23 กรกฎาคม 2548 18:29 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song346.html...
เดือนพูนดวง ลอยเด่นงาม
เพ็ญจันทร์ขวัญฟ้าแขวนฟ้า
เหนือท้องทะเล
แลละลิบๆวะวิบๆระยิบยับ
อาบทะเลเป็นสีเงินยวง
ดั่งทั้งสรวงสรรพมาสถิต
เสียงคลื่น...
ยังเว้าวอนกระซิบซัดหาดทรายระริกๆระรี้ๆ...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song346.html
เสียง คลื่น ซัด ฝั่ง
มัน คลุ้ม คลั่ง ฝัง รอย สวาท ใจ
มันซุก มันไซร้ มันซบทรวงทราย
แทรก ซึมไม่มีวันวาย
มันเคลิ้ม มันคลุก มันเคล้า มิคลาย
รสทรายรื่นรมย์
เสียง กระ ซิบ แผ่ว
ฟัง หวาน แว่ว พริ้ว ตามเกลียวคลื่น มา
เรารัก กันหนา มาหา มาชม
คลื่น คอยติดตามเกลียวลม
มาร้อย รอยรัก มาทัก คลื่นชม
ภิรมย์เพียงฝั่ง
ฟัง ซิคลื่น มันละ เมอ
ฝาก สวาท เหมือน เธอ ละเมอเพ้อให้ ฟัง
เห็น ใจฝั่งบ้างหรือ ยัง
ฝั่ง รัก จี รัง เหมือนคลื่น ยืนใจ
เสียง คลื่น ซัด ฝั่ง
กระ ซิบ สั่ง ฝัง รักตลอด ไป
มันซุบ มันซิบ กันชื่นใจ มันซบ มันหนุน จนอุ่นไอ
กระซิก กระซี้ กันเรื่อยไป
จะรัก กันไว้ ตลอด กาล
เสียง กระซิบ กระซิบ ตลอด กาล
กระซิบ ว่ารัก ตลอด กาล
กระซิบ ว่ารัก ตลอด กาล
กระซิบ ว่ารัก ตลอด กาล
กระซิบ ว่ารัก ตลอด กาล
เสียง กระซิบ กระซิบ ตลอด กาล
เสียง กระซิบ กระซิบ ตลอด กาล...
.......
เหนือเนินทราย
ทิวสนโยกส่ายร่ายกิ่งไหวไกวก้านกิ่ง
พร่างพ้อรอรับรอรัก...สายลมแห่งวสันตฤดู
ฟ้าเป็นสีทองนวลแจ่มราวสายไหม
ใยยวงเมฆราวปุยฝ้าย
ลอยกระจายกระจัดพัดพราย
ประดับฟ้างามไปตามแรงลม...
เสียงเกลียวคลื่น
กระซิบฝั่งอ้อนรำพันรำพึง
เป็นบทเพลงโบราณที่งามแสนงาม
ในการใช้ถ้อยคำ
ที่นำมาเรียงร้อยราวสร้อยโซ่อักษราคล้องจองกัน
และ...
ให้ความรู้สึกลึกล้ำไปตามคำรำพันฝันงามอารมณ์
ที่..
แสนซึ้งซ่านหวานประทับใจ
ในความเป็นอัจฉริยะของเหล่าบรรดาศิลปินครูเพลง
ที่ใช้จิตบรรเลงรจนา
ผ่านการกลั่นทุกถ้อยรจนาหลากคำ
อันล้ำล้นเลอค่า
มาจากหยาดหมึกจากหยาดเลือดรัก
ที่คือจิตวิญญาณของคนรักภาษา
และ...
พาทราบซึ้งว่า
ในอักษราแต่ละตัวนั้นต่างให้เสียง
ให้ความหมายที่แสนพริ้งพราว
ที่มาจากภูมิปัญญาของบรรพชน
ดนตรีแห่งคลื่นฝันรัญจวน
และสายแสงจากพระจันทร์หวาน
กำลังถาโถมโลมไล้
ยอดคลื่น...อย่างนวลนุ่ม..นุ่มนวลอย่างละมุนละไม
ให้พลิกพลิ้ว ฟองพราย พรายฟอง
กระฉอกซัดฝั่ง เคลียไคล้คลึงคลอเป็นระลอกๆ
หยอกล้อ
พ้อพร่างด้วยพราวน้ำผึ้งจันทร์สวรรค์หวาน
ให้สวาทมิร้างแรมลาให้งามกว่างาม
งามซึ้ง...งามเศร้า...งามจนหนาวใจ
รัศมีวิเวกแผ่สร้านกระจายพรายพรมห่มร่างราน
พรานทะเลลำพัง....
ไร้ฝั่งฝัน...ฝั่งใจ...ไร้ใคร ในทะเลโลกย์ทะเลลิบ
กลางลำเรือเหนือท้องน้ำ
อันสุดกว้างไกลเกินคะเน
ใจดวงดายเดียวเหว่ว้า ดื่มด่ำ
กับเกลียวคลื่นเกลียวทองดั่ง
เกลียวธรรมย้อนนำกลับมาสอนใจ...
ร่างบึกบึนนั้น...
นอนนิ่งงันกับงามเงียบ
ทอดถอนใจยาม
แลไปพบประสบพักตราแม่ดวงจันทรา
ที่มวลหมอกเมฆหม่นมาบดบัง
พอกันกับชีวาชีวิต ไร้ทิศทาง
แต่ดูสิ......
นั่น...!
ดาวเหนือดวงสุกใส
ราวดาวธรรม..ในดวงใจ
กำลังลอยคว้างกลางนภาจรัสแสง ...ราวเข็มทิศนำทางใจ
ให้จันทร์ไสวใจยังมิมืดบอดสิ้นหวัง
ราวเรือน้อยลอยลำรอตะวันรุ่ง
รออรุณ.....
ที่จะหมุนกลับมาเยือนหล้า
มาให้ทุกดวงชีวาได้เริ่มต้นใหม่ ไม่มีคำว่าสายเกิน..!!!!
............
พลีน้ำตาลาผืนดิน..
ลาก่อนเกาะพิสุทธิ์ใสกลางใจขวัญ
ลาคืนฝันตะวันรอนอ่อนแสงเศร้า
ลาแสงตะเกียงริบหรี่เคยคลุกเคล้า
ลาดงมะพร้าวสะบัดไหวกลางใจนวล..
ลาก่อนหาดทรายขาวราวเนื้อแป้ง
ลาไร้แล้งน้ำใจเคยไห้หวน
ลาผืนดินถิ่นเกิดนกนางนวล
ลาธรรมชาติล้วนแสนงามนามพะงัน..
ลาภาพเก่ากับแสงเทียนในโบสถ์คร่ำ
ลาพิกุลก่ำฉ่ำหอมหลอมใจฝัน
ลาทองหลางแดงโดดกลางตะวัน
ลาพระจันทร์ดวงโตโผล่พ้นน้ำ..
ลาปะการังหลากสีปลาแสนสุข
ลารานรุกทำลายใจขยี้ย่ำ
ลาดายเดียวนอนนับดาวราตรีร่ำ
ลาระกำเกาะงามรอนอ้อนแสงตะวัน
ลาและลาเกินคำว่า*เสียใจยิ่ง*
ลาทุกสิ่งลืมเงียบงามนิยามฝัน
ลาและลาโลกบ้าบ้าหลงวัตถุกัน
ลาสวรรค์ลงนรกตกทาสเงิน...
ลาผืนดินยินคนแย่เกินควายคิด
ลาชีวิตแข่งกันรวยลมสรรเสริญ
ลาโลภหลงตรงกระแสความเจริญ
ลาเพลิดเพลินเปลือกนอกหลอกแข่งกัน..
...............
และ..ลืม..ลืม..ลืม...
ลืม..สวรรค์เมตตาส่งมาเกิด
ลืมเสียเถิดเกาะเงียบงามราวสวรรค์
ลืมความรักน้ำใจเคยแบ่งปัน
ลืมงามจันทร์งามใจในรอยกาล..
ลืมทะเลสวยใสสีมรกต
ลืมงามงดธรรมชาติคนบ่มรอยหวาน
ลืมชีวิตดิบเดิมอดีตนาน
ลืมฤดูกาลก่อนเก่าฝากเราจำ
ลืมกุ้งปูปลามากมายใต้ทะเลนี้
ยังไม่มีเทคโนโลนี่คอยห้ำหั่น
เอามาขายแลกน้ำเงินมารินร่ำ
ทาสระกำตามตะวันตกวกทำลาย
เงินเงินเงินงงงงงงหลงลืมคิด
โลกชีวิตงามเงียบดิบเดิมแตกสลาย
ขายจนสิ้นจิตวิญญาณไทยมลาย
ขายและขายภูมิชีวิต*จิตแห่งไท*
******
13 กรกฎาคม 2548 09:58 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song420.html
ทิพย์ทอง...นั่งจ้องมอง
ต้นโพธิเงินโพธิ์ทองในดวงใจ
ต้นไม้แห่งทิพยศรัทธา
ที่...
ทิพย์ทองทราบดีว่า
มีประวัติความเป็นมา
ที่แสนตราตรึงในคารวะใจพุทธศาสนิกชนทุกคนไป
ที่มีลำต้นอวบใหญ่
เป็นพูพอนโพรงอย่างนิ่งงันเงียบงาม
และ
นั่งสังเกตสังกาต้นโพธิ์ใหญ่
ที่มีก้านกิ่งแตกสาขาออกไป
ดั่งคำพังเพยนำมาเปรียบเปรยไว้ว่า
*ดั่งร่มโพธิ์ร่มไทร*
ที่เป็นดั่งรวงรักแห่งรัก
ให้นกกาได้อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขสืบไป...ชั่วกาล...
ใบโพธิ์นั้นเกลี้ยงเกลาเป็นมันวะวาววับ
เนื้อใบ ค่อนข้างหนา
คล้ายแผ่นหนัง
ใบจะห้อยลง
และ
รูปใบจะป้อมๆหรือรูปไข่
โคนใบเว้าเข้าเล็กน้อย
ดอกออกบนฐานดอก
ที่โค้งกลม แล้วเจริญเป็นผลต่อไป
ผลกลมติดอยู่ตอนปลาย ๆ กิ่งเล็ก
พอแก่ออกสีแดงคล้ำ ๆ
จักเป็นอาหารของพวกนกได้เป็นอย่างดี
และ..
แสนแปลกดี
ที่ปลายกิ่งลู่ลง
กิ่งจะงามอ่อนช้อยอ่อนโยน
ปลายสุด
จะมีหูใบเป็นปลอกแหลม ๆ หุ้ม
เมื่อหูใบหลุดไปแล้ว
จะทิ้งรอยแผลใบเป็นขวั้น ๆ ไว้ที่กิ่งเห็นได้ชัด
บางทีตามกิ่ง จะมีรากอากาศให้เห็นบ้าง
เรือนยอดเป็นพุ่มกลม แผ่กว้าง
ยอดอ่อนผลิสล้างซ่อนซ้อนสลับ
ด้วยเขียวไพลยามผลัดใบ
ผลิยอดละอออ่อนใส
รับสายแสงแดดสีทองสะท้อนกระทบใบแก่กลาย
ที่หมายจะร่วงพลีพรมห่มพื้นพสุธา
ที่พากันเปลี่ยนสี
เป็นเหลืองทองผ่องพร่างแสนงาม
ยามลมพัดพรายมาส่ายเสียด
เบียดให้กิ่งก้านไกวไหวกรีดหวีดหวิว...อย่างน่าฟังยิ่งนัก
และ
พาให้จิตดวงใส
ได้รำลึกรู้นึกถึงบทกวีบทหนึ่งขึ้นมาเสียมิได้
ที่เธอเคยร่ายรจนาเอาไว้...
*เห็นโพธิ์ทองสะท้อนแดดวะวิบวับ
งามระยับจับตาในแสนใสหวาน
ภาพพระพุทธองค์ทรงประทับราวบัวบาน
เหนืออาสนะทิพยพิมานในม่านโพธิ์...*
..........
ทิพย์ทอง ...
ชอบนั่งมองต้นไม้ได้โดยไม่รู้เบื่อ
และ...
จำได้ว่า...
ที่วัดบ้านเกิดของทิพย์ทองเอง
ก็มีชื่อว่า*วัดโพธิ์*
ค่าที่มีต้นโพธิ์ทองต้นใหญ่
ที่ลำต้นอวบงามให้สามคนโอบแทบไม่รอบ
ให้เราเด็กๆชอบมาอาศัยนั่งนอนเล่นภายใต้ร่มเงาใบงาม
และ
ได้..
ฟังเสียงใบระกาตรงชายคาโบสถ์
ร้องกรุ๋งกริ๊งๆแสนไพเราะยามที่ลมพัดผ่านมา...
ให้ความรู้สึกที่ดำดื่มล้ำลึก
ที่ยังตราตรึงตามมาจนถึงนาทีนี้
ไหนจะยังต้นพิกุลใบหนา
พากันเรียงหอมกรายให้หอมกรุ่นละมุนใจ
ที่โปรยดอกพราวไสวลงบนพื้นหญ้า
ให้..
ทิพย์ทอง
ไปเก็บดวงดอก
มาห่อหอมไว้ในผ้าเช็ดหน้า
เพื่อนำมาใช้ร้อยมาลัยเส้นยาว
ราวสายสร้อยพร้อยเพชรพราวอีกด้วยเล่า...
และ
ทิพย์ทองยังจำได้อย่างแม่นยำ
เมื่อพยายามโยงใยเรื่องราว
เกี่ยวกับต้นไม้แห่งรักแห่งศรัทธานี้
ที่หน้าบ้านทิพย์ทองนั้น
มีคุณครูท่านหนึ่ง
ที่เป็นคุณพ่อของเพื่อนทิพย์ทอง
ที่มีฝืมือการวาดภาพพุทธประวัติมาก
ภาพที่ชินตาเราเด็กๆ
คือ ภาพแสนงามยิ่งใหญ่ในผืนผ้าใบ
เกี่ยวกับพระบรมศาสดา
ตั้งแต่ปลงพระเกศาออกบวช
และ
ที่ตราจำไว้ในดวงจิตคือ
ภาพอันแสนวิจิตรมลังเมลืองใจมาก
คือภาพที่
เจ้าชายสิทธัตถะกุมาร
ในระหว่างบำเพ็ญพรต เพื่อหาสัจธรรมนั้น
ได้ทรงเลือกนั่งประทับที่โคน ต้นโพธิ์
และ
ที่มีใบระยิบระยับงามจับตาจับใจมาก
ราวอาบด้วยสายแสงทองทอกระทบ
ดั่งมีชีวิต...
ภาพที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้
พระสัมมาสัมโพธิญาน คือ อริยสัตย์ 4 อัน
ประกอบด้วย
ทุกข์ สมุห์ทัย นิโรธ มรรค เมื่อวันเพ็ญเดือน 6
และ
แม้พระองค์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
ก็ยังต้องทรงใช้พลังจิตรบกับพวกมาร
(การเอาชนะกิเลสฝ่ายต่ำ)
ก็โดยประทับอยู่ใต้โคนต้นโพธิ์อีก เช่นกัน
เพราะ
โพธิ์มีร่มเงาเหมาะแก่การพักพิง
และบำเพ็ญพรตเป็นอย่างยิ่ง
และ
กล่าวกันว่า
ต้นโพธิ์ที่พระพุทธองค์ประทับ
เพื่อรวบรวม พระหฤทัย
ให้บรรลุถึงสัจธรรมนั้น
ได้ถูกประชาชนผู้นับถือศาสนาอื่น
โค่นทำลายไปแล้ว
แต่...
ด้วยบุญญาภินิหารเมื่อได้นำนมโคไปรดที่ราก
จึงมีแขนงแตกขึ้นมา
และ
มีชีวิตอยู่มาอีกนานก็ตายไปอีกแล้วกลับแตกหน่อใหม่...
นั่นคือ...
ตราจำที่ย้ำไสว
ให้นวลใจทิพย์ทองยิ่งพร่างใสแสนงาม
ยามทอดทัศนาต้นโพธิ์เงินโพธิทอง
ที่ใบวะวาววับนี้
ราวกับเห็นภาพพระพุทธองค์
ทรงประทับณ..ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
ภายในป่า สาละ
ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ
ในคลองตาคลองใจตลอดมา
และพาให้
ทิพย์ทองรักแสนรัก
ศรัทธาแสนยิ่งใหญ่นักในทุกยามนึก
ถึง
*ร่มโพธิ์พฤกษ์ โพธิ์ไพร*
ต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าได้ประทับ ณ ภายใต้ร่มเงา
ในคราวตรัสรู้, จนได้ โพธิญาณ
อันคือปัญญาตรัสรู้, ในมรรคญาณทั้งสี่
มีโสตาปัตติมัคคญาณ เป็นต้น
ให้หัวใจทิพย์ทอง
ยิ่งพรายฉายฉันท์ราวเพชรดวงในรวงใจ
เสมือนฝันไป...
ในราตรี...
ที่ดารารายเลิศโสภานภานวลผ่อง...
ในวัน*เดือนพูนดวง*
ควงหวานแจ่มจรัสในวันเพ็ญเดือนหกขึ้น15ค่ำ
พร้อมกับหวานแว่ว.........
บทกวีแสนงามจากดวงใจมิ่งมิตรแสนดี
คนที่ชื่อลำน้ำน่าน*บุรุษแห่งสายธาร*
....................
จากริมฝั่งเนรัญชราสู่ธาราธรรม
พรมธารายามอรุณด้วยกรุ่นกลิ่น
พรมผืนดินด้วยเกสรละอองป่า
จากดื่นดึกลึกหลับกับดารา
ภาวนาอยู่ท่ามกลางวิมานพฤกษ์
ณ ปลายฝั่งสายธารนิมมานรดี
รัชนีสว่างสรวงแม้นห้วงดึก
ร่วมบรรเลงมนต์ธรรมอันล้ำลึก
ผลผลึกอภิญญาณฌานภิญโญ
เมื่ออาทิตย์อุทัยแรกแตกดอกวับ
พร้อมบทเพลงวิหคขับจับกิ่งโผ
บัลลังก์อาสน์ใต้ร่มบรมโพธิ์
มนต์พุทธโทแว่วผ่านวิมานไพร
ราตรีวันวิสาขปุณณมี
มะลุลีผลิรับจากหลับใหล
หยาดน้ำค้างหยดเย็นค่อยเป็นไป
เทวดามาลาไพรร่ายรำพร
ณ ริมธารสายน้ำต้นยามเช้า
ใต้ร่มเงาพนาวัลย์บรรจถรณ์
โพธิสัตว์แสงประดับจับจีวร
พนันดรก็บรรสารทุกธารพราย
มธุปายาสข้าวทิพย์วิจิตรสรรค์
อวลสุคันธ์สุชาดาน้อมถวาย
เครื่องพลีกรรมหอมกลิ่นมิสิ้นวาย
โลกบาลเรียงรายร่วมพิธี
รัตนบัลลังก์นั่งภาวนา
อาทิตย์ทองส่องหล้าพระโพธิ์ศรี
ทินกรร่อนเริงเวิ้งนที
บารมีคลี่อาบทาบไพรวัลย์
สัตยาอธิษฐานลงธารน้ำ
อรุณยามฤกษ์ดวงสรวงสวรรค์
ถาดทองทวนไหลทบอรรณพพลัน
สู่ห้วงน้ำเนรัญฯ พุทธมรรคา
ปฐมยามราตรีค่อยหรี่ล่วง
ยามโสมสรวงเสวยแสงแพร่งเวหา
สมาบัติสำเร็จแจ้งแห่งวิญญาญ์
ซึ่งปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
มัชฌิมาล่วงผ่านทวารสอง
องค์สัมมาลุครรลองกรรมฐาน
ล่วงจักษุทิพยจักขุญาณ
สรรพสัตว์ก่อนกาลเหตุจุติ
ปัจฉิมยามกาลสมัยใกล้รุ่งฤทธิ์
หยั่งพินิจปัจจยาการนานสติ
อริยสัจรู้แจ้งแรงสมาธิ
ในปฏิจจสมุปบาทอวิชชา
เมื่อแสงทองทอรับจับระบัด
โพธิสัตว์สดับแจ้งแรงตัณหา
ตรัสรู้ลุพระสัพพัญญุตา
ดับสูญสิ้นกิเลสาธรรมาญาณ
มหัศจรรย์อุบัติซ้องมรรคผล
ปฐพีดลลั่นธาตุปราชญ์สถาน
ทศพลเปล่งสีหนาทปฐมทาน
ใต้ร่มโพธิญาณอุรุเวฬาฯ
ทิพย์ดนตรีบรรเลงเพลงอภิวาท
อเนกชาติสังสารังองค์คาถา
สัพบุรุษเพี้ยงพ้นองค์สัมมาฯ
พุทธาดาโลกนาถทุกชาติภพ......
..................................
อรุโณทัย ณ ริมฝั่งน้ำเนรัญชรา
เมื่อเดือนต่ำย่ำรุ่งคลุ้งสายหยุด
แว่วโพธิ์พุทธไกวกราวราวสวดเสียง
วิหคอุ่นรุ่งแล้วแจ้วสำเนียง
น้ำค้างเรียงรินหยดซบบัวใบ
ดวงดาวเลื่อนเคลื่อนลงตรงเหลี่ยมโลก
กลีบดอกโศกแต้มหมอกดอกหม่นไหว
กาลอรุณหมุนเวียนเปลี่ยนความนัย
ปลุกตื่นแล้วดวงใจแห่งท้องนา
หวานสำเนียงเสียงไก่ได้รู้สึก
คล้ายสำนึกลึกล้ำพร่ำเพรียกหา
ราวบทเพลงระฆังแก้วแว่วยินมา
ให้สดับรับค่าอรุโณทัย
เมื่อน้ำค้างพร่างหล่นบนพรมพฤกษ์
เพียงค่อนดึกลึกล่วงจากสรวงใส
บ่มวิญญาณตำนานทุ่งจรุงใจ
ราวเกล็ดเพชรเจียระไนด้วยตำนาน
หอมกลิ่นเอยหอมหวลมวลดอกไม้
เมื่อลมไล้ลอยล่องท้องนาผ่าน
แตะดวงจิตปลุกฟื้นขึ้นจับงาน
อีกช้านานเส้นทาง..สว่างรับ
ตะโพนน้อยคล้อยเสียงยินเพียงแว่ว
เมื่อเดือนปีคลี่แนวแคล้วจันทร์จับ
ห้วงพรรษาเปลี่ยนวันเหมันต์ลับ
ยังสงบรำงับกับพุทธา
แสงสีทองรุ่งลางทางทิศนั่น
เหลืองอำพรรณเปรื่องปราดศาสนา
ฉายอรุณอุ่นทอขึ้นคลอตา
ส่องมรรคาหนทางสว่างแล้ว
ตื่นขึ้นจากภวังค์ขังดวงจิต
เมื่อไฟติดฟืนลุกทุกทิวแถว
เพียงควันไฟพุ่งยาวขาวเป็นแนว
ข้าวสารแก้วหุงนึ่งเต็มซึ้งนัก
เดินตามพระมาไกลในรอยพุทธ
บรรจงหยุดรับบาตรถาดข้าวตัก
ดอกบัวบานแย้มอยู่คู่พระพักตร์
แผ่เมตตาทอดรัก...จักเข้าใจ
หยาดน้ำค้างอาบคลอกอรวงข้าว
เมื่อลมหนาวพัดฟ่อนจีวรไหว
เกล็ดหมอกหม่นสะท้อนพร่างกลางดวงใจ
งามพระธรรมวินัยก็ฉายรับ
เช้าวันใหม่ดรุณรุ่งตรงทุ่งนา
เทียนพรรษาหรี่ลดหมดเปลวจับ
ดอกบัวบานผลิแทนราวแสนนับ
ผลิวิญญาณขานรับกับอรุณ
คืออารยาแห่งกาลผ่านทุกครา
วัฒนาก้าวตามยามโลกหมุน
ให้สดับรับค่าพุทธาคุณ
กฎธรรมชาติสมดุลลึกซึ้งแล้ว
-----------------------
เช้าวันใหม่ในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งที่ได้ไปเยือนในครั้งก่อน
ความทรงจำสงบงามถูกจารึกไว้ในหัวใจดวงนี้
ณ ริมฝั่งน้ำโขงแม่น้ำของแผ่นดิน วิถีชาวลาวสงบนิ่งตามรอยพุทธ
หลังออกพรรษาที่ชาวบ้านต่างพากันไปวัด ..ในหมู่บ้าน
เส้นทางเดินทอดย่างไปกลางทุ่งนาเขียวขจี ริมบึงบัวดอกงาม
ในเช้าวันใหม่ในปลายเหมันตฤดู ที่เห็นพระออกบิณฑบาตรแต่เช้าตรู่
จีวรเปียกพรมด้วยน้ำค้างริมใบข้าว ..หอมกรุ่นข้าวหุงใหม่
ที่ชาวบ้านเตรียมไว้ใส่บาตร..
ข้าพเจ้าสงบงันและสดับรับรู้ค่าในวิถีงามนี้
ดอกบัวงามวางนิ่งในถาด รอถวายเป็นพุทธบูชา
ณ ผืนแผ่นดินนี้ร้างไร้ในเทคโนโลยี แต่สูงส่งด้วยจิตวิญญาณ
มีวัฒนธรรมของแผ่นดินซ่อนเร้น เงียบงาม น่าหลงไหลในยิ่งนัก
ริมฝั่งแม่น้ำโขง ข้าพเจ้าประหวัดจิตนาการไปถึงริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
พุทธะไม่ได้สอนให้เราละวางอย่างโง่เขลา หากแต่สอนให้เราปรับตัว
และใช้ชีวิตสงบงามท่ามกลางสังคมปัจจุบันและความเปลี่ยนแปลงเป็นเหตุ
แม้นไม่ถึงพระนิพพาน หากแต่ได้ขึ้นชื่อว่า เดินไปอย่างผู้เพียรพยายาม
เช้าวันใหม่ การกลับมาของอรุโณทัย และกฎสมดุลธรรมชาติ
หวังให้ทุกดวงใจน้อมนำความสงบรำงับเข้าเป็นจุดเริ่มต้น
มีสติและเข้าใจความเป็นไปแห่งสรรพสิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า
ปล่อยวางและรู้เท่าทัน สงบงามเงียบเฉกเช่นพุทธศาสนิกชน
............
..................
และ
ด้วยจิตดวงใส
ดั่งอัญมณี
ของแม่ดวงดอกพุดไพร
ขอกราบกรานตรงเบื้องบาทพระศาสดา..
*ผู้เปรียบประดุจดั่งพระมิ่งมงกุฎยอดรัตนมณี
แห่งพุทธศาสนิกชน*
ในฟ้าพุทธภูมิชมพูทวีป
พุดขอพลีรจนาถวายเป็นพุทธบูชา
ในวันเข้าพรรษานี้
ที่ดวงชีวีจำต้องร้างแรมเรือนไทยร่มรัก
กลับบ้านเกาะบ้านเกิดไปหลายวันค่ะ
...............
ในอดีตเราถือเอาวัน แรมหนึ่งค่ำเดือน 8 ของทุกปี
เป็น วันเข้าจำพรรษา
ตามประเพณีพุทธบัญญัติของพุทธศาสนา
พระสงฆ์ต้องอธิษฐานอยู่จำพรรษาในวัดใด วัดหนึ่ง
ตลอดสามเดือนที่เรียกว่า ไตรมาส นั่นเอง
นี่เป็นเรื่องที่ภิกษุสงฆ์ต้องทำจะหลีกเลี่ยงเบี่ยงบ่ายไม่ได้
มีเรื่องราวปรากฎในพระวินัยปฎก วัสสูปนายิกะ
ใจความย่อว่า :
สมัยเมื่อผ่านปฐมโพธิกาลไปแล้ว
มีกุลบุตรเข้ามาบวชเป็นภิกษุมากขึ้น
พระพุทธเจ้ายังมิได้ทรงบัญญัติในภิกษุจำพรรษา
ถึงฤดูฝนมีน้ำขังเต็มบริเวณไร่นาทั่วไป
ชาวบ้านอาศัยพื้นที่เหล่านั้นประกอบอาชีพทาง กสิกรรม
พวกพ่อค้าที่มิใช่ชาวกสิกรรม
ต่างพักผ่อนหยุดสัญจรกันในฤดูฝนนี้
เพราะนอกจากไม่สะดวกแล้ว
ยังเป็นอันตรายแก่พืชผลของชาวไร่ชาวนา
แต่ภิกษุบางจำพวกในสมัยนี้
หาพักการจาริกไม่
บ้างพากันย่ำเหยียบหญ้าและสัตว์เล็กเป็นอันตราย
ชาวบ้านพากันติเตียน
พระพุทธองค์ทรงทราบ
จึงทรงบัญญัติให้ภิกษุจำพรรษาในฤดูฝน 3 เดือน
นับแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ไปจนถึงวันที่ 15 ค่ำ เดือน 11
แล้วเหลือเวลาในท้ายฤดูฝนนี้ไว้ให้อีก 1 เดือน
ไว้ให้เป็น จีวรกาล
คือเวลาที่แสวงหาจีวรมาผัดเปลี่ยนของภิกษุ
ยังมีข้อบัญญัติเพิ่มเติมอีกว่า
ให้ภิกษุยึดเอาเสนาสนะอย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็นที่จำพรรษาให้ได้ เช่น ถ้ำหรือกุฎี
ซึ่งมีที่มุงที่บังกันแดดกันฝนได้ดี
และทรงห้ามไม่ให้ภิกษุสงฆ์จำพรรษาในที่ต่อไปนี้
คือ ที่กลางแจ้ง ในโพรงไม้ ในหลุม ในตุ่ม บนคาคบไม้
ซึ่งจะเป็นอันตรายในฤดูฝนเช่นนั้น
การจำพรรษาด้วยการอธิษฐานจิต
คือ การที่ภิกษุแต่ละรูปไปประชุมกันในอุโบสถ
ทำวัตร สวดมนต์ ทำพิธีขอขมากัน
แล้ว
แต่ละรูปจะนั่งกระโหย่งแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า
ข้าพเจ้าจะจำพรรษาในอารามนี้ครบ 3 เดือน
นั้นก็คือ ในระยะเวลา 3 เดือน
ภิกษุผู้จำพรรษาจะไม่ไปค้างแรม ณ ที่ใดเลย
จะอยู่ประจำที่ในอาราม ที่ตนอธิษฐานจิตนี้
ผ้าอาบน้ำฝน ....
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
วัสสิกสาฎก คือผ้าสำหรับนุ่งในเวลาอาบน้ำฝน
หรือใช้ในการอาบน้ำทั่วไป
มีเรื่องเล่าว่า นางวิสาขาเป็นผู้ขออนุญาตให้พระพุทธเจ้า
ให้พระสงค์รับผ้าอาบน้ำฝน
เพราะเธอใช้นางทาสีไปนิมนต์พระที่วัดขณะฝนตก
พระสงฆ์แก้ผ้าอาบน้ำกันเต็มวัด
ทาสีกลับมาบอกนางวิสาขาว่า
ไม่มีพระมีแต่ชีเปลือยเต็มวัด
วิสาขารู้ทันทีจึงได้กราบทูลพระพุทธองค์
ให้ทรงอนุญาตผ้าอาบน้ำฝนดังกล่าวแล้ว
การถวายเทียนพรรษา .....
ปกติประเพณีที่เกี่ยวกับเทียนหรือขี้ผึ้งนี้
ได้สืบกันมาแต่สมัยพุทธกาลแล้ว
โดยเริ่มแต่สมัยที่พระพุทธองค์ได้เสด็จเข้าสู่ป่า
หนีความทะเลาะวิวาทของภิกษุสงฆ์เมืองโกสัมพี
ที่ตั้งหน้าทะเลาะกันด้วยเรื่องวินัยอันเล็กน้อย
โดยเข้าไปอยู่ในป่า มีลิงและช้างเป็นผู้อุปฐาก
จนในที่สุดชาวเมืองต้องลงโทษภิกษุสงฆ์ทั้ง 2 ฝ่าย
แล้วจึงไปนิมนต์พระพุทธองค์ออกจากป่าต่อไป
ในขณะที่เสด็จอยู่ในป่านั้น
ลิงก็หาผลไม้และน้ำผึ้งมาถวาย
ฉันน้ำผึ้งเสร็จแล้ว
ก็จะนำขี้ผึ้งไปทำเทียนบูชาพระ
จึงเห็นได้ว่าเทียนได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับประเพณีสำคัญ
การถวายเทียนให้ภิกษุสามเณร
ได้จุดบูชาพระรัตนตรัยในวันเข้าพรรษา
โดยการรวบรวมเทียนไว้ถวายวัดเป็นจำนวนมาก
เพื่อให้ได้จุดไปจนตลอดไตรมาส
แต่ก่อนถวายกัน
เพียงเป็นเทียนขี้ผึ้งแท้ ๆ ชาวบ้านทำเอง
เอาขึ้ผึ้งมารีดกับเส้นด้าย
แล้วตัดให้ได้อันยาวตามสมควร
แล้วนำไปถวายวัด
ปัจจุบันได้มีการนำเทียนขี้ผึ้งมาผสมกับสารเคมี
ทำให้แข็งตัวและแปรสภาพเป็นเทียนสีชนิดต่าง ๆ
จนบางแห่งถือเป็นประเพณีใหญ่โต
เช่น
*เทียนพรรษาของจังหวัดอุบลราชธานี*
ปีนี้พรรษามาแล้ว
ขอให้ชาวพุทธทุกคนทำใจให้มั่น
รำลึกถึงวันสำคัญนี้ ผู้ใดจะอธิษฐานจิตอย่างไร
ก็ตั้งใจให้แน่วแน่
ก็จะเกิดอานิสงส์กับตัวเองเป็นเอนกอนันต์
เช่นในพรรษาจะงดบุหรี่ จะงดเที่ยวเตร่
จะงดดื่มสุราเมรัย ตลอดจนงดการทำชั่วทั้งมวล
ทำบุญเมตตากรุณา
และ
ชำระจิตที่มัวหมองมืดมน
ให้เป็นจิตสะอาดสว่างไสวตลอดไป
ก็จะเป็นกุศลแก่ตัวเองและครอบครัวยิ่ง
***************
*จากหนังสือ มหาอุดม์
และออนซอนอีสาน ชุดที่ 1 โดย รศ.อุดม บัวศรี)*
.....................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song420.html
รางวัลชีวิต
พระพุทธองค์ ท่านทรงสอนเรื่องเวรกรรม
คนไหนใครทำ กรรมเคยก่อเอาไว้อย่างไร
ก่อน นั้น เคยทำกรรมไว้ชาติใด
ชาตินี้ต้องได้ รับกรรมที่ทำก่อนนั้น
ตัวฉันคงทำ แต่กรรมซ้ำอยู่เสมอ
ชาตินี้จึงเจอ เวรกรรมเก่าเข้าย้อนผูกพัน
ปวด ร้าว ตรอมตรมขื่นขมอนันต์
ทำดี สารพันรางวัลที่ได้ก็คือเคราะห์กรรม
โธ่ เอ๋ย พระเจ้าไม่เคยปราณี
ในชาตินี้ ทำดีไม่เคยก่อกรรม
หวัง ให้ ผลบุญได้น้อมนำ
ล้างเวรที่เคยทำ แต่ชาติ ปาง ก่อน
สิบนิ้วประนม สวดมนต์พร่ำบ่นบูชา
กุศลนำมา จงนำข้าสิ้นเวรดั่งวรณ์
หากแม้ ชีวีสิ้นลับดับมรณ์
เวรกรรม ทุกชาติก่อน
บรรเทาผันผ่อน อย่าตามซ้ำเลย...
12 กรกฎาคม 2548 07:30 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1931.html
ฟ้าหลังฝน
งามผ่อง...ใสแจ่มกระจ่าง..ในยามอรุณรุ่ง
ดวงเดินฝ่าหยาดน้ำค้างที่เกาะตามเรียวหญ้า
ไปแบ่งเด็ดดวงดอกพุดซ้อนมาสามสี่ดอก
แหงนเงยมองฟ้าใสด้วยใจดวงสุขเอิบงาม
และ
อีกสองสามวัน
ดวง..ก็จักพลันโผผินกลับบ้าน
ที่มีคนรักมากมายรอดวงอยู่
ผู้ที่รู้จักดวง..ดีมาตั้งแต่เกิด
ดวง..คิดถึงดวงใจที่ตะวันออกไกล
คิดถึงคนดีที่ครีฟแลนด์แดนดินแห่งความฝัน
และ
หวังหากเขาเข้ามาอ่านงานดวงด้วยใจยังรักรำลึก
ให้เขารับรู้ไว้ด้วยเถิดว่า
นาทีนี้ดวงคิดถึงความดีความใสซื่อความมีน้ำใจ
ของเขาเหลือเกินแล้ว
จนอยากบินไปหา หากดวงมีเวลาอีกไม่นานนี้
ที่ดวงคงหวังจะติดปีกบินไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียว
ไปเกี่ยวเก็บทุกสิ่งแสนดีแสนงาม ท่ามโลกกว้างที่รออยู่
วันนี้...
ดวงตั้งใจจะไปไหว้พระที่อยุธยา
ไปสวดมนต์ภาวนา
ไปเดินดายเดียวหากมิได้เหงาใจเหว่ว้า..อีกต่อไป
ทว่าใจดวงดีดวงงามดวงให้ของดวง
คงเต็มไปด้วยความอิ่มบุญเอิบงาม
ดวง.อยากไปนั่งดูสายน้ำและตะวันลา
ก่อนจะเดินทางกลับบ้าน ..เพียงเท่านั้น
โลก..ตรงหน้าณ...นาทีปัจจุบัน
มีสิ่งแสนดีแสนงามมากมายนัก
ที่รอทอดทายทักดวงใจเรา
เพียงแค่คลิ๊กดวงใจเรา
ให้เลิกยึดมั่นในมายา จากใจ..จากใคร*คนอื่น*
ให้ดวงใจเราแสนชื่นสดไสวสวยงาม
ราวปลดสร้อยโซ่รักพันธนา
ดวง..คิดถึงคนยากไร้ในแผ่นดินนี้
ที่คงมากมายมากมี
ที่ยังต้องการความหวังกำลังใจ
ที่คงซึ้งใจรู้คุณค่าของการมีน้ำใจปันแบ่ง
และ
ดวงจักแบ่งปันให้ผู้คนเหล่านั้น
ที่คงยินดีปิตินัก..ราวได้ต่อลมหายใจ
ดวงจึงมีความสุข
ที่คิดดีคิดได้คิดให้คิดที่จะทำ
และนี่มิใช่ตำราธรรม
หากคือการลงมือทำด้วยความตั้งใจ
ฝึกการสละออก
ฝึกดวงใจให้เป็นผู้ให้อย่างไร้ร้องขอต่อคนที่ทุกข์ทนยาก
ใจดวงจึงเอิบงาม
ราวดอกไม้ได้หยาดน้ำค้างกับความเกษมนี้
กับงามดวงใจนี้
ที่ยอมเป็นผู้ปิดทองใต้ฐานพระ
และ
ดวงเชื่อว่า เมื่อเราเป็นคนดี
คงมีดวงตาสวรรค์และฟ้าดินพร้อมเมตตาประทานพร
............
มอบให้ภูตะวันค่ะแรงบันดาลใจจากงานงามเจ็บสะทือนค่ะ
*ไม่ควรค่าเพราะฉันมันเลวค่ะ*
ลืมฉันเสียเถิดที่รัก
ลืมใจภักดิ์รักมั่นมิหวั่นไหว
ลืมฉันเถิดคนดีเดินจากไป
อย่าสนใจร่างนี้ที่ตรอมตรม
เพราะเส้นทางสีขาวที่เธอเลือก
สลัดเปลือกอย่าติดตมจมขื่นขม
ปลดพันธนาทุกข์มายาฝากระทม
ฉันพร้อมก้มหน้าหนีพลีรับกรรม
ลืมฉันเถิดคนดีที่เคยรัก
แค่รู้จักพักใจอย่ารินร่ำ
เดินจากไปในเส้นทางทองสายธารธรรม
เลิกหลงฝันเงามายานะคนดี
เพราะ..
ลมหายใจในชีวีนี้แสนสั้น
ราวหลับฝันพลันตื่นชื่นก็หนี
ไม่ว่ารักว่าชังแค่ฝังฝากเพียงชีพนี้
กี่วันปีใครบอกได้คล้ายมินาน
เหมือนดอกไม้สยายกลีบรอวันร่วง
รอปลิดดวงดอกดับลาลับหวาน
ทิ้งสุขโศกโลกเศร้าไว้กับฤดีกาล
เป็นตำนานแห่งชีพนี้พลีเพื่อใคร
สำหรับฉันเกิดมาเพียงพบพ่าย
สวาทวายสอนจิตอย่าคิดไหว
คำว่ารักหนักดั่งศิลาแอกดวงใจ
ไม่เป็นไรยอมชดใช้ให้กับเธอ
ไม่เสียใจไม่เสียขวัญวันเธอพราก
ไม่พิลาปรำพันฝันพ้อเพ้อ
เงียบและเงียบเยียบเย็นยามไร้เธอ
ราวละเมอในม่านหมอกมืดบอดใจ
ลืมและลืม อย่าเสียใจในรอยโชค
การอยโศกทิ้งรอยเศร้าหนาวแค่ไหน
ไม่มีเธอฉันก็ตายทั้งหายใจ
ไม่เป็นไรตายก่อนตายได้ใช้กรรม..ได้พบธรรม..!
............
เอนร่างนอนนับดาวกลางทุ่งหญ้า
หอมละออดอกไม้ป่าจนหวามไหว
พสุธา..ที่ข้ารักเคยพักใจ
ยามนี้ไกลอยู่ไหนหนา..ฟ้าตอบที..
ฟ้ากว้างเมินหนีหน้าคนว้าเหว่
อย่าหลงเล่ห์คำลวงให้คิดหนี
ฟ้ารู้เห็น..ยอดดวงใจ..ไม่ไยดี
เสียเวลาที่เพ้อฝันให้หวั่นใจ...
บอกกับฟ้า..อย่าตอกย้ำให้ซ้ำเจ็บ
ใจหนาวเหน็บพอแล้วกับหวั่นไหว
แค่สร้างพระเอกในฝันไว้ปลอบใจ
รู้บ้างไหม?เขียนด้วยใจจบด้วยเศร้า..ให้พระเอกขี่ม้าขาว..พร้อมจากจร!
.............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song374.html
สั่งฟ้าฝากดิน
ยามที่พี่อ้างว้างว่างใจ
นวลน้องต้องจากไป ใจพี่นี้ครวญคร่ำ
ทิ้งรอยแผลเก่า ให้เราชอกช้ำ
ใยรักเจ้าลืมคำ ทำเหมือนไม่ปรานี
เรียมหลั่งน้ำตาสะอื้น ยามดึกดื่นค่อนคืน
ทนขมขื่นทวี
มอง เฝ้ามองฟากฟ้าราตรี ลืมผืนดินลืมพี่
ลืมรักพี่เคยหมาย
เธอเปรียบดังชาวฟ้าโสภิณ ใยทิ้งให้ชาวดิน
ครวญถวิลร้องไห้
น้ำใจรักเจ้า ช่างเปลี่ยนง่ายดาย
ชาวฟ้าช่างโหดร้าย ใยถึงได้ใจดำ
เคยฝากน้ำคำพร่ำพรอด ฟ้าเคยกอดกับดิน
ลืมรักสิ้นดินช้ำ
เคยฝากใจให้ฟ้าดินจำ คำรักเอยเคยพร่ำ
ใยฟ้าเจ้าทำลาย
ใจไม่เคยจะคิดว่าคุณ ลืมรักอุ่นไอดิน
เพียงฝากลิ้นลวงให้
น้ำคำฟ้าสั่ง ฝากดินกินใจ ใยฟ้าไม่จำไว้
ใยหนอช่างแปรผัน
ลืมถ้อยรักเคยชื่นบาน ลืมกระทั่งวันคืน
เคยชิดชื่นด้วยกัน
เราอยากเด็ดดอกฟ้าลาวัลย์
ความรักเราจึงสิ้น ดินนั้นต้องเจียมตัว
ลืมถ้อยรักเคยชื่นบาน ลืมกระทั่งวันคืน
เคยชิดชื่นด้วยกัน
เราอยากเด็ดดอกฟ้าลาวัลย์
ความรักเราจึงสิ้น ดินนั้นต้องเจียมตัว...
...............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1931.html
อายฟ้าดิน
จะบอกรักใครก็อายฟ้าดิน
ความหวังพังสิ้น ทางรัก มืดมน
เกิด มา ร่างกายเท่านั้นเป็นคน
แต่หัวใจปี้ป่น โดนรักขยี้แหลกราญ
จะเอ่ยรักใครให้เอือมระอา
เมื่อไร้คุณค่า จนมิ ต้องการ
ตราบ จน สิ้นคนมั่นรักยืนนาน
ต้องทุกข์ทรมาน ร้าวราน ฤดี
ชีวิตต้องสิ้น ความหมาย วิง วอน ไหว้
ฟ้าดินก็ไม่ปราณี เจ็บ ปวด รวดร้าว ชีวี
ดวงฤดี มีแต่ ซอกช้ำเรื่อยมา
ไม่อยากรักใครให้อายฟ้าดิน
กลัวเขาจะสิ้น ความรัก เมตตา
สู้ กลืน เก็บความซอกช้ำอุรา
ไม่รักใครดีกว่า เดี๋ยวเขาจะอาย ฟ้าดิน
ชีวิตต้องสิ้น ความหมาย วิง วอน ไหว้
ฟ้าดินก็ไม่ปราณี เจ็บ ปวด รวดร้าว ชีวี
ดวงฤดี มีแต่ ซอกช้ำเรื่อยมา
ไม่อยากรักใครให้อายฟ้าดิน
กลัวเขาจะสิ้น ความรัก เมตตา
สู้ กลืน เก็บความซอกช้ำอุรา
ไม่รักใครดีกว่า เดี๋ยวเขาจะอาย ฟ้าดิน...
11 กรกฎาคม 2548 20:28 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song338.html
ฝนกำลังพรำสาย
ดวงดอกไม้กำลังร่ายกลีบเริงระบำรอรับ
ไพลแสนมีความสุขอย่างล้ำลึกนัก
กับบทเพลงฝนบทเพลงฝัน
*ในคืนอันไร้จันทร์แจ่มแรมใจ..ไร้ใครนี้*
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song338.html
สมมุติว่าเขารัก
ถูกตาต้องใจ ต้องมนต์ของใครคนหนึ่ง
หลงไปเก็บเขามาคำนึง จนติดตรึง หทัย
อกเอยลืมตน ต้องมนต์เสียจนเป็นไข้
เพราะเป็นโรคหัวใจอาลัย
เฝ้าครวญเพ้อไป เต็ม กลั้น
เงินแสนเงินหมื่นของใคร
แม้นมากองให้ถึงใจ
จะ เมิน ห่าง ไกล มิยอมให้ใคร ซื้อ กัน
แต่คนในใจ ไม่มีของใดมาหมั้น
เหมือน มีโชคล้านเป็นรางวัล
ด้วยใจรักอัน มี ค่า
ด้วยใจผูกพัน ผูกพันเสียจนต้องตู่
สมมุติว่าเขามาเอ็นดู คงชื่นชู อุรา
ดุจมีเทวัญ แบ่งปันทิพย์ธารลงหล้า
ฉันคงอิ่มเพราะธารเทวา ที่มีฤทธา เต็มที่
คงรักกันอยู่ทุกวัน เหมือนดังไฟต้องน้ำมัน
เกิด ระ เบิด พลัน เพราะมันต้องกัน ทุก ที
เฝ้าครวญรำพัน โอ้เราฝันไปหรือนี่
โถคนที่รักดังชีวี ก็ยังมิมี ที ท่า...
...................
กับฟ้าโพล้เพล้
กับใจดวงดายเดียวเหว่ว้า
ตามประสาคนชอบซึ้งสุข
ทุกอย่างง่ายดายรายรอบ
คนที่ชอบที่รัก
สายฝนแสงเทียน
รักแสงตะเกียง
รักชีวีงามเงียบลำพัง
คนที่ชอบนอนฟังเสียงดนตรีไพรดนตรีธรรมชาติ
คนที่ ณ..บัดนี้..
กลับไม่ยอมเสียเวลานาที
เดินไปมา..ทำโน่นทำนี่ทำนั่น
อย่างพยายามขยันมิหยุด
ในชุดผ้าถุงชาวเขาผืนงามสีดำแดง
ตรงเชิงชายและจีบทบ
มีลูกปัดเงินปักไว้ให้วะวาววับงามจับใจ
ผ้าผืนนี้มาจากเชียงใหม่
ยอดดวงใจคนที่ไพลแสนรัก
ซื้อมาฝากพร้อมปิ่นปักผม
และ
ผ้ายกดอกสีทองมีลายช้างหลายเชือก
ที่ไพลชอบนอนดูทุกคืนค่ำก่อนจะหลับไปกับฝันดี
ที่แขวนไว้บนราวเตียงโบราณ...
และ..
วันนี้.. ตอนกลางวัน
ไพล..ได้ตุ้มหูงามล้ำราคาเยามากมาคู่หนึ่ง
คล้ายมุกหากเป็นสีเทอควอยซ์
แล้ว
ร้อยห้อยขนนกสลับสี
ฟ้าแดงเหลือบเหลืองดูสดพราวราวอินเดียนแดง
หากให้ความงามเก๋แสนแปลกดี ที่นานๆที
สาวไพลหัวใจไม่ยึดติดวัตถุ
จะตัดใจซื้อมาประดับประดาสร้างสีสันให้กับชีวาชีวิต
ก็..เป็นเพียงความสุขเล็กๆความสุขน้อยๆ
ไม่ต้องใช้เงินร้อยเงินพันซื้อมา
เพราะว่า
*สำคัญที่ใจ ...ทุกสิ่งสำคัญที่ใจ..*
ไพล..เลยถ่ายภาพตัวเองในท่านั่ง
ราวหญิงโบราณอิงหมอนขวานเก็บเอาไว้
พร้อม..
ทัดดอกเล็บมือนางสามสีแดงนวลพราวขาวชมพู
ให้พร่างหอมริมเรียวแก้ม
มาตรแม้นจักไร้ใครมาขอหอมดอมดมแล้วก็ตามที
เพราะ
ทุกสิ่งให้ความรู้สึกแสนดีให้ความรู้สึกแสนงาม
นั้น*สำคัญที่ใจ*เรา
ใช่...หวังใครมาเติมใส่สุขหวานให้...ใช่ไหมเล่าเธอ...!
และ..
ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร
ก่อนนิทราในทุกราตรี
ไพลขอฝากให้ทุกคนดีทุกดวงใจ
*สมมุติว่าเขารัก*
ซึ่งคงจักเป็นพลังในทางบวก
ให้เรายังคงมีหวังหวานมิรานโศกมองโลกสิ้นไร้จนเกินไป......!
..........................
สมมุติว่าเขารัก!
ขอเขียนกลอนหวานหวานให้ซ่านใจสักหนึ่งบท
เลิกรันทดลืมท้อแท้ลืมแพ้พ่าย
จูบริมแก้มแถมก่อนนอนหลับสบาย
ฝากดอกไม้วางเคียงหมอนนอนฝันดี..
มอบคืนฝันอันพิเศษใจพิสุทธิ์
รักอย่าหยุดไขว่คว้าฝันวันงามนี้
มอบโลกสวยด้วยหัวใจดวงดีดี
ให้ยอดชีวีมีที่รักได้พักใจ..
ฝันให้ไกลไปให้ถึงซึ่งฝั่งฝัน
จูงมือกันแนบแน่นเดินเคียงไหล่
เธอรักฉันฉันรักเธอเดิมพันใจ
สายโซ่ใจใช้สร้อยรักอักษรางาม..
กี่ฤดูกี่ฤดีที่เดียวดาย
ขวัญขอใช้มนตรามาหว่านหวาม
ให้อ้อมกอดออดอ้อนอุ่นทุกโมงยาม
เฝ้าติดตาม..ดาราฝัน..ฉันรักเธอ..นะดวงใจ!
.................
แถมนะคะให้เข้ากับบทเพลงค่ะ
จูบแก้มซ้ายกระซิบว่าอย่าลืมฉัน
อย่าลืมวันลืมคืนลืมห่วงหา
จูบแก้มขวาย้ำอีกทีคำสัญญา
จูบที่ตาห้ามดูเจ้าชู้ใคร..
จูบทั้งตัวขอให้รอไว้ก่อน
อย่าร้าวรอนรอวิวาห์อย่าหวั่นไหว
จูบมัดจำแค่นี้ออกจากใจ
จูบของใครไม่หวานเท่า..จูบฉันเอย!
7 กรกฎาคม 2548 14:06 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song480.html
(คำมั่นสัญญา)
แล้ว..
เธอ...ก็กลับมา
กับวันที่...ฟ้าทอแดดสวย
กับสายลมระรวยระริน
แห่งวันเริ่มต้นวสันตฤดู
กับพายุพร่างพาสายฝนมาผสานผสมกับกลิ่นกายเธอ
ที่ราวกับแม่ดวงดอกไม้ไพรอันแสนสวยใสฉ่ำเย็น..
ผม....ยืนนิ่งงันฝันงามเงียบ
รอเธอ อยู่ณ..ที่ตรงนี้
ที่กระท่อมริมทะเลฝัน
ที่เคยเป็นดั่งฉากรักนิรันดร์
อันแสนดายเดียวเหว่ว้า
เฉกเช่นอดีตรักลับลาแรมร้างพรากจากแห่งสองเรา
ที่ซ่อนซุกสุขซึ้งเหงาเปลี่ยว
ในเงาใจกันและกันมานานวัน มานานปี
มาจนถึงวันนี้นาทีนี้ 15 ปีเข้าไปแล้วที่รอคอย
และ...
ที่เธอเคยรจนาบทกวีบทหนึ่ง
อย่างแสนซึ้งใจเอาไว้ว่า
กระท่อมไพรบนเนินผาท้าสรวงสวรรค์
มีทะเลฝันตรงหน้าให้คว้าไขว่
มีดาวสวยทรายขาวหาดยาวไกล
มีน้ำใจมีความรักมีดวงตะวัน....
ยามเช้านอนดูดวงดอกไม้มาทายทัก
หวังยอดรักคืนอ้อมใจในอ้อมฝัน
ลมทะเลเห่ครวญรำพึงรำพัน
ดุจสวรรค์บนดินถิ่นรักเรา
รอเรือหาปลาลำน้อยค่อยคืนฝั่ง
ฝากใจหวังพรานทะเลคงไม่เหงา
ใครบางคนเฝ้ารอมานานเนา
คืนว่างเปล่าเขากลับมาหาเสียที
ใจดายเดียวดูตะวันผันเรี่ยน้ำ
ฟ้าสีครามงามดั่งทองอาบแสงสี
จุดตะเกียงเขียนกลอนฝันมอบวันดี
กระท่อมไพรนี้มีใจภักดิ์เฝ้ารักรอ
แสงพริบพราวราวไฟในทะเลกว้าง
แสนอ้างว้างห่างแค่ไหนใจไม่ท้อ
กี่คืนฝันกี่วันปีที่รักรอ
กระท่อมซอมซ่อผุพังฝังร่างนี้ที่รอรัก ..รอพรานทะเล!
..........
ที่พาให้ผมหวนคิดไปถึงยามหนึ่งในราตรี
ที่จันทร์ลอยดวง ดึกดื่นดายเดียว..
นะกระท่อมแห่งนี้
ที่ฟ้าระดะดาวพราวพร่างสุกใสแสนใกล้
ราวกับจะเอื้อมคว้าไขว่มาประดับใจได้
ที่ผมชอบให้คลื่นเคลียไคล้
ฝากเศร้างาม
ผม...
กำลังนับนาที...รอ....
เรือเฟอรี่ลำใหญ่...มาถึงฝั่งฝัน
ที่กำลังแลเห็นจากโค้งอ่าวนี้
ที่กำลังฝ่าฟองคลื่นสีขาวแตกพรายกระจายรายรอบ ลำเรือ
ที่กำลังหันหน้าวิ่งตรงเข้ามาอย่างช้าช้า ช้าช้า
ให้หัวใจ ผม..ได้มีเวลา
ย้อนรอยถอยหลังรำลึก
คิดถึง ค่ำคืนหนึ่งที่ผ่านมา...
และ...
กับความทรงจำที่แสนหอมหวาน ในทุกยามย้อน
...........
ผม......
ถือเป็นโชค..ยิ่งนัก
ที่ได้พบได้รัก
ได้รอเธอ
ได้มารับราชการเป็นที่ดินอำเภอที่นี่
ที่ผมคิดว่า...
*นี่คือบุพเพสันนิวาสพรหมบันดาลสวรรค์เมตตา*
ให้...ผมได้มาพบกับนางใจนางในฝัน
ที่นับจากนาทีแรกแต่นั้นมา...
ผมมิเคยชายตาปันใจ
และฝันถึงหญิงใดอื่นอีกเลยนอกเสียจาก
เธอ...คนดี....ที่ผมแสนรักภักดี...
ผม...
ได้ยินเสียงรถจอด
พร้อมกับ...
เจ้าลิเดย์สุนัขที่แสนรักพันธุ์ไซบีเรี่ยนของผมเห่าขรม
หากทว่า..ไม่นาน
ราวกับเจ้าสุนัขแสนรู้คู่ใจผม
จะพลันรับรู้ถึงพลังแห่งรักนี้ที่รอคอย
ให้หยุดเงียบเสียงสนิท
พร้อมกันกับ
ที่ผม...ค่อยๆหันหลังไปอย่างช้าช้า
จากทะเลตรงหน้าสีมรกต
ที่ผมมายืนนิ่งพิงต้นมะพร้าวเอนเฝ้านับนาทีรอเธอ
เธอ..ยังงามไสวเช่นเดิม...
แม้วัยวันจะผันแปรไปนานปีก็ตามที
แม้น..ร่างระหงจะยิ่งผอมบาง
อย่างแสนน่าทะนุถนอมกว่าเดิม
ผมเธอยังยาวสยายพัดร่ายรุ่ย
ขับวงหน้านวลให้หวานเเจ่ม
ราวกับแก้มถูกกรายล้อมด้วยรัศมีจันทร์
เธอ..คลี่ยิ้มอย่างดีใจ
ตามด้วยเสียงหัวเราะใสใส
ที่ทำไมหนอ...
ผมมักจะใจอ่อนโยนทุกครายามได้ยิน
*เราสบตากันนิ่งนาน..*
โลกที่เคยราน...ราวรอหยุดหมุนนานนาที
พอที่ผมจะเห็นหยาดน้ำผึ้งในเรียวตาเธออีกคราแล้ว
ราวกับวันเวลาในอดีตย้อนรอย
ถอยหลังในทุกคราครั้งที่เราพบกัน
ที่มักจะมีหยาดน้ำใสซึ้ง
ไหลหลั่งถะถั่งริน
มาจากบึ้งใจแห่งความซ่านซึ้งแสนปิติ..เกษม...
*กลับมาแล้วค่ะ คนดี ว่าไง
อ้าวไม่กอดรับขวัญหน่อยเหรอไรคะ*
มาค่ะ ....
อย่ามัวเขินอาย
อย่างเรานี่ไฟคงไม่ช๊อตๆๆแล้วดอกนะคะ
จะนับนะคะ หนึ่งสอง สาม หากยังไม่เข้ามา
เสียท่าชายชาตรีหมดเลย*
*คนอะไรให้ผู้หญิงโผเข้าใส่ ...*
ใช้ม่ายด้ายเธอแกล้งลากเสียงตลก
และ..
นี่ละคือเสน่หาลีลาเธอ
ที่ผมคิดว่าใครจะเลียนแบบมิได้
ไม่ว่าจะกระบวนท่าใด
ที่มีผมเพียงนั้นได้รับเกียรติ
เป็นดั่งชายเดียวในดวงใจที่พึงได้รับรักได้รู้รส
ให้เธอได้พลีแสดงทุกบทบาทหมดจดถึงใจ
และ.......
ไม่ว่าจะเนิ่นนานสักเพียงใด
หวานนั้นก็มิพลันกราย
แม้นจะใช้เวลาสักแสนกาลกัป์ปกัลป์
ที่ผมจักตราจำไว้
อย่างมิมีวันเลือนลืม..ลืมเลือนทุกภพชาติ
ถึงพิสวาทหวามเสน่หา
*นิยามรักเหว่ว้าหากฝังจำแด่สองเรา*
ผม.....ก้าวเดินช้าช้า ไปชิดใกล้เธอ
แล้ว...
ใช้มือแข็งแรง
แฝงด้วยความรักความคิดถึงคะนึงหาเต็มห้องหัวใจ
ล้นใจดวงนี้ที่แสนอบอุ่นอ่อนหวานอ่อนโยน
ค่อยๆลูบไล้เรียวแก้มลูบผมเธออย่างเบามือ...
ในท่ามสายลมทะเล
ที่กำลังหยอกล้อพ้อคลื่นพัดพร่าง
มาเคลียไคล้ดวงดอกลีลาวดีหอมกรุ่นในมือ
ที่กำลังบรรจงเสียบริมแก้มรับขวัญ
และ
สองแขนอันรัดรึง
ค่อยๆตรึงร่างเธอไว้ในอ้อมกอดอย่างแนบแน่น
อย่างแสนรักอย่างกับกลัวการพรากจาก
อย่างกอดเด็กน้อย
ผู้หลงทางกลับบ้าน ที่เพิ่งพานพบ
เธอซบบ่าผมแล้วสะอื้นไห้อย่างเงียบๆ
ระหว่างเรา
มีเพียงเงาทางมะพร้าวที่ทอดโอบ
มีเพียงสายลมโบกโบยมารับรู้
มีเพียงคลื่นคลอทรายซัดหาดเห่กล่อม
ราวหลอมละลายใจให้เป็นหนึ่งเดียว
ให้ผมรู้เพียงว่า..
ในชีวิตลูกผู้ชายหนึ่งนี้
ผมกำลังพลีชีวิตจิตวิญญาณ
อย่างทะนุถนอมแม่จอมใจเทพีไพรของผม
อย่างแสนอ่อนหวานแผ่วเบา
อย่างมิเคยทำกับใครมาก่อนเลย
ผม...แนบคางสากกับเรือนผมหอมกรุ่น
กับร่างน้อยๆในวงแขน
อ้อนแอ้นอวลด้วยพลังแห่งไฟฝัน
กับวันนี้นาทีนี้ที่รอคอย...
และ...
ผมรู้ดีว่า ...
นี่คือ...
* จันทร์ ณ กลางใจ...อาทิตย์อุทัย ณ กลางจิต*
ที่หวนคืนย้อนกลับมา
ส่องสว่างนำทางใจนำทางชีวิตผมไปตราบนิรันดร์
*ดั่งคำมั่นสัญญา*
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song480.html
คำมั่นสัญญา
ถึง ม้วยดิน สิ้นฟ้า มหาสมุทร
ไม่ สิ้นสุด ความรัก สมัครสมาน
แม้ อยู่ใน ใต้หล้า สุธาธาร
ขอ พบพาน พิศวาส ไม่คลาดครา
แม้น เนื้อเย็น เป็นห้วง
มหรรณพ
พี่ ขอพบ ศรีสวัสดิ์ เป็นมัจฉา
แม้ เป็นบัว ตัวพี่ เป็นภุมรา
เชย ผกา โกสุม ปทุมทอง
แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
ใคร่เป็นหงษ์
จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
ขอ ติดตาม ทรามสงวน
นวลละออง
เป็น คู่ครอง พิศวาส ทุกชาติไป
แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
ใคร่เป็นหงษ์
จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
ขอ ติดตาม ทรามสงวน
นวลละออง
เป็น คู่ครอง พิศวาส
ทุกชาติไป...
.............
ที่เธอบอกว่า....
กลับมาเที่ยวนี้...
จะมาฝังฝากร่างเคียงผืนพสุธามาตุภูมิบ้านเกิด
อยากมาพัฒนา
ปรารถนามาทำสิ่งแสนดีแสนงามฝากไว้ในโลกหล้า
ก่อนจะถึงวันแห่งตะวันลา
ที่ราวดวงดอกไม้แห่งชีวี
จะพากันพลีปลิดปลิว
ลิ่วลอยโรยร่วงควะคว้างลงกรายพื้นให้หอมงาม...
ผม...
ค่อยๆกระซิบริมเรียวแก้ม
*เหนื่อยมั้ยพักก่อนนะ*
ค่ำนี้ เราจะมานอนนับดาวริมทะเลฝันคุยกันนะครับ
แล้ว..
จะมีบาบีคิว ที่ผมเตรียมไว้ต้อนรับ
ที่ตั้งใจไว้ว่าจะเชิญแขกมานับพัน หากคุณไม่ห้ามไว้*
*แต่....
เอาเท่าที่คุณต้องการนะครับ
น้องปลัดอำเภอน้องชายคนดีที่คุณรัก
กับพัฒนากร
ที่คุณบอกว่าจะมีอะไรคุยด้วย
เพราะนานแล้วมิได้พบเจอ*
*คนดี...
แล้ว...อย่ามัวตื่นเต้น
จนไม่เป็นอันทำอะไรนะครับ
นอนพักมากๆ เตรียมตัวให้พร้อมเอาไว้
คืนนี้ผมอาจจะกวนคุณจนฟ้าสาง
ไม่ให้หลับนอนนะครับ
มีเรื่องเล่ามากมายจะเล่าให้ฟังนะครับ*
ผม...
ต้องกลับไปทำงานก่อน นะ เย็นๆจะกลับมา
และเข้าไปดูบนหัวนอนนะครับ
ผมมีอะไรฝากไว้ให้...
แล้ว....
อย่าพานร้องไห้อีกนะครับ
เพราะเที่ยวนี้
เราคงไม่พรายพลัดพรากจากกันอีกแล้วใช่ไหมยอดรัก
มา..มะ ให้ผมหอมแก้มหน่อยนะ
ผม...จะได้ไปทำงาน
และวันนี้ใครๆคงประหลาดใจหากเห็นผมคนเศร้าใจซื่อ
ทำงานไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปด้วยอิ่มใจเสียเหลือเกินแล้ว...
และ
ผมทราบดีว่า
นาทีที่เธอเห็นที่นอนสีขาวนวลนุ่มน่านอน
เห็น
ดวงดอกพุดซ้อนอรชรอ่อนหวาน
ที่บานพราวตระการเต็มโถดิน...เธอจะต้องยิ้มดีใจ
จนอยากร้องไห้
..................
.............
นั่น............!!!!
คือ....วันที่เธอกลับมา
และ...
กับราตรีนี้
เมื่อวันเวลาผันผ่านมานานเดือน..
คืนที่ฟ้าไร้สิ้นแสงดาว
แม้นดุเหว่าก็เลิกครางครวญ
ใบไม้หยุดโบกระบัด
ลมหยุดพัดนิ่งสนิท
ทุกสรรพชีวิตราวร่ำไห้
คืนที่เธอ...
บอกกับผมว่า...
เธอจะใช้รีสอรท์*ทะเลขวัญ*
ปันพลีน้ำใจแด่มิ่งมิตรน้องพี่และผืนดินเกิด
เพื่อให้ใจดวงงามดวงประเสริฐ
ที่รอเวลาคิดคืนน้ำใจรัก
จากดวงกมล
ให้...
แด่ทุกคนบนผืนดินถิ่นนี้
ที่นับวันจะเร่าร้อน
ด้วยไฟกิเลส ตัณหา
ถูกผลาญพร่าด้วยอารยธรรม
ที่บ่าโหมมากับการท่องเที่ยว
โดยมิยอมรับรู้ถึง มหันตภัยร้าย
ที่กำลังย่างกรายหมายฝากมรณะแด่ทุกผองชน
ให้ได้เตรียมกมลรับ
ได้รู้จักทำความดี
ได้พลีน้ำใจแด่ทุกใครทุกคนที่ชิดใกล้...
ก่อนวันที่จะสายเกิน
........
ณ..ราตรี ใน
รีสอร์ทแห่งนี้
ที่เธอกลับมาเทุ่มถอดใจเนรมิตร
ตัดสินใจหันหลังลาเมืองกรุง
ที่เธอชอบกระซิบบอกว่า
เธอมีชีวีราวปลาผิดน้ำเสมอมา
ที่ที่เธอมาบุกเบิก ที่ดินผืนงาม
ที่ลาดเอียง ลดหลั่น
อิงแอบภูเขา มีหินงาม
ที่ธรรมชาติให้มา แยกกระจัดกระจายไป.....
ราววิมานไพรวิมานวนา
ราวสวรรค์หล้า อัญมณีสีรุ้งพุ่งพราวพราย ณ กลางเกาะ
ที่เธอ..คนดี
ใช้เวลาแค่ไม่นาน
มาเนรมิตรผืนดินนี้
*ให้กลายกลับเป็นดั่งสวนสวรรค์ สรวงสวรรค์ *
คืนที่เธอ
จัดรีสอร์ทงามของเธอให้แสนคึกคัก
และ..
ประดับประดา
ด้วยแสงไฟพราวพร่างจากโคมรายรอบ
ที่สาดส่องไปตามทิวมะพร้าวงาม
ดอกไม้จากสวน...ถูกนำมา....ประดับประดา
รัดร้อยเป็นช่องาม..ตามมุมต่างๆ.....
ซุ้มไม้หอมเลื้อยสวย เป็นพวงพุ่ม
มะลุลี มะลิพวง รสสุคนธ์ สายน้ำผึ้ง
หวานบานฉ่ำราวกับนัดกันไว้
แล้วให้คนเฒ่า คนแก่
ใช้ภูมิปัญญา และฝีมือชาวบ้าน
ที่สามารถใช้ใบมะพร้าวมาสานถักทอเป็นลวดลาย
ละอองามล้ำ เป็นรูปดอกไม้
รูปสัตว์ต่างๆ และลูกตะกร้อแสนงาม
แขวนเรียงราย ตามต้นไม้รายรอบ
คืนที่เธอกระซิบบอกว่า
ให้ผมเชิญแขกคนสำคัญ
ที่มีพลังในการหยุดยั้งทำลายสิ่งแวดล้อม
แห่งบ้านเกาะถิ่นเกิด ของเธอ...มาสักสองสามร้อยคน
เพราะเธอมีอะไรจะบอกกล่าว
และจักร่ายบทกวีแสนตราตรึงซึ้งใจให้ฟัง
พร้อมกับที่..
จะฝากความหวังกลับไป...
*ให้ร่วมใจรวมใจสามัคคีกันสร้างพลังทำสิ่งดีงาม*
เพื่อรู้รักษ์บ้านเกิดเมืองนอน
และ
จักมีผลกระทบสะท้อน
ไปถึงระดับชาติระดับโลก
ที่จะลบโศกแล้งไร้..
เธอ ...
บอกว่าเธอจะขอใช้เวลาแค่ไม่นานนาทีเอง
ที่จะพลีใจด้วยหยาดเลือดแห่งรักในผืนดินนี้ที่ก่อกายให้ชีวิต
ได้ตามลิขิตฝันจนพลันเป็นจริง...
ผม..
อดเป็นห่วงเธอไม่ได้เพราะมีสัญญาณ
เตือนภัยถึงเธอ
*บัตรสนเท่ห์*คำขู่ที่ได้รับหลายใบตั้งแต่เธอกลับมา
และ
มาเพียรทำหน้าที่อนุรักษ์ป่าไพร
รวมทั้งการบุกรุกโค่นไม้ทำลายป่าต้นน้ำลำธาร
ที่นับวันจะแห้งเหือดไป
เพราะ...
ความไม่เข้าใจถึงภัยแล้งไร้ตามมา...
หากเกาะนี้สิ้นไร้แหล่งน้ำจืด
เธอ..ที่ชอบหันมาเว้าวอน
ให้ผมเพียรใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อรณรงค์
ช่วยกันพิทักษ์รักษาทั้งป่า
ทั้งการแผ้วถางทำลายต้นมะพร้าว
นับหมื่นนับพันต้นเพียงเพื่อมาสร้าง
กระท่อมที่ไร้ชีวิต และจักพาให้คนในเกาะ
และนักท่องเที่ยวราวสถิตทะเลทรายในไม่ช้า
รวมทั้งไปขัดขาขัดผลประโยชน์ใครบางคนที่เราไม่รู้ตัว
ที่กำลังเมามัวบุกรุกเขตวนอุทยานสร้างรีสอร์ทบนยอดภู
ผม...
ตามใจเธอ ..
ทั้งๆที่ผมประหวั่นว่าภัยร้ายกำลังประชิดคืบใกล้มายังเราสอง
อย่างมองไม่เห็นตัว
เมื่อผมได้รับบัตรสนเท่ห์ แสนน่ากลัว
เช่นกันให้ระวังตาย ระวังเงาหัวไว้ให้ดี..
หากยังทำตัวเป็นคนดีแสนมีอุดมการณ์อุดมคติสูงส่ง
มิรู้ปลงรู้หยุดขวางทาง..ทำลาย
และ...แล้ว...
ในราตรีนี้
ที่ฟ้าไร้สิ้นแสงดาว...
แม้นดุเหว่าก็เลิกครางครวญ
ใบไม้หยุดโบกระบัด
ลมหยุดพัดนิ่งสนิท
ทุกสรรพชีวิตราวร่ำไห้
คืนที่เธอร่ายรำพัน..
ถึงบทความพร้อมแผนภูมิทั่วโลก
ที่กางพร้อมชี้ให้เห็นจริงถึงสัจจธรรม
ที่กำลังกรายกล้ำทำร้ายโลกทำลายเราทุกคน
หากยังมิไหวกมลรู้บทเรียน...
ที่เธอนำมากล่าว
ให้รับทราบกันถ้วนหน้า
พร้อมเน้นย้ำถึงความหวังอันแสนสว่างจ้า
ที่จักร่วมด้วยช่วยกันเททุ่มพลังใจแห่งรักสามัคคี
เยียวยาเกาะนี้...เกาะที่แสนงามราวสรวงสวรรค์
ราวภาพฝันของปอลโกแกง
มาร่วมแรงรวมใจ มาพิทักษ์ไพร และเยาวชน
มิให้หลงผิดติดยา
หรือถูกมอมเมา
ด้วยพลังแห่งกิเลสตัณหาแห่งความอยากได้ใคร่มี
จนพาตัวไปหลงทำสิ่งมิดีมิชอบประกอบกรรมหลายทาง
เพียงเพื่อสนองตามร่างไร้คิดจิตวิญญาณไร้สำนึก
ไปตามกระแสโลกโศกมิรู้สิ้นรู้จบทบทวีทุนนิยม
และ....
ในท่ามกลางแสงตะเกียง
เทียนทอที่เธอจุดพร่างไสว
เพื่อเพียรประหยัดน้ำมันจากพลังงานไฟฟ้า
ตามนโยบายรัฐบาล
เธอแย้มยิ้ม..หวานเศร้า
หากให้งามเร้ารัดรึงตรึงใจผมเป็นยิ่งนัก
ที่เห็นเธองามเกินงาม
กว่าหญิงใด ตรงที่จิตดวงใสดวงทิพย์นี้
ที่คิดรู้ทันเท่าเฝ้านึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม
ราวมีอัญมณีใจอันฉายฉานโชติช่วง
ที่ผมอยากไขว่คว้ามาประดับใจ
ที่ผมสงสัย
ว่าสวรรคสรวงทิพยวิมานสถานใดประทานพรให้เธอมา
เธอยิ้มหวาน....
กล่าวช้าช้าชัดชัดอย่างมีลูกล่อลูกชน
ปนให้ฮาเฮไม่นึกเบื่อ..
ใช้เวลานานประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง
ที่แสนซึ้งตรึงตราใจไปกับบรรยากาศแสนงาม
กับเสียงเร้าใจ เศร้าสะเทือน
หากเต็มไปด้วยพลังแห่งความเชื่อมั่นศรัทธา
*ในพลังแห่งธรรม ธรรมชาติ ดิน น้ำลมไฟ
ไปกับ*ความฝันอันสูงสุด
ที่ยินดีจะมอบโลกที่ดีกว่าให้แก่ผืนดินเกิด...มาตุภูมิแม่
.................!!!!!!!!!!
...................!!!!!!
ก่อนที่เราทุกคน
จะต่างตกตะลึง...
ด้วยเสียงดังสนั่น
ราวฟ้าผ่าเปรี้ยง...
ด้วยเสียงกัมปนาทบาดใจ ใจแทบขาด ลงมาตรงหน้า
เมื่อ.....!!!!!!
กระสุนนัดหนึ่ง...วิ่งฝ่าความมืดทะลุทะลวงเข้ามา
พร้อมเสียงกรีดร้องอย่างตกใจจากทั่วทิศทาง..!
นัดแรก..!
แทรกเข้าไปเจาะตะเกียงให้ดับวูบไป....
นัดที่สอง..!!!
คงเจาะเข้าไปกลางหัวใจแสนงามของเธอ
อย่างแม่นยำ.....!!!!
ที่ณ..บัดนี้....! .....ร่างนั้น..!
ยังอ่อนอุ่นอยู่ในอ้อมโอบผม
ที่กำลังร่ำไห้อย่างมิอายฟ้าดิน......
พร้อมกับสายฝนพรมพรำหนักขึ้นๆ.......ราวรับรู้สะเทือน
น้ำตาผมกับน้ำตาฟ้า...
ไหลหลั่งรินมิสิ้นสาย
ผสานกันไปกับหยาดเลือดรักและร่างเธอที่เริ่มหนาวเหน็บ!
เธอ.....
กำลังหลับตาพริ้ม...
อย่างนิ่งงามอย่างเงียบงันราวฝันดี แสนดี.....
ราวไม่รับรู้สิ่งใด.....
ราวกับจะพลีวางทุกสิ่ง
ให้จักตราจำตอกสลักไว้ณ..กลางใจ..ณ เบื้องหลัง
ให้หัวใจผม ปานแหลกสลายยับ....
อยากดับดวงใจไปกับร่างรักอันแสนน่าเวทนาแห่งเธอ....!
................
.................
เสียง...
เธอราวกระซิบแสนเศร้าหวานแว่วแผ่วมา....
กับฟ้าสีกำมะหยี่
ที่กำลังคลี่คลุมโอบกอด...รัดร้อย
กับดาวสร้อยเดือนเสี้ยว
ที่สลัวมัวหม่นในม่านหมอกแห่งสายฝนเย็นเยียบ...
กับเสียงเพรียกแห่งพงไพร*วิมานวนา*
ที่กำลังหยุดระบัดใบไหวกิ่ง....
ราวนิ่งงันขวัญหาย....รับรู้โศกสะเทือน....!!!