถึง เธอจะอยู่แห่งไหน
เธอคงไม่ลืมฉัน
เราจากกัน ร้าวรอน
ฉัน รอด้วยใจ เร่าร้อน
ทุกคืนวัน ฉันนอน ขอวอน เธอกลับคืนมา
เธอคงไม่ลืมฉัน
ดนตรี
แต่ฉัน ยังนึกหวั่น เสมอ
รักเธอ เลือนเหมือนม่าน บังตา
บางวัน ฉันเฝ้าคอยหา เปลี่ยวอุรา
พาให้อาวรณ์
ถึง เธอจะอยู่แห่งไหน
เธอคงไม่ลืมฉัน
เราจากกัน ร้าวรอน
ฉัน รอด้วยใจ เร่าร้อน
ทุกคืนวัน ฉันนอน ขอวอน
เธอกลับคืนมา... 
 

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด