28 มิถุนายน 2548 13:46 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song65.html
ความรักไม่รู้จบ...
ขอรจนากลอนหวานหวานสักบทหนึ่ง
เจือน้ำผึ้งเจือความรักและความฝัน
เจือเสน่หาสวาทหวามราวเถาวัลย์
มารัดขวัญมาร้อยใจในร่มรัก
มากระซิบริมแก้มแถมจูบหอม
ฝากดอกไม้ให้ดอมด้วยพลีภักดิ์
ฝากสร้อยอักษราราวโซ่ทองมาคล้องรัก
ฝากอ้อมตักมาภักดีมาพลีใจ
น้องหรือพี่ได้พลีจิตระบายฝัน
ได้ผูกพันผ่านเดือนปีพบหวามไหว
ได้มอบรักมอบขวัญกำนัลใจ
ฝากมาลัยวางริมหมอนนอนฝันดี
โลกแห่งนี้ใช่เลิกหมุนเสียเมื่อไหร่
ทิวาวัยราตรีหอมพร้อมพรากหนี
รู้ให้รักให้น้ำใจแบ่งไมตรี
รจนาพลีฝากโลกลบโศกราน
เธอและฉันวิบากรักถึงจักพบ
หวังอย่าจบด้วยเศร้าจงกล้าหาญ
เคียงข้างใจเก็บดอกไม้ไพรบานตระการ
มอบคนรานใจร้าวได้เคล้าคลอ
มีแสงเทียนเสียงธรรม ธรรมชาติ
พิไลพิลาสนำทางอย่างมิท้อ
มีกระท่อมแสงทองให้เอนหลังฝังฝากรอ
แล้วก็ขอมีใครสักคนเคียงข้างมิร้างไกล
ราตรีไหนไร้ดาวอย่าหนาวนะ
รู้นะจ๊ะดาวในใจยังไสว
ดาวแห่งรักเดือนแห่งมิตรภาพตราบสิ้นฟ้านำทางใจ
และ
รู้ไหมในร่มรักเรือนไทยแห่งนี้มีแต่รัก...รัก..รัก..ภักดิ์...ภักดิ์...ภักดิ์.!!!!!!!
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song65.html
ความรักไม่รู้จบ..
ถึงจะอยู่สุดหล้าฟ้าดิน
แม้จะสิ้นสิทธิ์และเสรี
แต่วันนั้น ใจฉันยังคงที่
ความรัก ความภักดี ไม่มีสิ้นสลาย
ถึงโลกแตกแหลกเป็นผงคลี
รักเต็มปรี่ ไม่มีรู้คลาย
ชีพถูกฝัง ความรักยังเวียนว่าย
เคียงคู่เธอมิคลาย
ฝากวิญญาณ ไว้เตือน
ด้วย ความรักไม่รู้จบ
แม้ผืนดินกลบ ยากเพราะความรักเลือน
จะเนิ่นนาน กี่วันกี่ปี กี่เดือน
ดินฟ้าจะคล้อยเคลื่อน ใจมิเลือน รักเธอ
ทุกทุกอย่างบนทางรักจริง
ทุกทุกสิ่งบนทางรักเธอ
จะสมหวัง หรือพบความเพ้อเจ้อ
เป็นที่ใจของเธอ จะจริงจังฉันใด
ทุกทุกอย่างบนทางรักจริง
ทุกทุกสิ่งบนทางรักเธอ
จะสมหวัง หรือพบความเพ้อเจ้อ
เป็นที่ใจของเธอ จะจริงจังฉันใด...
28 มิถุนายน 2548 10:25 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song480.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1665.html
วันนี้อากาศดีมาก
ฟ้าสว่างไสวแจ่มกระจ่าง
พลอยพาให้หัวใจผมดีตามไปด้วยกับดินฟ้า
จนต้องฮัมเพลงลุกทุ่งออกมา
ตามวิทยุที่เปิดทิ้งไว้
พาให้สราญใจเสียไม่มี..
ตอนที่กำลังฟอกสบู่อาบน้ำ
และ
ให้ผมโยกซ้ายย้ายขวา
พร้อมกับใช้ฝักบัวราวไมค์แสนดี
ซัดสาดส่ายไปมาอย่างเมามันส์
ไปตามดนตรี
ให้ชีวีแสนสนุกสุขใจ
เพื่อเตรียมตัวพร้อมไปทำงาน...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1665.html
หนุ่มนารอนาง
เมื่อถึงเดือนเมษา
หนุ่มบ้านนานั่งฝัน
คอยคนรัก คอยคนรักจากกัน
สิ้นสงกรานต์ น้องก็พลันลืมพี่
เธอทิ้งนาทิ้งไร่ จดหมายไม่มี
ใยน้องมาลืมพี่ ที่ท้องทุ่งนา
ดนตรี
เฝ้าหลงคอย แต่สาว
พี่หนาวใจหนักหนา
ยามเมื่อฝน ยามเมื่อฝน หล่นมา
หนุ่มบ้านนาหนาวอุราไม่สิ้น
จนฝนลงเดือนหก มวลนกโบกบิน
ใจน้องลืมไปสิ้นถิ่นฐานบ้านเรา
ดนตรี
เดือนเจ็ด เจ้าไม่มา
จะเข้าพรรษา ยิ่งพาใจเศร้า
สาริการ้องครวญมา เบา ๆ
สาริการ้องครวญมา เบา ๆ
ที่ต้นสะเดา พี่เฝ้ายืนมอง
ดนตรี
ผ่านพ้นเลย พรรษา
หนุ่มบ้านนา ยิ่งหมอง
มองดูน้ำ มองดูน้ำ เอ่อคลอง
เหม่อเหลียวมอง
น้ำในคลองไหลเชี่ยว
ลมพัดมาใจสั่น พี่ฝันอยู่เดียว
มองเห็นตาล ต้นเดี่ยว
เหลียวหา แต่นาง
ดนตรี
เดือนเจ็ด เจ้าไม่มา
จะเข้าพรรษา ยิ่งพาใจเศร้า
สาริการ้องครวญมา เบา ๆ
สาริการ้องครวญมา เบา ๆ
ที่ต้นสะเดา พี่เฝ้ายืนมอง
ดนตรี
ผ่านพ้นเลย พรรษา
หนุ่มบ้านนา ยิ่งหมอง
มองดูน้ำ มองดูน้ำ เอ่อคลอง
เหม่อเหลียวมอง
น้ำในคลองไหลเชี่ยว
ลมพัดมาใจสั่น พี่ฝันอยู่เดียว
มองเห็นตาล ต้นเดี่ยว
เหลียวหา แต่นาง...
.........
เมื่อคืนหลังเล่นแบทมินตันเสร็จ
ผมดูทีวี การอภิปรายในสถา
ที่น่าสะดุ้งหากมีการคอรัปชั่นกันจริง
และ
คงเป็นหนังเรื่องยาว
จนกว่าพระเอกฝ่ายค้านขี่ม้าขาว
จะค้นพบว่าใครคือผู้ร้ายหมายกินเมือง
และ
ผมได้ดูรายการ*คุณพระช่วย*
ที่แสนประเทืองประทับใจ
ที่น่าติดตามมาก
เพราะ
เกี่ยวกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีไทย
และที่สำคัญนั้น
มีการนำเอาบทประพันธ์จาก
*ท่านบรมครูกวีศวีแห่งแผ่นดิน*
บรมกวีที่เพียรสร้างสรร
ฝากพรสวรรค์ผลงานเอาไว้มากมาย
จนกลายเป็น*มรดกโลก*
ผลงานงามของ*ท่านสุนทรภู่*
ที่มาจากหลายเรื่องราว
มาเรียบเรียงให้คุณปาน ธนพร
มาขับร้องได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง
ผสานผสมกับการบรรเลง
ของวงดุริยางค์ทหารเรือ หากจำไม่ผิด
และ
มีน้องๆจากธรรมศาสตร์มาเป็นคอรัสให้
.......
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song480.html
คำมั่นสัญญา
ถึง ม้วยดิน สิ้นฟ้า มหาสมุทร
ไม่ สิ้นสุด ความรัก สมัครสมาน
แม้ อยู่ใน ใต้หล้า สุธาธาร
ขอ พบพาน พิศวาส ไม่คลาดครา
แม้น เนื้อเย็น เป็นห้วง
มหรรณพ
พี่ ขอพบ ศรีสวัสดิ์ เป็นมัจฉา
แม้ เป็นบัว ตัวพี่ เป็นภุมรา
เชย ผกา โกสุม ปทุมทอง
แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
ใคร่เป็นหงษ์
จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
ขอ ติดตาม ทรามสงวน
นวลละออง
เป็น คู่ครอง พิศวาส ทุกชาติไป
แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
ใคร่เป็นหงษ์
จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
ขอ ติดตาม ทรามสงวน
นวลละออง
เป็น คู่ครอง พิศวาส
ทุกชาติไป...
..................
และ
ยังมีการ ประกวดต่อกลอนสด
ซึ่งทำให้ผมอยากกระโดดเข้าไปแข่งด้วย
หากวัยวันมิใช่อุปสรรค์
เพราะเขารับเฉพาะเพียงแต่นักเรียน
และ
ได้ประเด็นจากอาจารย์แม่* อาจารย์สุนีย์ สินธุเดชะ*
ที่แนะนำให้น้องสองคนคู่แข่ง
ได้จะแจ้งใจเป็นปัญญาวิทยาทาน
หลังผ่านการต่อกลอน
และ
ก่อนทราบว่าใครคือผู้ชนะ
ที่จะได้ครอบครองกระดานชนวนทองคำ พร้อมเงินสด
ที่น้องๆเด็กๆทุกวันนี้
คงไม่รู้จักพลางจักต้องทำหน้าเหรอหรา
หากพานพบเจอ
กระดานชนวนที่บ้านผมเคยใช้กัน
พร้อมใช้ชอล์คสีขาวขีดเขียน
เพราะเราคือเด็กไทยไกลปีนเที่ยงนานมา
และส่วนมากแม่พ่อยากจน
และ
เราต้องหาพืชชนิดหนึ่งชื่อ*ต้นส้มเช้า*
พึชสีเขียวต้นเล็กๆใบอุ้มน้ำ
มาเฝ้าลบยามเขียนเสร็จ
และ
เพื่อนบางคนที่แสนขี้เกียจไปเด็ด
กลับพ่นน้ำลายลบแทนเพราะง่ายดี หากไม่มีใครว่ากัน
กลับมาฟังคำอาจารย์แม่แนะนำ
ว่าการเขียนกลอนนั้น
หากมีคำบังคับหรือมีหัวข้อเรื่องไว้
เราจักต้องตีประเด็นให้แตก
และ
เขียนให้ได้ตามแนวที่วางไว้
อย่างให้น่าสนใจ
สำหรับรายการนี้ผมเพิ่งดูคืนแรกเลยนำมาฝาก
หากทว่า
ผังรายการหน้าไม่ทราบ
จะเกี่ยวกับเรื่องไทยๆอีกหรือไม่
ก็จงเฝ้าติดตาม
งานนี้ผมไม่ได้มีเอี่ยวเกี่ยวโฆษณาดอกนะครับ
นอกเสียจากว่า
อยากให้มิ่งมิตรน้องพี่
ได้ดูรายการดีดีสร้างสรรสังคม
และ
คงโดนใจคนรักบทกวีรักความเป็นไทย
ที่ยังมีหัวใจดวงนวลดวงทอง
ชอบการขีดๆเขียนๆอย่างเราๆท่านๆ
เช้านี้...
ผมมาถึงที่ทำงานแต่เช้า
และตอนเดินในซอย
ผมได้ยินบทเพลงหนึ่งราวลอยแว่วมา
ที่
ใครบางคนเพิ่งฝากปรารถนาดี
สอนใจผมไว้ให้ไม่ไหวท้อแท้กับเจ้านาย
ที่นับวันจะใช้ผมราวทาส
สมัยที่ยังไม่ได้ประกาศอิสรถาพ...!
และทั้งๆที่
บางทีผมก็แสนมากมีเมตตา เพียรท่องเอาไว้
ยามเห็นท่าน
ทำงานไม่เป็นเอาเสียเลย
ราวยิ่งกว่าคนพิการไร้แขนขาเสียอีก
ที่มีเพียงปากสั่งการ ให้ผมและพี่อีกคนที่ทำงาน
ทำแทนทั้งสิ้นทุกสิ่งอย่าง
แบบไม่ช่วยอะไรเลย
ทั้งๆที่งานง่ายๆเล็กน้อยๆมากมายล้นมือ
ที่พอจะช่วยกันได้
ที่จะทำให้องค์กรยิ่งมากมีค่า
ฝากโลกหล้าให้ผืนแผ่นดินภาคภูมิใจ
ว่ามีผู้บริหารไทยมีทัศนวิสัยแสนกว้างไกล
ใช่มานั่งเช้าชามเย็นเฉื่อย ลากร่างเอื่อยกินๆนอนๆ
เดินว่อนใช้ลูกน้องอย่างเดียว
กับรอเวลารับลูกกลับบ้าน
และ
สิ้นเดือนรับเงินเดือนมากมายอย่างไม่คุ้มค่าลมหายใจ
ที่มานั่งเสียเวลาหายใจทิ้งไปเปล่าๆ
เอาละครับ
เพราะมีใครบางคนร้องเพลงนี้ปลอบประโลมใจผม
ยามที่ผมกำลังจะเล่นบทแข็งกร้าวประท้วง
เพราะ
บางครั้งคนเรา
หากเพียงเราเออออห่อหมกด้วยไปทุกคำสั่ง
น้อมคำนับรับฟังและ..ก้มหน้า..ทำทำทำ..เพียงอย่างเดียว
ทั้งที่หัวหมุนจนจะขาดเกรียวผมก็ร่วงเอาๆ
จนหน้าผมชักจะแก่ล้ำหน้าเขาคือหัวหน้าเสียอีกแล้วด้วยนะครับ
เขาก็จักยิ่งไม่เห็นหัว
และ
คงนึกว่าตัวเราคือหุ่นยนต์
ที่แสนจะมีมันสมองชาญฉลาด
สามารถผลิตทุกอย่างตามคำสั่ง..ได้ดั่งใจ
ไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ไม่เหนื่อยไม่เร่งรีบจนโรคเครียดจะถามหา
ให้ปวดศรีษะจิ๊ดๆ
จนต้องกินยาระงับประสาทจนจะตายวันตายพรุ่งหารุ่งไม่พบแล้ว
ดีนะที่ผมยังมีธรรมะ
มาหอมห่มพรมพร่างดับแล้งใจดับร้อนใจ
ให้รู้สลัดตัดออกปลดออกไปเสียบ้าง
รู้วางไว้ที่ทำงานไปเสียเยอะ
ไม่พาใจให้เลอะเทอะด้วยขยะใจมากมายกลับมา
ให้กินนอนไม่เป็นสุขทุกข์ถึงที่บ้าน
ที่จักรุมล้อมจนต้องตรอมใจตาย
ราวกบเขียดหากไม่รู้จัดการใจเราเอง..
.......
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6192.html
เพลงความฝันอันสูงสุด
ขอฝันใฝ่ ในฝันอันเหลือเชื่อ
ขอสู้ศึก ทุกเมื่อ ไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์ รุกโรมโหมกายใจ
ขอฝ่าฟัน ผองภัย ด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่แก้ไข ในสิ่งผิด
จะรักชาติ จนชีวิต เป็นผุยผง
จะยอมตาย หมายให้ เกียรติดำรง
จะปิดทอง หลังองค์ พระปฏิมา
ไม่ท้อถอย คอยสร้าง สิ่งที่ควร
ไม่เรรวน พะว้าพะวัง คิดกังขา
ไม่เคืองแค้น น้อยใจ ในโชคชะตา
ไม่เสียดาย ชีวา ถ้าสิ้นไป
นี่คือ ปณิธาน ที่หาญมุ่ง
หมายผดุง ยุติธรรม อันสดใส
ถึงทนทุกข์ ทรมาน นานเท่าใด
ยังมั่นใจ รักชาติ องอาจครัน
โลกมนุษย์ ย่อมจะดี กว่านี้แน่
เพราะมีผู้ ไม่ยอมแพ้ แม้ถูกหยัน
ยังคงหยัด สู้ไป ใฝ่ประจัญ
ยอมอาสัญ ก็เพราะปอง เทิดผองไทย...
.............
บทเพลงนี้
ทำให้ผมสะดุดใจและผมเลยตั้งใจว่า
สำหรับชีวีผมผู้มีอุดมคติอุดมการณ์
จะไม่ยอมพานพ่ายคนไม่ดีในสังคม
ที่จะฝากให้เราท้อแท้จนเบื่อระบบราชการ
จบลงด้วยคนทำงานดี ทำงานเก่ง
ต้องขอลาออกไปประกอบอาชีพกับบริษัทเอกชน
เพราะทนรับเงินน้อยไม่ไหว
ไหนใจจะถูกบีบคั้นด้วยระบบคำสั่ง
ที่ขาดสติสตังและปัญญาจากระดับผู้บริหาร
ที่ไม่รู้งาน
ผ่านมาเป็นหัวหน้าได้เพราะระบบอาวุโส
ที่ช่างแสนโอ้น่าอนาถประหลาดใจในทิศทางประเทศ
ว่าจะไปทางไหน
จะรุ่งเรืองได้เช่นไรละหนอละนี่
หากฝากอนาคตของชาติที่พิลาสพิไล
ไว้ในมือของคนแบบนี้...ที่ทำงานไม่เป็น
นานๆทีนะครับ
ที่ผมจะอยากหันกลับมาเล่นบทนี้
บทแข็งกร้าว
มาเฝ้าทวงถามหาความยุติธรรม
จากระบบสังคมการทำงานในไทย
ที่ยังมากมายนักให้จักเพียงกุมเป้ากางเกงนบนอบ
นอบน้อมรับคำสั่งเพียงอย่างเดียว..
ครับ ครับผม ครับครับ คับคับคับผมคับแล้วครับ
เพราะผมนั้น
รักที่จะทำงานด้วยความยุติธรรม
และ
รักการทำงานแบบร่วมด้วยช่วยกัน
ที่จักผสานสามัคคี
ให้หน่วยงานมีพลังรับมือแสดงสปิริตเต็มศักยภาพ
พอที่จะให้คนต่างชาติแขกต่างชาติ
ที่มาดูงานในหน่วยงานผม
ได้รับสิ่งดีงามกลับไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
และ
ให้ทำงานแบบมิ่งมิตรน้องพี่
มีการให้การเสียสละ
รู้หยืดหยุ่นอยู่กันแบบพึ่งพาพึ่งพิงมิใช่เอาเปรียบ
ผม..เดินผ่านร้านดอกไม้...ก่อนจะเข้าที่ทำงาน
และ
ด้วยใจดวงดีราวฟ้าหลังฝนราวพายุพัดผ่าน
เพราะ
คำปลอบประโลมใจจากใครบางคน
ที่ฝากคำกระซิบสอนให้ผมอดทนอภัยเมตตาแด่ผู้คน
ให้มีกมลรู้รักรู้ให้
*ดั่งหยาดฝนจากฟ้า*
ที่หลั่งรินมาไม่เลือกหล้าแหล่ง
ขอเพียงดับแล้งไร้
ผมจึงหยุดชะงัก
เมื่อเห็นดอกไม้มากมายแสนสดงาม
หลากสีสันวางเรียงรอขาย
ผมหยุดมองมาลัยดอกมะลิ
ที่เพิ่งผลิร้อยห้อยอุบะพวงรวงเรียงวางงามไว้ในถาด
และ...
ตัดสินใจซื้อ..ทันทีอย่างไม่ลังเล..ใจ
ผมเดินผ่านโต๊ะหัวหน้าและวางไว้
ไม่นานก่อนที่เธอจะเยื้องย่างลงมานั่ง
และทำหน้าแปลกใจ
เธอ..เงยหน้าถามใครซื้อมานี่..!
ผมครับ อยากให้พี่เห็น...งามดี
พี่ดูซี
พวงมาลัยพวงเล็กๆแค่นี้กว่าจะร้อยเป็นพวงได้
คงต้องใช้คนที่ฝึกฝนมานาน
และต้องรักความละมุนละเมียดนะครับ
พี่ว่างามมั้ย
ผมว่า
เขาคงใช้ใจดวงละเอียดประดิดประดอย
ด้วยความตั้งใจ
ผลงานจึงออกมางามอย่างไม่มีที่ติ
ที่หากใช้ใจเร่าร้อนรีบเร่ง
ก็คงไม่ได้งานงามประณีตสวยขนาดนี้ดอกนะครับ
พี่อย่าลืมเอากลับไปบูชาพระด้วยนะครับ..คืนนี้
และ
อ๋อ ...!
พี่ครับรายงานที่พี่ใช้ผมเรียบเรียงนั้น
ผมก็ใช้เวลาเหมือนร้อยมะลิแหละครับ
และ
หากยังไม่ดีพี่ก็รู้ว่าผมทำดีที่สุดแล้วนะครับ..
ผมไม่รอดูสีหน้าเธอ
ก่อนที่จะหมุนเก้าอี้หันหลังกลับมา
พร้อมรอยยิ้มที่ผมรู้สึกสบายใจเสียไม่มี
ในเช้าวันนี้
ที่ผมได้ฝากน้ำคำให้น้ำใจ
และคำสอนให้เธอสะท้อนใจเสียบ้าง
ด้วยรักเมตตาปรารถนาดีแด่เจ้านายคนนี้
ที่ทำอะไรๆทุกอย่างไม่ได้เลยไม่เป็นเลย
ไม่เคยยอมบรรเลงเองสักอย่างเดียว
จนไม่รู้ค่าว่าคนที่ทำงานหนักนั้น
ต้องใช้สมองและวันเวลานานแค่ไหน
กว่าจะผลิตออกมาได้
ออกมารับใช้ให้เธอแค่นำเอาไปใช้พรีเซนต์
อย่างสะดวกสบาย
และบางครั้ง
ยังไม่พอใจใช้กลับมาแก้แล้วแก้อีก
ราวกับคนที่รับทำให้ไม่มีหัวใจ
หรือเป็นหุ่นยนต์
ที่ไม่มีคำพูดโต้แย้งใดนอกเสียจากรับคำสั่ง
ผม...
รู้สึกดีกับวันนี้
ที่ฟ้าเมืองไทยในที่ทำงานผม
อาจจะได้เบิกใส
ให้หัวใจภายในใครบางคน
ได้หันมาทบทวนบทบาทตนเอง
และ
รู้ค่าคน ว่ามิใช่ควาย
ที่จะใช้สนตะพาย
แบบไม่เคยให้ความรักความเข้าใจ
เพราะนี่มันสมัยประชาธิปไตย
ไม่ใช่สมัยทาส
และ
แม้แต่ควายเรายังต้องใช้
ด้วยความฉลาดรู้ด้วยความเห็นใจ
ว่าเขาทนสู้แดดแบกแอกแสนหนักไถเพื่อเรา
และเพื่อประเทศชาติ
ต้องรู้จักมีน้ำใจคืนกลับ
ที่จักดำรงไทยธำรงชาติได้
ด้วยการผสานใจผสมรักเข้าใจ
ระหว่าง
คนรุ่นใหม่ไฟแรงที่มากสามารถ
กับ
คนรุ่นเก่าล้นประสบการณ์
ขอแค่เพียงเปิดโลกทัศน์ให้กว้าง มีวิสัยทัศน์..เพียรรอบรู้
อย่างไม่เห็นแก่ตัวแก่ตนและความสบาย
คล้ายไร้สิ้นซึ่งไฟฝันและอุดมการณ์...!!!!!
............
27 มิถุนายน 2548 09:25 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song718.html
เหมือนเรือน้อยลอยลำกลางทะเลกว้าง
เหมือนกระท่อมร้างไร้น้ำผึ้งจันทร์คืนวันไหน
เหมือนเรือนหอสร้างไว้รอพังทลายไป
เหมือนตะวันนำทางใจไหวหรี่ดับ
เหมือนเดียวดายคล้ายนกขมิ้นเหลืองอ่อน
เหมือนสิงขรสะท้านสะเทือนรับ
เหมือนกมลฝากใต้หล้าพสุธาทับ
เหมือนเหมือนกับใจวันนี้ที่แหลกแล้ว
เหมือนดอกไม้หรี่หุบพร้อมทั้งโลก
เหมือนเพลงโศกพร้องผสานสิ้นโลกแก้ว
เหมือนสายน้ำรักนิรันดร์พลันรี่ไหลไม่คืนแล้ว
เหมือนกับแก้วกลางใจไกลกัปป์กัลป์
เหมือนทรายผงปลิวเข้าตาหาออกไม่
เหมือนดวงใจมืดบอดหมดสิ้นฝัน
เหมือนเรือน้อยลอยลำไปกับตะวัน
เหมือนแสงจันทร์วันสุดท้ายหมายลาลาน
เหมือนน้ำค้างสีโศกโลกสีเศร้า
เหมือนแก้วร้าวร่วงกราวยากประสาน
เหมือนบทกวีพลีเพียงเงียบสิ้นไร้งาม
เหมือนทุกยาม..รอ..ลมหายใจรินรินสิ้นสิ้นไป.......!!!!!!!!
.........
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song718.html
ขวัญ เอ๋ย
เคยภิรมย์ชิดชื่น สุขสันต์
หลง เพ้อฝัน
รักมั่น มิทันจะเนิ่น
เธอ เมินหมาง
โอ้ อ้างว้างอารมณ์ ฤดี
เหมือนโนรี
จากคอน หลงรังนอน
ลืม พี่ เหมือนชีวี
เดียวดาย เอกา
โอ้ ดึกเดือนคล้อย
เดือนเจ้าจะลอย จากตา
มอง นภายังเห็นดารา
เรียง ราย
เหลียวหา จนทิวาโฉมเจ้า แล หาย
หรือ รักแล้วแหนงหน่าย
รักเอ๋ย ลืมง่าย
ใย เมินเฉย
โอ้ ใจเอ๋ยใจเลย แรมรอน
ฉันยังจำ ติดตา
ทุกทิวาคืนก่อน
เหลืออาวรณ์ใจเอย ค่ำลง
โอ้ ใจสะท้อน
จะหลับจะนอนพะวง
ลืมไม่ลง
มันเหมือนมีมนต์ ดล ใจ...
25 มิถุนายน 2548 22:15 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4858.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song718.html
ท่ามฝนพรำเม็ด
ไพลเจตนาเดินฝ่าละอองฝน
ไปเด็ดดวงดอกการะเวก
ที่กำลังหวานบานพราวเต็มต้นมาเต็มตะกร้า
และ
นำมาวางไว้ในทุกจุด
ที่จะพร่างพาให้อวลกลิ่นหอมงามในท่ามคืนนี้
ให้นอนนิทราหลับฝันดีไปกับเสียงสายฝนพรำพรม
ไม่เว้นแม้ในห้องน้ำ...
ที่ไพลกำลังซุกร่างในอ่างอาบน้ำ
พร้อมแลลอดทอดตา
ไปจากกระจกรายรอบที่เปิดเปลือย
ให้ก้านกิ่งการะเวกเขียวใสเลื้อยพัน
มาพร่างใจมาพร่างรินอย่างมิสิ้นงาม
ในยามอยากหวามไหว
ไพล
แหงนเงยเห็นนกยักษ์สีเงินบินผ่านหลังคาบ้านไป
ให้หัวใจดวงรานร้าว
ไหวกระตุกเมื่อรำลึกนึกถึงใครบางคน
ที่กำลังคงลอยล่อยท่องอยู่บนฟ้าราวนางฟ้าแสนสวย
ไพล..
รินน้ำตา
พร้อมกับได้ยินบทเพลงเหว่ว้า
แห่งตะวันลาตะวันตกดิน
ที่ไพลชอบถวิลฟังยามคิดถึงบ้านเกาะ
และ
ยามเหงาเงียบลำพังดายเดียวในดวงใจมานานวันมานานปี
ที่ไพลนี้ชอบเปิดฟังซ้ำๆซากๆ
ให้ฝากรอยใจย้ำในรอยเจ็บทุกเรื่องราว
ราวบัดนี้ที่กำลังอยากพลีอุทิศให้สายน้ำ
ที่กำลังสนิทแนบร่างและนวลใจ
ได้พร่างไหวพัดวนทุกพายุร้าย
ที่หมายมากรายกล้ำฝากทำร้ายให้ผันผ่านไป
ไม่มีวันหวนคืน
และ
ปล่อยให้ไพลทิ้งร่างใจลงใต้สายน้ำอุ่น
ที่ยินดีเปิดให้พบโลกละมุนแห่งสายน้ำรักนิรันดร์
ปลอบประโลมขวัญและเรือนร่าง
ราวมิร้างแรมลามิลาแรมไกลมิไหวห่างรัก
ให้ไหลเต็มอ่างนานๆครั้ง
เพราะ..
อยากให้สายน้ำเป็นดั่งพลังสดฉ่ำ
ที่ไพลจะได้ฝากฝังทุกเรื่องราว
ที่ซ่อนซุกเหน็บหนาวได้คลี่คลาย
อย่างไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอ..แพ้พ่ายใจ
ที่ยังมีนวลใสรู้เจ็บปวด
ที่นานๆครั้งร้าวรวดรานรุกจะมาบุกจู่โจม
มาโหมให้หนาวแสนหนาวจับจิตจับใจ
แม้น
เพียงแค่ความคิดชั่วครู่ชั่วคราว
เมื่อน้อยใจลิขิตชะตากรรมมากมาย
ที่ผ่านมากรายกล้ำ
มาตอกย้ำพิสูจน์ความมั่นคงหนักแน่น
แห่งใจดวงดินดวงเดิมดวงดีนี้
ที่เพียรฝึกพลีให้หยาดน้ำใสแห่งรสพระธรรม
มาคอยนำทางมาพร่างรินใจอย่างยาวนาน
ว่าจะพานพ่ายแพ้ต่อเกมชะตาหรือไม่
หรือใจดวงเพชรดวงใสดวงอัญมณีไพร
จะยังคงมิด้อยแสง
ด้วยแรงรักปรารถนาดี
ที่อยากพลีหอมหวานหวังเป็นดั่งพลังใจ
ดั่งรักร้อยสร้อยแสงใสไสวฝันอันจักฉายฉาน
เปล่งประกาย
อย่างมิรานแรงราโรยมิน้อยใจ
รู้รับมือกับทุกข์ผัสสะหวามไหวหวั่นหวาดอย่างองอาจอย่างทรนง
ไพล
ยังคงได้ยินเสียงนักร้องในดวงใจ
กำลังครวญคร่ำ
ราวกำลังรู้ใจดวงใจไพลว่ากำลังร่ำร้องตาม
ในยามนี้ณ..นาทีนี้
*ตะวันตกดินเฝ้าถวิลมิสิ้นอาลัย
ครวญหาเหว่ว้าดวงใจไม่มีใครคู่เคียง
ฉันกลัวความเหงามันปวดร้าวขื่นขม
ยามค่ำคืนระทม หักอารมณ์เหลือข่มใจ*
****************
ภาพตะวันตกดิน
หลายหนแห่งที่ทาง
กลับมาย้อนรอยพร่างในมโนนึกในยามนี้
ภาพตะวันตกดิน...
เหนือนาข้าวพราวพร่างอาบด้วยสีทองทาบทา
แถวสทิงพระ เมื่อยามไพลยืนเหว่ว้าดายเดียว
ดูหวานพราว
จากใต้ต้นลูกจันทน์ผ่านดงตาล
จากวัดพะโต๊ะเหนือยอดเนินในโพล้เพล้หนึ่ง
ให้แสนซึ้งซาบใจ ยามไปเยี่ยมพระบวชใหม่นานมา
ภาพตะวันตกดิน...
ยามที่ไพลเคยนอนนิ่งสิ้นหวังสิ้นฝัน
บนเนินผาสูงอย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวร้าง
ที่เกาะเต่าให้สายฝนห่มร่างจนหนาวเหน็บ
และแลละลิบเห็นสายฝนพร่างพราย
ราวทะเลถูกห่มด้วยดวงดอกไม้แสนหวานตระการ
ที่ค่อยๆคลี่แย้มแต้มแตะน้ำผืนน้ำ
ขยายเป็นวงกว้างออกไปๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ภาพที่ไพลมุดตัวในน้ำทะเลแสนอุ่นใส
ในหมู่เกาะพีพี
เฝ้าดูฝูงปะการังโลกสีน้ำเงินแสนงามอย่างมหัศจรรย์
ภาพที่
ไพลขับเรืออย่างดายเดียว
จากฝั่งฝันไปกับเกลียวชลน้ำจรดฟ้า
ไปดูพรายพระอาทิตย์ใกล้ลาลับฟ้า
ฝากแสงสีทองทาบอาบทา
ราวรัศมีรุ้งที่สวยระยับตา
หากทว่าไยใจไพลในเวลากลับแสนเศร้าใจ
เมื่อมองเห็นฝั่งชีวิตดั่งสัจจะธรรม
ที่ไม่ทราบว่าวันไหน...
ลมหายใจเราอันแสนสั้นจะลับลาตามตะวัน
และ
นั่นคือวิวอันวะวิบวับ
ที่งามจับตาพาซึ้งโศกสะเทือนใจ
หนึ่งในฉากหนัง
*เรื่องที่พระเอกเจมส์บอนด์เคยมาถ่ายทำ
ที่เมืองไทยและเป็นฉากไล่ล่าผู้ร้าย*
ที่น้องชายชาวเลชาวเรือเล่าเคยให้ฟัง
ซึ่งคงให้ความรู้สึกผิดกันไม่ตื่นเต้นเร้าใจ
หากรันทดไปกันราวคนละเรื่องละรสกับทุกบทบาทในชีวิตจริง
ภาพ
ที่ไพลนั่งเคเบิลคาร์
พาร่างใจไปนั่งดูพระอาทิตย์ดวงสีไพล
ลอยระเรี่ยน้ำทะเลร่ำลา
และ
ดูไฟจากเรือสินค้าเรือเดินสมุทรลำใหญ่ที่อ่าวสิงคโปร์พริบพราว
เคล้าคลอใจคนไกลบ้านอย่างเงียบเหงาหากให้งาม
และภาพ...
ที่ไพลนั่งบนไหล่ผาท้าตะวันสีทองที่ภูเก็ต
กับร้านที่ชื่อ*สรวงสวรรค์*
กับแสงเทียนพร่างพริบพรายพราว
ราวสายแสงเพชรที่แสนวะวิบวับวะวูบไหว
หากใจไพลยังคงนิ่งงัน
ไร้ฝันใด ขวัญใจ ไร้ใครเคียงเคลียคลอ
และ
กับภาพสุดท้ายไม่นานนี้
ที่วัดไชยวัฒนาราม
ในท่ามแสงฟ้ายามตะวันลาตะวันลับ
กับฉากราวเรื่องสไบนวลสไบนาง
ที่ไพลฝากรจนา
และ
หวังกลับไปเดินในท่ามลานลีลาวดี
พลีเก็บเกี่ยวทุกรอยรักรอยทรงจำตอกย้ำรอยใจรอยอาลัยลา
ให้รู้วางว่างเหว่ว้ารับเงียบงาม
จากสายธารธาราทอง
ธารน้ำใจ*สายใจเจ้าพระยา*
ที่ระรินไหลละล่องไปอย่างช้าช้าราวฝากรอยย้อนรอย
อย่างสอนใจว่าไม่ว่าเรื่องราวใด
ที่ผูกพันรัดร้อยดั่งสร้อยโซ่รักทุกพันธนา
จักไม่หวนคืนกลับมา
อย่างตรงข้ามกันกับตะวันตกดิน
ที่ยังคงถวิลจงรัก
ขึ้นตรงต่อฟ้าหมุนวนกลับมาใหม่
ให้เริ่มต้นใหม่ อย่างไม่มีวันที่สิ้นสุด
จนกว่าโลกจะหยุดหมุนไปพร้อมพร้อมกัน
หากทว่ากับดวงชีวันชีวินเรา...มวลมนุษย์ทั่วหล้าทั่วหน้า
ต่างพากันรอวันตะวันลาในดวงใจ
ที่จำจักพรากลาไปแบบไม่หวนคืนเฉกเช่นนั้น..
.....................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4858.html
ตะวันลับฟ้า...
แสงสุริยาจวนลาเหลี่ยมโลก
ลมเย็นไผ่เอนไหวโยก
ลมโชยโบกพัดพริ้วลิ่วมา
จักจั่นเรไร หริ่งร้องก้องพนา
จวนสิ้นแสงสุริยา
ประหนึ่งว่าดนตรีสวรรค์
แสน
สุดเสียดายมองไปใจเต้น
ยามเมื่อตะวันเย็นๆ
เคยว่ายน้ำเล่นเคียงคู่ร่วมกัน
ตะวันลับฟ้าเสียงน้ำซัดซ่า
ไหลเซาะลำธาร
เคยเด็ดดอกบัวสาบาน
เห็นทุกวันแล้วเศร้าใจ
โอ พี่จ๋า พี่ เอย
ลืมง่าย จังเลย
เปลี่ยนคู่เชยโอ้ใจหนอใจ
ลืม สัญญาที่เคยว่าไว้
กอดหมอนนอนเดียวดาย
คิดถึงแทบตายน้ำตาไหลริน
เห็น หมู่นกกาถลาลมล่อง
จับคู่จู๋จี๋ประคอง
เหมือนพี่กับน้องเคยร่วมอยู่กิน
ตะวันลับฟ้า พี่จ๋าน้องเฝ้าถวิล
จะคอยจนชั่วชีวิน
ตราบชั่วฟ้าดินน้องลืมไม่ลง
โอ พี่จ๋า พี่ เอย
ลืมง่าย จังเลย
เปลี่ยนคู่เชยโอ้ใจหนอใจ
ลืม สัญญาที่เคยว่าไว้
กอดหมอนนอนเดียวดาย
คิดถึงแทบตายน้ำตาไหลริน
เห็น หมู่นกกาถลาลมล่อง
จับคู่จู๋จี๋ประคอง
เหมือนพี่กับน้องเคยร่วมอยู่กิน
ตะวันลับฟ้า พี่จ๋าน้องเฝ้าถวิล
จะคอยจนชั่วชีวิน
ตราบชั่วฟ้าดินน้องลืมไม่ลง...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song718.html
เดียวดาย
สุเทพ วงศ์กำแหง
ขวัญ เอ๋ย
เคยภิรมย์ชิดชื่น สุขสันต์
หลง เพ้อฝัน
รักมั่น มิทันจะเนิ่น
เธอ เมินหมาง
โอ้ อ้างว้างอารมณ์ ฤดี
เหมือนโนรี
จากคอน หลงรังนอน
ลืม พี่ เหมือนชีวี
เดียวดาย เอกา
โอ้ ดึกเดือนคล้อย
เดือนเจ้าจะลอย จากตา
มอง นภายังเห็นดารา
เรียง ราย
เหลียวหา จนทิวาโฉมเจ้า แล หาย
หรือ รักแล้วแหนงหน่าย
รักเอ๋ย ลืมง่าย
ใย เมินเฉย
โอ้ ใจเอ๋ยใจเลย แรมรอน
ฉันยังจำ ติดตา
ทุกทิวาคืนก่อน
เหลืออาวรณ์ใจเอย ค่ำลง
โอ้ ใจสะท้อน
จะหลับจะนอนพะวง
ลืมไม่ลง
มันเหมือนมีมนต์ ดล ใจ...
25 มิถุนายน 2548 12:37 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song223.html(ขวัญเรียม)
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song78.html
(หนาวตัก)
ดรรชนีนาง..ลืมตาอย่างช้าช้า
หากทว่า..
ต้องค่อยๆหลับตาลงไปใหม่
เพราะพรายสายแสงแรกสีทอง
ที่สาดส่องแยงนัยน์ตาตรงหน้าต่าง
ที่พรายพร่าทอทอดลอดลงมารำไรรำไรจาก
ริมชายคาเรือนลั่นทมริมทะเล
ทำให้ต้องหลับตาลงไปอีกครั้ง
ก่อนจะค่อยๆหันหลังพลิกตัวหนี
ไปซุกหน้ากับหมอนสีขาวนวลนุ่ม
ที่ยังได้กลิ่นหอมกรุ่นของดวงดอกแดด
และ..ด้วยดวงดอกมะลิลามาลัยดอกพุด
ที่วางชิดใกล้เตียงเคียงหัวนอนตั้งแต่ยามค่ำ
ให้ยังคงฝากระร่ำรินรสมาถึงยามนี้
เธอ..คนดี..ได้ยินเสียงคลื่นคลอทราย
ซัดชายฝั่งเบาๆราวเพลงทะเลเห่กล่อม
ทั้งก่อนนอน
และตราบจนถึงยามตื่นนิทราอุษาสาง จนถึงยามนี้
ที่เคยมีใครบางคน
ที่กมลไม่ชอบเสียงทุกชนิดในยามนอน
จะทนฟังไม่ได้..คล้ายหนวกหูแม้นเพียงเสียงธรรมชาติ
รับได้เพียงความสงบเงียบเพียงอย่างเดียว
หากสำหรับดรรชนีนาง
นี่คือบทเพลงราวดนตรีประทานมาจากดวงใจสวรรค์
ที่หวังมาครวญครางคร่ำพร่ำระรินร่ายมนตราด้วยรัก
ฝากพลีภักดิ์โอบเอื้อให้ทุกพรานทะเล
และ..
ทุกผู้รักเหว่ว้า
ยามที่จำต้องฝากร่างลอยลำห่างไกล
ไปกลางผืนน้ำสีครามมรกต
แลละลิบลิ่วจนแทบมองไม่เห็นผืนฝั่ง
ที่เห็นเพียงน้ำจรดฟ้า
ยามร่อนเร่เร่ร่อนว่อนเวิ้งสมุทรสุดกว้างเวิ้งว่างท่ามสายชล
ของคนหาปลามาต่อเติมร่างใจจิตวิญญาญ์แด่มวลมนุษยโลกดับโศกหิว
และ
สำหรับดวงใจเด็กหญิงชอบเหงาเงียบงามเงียบ
แบบดรรชนีนางเสียงครางครวญของทะเล
กลับฟังแแผกแปลกไปมิเคยเหมือนกันสักฤดูกาล
มาตั้งแต่ยามเยาว์วัย ที่เธอเฝ้าคอยสังเกตมิให้เหงาใจ
ราวคลื่นและทุกเม็ดทรายที่บ้านเกิดนี้
คือเพื่อนคนดีที่พร้อมพลีจะปลอบประโลม
และ
หวังคงมิรับบทโถมถา
มาสั่งสอนด้วยความพิโรธอย่างสึนามิ
ที่..
ขอหวังมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตอย่าได้หวนกลับมาอีกเลยแล้ว
ที่ทุกสรรพสิ่งรายรอบ
คือความรู้สึกแสนงดงามพิเศษภายในใจ
เป็นความพิเศษของผู้ที่รักทุกเม็ดทรายของบ้านเกิด
ของผู้ที่รู้จักสายลมเพียงมิใช่แค่สายลมที่พัดผ่าน
แต่รู้ว่าในแต่ละฤดูกาลของสายลมแห่งเกาะพะงัน
เราจะเรียกชื่อต่างๆกัน
ลมว่าว....
ซึ่งจะมาพร้อมกับคลื่นถาโถม...กระแทก กระทั้น
ราวกับกำลังบรรเลงเพลงเฮฟวี่
ลมตะวันออก........
มากับฝนชุก และคลื่นที่แตกฟองขาว
เหมือนข้าวตอกแตก เราเรียกคลื่นแตกตอก
ลมอุตรา.......
ฝนน้อย พัดจากตะวันออกเฉียงเหนือ ไป ตะวันตกเฉียงใต้
ลมตะเภา......ลมเดือน 3...4..5...6
และ
ยังมีลมเดือน...6...7...8...9...10...11.......
ลมพัทธยา .....
ลมนี้จะทำให้ใบมะพร้าวพัดแกว่งไกว
เอนพลิ้วไสว และลำต้นจะโก่งดั่งคันธนู
กลางวันน้ำทะเลแห้งเหือด.....ราวกับทะเลเปลือย
อยากดูก็ต้องไปเกาะพะงันยามลมพัทธยาพัดผ่าน
ลมตะวันตก.....เป็นลมคู่ขากับลมพัทธยา คลื่นจะแตกฟองแถวแนวปะการัง
ลมพัดหลวง......จะทำให้ในทะเลไม่มีปลา
ลมสลาตัน .....มักมากับฟ้าแลบแปลบปลาบเหมือนฝนจะตก
แต่พอพัดกลับไม่มีฝนราวหลอกล่อ
สิ่งเหล่านี้ยังน้อยนักที่เป็นรายละเอียดภายในใจ
ที่ดรรชนีนางยังจำได้ ......
...........
และ
กับความสุขของดรรชนีนางในยามเยาว์นั้น
ถึงแม้น
จะเกิดมากับใจดวงเหงารักความงามเงียบ
หากทว่า
ราวฟ้าประทานพร
ให้..
หัวใจและร่างอรชร
ได้มาเกิดกลางเกาะที่ดั่งไข่มุกน้ำงามกลางอ่าวไทย
ที่ไกลแสนหากงามพราวราวมรกตเนื้อดีในแดนหล้า
ที่มีชายหาดขาวยาวเหยียดสุดตาเป็นดั่งสนาม
มีทะเลกว้าง.........เป็นสระว่ายน้ำ
มีท้องฟ้ายามเย็น..ให้เรามองดูเมฆสวยใส
พร้อมกับใจดวงน้อยจินตนาการ
และ
ให้ดรรชนีนางนอนนับดวงดาวสกาวสุกใส
ใกล้ราวกับจะเอื้อมมือคว้าได้ในยามค่ำคืน
มีพระอาทิตย์ดวงโตเท่ากับจานใบใหญ่
ที่จะค่อยค่อยจมหายลงไปในท้องทะเล
ให้นับถอยหลัง ยามอัสดง
และ
เห็นประกายสีทองระยิบระยับบนผืนน้ำ
ให้มีทุกสิ่งที่เป็นความงามพิเศษ..พิสุทธิ์
ที่ธรรมชาติหยิบยื่นให้
ที่พี่ชายคนดีคนกวี
ที่ดรรชนีนางแสนรัก
ได้นำมา
เป็นแรงฝันบันดาลใจ
ทายทักรจนางาน
เกี่ยวกับตำนานบ้านเกาะเพื่อนเก่าของเราเอาไว้อย่างงดงามมาก
และ
เป็นหนังสือนำเที่ยว
พร้อมตำนานประวัติที่มา
ของอดีตอันแสนตราตรึงยามเยาว์วัย
ที่จะพร่างไสวในใจเราทุกดวง
โดยเฉพาะดวงใจของดรรชนีนางคนนี้
ที่มีชื่อที่ใครๆชมว่างามแผก
เพราะ
เป็นนามนางเอกของคุณอิงอร
นักเขียนนามก้องฟ้าเมืองไทย
ผู้มี..
สมญานามยิ่งใหญ่ว่า
*นักเขียนผู้ที่ใช้
*ปลายปากกาจุ่มน้ำผึ้ง*
ที่รจนาเรื่องรักได้หวานซึ้งงดงามจับใจผู้อ่านเป็นที่ยิ่งนัก
ที่เขียน
*เรื่องดรรชนีนาง**ดรรชนีไฉไล *
จนมีผู้นำมาสร้างเป็นภาพยนต์ไทย
และละครพร้อมมี
บทเพลงประกอบ..ชื่อ *หนาวตัก*
ยามพระเอกอ้อนนางเอกแสนไพเราะมากเลย..
.......
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song78.html
ทะเล งาม ยามดึกดื่น
ฮึมเหมือนคลื่น หลับ
แสงเดือน จับ เจิดนภา เวหา หาว
นั่งเรือ น้อย เคลื่อนคล้อย ใต้แสงดาว
พร่าง น้ำพราว ผ่องเพชรเกล็ด นที
ดู ซิดู ใคร สอน ให้นอนหนุน ตัก
ซุก ซนนัก ไม่ กลัวน้อง จะหมองศรี
หนาว ตัก หนัก จิต ดรร-ชนี
หาก นาวี อรุโณทัย ไม่กลับคืน
ดู ซิดู ใคร สอน ให้นอนหนุน ตัก
ซุก ซนนัก ไม่ กลัวน้อง จะหมองศรี
หนาว ตัก หนัก จิต ดรร-ชนี
หาก นาวี อรุโณทัย ไม่กลับคืน...
..........
และ
หนังสือนำเที่ยว
พร้อมตำนานประวัติที่มาแห่งบ้านเกาะ
ที่พี่กวีคนดีได้รจนาฝากไว้
ที่ ณบัดนี้
พี่เขาได้จบปริญญาโทจากจุฬาแล้ว
ไปรับราชการเป็นศึกษาธิการจังหวัดใหญ่แห่งหนึ่ง
ได้เล่ากล่าวถึง*คุณพ่อของดรรชนีนาง
ที่เป็นคนเก่าคนแก่
และ
ได้รับการศึกษาจบจากโรงเรียนสวนกุหลาบ
ซึ่งสมัยก่อนมาจนถึงทุกวันนี้
ก็ยังเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงมาก
ในด้านเคี่ยวกรำลูกศิษย์
จนกระทั่ง..
เกิดมหาสงครามเอเชียบูรพาสงครามโลกครั้งที่สอง
ที่ญี่ปุ่นได้ก้าวมา
ใช้ไทยเป็นเส้นทางฐานทัพเพื่อเดินทางไปยังพม่า
คุณพ่อดรรชนีนาง
จึงต้องกลับบ้านเกาะมา
และมาสร้าง
เรือโดยสารลำแรกพร้อมกับทำธุรกิจเหมืองแร่
และ
อีกมากมายจนเป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนบนเกาะ
ที่เราอาศัยอยู่กันราวพี่น้อง
และ
มีแต่วงศาคณาญาติมากมาย
รวมทั้งที่ดรรชนีนางแสนภาคภูมิใจ
ว่าหนึ่งในเกียรติยศ
แห่งใจแห่งครอบครัวเรา
คือ
คุณแม่ได้รับเลือกให้
*เป็นคนดีศรีบ้านเกิด*
หลังจากอุทิศทำตัวเป็นประโยชน์แด่สังคมมาอย่างยาวนาน
ดรรชนีนางเกิดมาในท่ามกลางความอบอุ่นเป็นสุข
คุณย่าเป็นคนไทยโบราณ
ที่งามจิตงามใจเหลือจะกล่าว
และ
ดรรชนีนาง
คือหลานรักที่คอยเฝ้าติดตามในทุกยาม
ไม่ว่าคุณย่าจะไปไหน
แม้แต่ไปนั่งวิปัสนากรรมฐานแถวป่าช้า
หรือในโบสถ์คร่ำที่ไหนที่แสนเงียบสงบจนน่าวังเวงใจ
ที่สำหรับเด็กบางคนจะน่ากลัวมาก
หากทว่าดรรชนีนาง
กลับรู้สึกดื่มด่ำและแสนชอบบรรยากาศ
ที่ร่มครึ้มด้วยพรรณพฤกษาน้อยใหญ่
ที่เคียงชิดใกล้ร่ายมนต์ไหว
โบกใบระริกๆสะท้อนพรายแสงแดดพร่าง
จนเกิดเป็นประกายพริบพรับวะวิบวับแสนงามจับใจ
ยามดรรชนีนางนอนมองนั่งมอง
ติดกับชายชล
ที่จำได้แม่นยำว่ายังจะมีต้นโพธิ์ทะเล
ที่จะออกดอกย้อยห้อยสวยด้วยเหลืองดอกงามละมุนมาก
และ
จำพวกต้นหว้าต้นจิก
ที่จะพาปลิดโปรยโรยร่วงควงพลิ้ว
ปลิวช่อดอกนิดนิดน้อยน้อยหวานๆ
ตระการพรั่งชมพูลงพร่างพรายพรม
ห่มหอมลงในลำคลองเล็กๆ
ที่เลื้อยเลาะลัดตรงมาจากเทือกภู
และ
กลายมาเป็น
ร่องน้ำลำธารหวานใสสวยแสนฉ่ำเย็น พากันไหลลงๆสู่ทะเล
ที่อากาศจะดีมีลมพัดรำเพยพร่างมาพาให้ดรรชนีนาง
นอนหลับสบายอย่างแสนสุขใจ
เพื่อเฝ้ารอคุณย่าอย่างมิอนาทรร้อนใจเลย...
คุณปู่ของดรรชนีนาง
มีเรือสำเภาลำใหญ่ลอยลำไปค้าขายถึงสิงคโปร์และเมืองจีน
ที่ทุกวันนี้ยังมีเครื่องถ้วยโถโอชามสังคโลก
เครื่องเงินทองเหลืองอันแสนหายากยิ่ง
ฝากไว้ให้ย้อนทวนหวนรำลึกนึกถึงอดีตอันแสนงามงด
ที่ดรรชนีนางเติบโตมากับภาพแห่งวัยฝันวันงาม
มากับสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่จำความได้
ไม่ว่าจะเป็นตู้โต๊ะตั่งเตียงแบบในฉากเรื่อง
อยู่กับก๋ง หรือกำปั่นเหล็กหนักมาก
ที่ต้องใช้รหัสลับหมุนเปิดเซบ
และ
ยังข้าวของ
ที่สะท้อนงามสะท้อนเกี่ยวกับเรื่องโบราณๆ
เช่นงามลายคราม
ของโอ่งถ้วยชามรามไหเก่าแก่
และแม้แต่เครื่องมุก
ที่แทบทุกบ้านมักจะมี
ที่ดรรชนีนางย่างกรายไปบ้านไหน..ก็จักพานพบ
จบด้วยมาดื่มด่ำ
ในดวงจิตวิญญาณรักอย่างยากถอนใจ
ที่จนวันนี้ยามที่ดรรชนีนาง
ย้อนรอยอาลัยถอยหลังไป
ยิ่งทำให้แสนซาบซึ้งใจมากยิ่งขึ้น.ในคะนึงนวล..
และ..
ไม่แปลกใจเลยว่า
ทำไม..ใจดวงน้อยน้อย..ดวงนิดนิด..ดวงนี้
ถึงราวกับได้ถูกรัดร้อยร้อยรัก
ด้วยสร้อยโซ่แห่งพิลาสพิไลในทุกเรื่องเรา
ราว..
เงางามแห่งอดีต
ตามมาย้อนเยือนมาเตือนจิต
ให้ลมหายใจแห่งชีวิตนี้
ได้แสนรักสนใจในเรื่องราวย้อนยุค
แอบสุขไปกับทุกเงางามใจ
ยามได้ถอยหลังไปในรอยอดีตหนหลัง
ที่ค่อยๆถาประดังกันมา
ราวลายลูกไม้ที่แสนงดงามละมุน
ถูกถักทอเป็นผืนผ้าค่อยๆเชื่อมโยงใย
พาให้หัวใจได้พบความไสวละไมละมุน
ราวได้กรุ่นกรายฉายวน
มาอีกหน...อีกคราและอีกครา...
เวียนวนมามิรู้สิ้นรู้จบ
กับเงางาม
แห่งห้วงหอมแห่งกาลเวลาที่หาช่างหายากยิ่งนักแล้ว
และ
จักทบทวีไปตามวัยวันให้ฝันดีฝันงาม..จนท่วมท่ามท้นใจ
ไปกับกาลเวลาอันเร่งรีบ
อันรีบร้อนบ่มีเวลาได้ผ่อนพัก
อย่างกับวิถีชีวิตผู้คนทุกวันนี้
ที่ช่างหามีเรื่องราวอันใดไม่
ที่จะพาให้ประเทืองประทับใจฉายชัดได้เทียมเท่า
จึ่ง
ยิ่งพาให้หัวใจดวงรักหวานเศร้า ดวงนวล
เกิดหวามไหวผูกพันฝังใจมิเลือนลามีลาแรม
กับทุกพลังรักในหนหลัง
หากมิได้หลงยึดมั่น
มีเพียงหัวใจรักงามงานมือ
ที่มาทุกจากภูมิปัญญาสมองสองมือ
ที่กว่าจะถักร้อยสร้อยสานขึ้นเป็นงานได้นั้น
ต้องใช้พลังจากดวงจิตงามใส
ดวงใจ...
ที่จะต้องรักความงามเงียบละไมละมุน
และ
ที่สำคัญต้องมาจากใจดวงหอมกรุ่นดวงประณีต
ดวงรักวิถีที่ไม่เร่งรีบ
ราวมีใจดวงทองดวงธรรมดวงสมาธิมีปัญญา
ค่อยๆทำค่อยๆเกลาค่อยๆกลึง
ใจดวงที่....รักความละเมียดละเอียดละออลึกซึ้ง
ใช่สุกเอาเผากินฉาบฉวย
อยากรวยรีบคว้าเพียงเงินงาม
ต้องมี
ใจดวงเพียรดวงดินดวงดีดวง
ที่รู้นิ่งนิ่ง
ถึงจะเฟ้นทำฝากค่าล้ำฝืมือ
ให้หล้าลือโลกยอมรับได้
ว่านี่คือ
*งามวัฒนธรรมของผู้คนที่ล้าหลังศิวิไลซ์ด้านวัตถุ*ก็จริง
หากงามล้ำด้านจิตวิญญาณ
*ดั่งอัญมณี*
ที่เอาเงินมานับกองท่วมหล้า
ก็ช่างหายากหาเย็นเฟ้นหามิได้
ที่ให้แลกด้วยเงินกองสูงสักท่วมฟ้า..สักเท่าไรก็หายอมไม่
เพราะ
มันคือสมองไทยวิถีไทย
จากความร่มเย็นแห่งงามไสวฟ้าพุทธภูมิ
ที่รักชีวีเงียบงามท่ามนาไร่
และ
หันมาใช้เวลาทำสิ่งแสนดี
ที่มาแห่งวิถีไทยวิถีทองวิถีธรรม
ที่เรายังมีทรัพยากรบุคคลอันมากล้นค่า
ในผืนแผ่นดินแดนนาแดนไทยแดนทองนี้
ที่เรียกขานกันนานว่าแดนฟ้า*สุวรรณภูมิ*
ที่ยังมากมี
ขนบธรรมประเพณีวัฒนธรรมมากมาย
ที่เพียรสร้างสานสรรฝันฝากงามไว้อย่างมิแล้งไร้
อย่างงดงามใจ
อย่างหาประเทศไหนไหนเทียมเท่าได้แสนยาก
แม้น..
กระทั่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ
และ
ความละไมในกิริยาแช่มช้อย
อย่างสาวน้อยกุลสตรีไทยที่แสนอ่อนโยน
ในท่วงท่าในลีลา
น่าตามต่อติดตรึงให้คะนึงค้นหานวลในเสน่าหา
ที่ช่างพาให้แสนตรึงตารัดรึงเร้าใจ
เสียจนจะหาหญิงชาติใดไหนเล่า
จะเทียมเท่าเทียมทันเท่าเจ้านะเจ้ายอดรัก
*แม่ยอดหญิงไทยแห่งงามพักตร์งามพราว
ราวบุหลันจันทร์เพ็ญประดับหล้า*
ที่จะพาพร่างพรายฉายแสงเฉิดฉันท์พรรณราย
งามพรายแพร้วราวแก้วเก้านพมณีสีรุ้ง
ราวสาดสีรุ่งทรงกลดสดสีรัศมีแสนงามตา
ให้ชายไขว่คว้าราวกระต่ายหมายจันทร์
ซึ่งหามีไม่แล้วในปฐพีใดที่จักงามได้เท่านี้
ที่ทุกอิสตรีไทยทุกดวงใจทุกคนดี
ควรภาคภูมิใจควรอนุรักษ์ครองพักตร์ครองศักดิ์ศรี
ครองดีงามทั้งนอกใน
ให้งามร่างงามใจงามจิต
*เป็นดั่งหลักชัยชีวิตไปตราบนิรันดร์*
ใช่พาร่างไปเปลือยเปล่าปลนเปลอชายให้ไร้ค่าควร
ดั่งบทเพลงนี้
ที่เปรียบมวลกุลสตรีไทย
*ดั่งดอกไม้ไสวแสนงาม*
ในท่ามโลกแล้งไร้ชายเร่าร้อนดั่งฟอนไฟจะมาพาไหม้มอดหมดงาม
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song532.html
ดอก ไม้ แรก บาน รูปส-ราญ
หอมยวนใจ กลิ่นจรุง
ฟังไกล หอมอวน
อบพื้นดิน กลิ่น หอม ปาน ใด
ย่อมยั่วใจ ของภุมริน
วนเวียน วก บิน อย่างยินดี
ชมชิม ลิ้ม เลม
จนอิ่มเอมน่าเปรมปรีด์
ชิมลอง ของดี
พอเสื่อมศรีก็หนีเลย
สิ้นรัก สิ้นชม
สิ้นอารมณ์
สม ใจ เชย
บินไป ลับ เลย
เจ้าไม่เคยคิดอาลัย
ห่างเหินเมินจากไกล
ทอดทิ้งไปไม่กลับมา
ดอก ไม้ แรก บานเปรียบก็ปาน
สาวแรกรุ่น ผลิ นวล ละ มุน
เนื้อนวลนุ่มโสภา
แรก สาว แรก งาม
แรกก่อความ เย้าอุรา
เหล่ชาย หมายตา อยากจะลอง
แมลง เหมือนชาย
คอยกล้ำกลาย ใคร่ครอบครอง
พอชม สมปอง
ชายก็มองข้ามหัวไป
สิ้น สาว ซูบ โซม
ถูกลูบโลม สาวเศร้าใจ
พรหมจรรย์ เสียไป
ไม่มีใคร เขา นิ ยม
สิ้น สาว ก็สิ้นชม
สิ้นภิรมย์ ตรมอยู่เดียว...
.......
ที่นะนาทีนี้
ดรรชนีนางพลันอยากฮัมบทเพลง
หนึ่งที่ยังพอซึ้งใจจำได้รางๆว่า
.....
อันกุลสตรีนั้นเหมือนมณีมีค่า
หอมเอยหอมกว่า
หวานเอยหวานกว่าดอกไม้
ฉันรักบุปผามาลี
รักเหมือนสตรีรักคุณความดีของตน..
.........
และ
สำหรับ...ชีวีชีวิตนิดน้อยหนึ่งนี้
ของดรรชนีนางนั้น
จึงรักและแสนปลาบปลื้มในทุกงาม
และ
ทุกงานงามมือ...
ที่มาจากใจ
จากหยาดเลือดทองแห่งชีวิตผองชนคนไทยคนไพรคนนา
ที่ฟ้าเบื้องบนมีตาได้หยิบยื่นพรสวรรค์ใส่ให้มา
จากน้ำพระทัยมากล้นพระเมตตาดั่งหยาดฝนริน
ให้..
ทุกไทยถิ่นทุกภูมิปัญญาไทยมิสิ้นไร้
ด้วยสายแสงแรงแห่งรักนี้
ที่จักคู่ชีวีคู่ผืนดินทองแผ่นดินไทยไปตราบชั่วกาล..นานเนานิรันดร์
ให้คนทั้งโลกหล้าลือลั่นในความมหัศจรรย์
สมค่าคนค่าคำ*ไทยทำไทยใช้ ไทยเจริญ
ให้ส่งเพลินส่งออกไปบอกวิถีงามตะวันออก*
อันคือสัจจธรรมจริงแท้
มิแพ้ระบบทุนนิยมใดในโลกหล้า..คู่ฟ้าเกษตรกรรม..นำเป็นหนึ่ง
และเลี้ยงโลกให้พึงมีกินมิอดตาย...
และหนึ่งในงามใจ
ที่นำมาซึ้งสายใยและน้ำตาแห่งความผูกพัน
คือเชี่ยนหมาก...
ที่คุณย่าดรรชนี
มีทั้งสองแบบคือแบบทองเหลืองเรื่อเรือง
และแบบเงิน ล้นค่าที่ยังหลงมาเป็นมรดกสืบทอด
เชี่ยนหมากทองเหลืองที่มีผอบมีฝาปิดทรงกรวยแหลมครอบ
เชี่ยนหมากเงินแบบตลับลูกฟักทองลายดอกพิกุลแกะสลัก
ที่คุณย่ามักเอาฝาตลับลายดอกไม้
มาทำเป็นพิมพ์เคาะขนมหลายชนิดไทยไทย
รวมทั้ง*ข้าวตู*อบเทียนหอมมะลิ
ที่ออกมาทั้งสวยและน่ารับประทานมาก
ที่ณ..วันนี้....
กับยามเช้านี้..ที่ช่างให้อารมณ์แสนดีแสนงาม
ในยามนอนย้อนหวนทวนรำลึกคิดถึงอดีตอันแสนตราตรึง
ในท่ามที่นอนในกระท่อมเรือนไทย
เรือนลั่นทม
เรือนที่มีดวงดอกไม้ไทยไทย
กำลังหอมพรายพรมพร่างอวลมากับลมทะเลมิให้เหว่าว้าหัวใจ
กับดวงดอกลีลาวดีหรือลั่นทมดอกดกจนไร้ใบ
ที่กำลัง..
พากันค่อยๆไกวกิ่ง
พร่างพรมพรายพลิ้วปลิดปลิวร่วงพร้อย
ลอยคว้างร่วงพร่างหอมโปรยห่มโรยหวาน..ให้หอมให้พื้นหน้า
ค่อยๆพารวงดอกดวงแสนเศร้ามาประดับหล้า
มาฝากประดับใจดรรชนีนางดรรชนีไฉไล
ให้ไหวอ้างว้างดายเดียวในเรียวตางาม
ที่นอนแอบอ้อนเอาซึ้ง
ให้งามเศร้าหวานตรึงนัยน์ตายามหวนกลับมาบ้านเกาะ
มาพานพบเพาะฝัน..
พลัน..
ไห้หวนอวลอาลัย
ในเงื้อมเงางามแห่งรอยคำนึงในอดีตที่เคยมาเคียง
มาปลอบประโลมร่างถึงเตียงนอนนวลนุ่ม
และ
ให้ใจดวงหอมกรุ่นดวงนี้ของดรรชนีนาง
ได้วาง ว่างกระจ่างแจ่มมาแตะแต้มแย้มรอย
ใจในหนหลังมานอนฝันลำพังมาฝากรำพึง
จากใจดวงซึ้งๆเศร้าๆแสนหวาน
ที่เพียงเพียรอยากเล่า
และ
ฝากงามถึงจากก้นบึ้งจากบึงใจสวยใสงาม
ในท่ามโลกแล้งไร้
ให้สดับถึงที่มาแห่งรอยรำลึก
แห่งความทรงจำที่แสนงดงาม
ที่อยากให้ลูกหลานไทย
ได้รับทราบว่าทุกสิ่งอย่างที่กว่าจะหล่อหลอมออกมาเป็น
งามใจในวิถีไทยวิถีแห่งคนๆหนึ่งนั้น
ที่ทำให้รู้ซึ้งค่างามนั้น
ต้องใช้วันเวลา
และสิ่งมหัศจรรย์รายรอบที่พระเจ้าประทานพรมา
ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรมนุษย์หรือทรัพยากรธรรมชาติ
ที่เราคนรุ่นหลังควรรู้ค่าพึงถนอมรักษาไว้
โดยเฉพาะ
*คนกวีฤาศิลปินทุกแขนง*
ที่มีมากมีความสามารถ
มีพรสวรรค์พรแสวงไม่ว่าด้านใด
อย่าเพียรดับไฟฝันให้เขาพลันมอดมืดดับ
เพราะ...ทั้ง
*เขา*และ..*เธอ**...คือคนของแผ่นดินที่แสนมีค่า
ที่ฟ้าดินสวรรค์เบื้องบนมากมีพระเมตตา
ได้ทรงบันดาลบันดลประทานพรประทานใจใส่จิตวิญญาณ
ให้ลงมาทำงานพลีแด่ผองชน
ฝากความฉ่ำใสในดวงกมล
*ประดุจดั่งสายน้ำรักนิรันดร์*
มาปันพลีดับโลกแล้งไร้ให้มิสิ้นฝันสิ้นงดงาม
ให้ผืนดินยังได้ดำรงธำรงรักษ์
จงได้เกื้อกมลโอบเอื้อคืนกลับ
ให้ความรักอบอุ่นใจ..ให้พลังใจ..กำลังใจ
อย่างดั่งธารน้ำรักธารน้ำใจธารน้ำใสมิรู้สิ้นรู้จบ
ให้จิตดวงงามดวงหมดจดราวน้องพี่
ที่ได้หยัดยืนมาเคียงกันในผืนดินเดียวกันนี้..
ได้อุทิศพลีทำเพียงคุณงามความดี
สืบทอดวัฒนธรรมไทยที่แสนดีแสนงาม
ให้จักได้ธำรงไปตราบนาน....แสนนาน
ตราบชั่วกัลป์กัลปาวสานต์..
นะทุกดวงใจเจ้าคนดี..เจ้าจอมใจ.ทุกใครทุกคนกวี..!!!!!!
..............